สมาธิ บังทุกข์ สมาธิ ทำลายทุกข์ กับ ภัยร้ายที่แอบแฝง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย พระไตรภพ, 7 พฤศจิกายน 2009.

  1. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    สมาธิ บังทุกข์ สมาธิ ทำลายทุกข์ กับ ภัยร้ายที่แอบแฝง

    [​IMG]

    ลักษณะอาการ ของฌานและสัมมาสมาธิ มีความผิดกันอย่างมากมาย

    ฌานมีความน้อมเชื่อมาก วิริยะและปีติแรง กำลังใจกล้า โลดโผนทุกๆ อย่าง เราเรียกฌานว่าวิชาบังทุกข์
    บางคนนั่งสมาธิเกิดอาการจิตรวมลงดิ่งแน่แน่ว ร่างกายไม่ไหวตีง ไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อยล้า สามารถนั่งได้หลายๆชั่วโมง หรือหลายๆวัน เช่น พวกฤษีชีไพรในสมัยพุทธกาลหลายๆท่าน
    ก็ได้สมาธิแบบบังทุกข์กันเยอะแยะมากมาย แต่ ไม่สามารถตัดทุกข์ได้อย่างหมดจด

    แต่ สมาธิแบบบังทุกข์ไว้หรือทับทุกข์ไว้นี้ (ฌาน) มันมีความน่าพิศวงค์มากมาย จนทำให้ผู้ฝึกฝนที่ได้ที่เป็น เกิดการหลงยึดติดกันอยู่ เช่น เห็นภาพต่างๆเกิดขึ้น เห็นพวกเทพยดา รู้เห็นเหตุการล่วงหน้าได้

    พูดให้สั้นๆก็คือ ผู้ได้ฌาน สามารถเป็นผู้มีฤทธิ์ได้ สำเร็จอภิญญา ๕ ได้

    อภิญญา ๕ คือ
    ๑ อิทธิวิธี หมายถึง สามารถแสดงฤทธิต่างๆได้
    ๒ ทิพยโสต หทายถึง มีหูทิพย์
    ๓ เจโตปริยญาณ หมายถึงรู้จักกำหนดใจผู้อื่น
    ๔ ปุพเพนิวาสญาณ หมายถึง ระลึกชาติได้
    ๕ ทิพยจักขุ หมายถึง ตาทิพย์


    เมื่อนักปฏิบัติมีจิตน้อมไปตามอารมณ์ของฌาน และเกิดการติดในฌาน หลงฌานอย่างหนักหน่วงแล้ว จะเกิดความหลงอารมณ์นั้นๆ เช่นติดสุขในฌาญ
    หรือหลงตัวเองว่าเก่งกาจมีฤทธิ์ เป็นต้น

    หากจะผูดถึงภาวะของความหลงนี้ บางคนบางท่าน ไม่จำเป็นต้องได้ฤทธิ์หรอก แค่สามารถข่มความกลัวไว้ได้แล้วไปอยู่ในป่าช้าได้ มีคนที่เขากลัวป่าช้ามาเจอเข้า เกิดการยกยอ ปอปั้นกันขึ้น เพียงเท่านี้ก็อาจจะทำให้ผู้ที่ถูกยกยอปอปั้นนั้นเกิดอาการหลงตัวเองขึ้นได้
    จิตของนักปฏิบัติที่มีอาการหลงดังกล่าวมา อาจจะไม่เป็นตัวของตัวเองไปเสียเลยก็ว่าได้

    คำว่าไม่เป็นตัวของตัวเองนี้หมายถึง การที่ไม่รู้วาระหรือสภาวะที่แท้จริงของจิตตนเอง ว่ายังชั่วร้ายขนาดไหน บางคนถึงขนาดที่ว่า หลงตัวเองว่าเป็นอรหันต์เลยก็มี ทั้งๆที่
    กิเลสยังสุมเต็มหัวใจ สุมเต็มทรวงอยู่เลย
    อาการที่เป็นผลของฌาน เมื่อเกิดขึ้นเป็นสภาวะที่น่าตื่นเต้น ผู้ฝึกหัดใหม่จึงชอบนักชอบหนา

    ฌานเป็นของได้ง่ายแล้วก็เสื่อมง่ายเพราะ อารมณ์ของฌานยังตกอยู่ใต้อำนาจของโลกธรรมทั้ง ๘ ประการอยู่นั่นเอง แม้อภิญญาทั้ง ๕ ก็ยังเต็มเปรียมไปด้วยกองแห่งกิเลสเหตุให้เกิดทุกข์อยู่


    บางคนหลงมากจนเสียสติไป เพี้ยนไป ก็มีมากมาย



    ส่วนสัมมาสมาธิ อันเป็นหนึ่งในองค์แห่งอริยมรรคนั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปอย่างเรียบง่าย เพราะมีสติรอบคอบ จิตของผู้ปฏิบัติไม่หลงตัวหลงตน และรู้สภาวะที่แท้จริงของจิตตนเอง พร้อมทั้งของสรรพสิ่งทั่วสากลโลกธาตุอยู่เสมอ

    ทั้งที่เป็นสมมติ และ ทั้งที่เป็นวิมุตติ มีสติตามรู้ภูมิภาวะจริงแท้ของตนตลอดเวลา แม้จะมีคนด่าว่า หรือสรรเสริญเยินยออย่างไรก็ตาม สัมมาสมาธิย่อมสร้างเครื่อง
    ป้องกันภัย อันได้แก่ความหลงเมามัวนั้นไว้ได้ เพราะวิถีจิตของผู้ได้แล้วซึ่งสัมมาสมาธิย่อมมีความสำเนียกรู้ในเรื่องของความไม่เที่ยงแท้ ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา กล่าวคือเป็นผู้เกิดปัญญามองเห็นโลกตามความเป็นจริง

    ดวงจิตดวงใจนี้เกิดภาวะตระหนักรู้ไตรลักษณะ มีไตรลักษณะเป็นอารมณ์ รู้เท่าทั้นอารมณ์ แยกแยะผิดชอบชั่วดีออกจากกันได้ ไม่ผสมปนเปกัน

    จิตเกิดการตั้งมั่นดีแล้วมีสภาวะการพิจารณาอยู่ในธรรม เห็นสรรพสิ่งทั้งสิ้นทั้งมวน ทั้งที่เป็นรูปธรรม นามธรรม เหล่านั้นร้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระไตรลักษณ์

    จิตจะไม่แยแสใยดีในเรื่องอื่นๆอันนอกเหนือจากการชำแรกกองกิเลสให้สิ้นซาก

    ภาวะของสัมมาสมาธินั้นจะไม่เมาไม่หลง จะไม่กระชากบ้าบิ่นฮึกเหิมจนเกินเหตุเกินควร ทุกๆอย่างจะดำเนินไปอย่างสุขุมเยือกเย็น ไม่เพียรมากจนทรุดโทรม ไม่ย่อหย่อนมาก จนเกินงาม จนกลายเป็นการเสพกามโลกีไปเสีย

    สมดังคำพระ ดำรัสขององค์สมเด็จพระชินสี
    ได้ตรัสไว้ว่า เราไม่พักไม่เพียร นั่นเอง

    เมื่อสภาวะจิตเกิดสัมมาสมาธิแล้ว ย่อมไม่หลงลืมตัว มีความไหลเวียนของภาวะจิตอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไป เกิดความละเอียดลงโดยลำดับจนสามารถชำระจิตให้ขาวรอบได้อย่างสิ้นเชิง
    สัมมาสมาธินี้เมื่อได้แล้วไม่เสื่อม เป็นโลกุตตรธรรม ผู้ถึงโลกุตระธรรมจะไม่รู้สึกตื่นเต้น ไม่รู้สึกยินดียินร้าย จนเกินเหตุเกินงาม


    เพราะจิตไม่ได้คำนึงถึงอาการที่ตนได้ตนมี ซึ่งเกิดจากการที่จิตมีไตรลักษณญาณติดอยู่ครอบอยู่ไม่หดหาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วผู้ได้สัมมาสมาธิอันหมายเอาธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งโลกุตระธรรมแล้ว
    ย่อมมีสภาวะจิตที่มีแต่จะตั้งหน้าไปสู่ สมาธิอันมั่นคงและเกิดปัญญาที่ละเอียดขึ้นถ่ายเดียว จนสามารถเชือดเฉือนกิเลสอาสวะให้ขาดสิ้นไปได้

    ฌานเป็นของน่าสนุกสนาน มีเครื่องเล่นมาก มีเรื่องแปลกๆ ทำให้ผู้ไม่รู้เท่าทัน
    ตามความเป็นจริงหลงติดจมอยู่ในฌาน อาการที่จิตหลงติดจมอยู่นั้นย่อมทำให้เกิดโทษ

    โทษในที่นี้หมายถึง การที่ทำให้นักปฏิบัติผู้หลงผิดติดในฌานนั้นไม่สามารถจะชำแรกกิเลสให้หมดสิ้นไปได้อย่างสิ้นเชิง


    มิหนำซ้ำยังทำให้นักปฏิบัติกลายเป็นผู้หลงติดในภาวะความน่าอัศจรรย์ต่างๆ อันเกิดขึ้นในขนะทรงฌานอยู่นั้น อาจจะกลายเป็นผู้หลงตัวหลงตน หลงในฤทธิ์ต่างๆอันตนๆได้ประจักด้วยอำนาจแห่งฌานนั้นแล

    แต่กระนั้น ทั้งสัมมาสมาธิและฌาน ต่างก็เป็นอาการของจิต เจตสิกอย่างหนึ่ง ผู้ที่ได้เพียงฌาน ยังน่าห่วงอยู่ แต่ท่านผู้ได้แล้วซึ่งโลกุตระสมาธิ ไม่น่าห่วงเลยเทียว

    ทางแห่งอริยะ หรือ ที่เราเรียกกันสั้นๆว่า อริยะมรรค ย่อมอาสัยเกื้อกูลกันไม่อาจจะแยกกันได้

    โดยมีบาทฐานแรก คือ สัมมาทิฐิ อันหมายถึง ความเห็นชอบ เป็นที่ตั้ง มรรคองค์อื่นๆจึงจะตามมาได้ หากขาดสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบหรือ ความเห็นที่ถูกต้อง ไปเสียแล้วจิตของหมู่สัตว์ย่อมไม่อาจจะงอกงามไปสู่ความสิ้นทุกข์ได้


    ผู้ที่มีสัมมาสมาธิแล้ว ย่อมเป็นเหตุทำให้เกิดปัญญา อันเป็นตัวตัดตัญหาอันหมักดอกในขันธสันดาน ของหมู่สัตว์นั้นๆ ให้ขาดสบั้นลงไปได้อย่างสิ้นเชิง


    ผู้ได้เพียงฌาน แม้ได้ถึงอภิญญาทั้ง๕ประการแล้ว ก็ไม่แคล้วที่จะต้องเวียนวายเกิดตายในวัฏฏทุกข์นี้อยู่

    แต่ผู้ที่ได้ สัมมาสมาธิ ย่อมพึงได้พึงหวัง ความสิ้นอาสวะกิเลส อันเป็นอภิญญาข้อที่ ๖ เพิ่มขึ้นมา

    ถึงจะขาดเพียง ข้อเดียว แต่ข้อเดียวนี้ ก็ยากเต็มทีที่จะได้มาประดิษฐานสู่ใจแห่งหมู่สัตว์

    อภิญญา ข้อที่ ๖ หมายถึง การทำลายอาสาวะให้สิ้น คือ ความสิ้นแล้วซึ่งกิเลสอันเป็นเหตุแห่งการเวียนว่าย เกิดตายในวัฏฏทุกข์ทะเลเพลิงนี้แล

    สรุป

    การเจริญสมาธิ แม้จะเป็นไปตามลำดับขั้นตอนต่างๆเสมอกัน แต่บางครั้ง นักปฏิบัติบางท่านอาจจะพลัดตกลงไปสู่ความผิดพลาดได้โดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการ

    สมาธิที่จะเป็นสัมมาสมาธิได้นั้น จะต้องเป็นสมาธิที่เป็นเหตุทำให้เกิดปัญญาถอดถอนกิเลสตัญหา ชำระจิตของผู้ฝึกสมาธิให้ขาวรอบขึ้น จนหมดสิ้นซึ่งอาสวะในที่สุด

    สมาธิใดหากเมื่อปฏิบัติแล้วเจริญแล้ว รังแต่ก่อให้เกิดความลุ่มหลง ติดยึดมั่นหมาย ไม่คลายความยึดถือ สมาธินั้น เรากล่าวว่า เป็นมิจฉาสมาธิโดยทั้งสิ้นทั้งมวน

    การรู้จักวางกำลังใจในการปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานให้ถูกต้อง นับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพราะแท้จริงแล้ว ความเป็นมิจฉาสมาธิ หรือ ความเป็นสัมมาสมาธินั้น มันไม่ได้เป็นไปเองเลย แท้ที่จริงมันเกิดขึ้นจากการวางกำลังใจไว้อย่างไรต่างหาก

    คำกล่าวข้างต้นนั้น จะชี้ให้เห็นความสัมพันขององค์มรรคทั้ง ๘ ประการได้อย่างชัดเจน เพราะการที่จะรู้จักวางกำลังใจให้ถูกต้องได้นั้น จิตต้องมีความเห็นที่ถูกต้องเป็นองค์ปฐม นั่นก็คือ สัมมาทิฐิ นั่นเอง



    [​IMG]
    ขอท่านทั้งหลาย จงหามรรควิถี แห่งอริยะให้พบเถิด ขอท่านทั้งหลายจงพ้นภัยเถิด สาธุ
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ


    พระเมธชนัน อนาลโย

    สำนักธุดงค์สถานป่าศิริสมบูรณ์



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2011
  2. Nijaree

    Nijaree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +172
    ขออนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุเจ้าค่ะ...


    ผู้ใดใคร่เห็นผู้มีศีล ปรารถนาฟังพระสัทธรรม กำจัดมลทิลคือความตระหนี่ได้, ผู้นั้นแลท่านเรียกว่าผู้มีศรัทธา
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  4. ประทีปแก้ว

    ประทีปแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    3,506
    ค่าพลัง:
    +8,330
     
  5. เทพมารพรหม

    เทพมารพรหม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +26
    บทความนี้ สนับสนุนบทความของหลวงน้าครับผม กราบหลวงครับ

    สัมมาสมาธิ แปลกันตรงตัว ก็คือ สมาธิอย่างถูกต้อง ในทางพุทธศาสนาจึงหมายถึง สมาธิที่ถูกต้อง อันยังผลเป็นไปตามเป้าหมายหรือจุดประสงค์โดยบริบูรณ์ ทางพุทธธรรม เป็นสมาธิในองค์มรรค จึงมีความหมายที่แตกต่างกับสมาธิโดยทั่วไปหรือสมถสมาธิ ที่วัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติ เหมือนดังคำว่า ชาติ ชรา-มรณะ ฯลฯ ในปฏิจจสมุปบาทธรรม ดังที่กล่าวในเรื่อง ชาติ ว่าโดยทั่วไปแม้มีความหมายถึงความเกิดของตัวตนเป็นชีวิต แต่ก็มีความหมายถึงการเกิดขึ้นของสังขาร(สิ่งปรุงแต่ง)ต่างๆทั้งปวงด้วยเช่นกัน ดังนั้นชาติในปฏิจจสมุปบาทธรรม จะไปตีความว่า การเกิดขึ้นของชีวิตหรือตัวตนแต่อย่างเดียว จึงไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เป็นต้น
    ส่วนสัมมาสมาธิของพระอริยเจ้า นั้น มีความตามพระสูตรกล่าวไว้ใน มหาจัตตารีสกสูตร ไว้ดังนี้
    [๒๕๓] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ
    ดังนั้นสัมมาสมาธิในองค์มรรคหรือการปฏิบัติ สำหรับนักปฏิบัติ จึงหมายถึง ความมีจิตหรือสติตั้งมั่นหรืออย่างต่อเนื่องในการปฏิบัตินั่นเอง ส่วนการที่บางครั้งเกิดสมาธิในระดับประณีต หรือเกิดฌานในระดับละเอียดประณีตที่ประกอบด้วยองค์ฌานต่างๆขึ้นด้วยนั้น เป็นเพียงผลพลอยได้ที่ดีงามอย่างหนึ่งถ้าไม่ได้เกิดแต่การไปติดเพลินเสีย คือเป็นเครื่องอยู่เครื่องพักผ่อนหรือวิหารธรรมและกำลังของจิตอันดีเลิศ แต่ถ้าเกิดการติดเพลินเสียแล้วด้วยอวิชชา ก็กลับกลายไปให้โทษในเหล่าวิปัสสนูปกิเลสนั่นเอง, แต่จุดประสงค์สำคัญของสมาธิในการปฏิบัติจริงๆแล้ว ก็คือ การมีสติ อย่างต่อเนื่องหรือตั้งมั่นนั่นเอง

    ข้อความบางส่วนที่ตัดมาจาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2009
  6. raphiphan

    raphiphan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +426
    โมทนา สาธุ ท่านไตรภพ ที่นำเรื่องดีๆ มาให้อ่านกันครับ
     
  7. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    23,757
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +21,038
    เห็นด้วยกับ พระไตรภพ ทุกประการครับ ขอบคุณครับกับบทความดีๆ ปฏิบัติธรรมเเล้วยังยึดติดในณานหรือนิมิต สุดท้ายก็เป็นกิเลสอยู่ดี การปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นสิ่งที่ควรกระทําที่สุดครับ เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...