อานิสงค์การถวายพระไตรปิฎก...โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 14 มีนาคม 2008.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    วันหนึ่งท่าน พระสารีบุตร เวลานั้นชื่อ อุปติสสะ อาศัยที่ถวายพระไตรปิฎกไว้ในพุทธศาสนาเป็นเหตุให้เป็นผู้ที่มีปัญญาเลิศ ที่นี้ความเป็นผู้ที่มีปัญญาเลิศของสารีบุตรเมื่อเป็นอรหันต์แล้ว เราคิดว่าจะเป็นของไม่อัศจรรย์ เพราะว่าแก้วถ้าปราศจากละอองธุลีเข้ามาเบียดบังทำให้มันแปดเปื้อนมันก็ใส จิตของพระอรหันต์ ประกอบไปด้วยประกายคือหาอะไรเปื้อนไม่ได้ จึงเป็นผู้มีปัญญาเลิศเพราะเป็นพระอรหันต์
    นี่เราหลบกลับลงมาอีกครั้งหนึ่ง ตอนที่พระโมคคัลลาน์กับพระสารีบุตรยังเป็นลุกชาวบ้านอยู่ เราจะปัญญาของพระสารีบุตร ขณะที่ท่านทั้งสองไปดูมหรสพแล้วเกิดอารมณ์เศร้าใจ วันอื่นดีนั้นสบายใจ ดีใจ ร่าเริง ทั้งนี้เพราะดูๆ มหรสพก็นั่งคิดไปว่า
    เฮ้อ...คนดูมหรสพนี่ไม่ช้าก็ตายหมด พวกที่แสดงนี่ไม่ช้าก็ตายหมด แถมเราเองก็ต้องตายเสียด้วย ถ้าอย่างนั้นเราเกิดมาเพื่อตายอยู่ทำไมกัน เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด
    ท่านใคร่ครวญว่า
    ธรรมที่ทำให้คนที่เกิดมาแล้วตายไม่มี ก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นธรรมที่ทำให้คนเกิดแล้วไม่ตายได้<O:p</O:p
    หมายความว่าเมื่อมีมืดแล้วก็ต้องมีสว่างคู่กัน หรือ ทางพ้นแห่งความตาย ที่เรียกว่าโมกขธรรม
    ท่านทั้งสองตกลงใจกันว่า เราเปิดกันเถอะ ไปหาโมกขธรรม ธรรมที่เป็นเครื่องพ้นแห่งความตายดีกว่า จึงลาพ่อลาแม่ มีบริวารคนละ 250 เพราะเป็นลูกเศรษฐี ออกจากสำนักพ่อแม่ไป บริวารทั้งสองท่านรวมกันเป็น 500 หัวหน้าอีกทั้งสองคือตัวท่านเองเป็น 502 ท่านเข้าไปอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก ท่านสัญชัยปริพาชกก็สอนสุดกำลัง ท่านทั้งสองก็เรียนเต็มที่ เพราะด้วยความมีปัญญาทั้งคู่ ปรากฏว่าในไม่ช้าท่านเรียนจบแล้วก็มีความฉลาดเก่งกาจ มาก ท่านสัญชัยปริพาชกก็ให้เป็นอาจารย์สอนแทน
    แต่ท่านทั้งสองนี่อาศัยที่มีบุญบารมีเต็มแล้ว ควรที่จะเป็นพระอรหันต์ จึงมานั่งพิจารณาความรู้ที่ได้จากสำนักนี้ยังไม่จบ จึงมาคำนึง พิจารณาว่าความรู้ที่ได้จากสำนักนี้ยังไม่พ้นจากความตาย ธรรมที่ดีกว่านี้ต้องมีอีก นี่เพราะดวงปัญญาของท่าน เดิมที่เคยถวายพระไตรปิฎกแก่พระ ท่านทั้งสองจึงตกลงกันว่า
    นี่เราช่วยกันแสวงหาโมกขกรรม ถ้าใครเจออาจารย์ดีกว่านี้ก็มาบอกกัน หรือใครไปพอธรรมในการค้นคว้าดีกว่านี้ล่ะก็กลับมาบอกกัน<O:p</O:p
    ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าบรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณเวลานั้นก็มีลูกศิษย์ปัญจวัคคีย์อยู่ 5 องค์ เมื่อทั้ง 5 องค์ ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งให้ไปประกาศพระพุทธศาสนา แต่มีเงื่อนไขว่า ไปแล้วอย่ารวมกันให้ไปคนละที่บังเอิญ พระอัสสชิมาสายนั้นพอดี ท่านก็บิณฑบาตใกล้ๆ แถวนั้น
    ต่อมาวันหนึ่งพระสารีบุตรเวลานั้นชื่ออุปติสสะ ท่านออกจากสำนัก ก็พอดีเห็นพระอัสสชิเดินออกบิณฑบาตผ่านไป เห็นลีลาท่าน ไม่ว่าจะเป็นเยื้องกราย ก้าวเท้าซ้ายแกว่งแขนขา อิริยาบถดูแล้วงามจริงๆ เป็นจริยานิ่มนวล ท่านในใจคิดว่า<O:p</O:p
    พระสมณะองค์นี้น่าเลื่อมใส เราอยากจะรู้นักว่าเป็นศิษย์ของใคร สำนักเรานี่มีลูกศิษย์เป็นพันเป็นหมื่น จริยานิ่มนวลในการสำรวมในการเดิน การทอดจักษุแบบนี้ไม่มี หากว่าจะถามเวลานี้ในคณะที่ท่านบิณฑบาตก็ไม่ควร <O:p</O:p
    นี่ดูความเป็นผู้มีปัญญา ท่านก็สำนึกต่อมันเป็นเวลาที่ไม่ควร เราควรจะถามในเวลาที่ท่านกลับ เห็นท่านเดินไปพระสารีบุตรก็นั่ง ตอนนั้นท่านยังเป็นปริพาชก ยังไม่เป็นพระสารีบุตร ชื่อเดิมอุปติสสะ ที่เรียกพระสารีบุตรก็เพราะว่าเดิมแม่ชื่อ สารี
    เวลาอัสสชิกลับมามาท่านก็ย่องเข้าไป ยกมือไหว้แล้วก็ถาม
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระคุณเจ้าเป็นลูกศิษย์ของใคร อยู่สำนักของใครชอบใจธรรมะของใคร อยู่สำนักของใครชอบใจธรรมของใคร ครูของท่านสอนว่าอย่างไร<O:p</O:p
    พระอัสสชิท่านเป็นพระอรหันต์รุ่นแรกซะด้วย นี่เขาของขลังแต่ความจริงพระอัสสชินี่เป็นอรหันต์สุกขวิปัสสโก จะจับกันได้ก็ตอนพระอัสสชินิพพาน ตอนนั้นเป็นโรคกระเพาะ ครางอ๋อยบ่นบอกให้พระไปตามพระพุทธเจ้ามาเพราะโรคเบียดเบียนมาก ท่านก็ยืนมองพระสารีบุตรปั๊บเดียวก็รู้ว่าจะต้องได้เป็นพระอรหันต์ เพราะอรหันต์จิตสะอาดมาก
    ท่านก็นึก ปริพาชกคนนี้ฉลาดมาก หากเราขืนพูดเดี่ยวจะถูกต้อนจนมุม ท่านเลยบอกเลย<O:p</O:p
    ปริพาชก เราเป็นผู้ใหม่ในพระพุทธศาสนา เราเป็นลูกศิลย์ของสมณโคดม ท่านถามปัญหาแบบพิสดารไม่ไหวเพราะยังใหม่อยู่ มีความรู้ไม่มาก
    แต่ความจริงพระอรหันต์ท่านไล่ท่านไม่จนหรอก ตอนนั้นพระสารีบุตรยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์นี่ ไล่อย่างไรก็ไม่จนหรอก เพราะพระอรหันต์นี่ปัญญาเกิดจากปฏิบัติไม่ต้องอาศัยหนังสือ เดี่ยวนี้ปัญญาจะเกิดด้วยหนังสือก่อน
    พระสารีบุตรได้ยินเช่นนั้นก็เลยบอกว่า
    ท่านจะพูดเรื่องพิสดารไม เอาแค่หัวข้อย่อๆก็พอแล้ว พระอัสสชิจึงกล่าวว่า
    ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าตรัสเหตุของธรรมนั้นและทางดับของธรรมนั้น<O:p</O:p
    เพียงเท่านั้นพระสารีบุตรก็เข้าใจทันที แล้วก็สำเร็จเป็นพระโสดาปัตติผลต่อมากลับมาพบพระโมคคัลลาน์ ก็บอกว่า เวลานี้พบพระโมขธรรมแล้ว เจออาจารย์ใหม่แล้วด้วย พระโมคคัลลาน์ก็ถาม ธรรมนั้นได้มาอย่างไร พระสารีบุตรก็บอกตามนั้น พระโมคคัลลาน์ ก็ได้พระโสดาปัตติผลเหมือนกัน นี่เราจะเห็นว่าปัจจัยที่ได้ถวายพระไตรปิฎกไว้ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้มีปัญญาเลิศเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ถึงแม้ว่าเราเกิดในช่วงต่อๆ ไปที่ยังไม่ถึงอรหันต์ผลเพียงใด เราก็จะมีปัญญาประเสริฐกว่าบุคคลอื่นเหมือนกัน
    นี่เป็นอันว่าการที่ญาติโยมเอาพระไตรปิฎกกับเชิงเทียนไปถวายวัด เชิงเทียน นี่ก็เป็นประทีปโคมไฟ พระไตรปิฎก ก็เป็นตัวปัญญา ฉะนั้นอานิสงส์ที่พึงได้ก็คือ
    1. ทิพจักขุญาณ
    2. ปัญญาเลิศ
    สำหรับท่านที่ร่วมกันโมทนาก็เป็นปัตตานุโมทนามัย เราเป็นคนที่ปัญญาไม่ถึงหัวแถว อยู่กลางๆแถวหรือท้ายๆ แถวก็ได้ พวกที่จะทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกันบุญใดที่เข้าทำแล้วเราก็ยินดีด้วยเรียกว่าปัตตานุโมทนามัย
    ดูตัวอย่างนาง.ธรรมปฏิบัติเล่ม 12 โดยหลงพ่อพระราชพรหมยา<O:p</O:p


    (พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี<O:p</O:p


    <O:p</O:p

    อ่านจบแล้วอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลด้วยนะครับ<O:p</O:p

    คำอุทิศส่วนกุศล
    โดยพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี<O:p</O:p









    อิทังปุญญะผะลังผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>พิมพา ไม่เคยทำบุญเองเลย พระพุทธเจ้าทำคนเดียว แต่นางพิมพาโมทนาตลอดกาล เวลาพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์พระนางก็เป็นพระอรหันต์ได้ เพราะปัตตานุโมทนามันอันนี้นี้เอง


    <st1:personName w:st="on" ProductID="เวร ทั้งหลาย">เวร ทั้งหลาย</st1:personName> ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดีขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน


    และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้าและเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราชขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราชจงโมทนาส่วนกุศลนี้ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด

    และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดีเสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับ<O:p</O:p<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    http://teporrarit.hi5.com
    http://buraphatic.hi5.com<O:p
    </O:p
    <O:p> </O:p>

    </B>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2008
  2. sittichai

    sittichai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +21
    ผมได้เคยชักชวน พ่อแม่ พี่น้อง ครอบครัวและญาติมิตร ร่วมกันสมทบทุน ถวายหนังสือพระไตรปิฎกพร้อมตู้ไม้แกะสลักใส่หนังสือ มาแล้ว 2 ชุด ๆ ละประมาณ 20,000 บาท กับ 20,000 กว่าบาท (จำตัวเลขไม่ได้แน่นอน เพราะหลายปีแล้ว) และถวายเฉพาะตู้ไม้แกะสลักใส่หนังสือพระไตรปิฎกอย่างเดียว 1 ตู้ ให้แก่วัดในต่างจังหวัด 3 วัด ขอเชิญทุกท่านร่วมอนุโมทนานะครับ ขอกุศลผลบุญดลบันดาลให้ท่านมีสติปัญญาเป็นเลิศ
     
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


     
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    [​IMG]
     
  5. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาสาธุครับ...
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
     

แชร์หน้านี้

Loading...