สายน้ำศักดิ์สิทธิ์ในอินเดีย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ดอนdon, 19 มีนาคม 2010.

  1. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    [​IMG] รูปขนาด 640 x 480 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 640 x 480 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 640 x 429 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 640 x 480 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 640 x 480 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 640 x 480 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 640 x 480 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 428 x 640 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 488 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 640 x 480 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 550 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 640 x 424 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel


    [​IMG] รูปขนาด 732 x 489 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 488 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 551 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 493 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 487 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 683 x 1024 pixel


    [​IMG] รูปขนาด 732 x 488 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 485 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 497 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 650 x 433 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 498 x 370 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 600 x 367 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 600 x 854 pixel



    [​IMG] รูปขนาด 600 x 423 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 600 x 479 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 600 x 412 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 1098 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 488 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel



    [​IMG] รูปขนาด 679 x 1024 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 484 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 482 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 498 x 330 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 497 x 329 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 336 x 448 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 490 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel


    [​IMG] รูปขนาด 732 x 976 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 650 x 433 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 526 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 488 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 631 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 479 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 704 x 463 pixel


    [​IMG] รูปขนาด 732 x 1027 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 640 x 433 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 390 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 471 pixel
    [​IMG] รูปขนาด 732 x 549 pixel


    [​IMG] รูปขนาด 732 x 767 pixel



    [​IMG] รูปขนาด 600 x 665 pixel
    อินเดียถือว่าเป็นประเทศที่สกปรกอันดับต้นๆของโลก
     
  2. ปรานต์

    ปรานต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +668
    สัพเพ สังขารา อนิจจา
     
  3. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    อนุโมทนากับภาพดีๆ ดูแล้วจะได้ปลงในชีวิตได้บ้าง
    ทุกอย่างก็เพียงแค่นี้แหละ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
    อยู่ที่ว่าจะมองเห็นหรือไม่....อนุโมทนา
     
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,732
    [​IMG]
    อนุโมทนาค่ะ เป็นกระทู้ที่ประทับใจมาก ติงยังไม่มีโอกาสไปอินเดีย
    ว่าจะหาโอกาสไปสักครั้งในเร็วๆนี้ค่ะ
     
  5. Nok Nok

    Nok Nok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +3,297
    ตามมา...อนุโมทนากับพี่ติงติง ติดติดเลยค่ะ สาธุ ^_^

    [​IMG]
     
  6. รักเสมอ

    รักเสมอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +235
    อินเดียได้ชื่อว่าเป็น ประเทศพิพิธภัณฑ์แห่งโลก
    เพราะทั้งประเทศมีโบราณสถาน...ประเพณี...วัตถุเก่าแก่ควรแก่การศึกษาอย่างมาก
    เป็นศูนย์รวมของลัทธิศาสนาและประเพณีต่าง ๆ หลายหลาก
    โดยเฉพาะที่สำคัญยิ่งคือ...
    เป็นดินแดนอันเป็นที่เกิดของพระพุทธศาสนา...เป็นแดนพุทธภูมิ

    ดูภาพเหล่านี้แล้ว คงจะเกิดธรรมสังเวชกันพอสมควร

    "ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ความตายเป็นของแน่นอน"

    ขอขอบคุณและอนุโมทนา คุณดอน don ด้วยครับ
     
  7. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    [SIZE=+2]ความเจริญและความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย[/SIZE]
    [​IMG]
    รวบรวมและเรียบเรียงโดย กรุณา กุศลาสัย
    [​IMG]
    [SIZE=+1]มูลเหตุสำคัญ[/SIZE]ในอันที่จะส่งเสริมให้ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เจริญรุ่งเรือง บรรลุความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนทั่วไปได้นั้น อยู่ที่เนื้อหาสาระอันเป็นคุณสมบัติประจำของศาสนานั้น ๆ หากนี้เป็นหลักเกณฑ์แห่งความสำเร็จของศาสนาแล้วไซร้ ก็ต้องยอมรับว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เพรียบพร้อมด้วยเนื้อหาสาระ หรือคุณสมบัติดังกล่าว อย่างสมบูรณ์ที่สุด
    อีกประการหนึ่ง ยุคสมัยและสถานการณ์ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ขบวนการเคลื่อนไหวแห่งศาสนาใหม่ เช่น พุทธศาสนาเจริญได้งอกงามได้รวดเร็วหรือหาไม่
    ในศตวรรษที่ ๖ และที่ ๕ ก่อนคริสต์ศักราชนั้น ในทวีปเอเชียและยุโรป มีการตื่นตัวทางความคิดด้านศาสนาและปรัชญา อันเป็นการตื่นตัวจากความเชื่อถือทางพหุเทวนิยมไปสู่เอกเทวนิยม หรืออีกนัยหนึ่งจากความเชื่อถือดิบ ๆ แบบดั้งเดิมไปสู่ความเชื่อถือที่ลุ่มลึกละเมียดละไม ดังตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนมีเล่าจื้อ (เกิดปี ๕๗๐ ก่อน ค.ศ.) และขงจื้อ (ถึงแก่กรรมปี ๔๗๐ ก่อน ค.ศ.) ในประเทศเปอร์เชีย (อิหร่านในปัจจุบัน) มีศาสดาโซโรอาสเตอร์ (ศตวรรษที่ ๖ ก่อน ค.ศ.) ในประเทศกรีซมีโสเครติด (ถึงแก่กรรมด้วยยาเมื่อปี ๓๙๙ ก่อน ค.ศ.) และเปลโต (๔๒๗-๓๔๗ ก่อน ค.ศ.) และในประเทศอินเดียก็มีศาสดามหาวีระและพระพุทธเจ้า (๕๖๓-๔๘๓ ก่อน ค.ศ.)
    ในประเทศอินเดีย นอกจากเจ้าสำนักหลายท่าน ดังมีข้อความระบุถึงในมหากาพย์ภารตะและมหากาพย์รามายณะ ตลอดจนในคัมภีร์อุปนิษัทแล้ว ก็ยังมีเจ้าสำนักอื่นอีกบางท่านซึ่งพระพุทธเจ้าทรงวิพากษ์ครั้งแล้วครั้งเล่าอีกว่า ดำเนินการสอนที่ไม่นำไปสู่วิมุตติ อันได้แก่ การหลุดพ้น (จากการเวียนเกิดเวียนตาย)
    โดยย่อแล้วอาจกล่าวได้ว่า อินเดียในยุคนั้นเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนขัดแย้ง คล้ายกับว่าปัญญาชนคนมีความรู้ทั้งประเทศ หมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาสัจธรรม โดยหลงลืมการหาประโยชน์ส่วนตัวเสียสิ้น จำนวนฤๅษีมุนีและปริพาชก (นักบวชผู้ชายนอกพระพุทธศาสนา) นั้น มีมากมาย อันเป็นสัญญาณแสดงว่าการแสวงหาสัจจะมีความสำคัญที่สุดในยุคนั้น
    กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ดินแดนภารตะทั้งประเทศในสมัยนั้น เร่าร้อนไปด้วยความเคลื่อนไหวทางพุทธิปัญญา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่งที่นักคิดผู้ปรีชาสามารถเช่นพระโคดมพุทธเจ้า ผู้ได้ศึกษานานาลัทธิคำสอ นซึ่งมีอยู่ในสมัยนั้นอย่างเชี่ยวชาญทะลุปรุโปร่ง จะได้ออกมาประกาศประสบการณ์คำสอน ซึ่งพระองค์ได้ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า ถูกต้องถ่องแท้และสมเหตุสมผลเป็นที่สุด พระองค์ได้ทรงวิพากษ์และโจมตีวัตรปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. คำอวดอ้างอันไม่สมควรและไร้เหตุผลของพราหมณ์
    ๒. ประสิทธิภาพการบูชายัญด้วยชีวิตสัตว์ เพื่อสร้างความพอใจให้แก่ทวยเทพ และบันดาลความผาสุกแก่มวลมนุษย์
    ๓. อภิสิทธิ์และความเคร่งครัดในชีวิตประจำวัน โดยปราศจากเหตุผลของศาสนาพราหมณ์
    คำสอนเชิงวิพากษ์และการโจมตีของพระพุทธเจ้า คงจะเป็นที่พอใจของคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่เห็นด้วยกับระบบสังคมในยุคนั้น ในสายตาของประชาชนเหล่านี้ พระพุทธองค์คือวีรบุรุษของนักคิดใหม่ ผู้เปิดเผยความไม่ถูกต้องของระบบศาสนา ที่เป็นพันธนาการรัดตรึงพวกเขามาเป็นเวลานับได้ร้อย ๆ ปี คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “จงเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง” (อตฺตทีโป อตฺตสรโณ อนญฺสรโณ) เป็นการเปิดตาให้แสงสว่างแก่คนเป็นจำนวนมาก พระองค์ได้ทรงสอนว่า มนุษย์ทุกคนเป็นผลแห่งกระทำ (กรรม) ของตนเอง การกราบไหว้วิงวอนพระเจ้าหรือแม้แต่พระพุทธเจ้า จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น พระองค์ทรงสอนว่าพราหมณ์หรือพระภิกษุเป็นแต่เพียงผู้นำทางจิตวิญญาณเท่านั้น หาใช่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับความหลุดพ้นไม่ วิมุตติภาพหรือการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ (การเวียนเกิดเวียนตาย) ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามและความรู้แจ้งของแต่ละบุคคล มิใช่ขึ้นกับผู้ยิ่งใหญ่ใด ๆ มิใช่ขึ้นกับครู อาจารย์ เทพเจ้าหรือแม้แต่พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนว่า “จงพากเพียรเพื่อความหลุดพ้นของตนเองด้วยความไม่ประมาทเถิด”
    [SIZE=+1][​IMG] [/SIZE][SIZE=+1]คำสอนที่เป็นหลัก[/SIZE]
    [SIZE=+1]เริ่มแรก[/SIZE]พระพุทธเจ้าทรงสอนสานุศิษย์ของพระองค์ซึ่งถูกครอบงำด้วยอวิชชา คือความไม่รู้ มิให้ลุ่มหลงเสียเวลาด้วยการถกเถียงถึงปัญหาที่ไร้ประโยชน์ เช่น คนเรามาจากไหน ตายแล้วจะไปยังที่ใด ฯลฯ ทว่า พระองค์ทรงสอนให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าแห่งความบริสุทธิ์ทางกาย วาจา และใจ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ให้ตระหนักถึงคุณค่าแห่งศีล สมาธิ และปัญญา พระองค์ทรงย้ำถึงประโยชน์แห่งการศึกษาและภาวนา อันจะนำไปสู่การรู้แจ้งแห่งสภาวะอันแท้จริงของธรรมชาติ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
    คำสอนของพระพุทธองค์ที่มีชื่อในภาษาบาลีว่า “ปฏิจฺจสมุปฺบาท” (กฎแห่งธรรมที่ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น) เป็นที่ประทับใจแก่ปัญญาชน เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และปัญญาชนทุกเพศทุกวัยจำนวนมาก ปฏิจจสมุปบาทสอนให้รู้ว่า สิ่งทั้งหลายในโลกอาศัยกันและกันจึงเกิดมีขึ้น ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง และไม่มีสิ่งใดที่มีคุณสมบัติถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวของมัน (อนัตตา) ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาพไหลเลื่อนแปรเปลี่ยนอยู่ทุกขณะและตลอดเวลา นิพพานเท่านั้นที่ไม่มีการแปรเปลี่ยน ไม่ขึ้นอยู่กับกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท (อปฏิจฺจสมุปฺปนฺน) ไม่มีการปรุงแต่ง (อสังขตะ) ไม่มีการเกิด (อชาติ) ไม่มีการเสื่อมสลายหรือตาย (อมต)
    มนุษย์จะรู้แจ้งในสัจจะนี้ได้ด้วยตนเองและเฉพาะตัว ไม่มีผู้ใดอื่นจะสามารถช่วยให้เขารู้แจ้งได้ อีกทั้งมนุษย์จะบรรลุสัจจะนี้ได้ก็ด้วยการประพฤติดีปฏิบัติชอบตามคำสอนแห่งอริยสัจ ๔ และมรรค ๘ กล่าวโดยย่อก็คือ มนุษย์ต้องมีความสมบูรณ์ในเรื่องศีล สมาธิ และปัญญา จึงจะมีดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ)
    พระพุทธองค์มิได้ทรงแตะต้องความเชื่อถือของพราหมณ์ซึ่งมีมาแต่โบราณกาล เป็นต้นว่า ความเชื่อถือในเรื่องพระพรหมผู้สร้างโลก ฯลฯ แต่พระองค์ทรงย้ำว่า ความรู้หรือความเชื่อถือประเภทนี้ ไม่อำนวยประโยชน์อันใดในการที่จะช่วยให้คนพ้นทุกข์อันเนื่องมาจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย (สังสารวัฏ) พระองค์ทรงสอนว่าสัจจะหรือความจริงเป็นสิ่งที่ภาษามนุษย์ไม่สามารถจะให้อรรถาธิบายได้ เพราะฉะนั้น สถานบท (Premise) ใด ๆ ในตรรกศาสตร์ (Logic) จึงไม่สามารถจะนำมาใช้กับสัจจะได้
    พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เป็นที่จับจิตจับใจปัญญาชนชาวชมพูทวีปในสมัยนั้นมาก
    [SIZE=+1][​IMG] [/SIZE][SIZE=+1]บุคลิกภาพของพระพุทธองค์และเหล่าสาวก[/SIZE]
    [SIZE=+1]มูลเหตุประการที่สอง[/SIZE] ซึ่งส่งเสริมให้พุทธศาสนาเจริญและแผ่ไพศาลไปอย่างรวดเร็ว ได้แก่ บุคลิกภาพของพระองค์และเหล่าสาวก ความทันสมัยและสมเหตุสมผลของพุทธศาสนา เป็นที่ดึงดูดความสนใจของปัญญาชนในสมัยนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนที่มีชื่อเสียงในวรรณะพราหมณ์และวรรณะกษัตริย์ เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระมหากัจจายนะ และอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก
    บรรดาสาวกผู้เต็มไปด้วยความรู้ความสามารถ อีกทั้งมีบุคลิกภาพและจริยวัตรดีเด่นดังกล่าวมานี้ เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้พุทธศาสนาหยั่งรากลึก และเผยแผ่ไปอย่างกว้างไกลในดินแดนชมพูทวีป
    สาวกของพระพุทธองค์ที่ได้กล่าวนามมาข้างต้น ต่างก็เชี่ยวชาญในวิชาการต่าง ๆ ทางพุทธศาสตร์ เช่น
    พระสารีบุตร ได้รับการยกย่องเป็นธรรมเสนาบดี มีปัญญามาก เป็นอัครสาวกฝ่ายขวา และเป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนา
    พระโมคคัลลานะ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์มาก
    พระมหากัสสปะ เป็นผู้มีปฏิปทามักน้อย สันโดษ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางถือธุดงค์ (องค์คุณเครื่องกำจัดกิเลส) หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระมหากัสสปะได้เป็นผู้ริเริ่มและเป็นประธานในปฐมสังคายนา (การประชุมตรวจชำระสอบทาน และจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
    พระมหากัจจายนะ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางขยายความคำย่อให้พิสดาร ว่ากันว่าพระมหากัจจายนะมีรูปร่างสวยงาม ผิวพรรณดังทองคำ
    พระสาวกของพระพุทธเจ้าที่ได้กล่าวนามมานี้ ต่างได้อุทิศสติปัญญาความสามารถในการเผยแผ่พุทธธรรม และได้ดึงดูดสาธุชนจำนวนมากในวรรณะสูง ตลอดจนผู้มีฐานะร่ำรวยได้ชื่อว่า “เสฏฐี” และแม้แต่ปริพาชก (นักบวชผู้ชายนอกพระพุทธศาสนา) ให้หันมานับถือพุทธศาสนา
    บุคลิกภาพและศักดิ์ศรีของพระพุทธองค์ในฐานะที่ทรงเป็นนักบวช (สมณะ) และปรัชญาเมธีผู้เปรื่องปราด ได้ดึงดูดความสนใจของท้าวพญามหากษัตริย์ซึ่งครองราชย์และมีอำนาจในชมพูทวีปในสมัยนั้น บรรดาชนชั้นนำเหล่านั้น เช่น พระเจ้าพิมพิสารและหมอชีวกโกมารภัจจ์แห่งแคว้นมคธ พระเจ้าปเสนทิ อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี และนางวิสาขามหาเศรษฐีนีแห่งนครสาวัตถี แคว้นโกศล อีกทั้งอัมพปลี หญิงงามเมืองแห่งนครเวสาลี ต่างได้สร้างวัดวาอารามถวายพระพุทธเจ้า ตลอดจนเหล่าภิกษุสงฆ์สาวกของพระองค์อย่างมากมาย ซึ่งในปัจจุบันซากเศษสิ่งปรักหักพังของอาคารสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ยังมีปรากฏให้เราอนุชนรุ่นหลังได้เห็นเป็นสักขีพยาน
    [SIZE=+1][​IMG] [/SIZE][SIZE=+1]ราชูปถัมภ์กับพระพุทธศาสนา[/SIZE]
    [SIZE=+1]ประวัติศาสตร์[/SIZE]ชี้ให้เราเห็นว่า ความเจริญและความเสื่อมของพุทธศาสนานั้น ขึ้นอยู่กับความอุปถัมภ์ หรือการขาดความอุปถัมภ์จากราชามหากษัตริย์ เป็นสำคัญ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง แต่ในสมัยทายาทของพระเจ้าอโศกในยุคต่อมา พุทธศาสนาถึงแก่ความอับเฉา ครั้นต่อมาในยุคของกษัตริย์เชื้อสายอินเดียผสมแบคเทรีย (Indo-Bactria) ได้แก่ Menander (พระเจ้ามิลินท์ ในคัมภีร์พุทธศาสนา) และในยุคของกษัตริย์อินเดียผสม Scythia ได้แก่ พระเจ้ากนิษกะ พุทธศาสนารุ่งเรืองขึ้นอีก
    ต่อจากนี้ พุทธศาสนาตกอยู่ในสภาพอับเฉาจนกระทั่งถึงสมัยกษัตริย์ศักราทิตย์ พุทธคุปตะ และหรรษวรรธนะ พุทธศาสนาจึงกลับมีพลังวังชาขึ้นใหม่ ในสมัยราชวงศ์ปาละ (คริสต์ศตวรรษที่ ๘-๑๒) พุทธศาสนาในรูปแบบและวัตรปฏิบัติของลัทธิ “ตันตระ” และ “วัชรยาน” มีอิทธิพลไพศาลในชมพูทวีป โดยเฉพาะในแคว้นเบงกอล แต่เป็นพลังที่วิปริตผิดแปลกไปจากคำสอนเดิมของพระพุทธองค์อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ และในที่สุดความวิปริตนี้ได้กลายเป็นมูลเหตุสำคัญ ที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมสลายไปจากดินแดนที่เกิดของตน ดังเราจะได้ศึกษากันต่อไป
    จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในชมพูทวีปนั้น เกิดจากการอุปถัมภ์ของราชามหากษัตริย์และชนชั้นสูงเป็นปัจจัยประการสำคัญ แม้ในประเทศอื่นที่พุทธศาสนาแผ่ไปถึง เช่น พม่า ศรีลังกา จีน ทิเบต และไทย ก็มีสภาพคล้ายคลึงกัน

    [SIZE=+1][​IMG] [/SIZE][SIZE=+1]การอุบัติของมหายาน[/SIZE]
    [SIZE=+1]การอุบัติ[/SIZE]ของพุทธศาสนานิกาย “มหายาน” ถือกันว่าเป็นวิวัฒนาการที่กว้างไกล และมีความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา
    ความคิดความเชื่อหลักของมหายานที่ว่า “พระโพธิสัตว์คือสัญลักษณ์ของความเมตตากรุณา อันสัตว์โลกทั้งผองพึงบำเพ็ญและปฏิบัติต่อกัน” นั้น เป็นความคิดความเชื่อที่จูงใจ และครองใจคน ไม่เฉพาะในอินเดียเท่านั้น ทว่าในทวีปเอเชียทั้งหมดเลยก็ว่าได้ พุทธศาสนาแบบ “เถรวาท” หรือ “หินยาน” ได้เจริญแพร่หลายไปยังเอเชียตะวันตก (ตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าอโศก) แต่ต่อมาพุทธศาสนาแบบมหายาน ได้เข้าไปครองแทนที่ และได้แผ่ขยายไปถึงทิเบต จีน มองโกเลีย เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม ฯลฯ
    คำสอนและอุดมการณ์ของมหายานตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเชื่อในองค์พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ (ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) อีกทั้งเทพและเทพีหลายองค์ เช่น อมิตาภะ อวโลกิเตศวร หรือปัทมปาณิ มัญชุศรี สมันตภัทรหรือจักรปาณิ อักโษภัย ไวโรจน รัตนสมภพ อโมฆสิทธิ มหาสถามไมเตรยะหรืออริยเมตไตรย์ ไภษัชราช อากาศครภ วัชรปาณิ ตารามารีจี ฯลฯ
    อันที่จริงแล้วพระนามของพระโพธิสัตว์เหล่านี้เป็นนามธรรมของคุณสมบัติ เช่น อวโลกิเตศวร เป็นนามธรรมของความเมตตากรุณา มัญชุศรี เป็นนามธรรมของสติปัญญา ฯลฯ แต่ก็เช่นเดียวกับคำสอนในศาสนาทั้งหลาย เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป ผู้คนพากันหลงลืมนามธรรม แต่กลับไปยึดมั่นในรูปธรรม กล่าวคือไม่นำพาต่อคุณสมบัติ เช่น ความเมตตากรุณา ทว่าไปยึดมั่นในรูปสมบัติ เช่น อวโลกิเตศวร คือความเมตตากรุณา แต่ได้รับการสมมติให้มีตัวตนเป็นพระโพธิสัตว์ มีฐานะเท่ากับเทพเจ้าองค์หนึ่ง และเมื่อเป็นเทพเจ้าก็ต้องได้รับการบูชากราบไหว้ เซ่นสรวงเอาใจเหมือนเทพเจ้าทั่วไป ด้วยเหตุนี้จึงมีการรจนาบทกราบไหว้สดุดีที่มีชื่อในภาษาสันสกฤต (พุทธศาสนานิกายมหายาน ใช้ภาษาสันสกฤตแทนภาษาบาลี ซึ่งใช้ในนิกายเถรวาทหรือหินยาน) ว่า สฺโตตฺร บ้าง ธารณี บ้าง สฺตวและมนฺตร (มนตร์) บ้าง พร้อมกันนั้นก็มีการกำหนดพิธีกรรมต่าง ๆ ตามฐานานุรูปของเทพเจ้า และนี่คือที่มาของ “คาถา” หรือ “มนตร์” (คำเป่าเสกที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์) เช่น “โอม มณี ปทฺเม หุมฺ” (โอมดวงแก้วเกิดในดอกบัว) ของชาวพุทธทิเบต หรือ “นโม โฮ เรง เก โกยฺ” ของชาวพุทธญี่ปุ่น (นิกายนิจิเรน) ฯลฯ มหายานเชื่อว่า ด้วยการท่องบ่น “คาถา” หรือ “มนตร์” อันศักดิ์สิทธิ์สั้น ๆ เช่นนี้ มนุษย์จะบรรลุความหลุดพ้นจากการเวียนเกิดเวียนตาย (นิพพาน) ได้
    เมื่อเทพเจ้าทั้งชายหญิงเกิดขึ้นมากมายพร้อมกับพิธีกรรมเซ่นสรวงอันละเมียดละไมเช่นนี้ บรรดาสมณะหรือภิกษุสงฆ์ก็พากันหันมาสนใจในการประกอบพิธีกรรมเหล่านี้มากยิ่งขึ้น จนการศึกษาพระธรรมวินัย ตลอดจนการบำเพ็ญศีลภาวนาหย่อนยานลงไปเป็นเงาตามตัว เราต้องไม่ลืมว่า การประกอบพิธีกรรมเซ่นสรวงนานาชนิดนั้น นำมาซึ่งลาภสักการะอย่างมากและง่ายดาย
    ด้วยประการฉะนี้ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๔ ถึงที่ ๗ พุทธศาสนาในอินเดียจึงกลายเป็นศาสนาแห่งพิธีกรรม แทนที่จะเป็นศานาแห่งการค้นคว้าทางปัญญาและเหตุผล อันเป็นวัตถุประสงค์ และเป้าหมายเดิม ของพระโคดมพระพุทธเจ้า หลวงจีนฮวนฉ่าง (หรือยวนจ่าง) นักจาริกแสวงบุญจากประเทศจีน ผู้เดินทางไปสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย ใน ค.ศ. ๖๒๙ ในรัชสมัยพระเจ้าหรรษวรรธนะ ซึ่งครองราชย์อยู่ ณ นครอุชไชน (Ujjain) ได้บันทึกไว้ในรายงานการเดินทางของท่านเกี่ยวกับพิธีกรรมทางมหายานอย่างใหญ่หลวง เช่นเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราชทรงทะนุบำรุงพุทธศาสนานิกายเถรวาทก่อนหน้านั้น และนี้เองเป็นเหตุให้พุทธศาสนานิกายมหายานรุ่งเรือง และแผ่ไพศาลอย่างกว้างไกล ในอินเดีย ในยุคหลังจากพระเจ้าอโศกมหาราช
    [SIZE=+1][​IMG] [/SIZE][SIZE=+1]สาเหตุแห่งการเสื่อมของพุทธศาสนาในอินเดีย[/SIZE]
    ป[SIZE=+1]ระวัติศาสตร์[/SIZE]ให้บทเรียนว่า สถาบันหรือขนบธรรมเนียมใด ๆ ก็ตามซึ่งในระยะเริ่มต้น อาจจะมีคุณูปการหรือประโยชน์ต่อสังคม แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป หากสถาบันหรือขนบธรรมเนียมนั้น ๆ ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับกาละเทศะ สถาบันหรือขนบธรรมเนียมดังกล่าว อาจกลายเป็นอุปสรรคสิ่งขัดขวางต่อการเจริญก้าวหน้าของสังคมนั้นได้
    ความจริงข้อนี้ ประวัติศาสตร์มีนิทัศน์อุทาหรณ์ให้เห็นอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่น การแบ่งอาชีพกันทำเพื่อทักษะและความชำนาญ (การแบ่งคนออกเป็นวรรณะในสังคมอินเดียโบราณ) การประกอบพิธีทางศาสนา การเชื่อถือพระเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) ของชาวกรีกโรมันและชาวอียิปต์โบราณ การยกย่องระบบกษัตริย์ให้เป็นสมมติเทพ การเสกคาถาอาคมและปลุกผีสางเทวดา พฤติกรรมเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสังคมในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป พฤติกรรมดังกล่าวกลับเป็นอุปสรรคสิ่งกีดขวาง ที่กล่าวมานี้ฉันใด พิธีกรรมและวัตรปฏิบัติทางศาสนาจำนวนไม่น้อย ก็น่าจะนำมาเปรียบเทียบได้ฉันนั้น

    [SIZE=+1][​IMG] [/SIZE][SIZE=+1]การแยกตนไปดำรงชีวิตต่างหากของสงฆ์[/SIZE]
    [SIZE=+1]ในกรณี[/SIZE]ของพุทธศาสนานั้น การแยกตนไปดำรงชีวิตต่างหากของสงฆ์ เป็นเหตุสำคัญประการหนึ่ง แห่งการอ่อนกำลังของพุทธศาสนา
    จริงอยู่ในระยะแรก ๆ แห่งการก่อตั้ง การที่สงฆ์แยกจากสังคมคฤหัสถ์ไปดำเนินชีวิตต่างหาก เป็นการรักษาความมีระเบียบ ความบริสุทธิ์ผ่องใส และเป็นการส่งเสริมการศึกษาและความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป สงฆ์ได้หลงลืมวัตถุประสงค์เดิมตามคำสอนของพุทธองค์ สงฆ์หันไปหมกมุ่นอยู่กับกิจธุระส่วนตัวเป็นสำคัญ สงฆ์ทอดทิ้งไม่ดูแลการศึกษา และให้การอบรมด้านศีลธรรม และสติปัญญาแก่ประชาชน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ในระยะแรก ๆ แห่งการก่อตั้งสงฆ์โดยพุทธานุมัตินั้น สงฆ์ได้บำเพ็ญกรณียกิจ ในฐานะเป็นผู้ให้การศึกษา ฝึกอบรมศีลธรรม และพัฒนาจิตวิญญาณ แก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง แต่ในกาลเวลาต่อมาอุดมการณ์ด้านนี้ของสงฆ์ได้เลือนลางจางหายไป
    พุทธศาสนามีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อพัฒนาการด้านวัฒนธรรมของอินเดีย และของหลายประเทศในทวีปเอเชีย พุทธศาสนาเป็นพลังดลใจในศิลปศาสตร์นานาแขนงทั่วเอเชีย แต่ในประเทศอินเดียเองด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว พุทธศาสนาได้สูญเสียฐานะความเป็นผู้นำทางศาสนา ไปอย่างน่าเสียดาย สัมฤทธิผลของศาสนาใดศาสนาหนึ่งนั้น ขึ้นอยู่กับประชาชนผู้เป็นบริษัทบริวารของศาสนานั้นด้วย
    ศาสนาชิน (Jain) ซึ่งมีคำสอนและวัตรปฏิบัติคล้ายคลึงกับพุทธศาสนาอยู่หลายอย่างหลายประการ มีการจัดตั้งในสังคมฆราวาส (คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักบวช) ด้วยเหตุนี้ ศาสนาชินจึงยังคงดำรงสถานะเป็นศาสนาหนึ่ง ในประเทศอินเดียได้ตราบจนทุกวันนี้ ศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดูก็เช่นเดียวกัน กล่าวคือ สังคมฆราวาสกับสังคมนักบวชหาได้แยกกันไม่ ทั้งสองเกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่น
    พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดในอินเดียศาสนาเดียวที่ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติทางสังคม พุทธศาสนาไม่มีบทบัญญัติเป็นกิจจะลักษณะในเรื่องเกี่ยวกับการเกิด การตาย หรือการแต่งงานของพุทธศาสนิกชน พุทธศาสนาให้เสรีภาพในกิจกรรมเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ โดยถือว่าเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในอินเดียก็คือ มหาเศรษฐีอนาถบิณฑิก ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากคนสำคัญแห่งนครสาวัตถี ได้ยกธิดาคนหัวปีชื่อมหาสุภัททา ให้แก่คหบดีแห่งเมืองอุคคนครผู้นับถือศาสนาชิน (ในภาษาบาลีมีชื่อว่า นิคัณฐนาถปุตตะ)
    ความมีใจกว้างหรือการให้เสรีภาพแก่ศาสนิกเช่นนี้ ในทัศนะของปราชญ์บางท่าน (เช่น นายนลินากฺษ ทัตต) เห็นว่า แม้ในระยะเริ่มแรกแห่งการก่อตั้งและเผยแผ่จะเป็นผลดีแก่พุทธศาสนา แต่ในกาลไกลแล้วเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ เพราะทำให้วัตรปฏิบัติของศาสนิกหย่อนยาน เปิดโอกาสให้ผู้มีทัศนะและความเชื่อถือแปลกแยกเข้าไปปะปนและบ่อนทำลายเอกภาพ
    [SIZE=+1][​IMG] [/SIZE][SIZE=+1]การวางตนไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคมของพุทธศาสนา[/SIZE]
    [SIZE=+1]การวางตน[/SIZE]ไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคม ของพุทธศาสนา ในระยะเริ่มแรกนั้น เป็นการส่งเสริมให้พุทธศาสนา เจริญแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะประชาชนมีความพอใจที่พุทธศาสนาให้เสรีภาพ ไม่แทรกแซงเปลี่ยนแปลงหรือเลิกล้มจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมาแต่เดิม
    พระพุทธองค์เป็นปัญญาชน เป็นนักคิด พระองค์มาจากราชตระกูลที่ดำรงอยู่ในจารีตประเพณี ตลอดจนความเชื่อถือตามระบบของสังคมอันมีพราหมณ์เป็นผู้นำมาแต่โบราณกาล ในฐานะที่เป็นปัญญาชน นักคิด พระองค์ทรงสะท้อนพระทัยเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็น “นิมิต ๔” มี คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช อันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงโทมนัสถึงกับตัดสินพระทัยออกบรรพชา ทั้งนี้เพื่อทรงค้นหาวิธีที่คนเราจะได้พบอิสระจากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยเหตุนี้แม้เมื่อทรงบรรพชาแล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงข้องเกี่ยวกับความเชื่อถือหรือจารีตประเพณีของสังคม พระองค์ทรงปล่อยให้ความเชื่อถือหรือวัตรปฏิบัตรเหล่านี้เป็นไปตามสภาพเดิม พระองค์ทรงมุ่งมั่นอยู่กับการค้นหา “สัจธรรม” ที่ทำอย่างไรคนเราจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ในคำสอนของพระองค์ที่มีปรากฏในพระสูตรต่าง ๆ พระองค์ได้ทรงห้ามมิให้เวไนยยนิกรเสียเวลาถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์หรือคาดคะเนในเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น (นิพพาน) เช่น ความเห็นที่ยึดเอาที่สุด ๑๐ ประการ (อันตคาหิกทิฏฐิ) ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย เป็นต้น
    นายนลินากฺษ ทัตต ปราชญ์ชาวอินเดียผู้รจนาตำราหลายเล่มเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอินเดีย ได้เขียนแสดงความเห็นไว้ว่า การวางตนไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการทางสังคมของพุทธศาสนาในอินเดียในระยะแรก ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พระพุทธองค์และสานุศิษย์ผู้ปรีชาญาณของพระองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น เป็นผลดีแก่การเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างแน่นอน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป และเมื่อไม่มีพระพุทธองค์ตลอดจนสานุศิษย์ผู้ปรีชาญาณเป็นผู้นำและให้แสงสว่าง ลัทธิความเชื่อตลอดจนพิธีกรรมเก่า ๆ ของพราหมณ์ซึ่งมีมาแต่โบราณกาล จึงกลับฟื้นคืนชีพขึ้นอีก
    ด้วยเหตุนี้ภายในระยะเวลามิช้ามินานหลังจากพุทธปรินิพพาน และหลังจากอัครสาวกองค์สำคัญ ๆ ผู้เปรื่องปราดได้ล่วงลับไปแล้ว ประชาชนต่างก็เริ่มลืมเลือนสารัตถะแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า และต่างกลับไม่เชื่อถือและประพฤติปฏิบัติตามลัทธิคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ต่างกลับไปเชื่อถือและประพฤติปฏิบัติตามลัทธิคำสอนของพราหมณ์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงคัดค้านและต้องการเปลี่ยนแปลงตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ กล่าวโดยย่อก็คือ แก่นแห่งศาสนาพุทธ ได้ถูกกระพี้แห่งศาสนาพราหมณ์ ปกปิด หรือบดบังไว้ อย่างแทบจะมองไม่เห็น โดยเฉพาะจากสามัญชนคนธรรมดา
    พฤติการณ์ทำนองเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศอื่นที่พุทธศาสนาได้แผ่ไปถึง เช่นในประเทศจีน ทิเบต เนปาล พม่า สยาม ลังกา ญี่ปุ่น ตลอดจนเกาหลี มองโกเลีย และอินโดนีเซีย ในทุกประเทศที่ได้กล่าวนามมานี้ เป็นความจริงที่พุทธศาสนาได้เข้าไปประดิษฐานอยู่เป็นเวลาช้านาน ทั้งได้รับความเทิดทูนสักการะอย่างสูงจากประชาชน แต่ในขณะเดียวกันอิทธิพลของวัฒนธรรม ตลอดจนลัทธิความเชื่อถือ เดิมของท้องถิ่นก็ได้เข้าไปผสมผสานปนเปกับ คำสอนอันแท้จริงของพุทธศาสนา อย่างแทบจะแยกกันไม่ออก
    กล่าวโดยย่อก็คือ “ปรมัตถธรรม” ที่พระโคดมพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ ได้เลือนลางจางหายจนแทบจะสูญความหมาย ในอินเดีย โดยเฉพาะแล้ว ภายในระยะเวลาไม่กี่ร้อยปีหลังจากพุทธศาสนา แม้ในถิ่นที่พุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองที่สุดมาแล้ว เช่นในรัฐพิหาร อุตรประเทศ และเบงกอล ก็ตาม

    [SIZE=+1][​IMG] [/SIZE][SIZE=+1]ความตกต่ำทางภูมิปัญญาของสงฆ์[/SIZE]
    [SIZE=+1]สาเหตุ[/SIZE]อีกประการหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมอิทธิพลน่าจะได้แก่ ความตกต่ำทางภูมิปัญญาของบุคคลที่เข้ามาเป็นสมาชิกในคณะภิกษุสงฆ์ ตราบใดที่คณะสงฆ์มีสมาชิกที่ทรงความรู้ความสามารถ เป็นประทีปทางปัญญาให้แก่ปวงชน ตราบนั้นพุทธศาสนาก็อยู่ในฐานะสูงส่ง มีราชามหากษัตริย์ตลอดจนประชาชนคนธรรมดาประกาศตน เป็นสมาชิกมากมาย แต่หลังจากพุทธปรินิพพานไม่นานก็ปรากฏตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ได้มีความหย่อนยานเกิดขึ้นทั้งในทางระดับภูมิปัญญา และในวัตรปฏิบัติของสงฆ์ จนต้องมีการสังคายนากันเป็นระยะ ๆ ตลอดมา
    ในอินเดียสมัยโบราณมีการโต้วาที (ศาสตรารฺถ) กันในเรื่องของศาสนาที่เป็นสาธารณะ โดยเปิดให้ประชาชนทุกลัทธิความเชื่อถือเข้าฟังได้ ผลของการโต้วาทีมีอิทธิพลของความเชื่อของคนในยุคนั้นมาก ปรากฏว่าในการโต้วาทีเหล่านั้น ปราชญ์ฝ่ายพราหมณ์-ฮินดู เช่น ท่านกุมาริละ และท่านศังกราจารย์ ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้พิชิต” ปราชญ์ฝ่ายพุทธ
    [SIZE=+1][​IMG] [/SIZE][SIZE=+1]การปรากฏของลัทธิตันตระ[/SIZE]
    [SIZE=+1]ลัทธิตันตระ[/SIZE]เป็นวิวัฒนาการขั้นต่อมาของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งได้กล่าวถึงมาบ้างแล้วในตอนต้น
    เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก มีอาทิในประเทศอินเดีย อียิปต์ ประเทศจีนยุคกลาง ในตะวันออกกลาง ยุโรป สหรัฐอเมริกา (ล่าสุดในญี่ปุ่น ได้แก่กรณีโอมชินริเกียว - Aum Shinrikyo ซึ่งได้สร้างความหายนะทั้งในชีวิตและทรัพย์สินแก่ชาวญี่ปุ่นอย่างมหาศาล) ชี้ให้เราเห็นว่า ความเชื่อลัทธิทางศาสนานั้น มีอิทธิพลอย่างมากมายต่อพฤติกรรมในชีวิตของมนุษย์ พิธีกรรมหรือวัตรปฏิบัติ อันเกิดจากความเชื่อทางศาสนามากมายหลายกรณี ซึ่งแรกเริ่มเดิมที เกิดจากเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์อันดีงาม เป็นบุญกุศล แต่พอกาลเวลาล่วงเลยไป กิเลสของคนกลับแปรเปลี่ยนให้พิธีกรรมหรือ วัตรปฏิบัติเหล่านั้น หันเหไปในทางที่เลวทรามต่ำช้าสุดที่จะพรรณา
    อุปมาที่กล่าวมานี้ฉันใด อุปไมยก็ได้แก่ลัทธิตันตระ อันเป็น วิวัฒนาการขั้นต่อมาในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
    อาจกล่าวได้ว่า ตันตระเป็นลัทธิความเชื่อและวัตรปฏิบัติที่นำ พุทธศาสนาไปสู่ความหายนะขั้นสุดท้ายในประเทศอินเดีย
    ตันตระประกอบด้วยคำสอนหลัก ๕ ประการ ที่มีชื่อว่า “๕ ม” มี (๑) มัทยะ - เหล้า (๒) มางสะ - เนื้อ (๓) มัตสยะ - ปลา (๔) มุทรา - ท่าทาง (๕) ไมถุน - การเสพสังวาส
    ผู้ที่เชื่อในหลักคำสอนของตันตระจะต้องใช้ “๕ ม” นี้ประกอบ การบูชากราบไหว้
    เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการที่จะเข้าใจว่าตันตระคือ อะไร และทำไมพุทธศาสนาในอินเดียจึงถึงซึ่งกาลอวสานด้วยตันตระ
    สมองของมนุษย์นั้นว่ากันว่าเป็นเลิศประเสริฐสุดในบรรดาสัตว์ ทุกชนิดที่มีให้เห็นในโลก แต่ประวัติศาสตร์ก็มีนิทัศน์อุทาหรณ์ให้เราต้องยอมรับและเชื่อว่า ก็สมองของมนุษย์นี่แหละที่ได้สร้างความชั่วช้าสามานย์ ตลอดจนความพินาศวอดวายที่เลวร้ายที่สุดให้แก่มนุษย์
    ทุกวันนี้ “ตันตระ” ก็ยังมีให้เห็นทั่ว ๆ ไปในโลก (รวมทั้งในเมืองไทยด้วย)
    อาจจะมีท่านผู้อ่านอยากจะทราบว่าลัทธิตันตระชั่วร้ายอย่างไร ถึงกับทำให้พุทธศาสนาปลาสนาการไปจากอินเดียอันเป็นดินแดนถิ่นที่เกิด ผู้เขียนก็ขอตอบโดยสังเขปที่สุดว่า
    ตันตระนั้นหรือคือลัทธิที่สอนให้คนเชื่อในเวทย์มนต์คาถาอาคม การทรงเจ้าเข้าผี ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมอยู่ในไสยศาสตร์ ไสยเวท อันมีกำเนิดจากคัมภีร์อาถรรพเวทของพราหมณ์ และอยู่นอกเหนือวิสัย ของปุถุชนคนธรรมดา
    อาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๘ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ ชาวอินเดียทั้งประเทศซึ่งเดิมเคยนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ ต่างก็ตกอยู่ในความครอบงำของลัทธิตันตระอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งนี้ไม่เฉพาะแต่สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้น หากชนชั้นสูงรวมทั้งชนชั้นผู้ปกครองด้วยก็เช่นเดียวกัน
    [SIZE=+1][​IMG] [/SIZE][SIZE=+1]ชาวพุทธถูกรุกรานประหัตประหาร[/SIZE]
    [SIZE=+1]อิสลาม[/SIZE]ในฐานะเป็นกำลังสำคัญทั้งในทางการเมืองและการศาสนา ได้แผ่เข้าไปในอินเดียทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โดยเริ่มตั้งแต่ตอนต้น ของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ และภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี ก็สามารถครอบครองดินแดนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกของอินเดียไว้แทบจะทั้งหมด และครองอยู่ได้เป็นเวลาหลายร้อยปีต่อมา
    การที่อิสลามเข้าไปมีอำนาจทางอาณาจักรและศาสนจักรในอินเดียเป็นเวลาหลายร้อยปี ทำให้อิทธิพลของวัฒนธรรมอิสลามแผ่กระจาย และคลุมครอบชีวิตของชาวอินเดียอย่างลุ่มลึกและกว้างไกล ซึ่งอิทธิพลนี้ยังมีให้เห็นตราบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะในอินเดียภาคเหนือ
    ในส่วนที่เกี่ยวกับพุทธศาสนานั้น อาจกล่าวได้ว่า การปรากฏตัวของอิสลามเป็นมรสุมลูกสุดท้ายที่กระหน่ำให้ “พุทธนาวา” ลำนี้ก็อยู่ในสภาพ “ชำรุด” เต็มประดา ด้วยท้องนาวาถูกแมงกระพรุนตันตระกัดกิน เป็นรูรั่วน้ำไหลเข้าได้ จวนเจียนจะพลิกคว่ำอยู่แล้ว แต่ “มรสุม” ลูกสุดท้ายที่ทำให้พุทธศาสนาต้องพังพินาศไปจากแผ่นดินอินเดียนั้น แน่นอน คือ “อิสลาม”
    ผู้เขียนขอจบบทความนี้ด้วยการยืมเอาคำพรรณนาของ พระภิกษุ ดร.อานันท์ เกาศัลยายน พระอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ภาษาฮินดีให้แก่ผู้เขียนตั้งแต่ชั้น ก ข ค ซึ่งปรากฏในบทเขียนของท่านชื่อ “How India Lost Buddhism?” มาเสนอท่านผู้อ่านดังต่อไปนี้
    “ในขณะที่ความเสื่อมทางศีลธรรมและจิตใจกำลังมาสู่ประชาชาติอินเดียดังได้พรรณามานี้ การแบ่งแยกถือชั้นวรรณะตามศาสนาพราหมณ์ก็กระหน่ำทำให้ชีวิตสังคมอ่อนเปลี้ยลงอย่างที่สุด และในขณะที่ความ “เร้นลับ” ของลัทธิ “ตันตระ” กำลังทำให้สมองของประชาชนหมดสมรรถภาพอยู่นั้น กองทัพอันเกรียงไกรของมุสลิมก็เคลื่อนขบวนมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คล้ายกับมรสุมใหญ่ที่กำลังพัดมาเพื่อทำความสะอาดให้แก่สิ่งโสโครกทั้งหลาย บรรดาโบสถ์วิหารและทรัพย์สมบัติเครื่องบูชาอันมีค่ายวดยิ่ง ซึ่งสะสมกันไว้ตั้งร้อย ๆ ปี ได้ถูกทำลายพินาศลงด้วยน้ำมือของพวกรุกรานมุสลิม ปฏิมาของพระโพธิสัตว์และเทพยดา ทั้งหญิงชาย ได้ถูกเหวี่ยงลงจากแท่นบูชาและเผาผลาญไม่มีเหลือ ไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องศักดิ์สิทธิ์ สำหรับนักรบมุสลิมผู้กระหายอำนาจและทรัพย์สมบัติเหล่านี้ “มนตร์” และพิธีกรรมต่าง ๆ ทางลัทธิ “ตันตระ” ที่เชื่อกันว่า “ขลัง” ยิ่งนักนั้นปรากฏว่าไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ บรรดา “ผู้สำเร็จ” และ “อาจารย์” องค์สำคัญ ๆ ต่างพากันยืนมือเท้างอต่อหน้ากองทัพมุสลิม ในที่สุดขณะที่พวก “ตันตระ” กำลังประกอบพิธีกรรมและสวด “มนตร์” อยู่อย่างไม่ลืมหูลืมตา แผ่นดินทางอินเดียภาคเหนือก็ตกไปอยู่ในกำมือของมุสลิมอย่างราบคาบ”
    พระลามา “ตารานาถ” ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา” ของท่านว่า “บรรดาภิกษุสงฆ์เมื่อถูกฆ่าและถูกทำร้ายโดยพวกมุสลิมในศตวรรษที่ ๑๒ ต่างก็พากันหนีไปยังประเทศทิเบต และประเทศอื่น ๆ นอกอินเดีย เมื่อภิกษุสงฆ์ไม่มีเหลืออยู่ ทั้งโบสถ์วิหารก็ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น จิตใจของพวกฆราวาสพุทธมามกะ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ ผลก็คือ พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ได้สวามิภักดิ์ต่อพราหมณ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันทางเลือดเนื้อและวัฒนธรรมอยู่แล้ว พวกที่เหลืออยู่ก็หันไปนับถือหรือถูกบังคับให้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งมีอำนาจทางการเมืองอยู่ในเวลานั้น ด้วยประการฉะนี้เองที่พระพุทธศาสนาได้สูญหายไปจากอินเดีย ดินแดนที่เกิดของตน”.
     
  8. Siranya

    Siranya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    2,051
    ค่าพลัง:
    +9,004
    สังขารไม่เที่ยง
    "ความแน่นอน..คือความไม่แน่นอน
     
  9. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    ความจริงของชีวิต...............
    สังขาร อนิจจัง อนัตตา..........

    สุดท้ายชีวิตก็เท่านี้........
     

แชร์หน้านี้

Loading...