เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)...ตอนที่3เณรน้อยอายุ ๗ ปี

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 20 กันยายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    เรื่องจริงอิงนิทาน [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]พิเศษ[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]
    พระมหาวีระ ถาวโร [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ฤาษีลิงดำ[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]
    วัดจันทาราม [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ท่าซุง อ[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]เมือง จ[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]อุทัยธานี[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]




    [FONT=Cordia New,Cordia New]ตัดตอนมาจากเทป [/FONT]​

    เรื่องของเณรน้อยอายุ ๗ ปี
    มีสามเณรน้อยองค์หนึ่งอายุเพียง ๗ ปี บวชในพระพุทธศาสนา สมัยนั้นในเขตนั้นมีพระอรหันต์มาก เณรองค์นี้ได้ฌานสมาบัติสูง ตอนเช้าทุกเช้าต้องขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนดอยตุง แล้วออกบิณฑบาตกับคนที่อยู่ใกล้ ๆ บนยอดเขา สามเณรได้ทราบข่าวว่า บนพระธาตุจอมกิตติ (เวลานั้นยังไม่มีเจดีย์ เขาเรียกว่า ดอยน้อย ๆ เท่านั้น) สำหรับสามเณรองค์นี้ มีนิมิตอะไรน้อยๆ ได้ตามสมควร ยังไม่เก่งกล้านัก สามเณรทราบข่าวว่าบนดอยน้อยนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยมาประทับที่นั่น แล้วฝังพระเกศาไว้ด้วยการอธิษฐานจิต เณรได้ฟังจากครูบาอาจารย์มา
    เมืองเชียงแสนเดิมลูกรัก เราออกจากพระธาตุดอยกิตติ คือ ออกมาจากเมืองเก่านะ แล้วมาถึงบริเวณที่เขาเขียนว่า เขตเชียงแสน หลังบริเวณนั้นมาอีกหน่อย เป็นที่เมืองจมน้ำสมัยหลังพระเจ้าพรหมมาก เมืองจมน้ำเพราะกินปลาตะเพียน จากบริเวณเมืองจมน้ำมาแล้ว เราจะเลี้ยวซ้ายมือนั่นแหละ เป็นเขตเมืองเชียงแสนเดิม แต่เมืองจมน้ำหมดเพราะกินปลาตะเพียน
    สามเณรนึกจะมานมัสการพระเกศาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเวลานั้นขอมดำครองเมืองเต็มไปหมด คนไทยไม่มี จะมีอยู่บ้างก็เป็นคนไทยที่ขอมนำมาเป็นคนรับใช้ เป็นทาสเขา บางพวกหรือผู้หญิง ผู้ชายไทย ที่ผู้ชาย ผู้หญิงขอมเขาอยากได้ไปเป็นเมียเป็นผัว เขาก็เอาไปไว้ การเป็นเมียทาส ผัวทาสต้องปฏิบัติตามเขา เป็นอันว่าคนไทยอยู่ในที่นั้นมีบ้าง แต่ไม่มีอำนาจ
    สามเณรตั้งใจเดินธุดงค์ไปถึงดอยน้อยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิษฐานจิตวางพระเกศาไว้ ถึงตอนเย็นแล้วก็ค้างคืนบนดอยน้อย พร้อมกับนมัสการเจริญพระกรรมฐาน เวลากลางคืนเห็นรัศมีโชติช่วงพุ่งออกมาจากดอยน้อย เป็นรัศมี ๖ ประการ สวยสดงดงามมาก เณรก็เกิด
    ธรรมปีติ มีความอิ่มใจ ชุ่มชื่นไปด้วยฌาน พอรุ่งเช้าสามเณรก็ออกบิณฑบาตตามปกติของพระในพระพุทธศาสนา บรรดาชาวขอมทั้งหลาย เห็นเณรองค์เล็กน่ารัก รูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณสดใส มีหน้าตาแช่มชื่นก็มีความรัก พากันใส่บาตร
    พอดีเจ้าขอมดำนายใหญ่เป็นพ่อเมืองออกมาเห็นเข้าจึงได้ถามว่า เจ้าเณรองค์นี้มาจากไหน (ความจริงเขาก็นับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่มันก็เพียงสักแต่ว่านับถือ อย่างคนไทยที่อยู่ในเขตพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน อยู่ในเขตของพระพุทธศาสนา แต่ไม่เคยรู้เรื่องของพระศาสนาเลย อันนี้ก็มีมาก ที่เคารพพระพุทธศาสนาเวลานี้ ได้อภิญญาเล็ก คือ มโนมยิทธิ และก็ญาณแปด ที่เราแนะนำกันออกไปก็มีมาก แต่คนนำไปใช้ดีก็มีใช้เลวก็มี เป็นเรื่องธรรมดา ปล่อยเขา จะไปนั่งห่วงว่า กลัวเขาจะลงนรกน่ะ เห็นเป็นการไม่สมควร คนชั่วก็มี คนดีก็มาก คนชั่วหายาก คนดีถมไป ถ้าได้ฌาน อย่างลูกนี่ พ่อคิดว่า ร้อยละหนึ่ง ร้อยคนเอายอมเสียไป ๑ คน แต่ความจริงควรจะเป็นแสนละหนึ่ง แต่ความเลวของคนที่ติดในลาภสักการะไม่ช้า คุณธรรมนี้ก็สลายตัวก็พังไป)
    เจ้าราชาขอมดำมันถามว่า “เณรมาจากไหน” พวกที่ใส่บาตรก็ตอบว่า “เณรเป็นลูกคนไทย” มันว่ายังไงรู้ไหม “ไอ้ลูกไทยใจทาส ห้ามไม่ให้มันกิน ใครใส่บาตรไปแล้วเท่าไร จับบาตรมันเททิ้งไปให้หมด อย่าให้มันกิน ไอ้ไทยทาสนี่ จะไปคบหาสมาคมกับมัน ต่อไปห้ามเข้าเขตของขอม เมื่อมันอยากจะกิน ก็ให้มันกินของคนไทยด้วย อย่ามากินของขอม (ความจริงเขตนั้นเป็นเขตของไทย)”
    สามเณรน้อยได้ฟังคำพูดของพญาขอม ดังนั้น ก็รู้สึกสลดใจ สลดใจเพราะเธอได้ฌานสมาบัติ แต่เธอไม่ถึงกับเสียใจร้องไห้ จึงได้มาคิดในใจว่า “โอหนอ คนไทยนี่เป็นเจ้าของประเทศ แต่ถูกขอมเนรเทศไป ขอมกลับคิดว่าคนไทยเป็นทาส คนไทยนี่มีความลำบากมากอย่างนี้ เราในฐานะที่เป็นหนี้ความดีของคนไทยทั้งชาติ จงได้ขอบารมีขององค์สมเด็จพระบรมโลกนารถ ได้โปรดสงเคราะห์ให้คนไทยได้มีความสุขตามกำลังที่เราจะทำได้” อันนี้เป็นความคิดของสามเณร
    สามเณรคิดว่า ในเมื่อเขาไม่ให้ข้าวเราก็ไม่เป็นไร เณรไม่โกรธ เพราะทรงฌาน และอาจจะมีวิปัสสนาญาณด้วย โดยเฉพาะในตอนกลางคืนเห็นฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระพิชิตมารพวยพุ่งมาจากพื้นดินก็ดีใจ เณรจึงได้กลับเข้าไปบูชาพระรัตนตรัย ขออนุมัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะหาถ้ำที่ใดสักที่หนึ่งเป็นที่อาศัย ก็เดินไปไม่ช้าก็เจอะถ้ำเล็ก ๆ ถ้ำหนึ่ง ก็นึกในใจว่า
    เราเป็นหนี้สินของคนไทย คนไทยก็คือปู่ย่า ตายาย ของเราเอง ฉะนั้นตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะใช้ชีวิตของเราเป็นเครื่องสนองความดีของคนไทยทั้งชาติ จะไม่ยอมให้คนไทยอยู่ใต้อำนาจของขอมต่อไป เราไม่มีกำลังรบ เราไม่มีสรรพาวุธ อาวุธสำคัญของเรามีอย่างหนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ นั่นก็คือ เมตตาบารมี” ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสกับพระว่า “เธอเข้าไปในป่า เธอต้องมีอาวุธไปด้วย ในบทกรณีที่ขึ้นต้นด้วย เมตตัญญะสัพพะโร[FONT=Cordia New,Cordia New]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2009
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    แต่ว่าสามเณรองค์นี้ ใช้วิธีแผ่เมตตาจิต คือ พรหมวิหารสี่ ว่า “ขอบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พรหม และเทวดาทั้งหมด และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ขอได้โปรดช่วยให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส ให้พ้นจากการตกอยู่ใต้อำนาจของขอม”
    แล้วสามเณรก็เข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ถอนจากฌานสมาบัติจนกว่าชีวิตินทรีย์จะหาไม่ เราจะอาศัยฌานเป็นธรรมปีติ เมื่อชีวิตทรงได้ก็ทรงไป ทรงไม่ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าบังเอิญเราจะพึงตาย เพราะอาศัยฌานสมาบัติ ก็ขอบารมีขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร ได้โปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าได้มีโอกาสเกิดเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม ไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบ ทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส
    เวลานั้นเณรไม่ได้คิดพิฆาตเข่นฆ่าใคร ที่ตำนานเขาบอกว่า เณรเอาบาตรเทินหัวขอเกิดเป็นคนไทย ขอกลับมาฆ่าขอมน่ะไม่จริง ทำอย่างนั้นก็ลงนรก จิตตั้งบาป นี่เณรตั้งใจแบบนี้ อาศัยสามเณรที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์ และเป็นเด็กมีบุญญาธิการมาก มีท่านบอกว่าสามเณรองค์นี้ ก็คือ พระเจ้ามังราย ลูกชายพระเจ้าอชุตราช รวมความว่าเป็นรัชกาลที่ ๒ ของราชวงศ์นี้นั่นเอง พระเจ้าพังคราชเป็นรัชกาลที่ ๓๗ สามเณรองค์นี้เดิมเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ ๒ ดูซิลูกรัก สมัยหนึ่งเคยเป็นลูกกษัตริย์ มีอำนาจมาก ขยายอาณาเขตไปสี่เท่าจากที่พระราชบิดาปกครองเดิม มาชาตินี้กลายเป็นลูกชาวบ้านธรรมดา แล้วก็มาบวชเณร ถูกขอมย่ำยี แม้แต้ข้าวที่อยู่ในบาตรเขาก็เททิ้ง
    ลูกรักฟังไปแล้ว อย่าฟังเป็นนิทานนะลูกนะ
    ฟังไปแล้วก็ต้องคิดว่า ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ความเกิด ความตายเป็นของธรรมดา เมื่อเกิดขั้นมาแล้วก็เป็นของยุ่งยาก ในที่สุดมันก็ต้องตาย ถ้ากิเลสเรายังไม่หมดเพียงใด ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ มาใช้ชีวิตที่ไม่มีความสุข ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักของพ่อทุกคนที่กำลังนั่งฟังอยู่นี่ พ่อสอนวิชาความรู้แก่ลูกโดยธรรม พ่อพยายามฝึกอภิญญาเล็กให้แก่ลูก อภิญญาเล็กที่ลูกได้ย่อมได้ญาณ ๘ อย่างด้วย คือ
    ๑. ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ นรก เห็นพรหม เห็นนิพพานได้
    ๒. จุตูปปาญาณ คนและสัตว์ที่ตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน คนและสัตว์ที่เราเห็นเขาอยู่ที่นี่ เขามาจากไหน
    ๓. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติได้ไม่จำกัด
    ๔. เจโตปริยญาณ สามารถรู้วาระน้ำจิตคนว่า ใครคิดดี คิดชั่ว ใครจิตสะอาด ใครจิตสกปรก มีกิเลสมาก มีกิเลสน้อย อันนี้รู้ได้
    ๕. อตีตังสญาณ รู้เรื่องราวในอดีต ถอยหลังเรื่องราวที่แล้ว ๆ มาได้ไม่จำกัด
    ๖. ปัจจุบันนังสญาณ ปัจจุบันนี้ใครไปก่อหวอดที่ไหน ใครทำอะไรบ้างก็รู้
    ๗. อนาคตตังสญาณ รู้เรื่องราวข้างหน้าว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น ใครจะไปทำอะไรที่ไหน ใครคิดประทุษร้ายใครที่ไหน ชุมนุมกันที่ไหน ใครทำดี ใครทำชั่ว หรือสถานที่นี้จะเป็นยังไง บ้านเมืองเราจะมีน้ำมันมาก จะมีแร่ธาตุมาก จะจนจะรวย เรารู้ได้ลูก
    ๘. ยถากรรมมุตาญาณ ผลของกรรมของคนในประเทศนอกประเทศจะเป็นยังไง ผลของกรรมของข้าศึกที่คิดประทุษร้ายไทยจะเป็นยังไง และใครที่มีความสุข ความทุกข์ เพราะอะไร เรารู้ได้ลูก
    ญาณทั้ง ๘ ประการที่พ่อพูดมานี้ ลูกได้หมดแล้ว แต่ทว่าลูกรักของพ่อ “ลูกอย่าใช้กำลังของตนเองนะ ลูกยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ทางที่ดีอยากจะรู้ ถามท่านปู่ ถามท่านย่า ถามท่านแม่ หรือว่าถามตรง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเกี่ยวโดยธรรม ท่านตรัส ถึงแม้ว่าเรื่องของประเทศชาติ ความเป็นไปของคนไทย ภายหน้าจะเป็นอย่างไรถามท่านได้ พระพุทธเจ้าไม่ว่า ทั้งนี้ เพราะเรื่องนี้เป็น ธรรมะ ไม่ใช่เรื่อง โลภโมโทสัน”
    ไอ้เรื่องดูทรัพย์สินที่นั่นที่นี่ ลูกอย่าดูนะลูกนะ อุปาทานมันจะกิน ยามปกติ เอาจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ ตั้งใจตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน เครื่องมือที่ลูกจะมีไว้นั่นคือ บารมี ๑๐ ทำให้ครบถ้วน สังโยชน์ ๑๐ ตัดให้ขาดให้หมด มีจรณะ ๑๕ มีอิทธิบาท ๔ มีพรหมวิหาร ๔ มีศีลปกติ มีทานปกติ ทั้งหมดนี้ต้องมีเป็นประจำ ใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่าไปยุ่งกับเรื่องอื่น ถ้ามีความจำเป็นจึงค่อยรู้เรื่องอื่น ถ้าจิตเราจับพระนิพพานได้แล้ว ลูกแก้วของพ่อไม่ต้องวิตกกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเราหมด
    มาต่อเรื่องของสามเณร เมื่อเข้าสมาธิเจริญฌานสมาบัติ จิตใจไม่มีความโกรธในขอม จิตใจไม่มีจิตริษยา ไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา จิตเป็นอุเบกขารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ทำไปสักครู่หนึ่ง ๒-๓ นาที จิตก็ดิ่งจับฌาน ๔ ปกติ เวลาล่วงไปสัก ๕-๖ ชั่วโมง จิตถอยออกจากฌาน ๔ มาตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ มองเห็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยืนอยู่ข้างหน้า ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วตรัสว่า [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]
    “มหาเถระ เธอปฏิบัติถูกแล้ว เธอมีจิตเมตตา ปราศจากความอาฆาตมาดร้าย เธอทำใจดี การแผ่เมตตานี้จะทำให้เธอเกิดเป็นพรหม ฉะนั้นเธอจงตั้งจิตอธิษฐานต่อไป เวลานี้มีความสำคัญ” เมื่อจิตออกจากฌาน ๔ มาตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ เธอจงตั้งสัตยาธิฐานใหม่อีกครั้งหนึ่ง อันนี้จะมีผลแล้ว ภาพขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็หายไป
    ตอนนั้นสามเณรน้อยดีใจนัก เกิดธรรมปีติที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสวยสดงดงาม พร้อมไปด้วยฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ ความมั่นใจในคำสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาก็มากขึ้น จึงตั้งอธิษฐานว่า “ด้วยอำนาจบุญบารมี ความดีที่ข้าพเจ้าทำมาแล้วในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันก็ดี และขออำนาจบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระอริยสงฆ์ก้ดี ขอทุกท่านจงโปรดให้คนไทยทั้งหมดมีความสุข มีความอุดมสมบูรณ์พ้นจาก

    [/FONT]
     
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    ภัยอันตรายที่จะพึงมีจากขอม ถ้าหากว่า ข้าพระพุทธเจ้าจำจะต้องกลับมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง ขอเกิดเป็นคนไทย ขอให้ได้ช่วยคนไทยทุกคนมีความสุข ตามกำลังกฎของกรรม”
    แต่ว่าจะให้สุขทุกอย่างน่ะเป็นไปไม่ได้ กรรมชั่วมันมีอยู่ ขอ ๑.ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส ๒. คนไทยมีอำนาจในการปกครองตนเอง ๓. ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ามีปัญญา ทั้งการเกษตร การคลัง การปกครอง ทุกอย่างแม้แต่การรบ ขอให้ช่วยให้คนไทยทุกคนมีความสุข มีอิสรภาพ ปราศจากความเป็นทาสของบุคคลผู้ใด ไม่เลือกชาติ ไม่เลือกวรรณะ ไม่เลือกตระกูล ขอให้คนไทยมีความเพิ่มพูนความสุขสดชื่นมีความหรรษา และขอองค์สมเด็จพระชินสีห์ได้ทรงโปรดช่วยตักเตือนข้าพระพุทธเจ้า ถ้ากิจนั้นจะพึงพลาดไป
    เมื่อเณรน้อยอธิษฐานต่อองค์สมเด็จพระชินสีห์แล้ว ก็เริ่มเข้าฌานใหม่ ปรากฏว่า วันเวลาผ่านไป ๗ วัน ร่างกายขาดอาหาร และเณรไม่ได้อธิษฐานให้ชีวิตทรงอยู่ด้วยอำนาจของธรรมปีติ ก็คิดว่า “จะนั่งกรรมฐานเข้าฌานจนตาย” ในที่สุด ๗ วัน เณรก็ตายด้วยกำลังของฌาน ๔ ฉะนั้น สามเณรองค์นี้จึงขึ้นไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑
    พอไปเกิดเป็นพรหมได้ชั่วครู่เดียว ก็มีพรหมชั้นผู้ใหญ่ทรงความเป็นพระอนาคามีมีนามว่า “ผกาพรหม” เข้ามาหาแล้วเรียกชื่อว่า “สัพเกศีพรหม” เป็นพรหมมีนามว่าสัพเกศี ตอนนี้ใครจะหาว่า มหาวีระอวดฤทธิ์อวดเดชก็เชิญนะ เชิญตามสบาย ตอนนี้เปิดกรุละ
    ท่านท้าวผกาพรหมบอกว่า ก่อนที่ท่านจะมาเป็นพรหม ท่านตั้งใจว่าจะให้คนไทยมีความสุข ท่านเป็นไทย เวลานี้ท่านจะมาเสวยความสุขอยู่เฉพาะผู้เดียว โดยไม่เหลียวแลคนไทยที่อยู่ข้างหลังนั้นไม่เป็นการสมควร เวลานี้ถ้าจะนับเวลาตั้งแต่ท่านออกจากกายสามเณรมาเป็นพรหมก็จะเป็นเวลาล่วงไปปีเศษ พระเจ้าพังคราชมีราชโอรสองค์แรกไปแล้วชื่อ ทุกภิกขะกุมาร เกิดในท่ามกลางความทุกข์มาได้ ๓ ปี แล้ว พระราชมารดาก็มีความสุข สมควรที่ท่านจะลงไปเกิดเป็นลูกชายพระเจ้าพังคราช แล้วช่วยกู้ชาติไทยให้ปลอดภัยจากความเป็นทาส
    หลังจากนั้น ท่านผกาพรหมก็ประกาศถามว่า พรหมองค์ใดบ้างที่นับถือพระพุทธศาสนา เคยเกิดเป็นคนไทยมาก่อน จะลงไปช่วยคนไทยที่มีความเร่าร้อนให้มีความสุข ก็มีพรหมอีก ๒๕๐ องค์ บอกว่าจะไปเกิดพร้อม ๆ กันเป็นสหชาติ จะเคลื่อนคลาดจากการคลอดบ้างก็ก่อนหลังกัน ๓ วัน เป็นอันว่า สัพเกศีพรหมไปเสวยสุขวิหารบนพรหมชั้นที่ ๑๑ เพียงครู่เดียว เวลาในเมืองมนุษย์ก็ผ่านไป ๑ ปีเศษ เมื่อท่านผกาพรหมมาเตือนแบบนั้น และมีพรหมอีก ๒๕๐ ท่าน รับจะลงมาช่วยกัน และมีพรหมอีก ๓ ท่าน บอกว่าจะมาช่วยเกิดเป็นช้างคู่บารมี เมื่อตกลงกันแล้ว ต่างคนต่างอธิษฐาน “ขอจุติละจากอัตภาพการเป็นพรหมลงมาเกิดเป็นลูกคนไทย”
    ในวันนั้นพระราชมารดา คือ พระมเหสีของพระเจ้าพังคราช ประทับนอนตอนใกล้รุ่งทรงนิมิต (ฝัน) ไปว่า มีช้างเผือกเนื้อใสเป็นแก้วมีกำลังมาก เข้ามาในเขตพระราชฐาน นอกจากนั้นก็มี
    ช้างเผือกขนาดย่อมกว่าหน่อยอีกประมาณ ๒๕๐ เชือก เข้าบ้านโน้นบ้านนี้บ้างถือวิสาสะขึ้นไปบนบ้านเขา
    แต่ช้างเผือกที่เป็นผู้นำมาใหญ่ และใสสะอาดมาก เป็นแก้วใสรัศมีกายสว่างเป็นพิเศษ มานั่งบนตักของพระองค์ ช้างตัวใหญ่แต่ก็รู้สึกเบา พระองค์ก็ทรงประคับประคองช้างเชือกนั้นไว้ พระองค์มีความรักคล้ายกับลูก แล้วก็ตื่นเช้ามืดใกล้เวลาหุงอาหารพอดี จึงกราบทูลพระราชสวามีให้ทรงทราบว่าวันนี้ฝันประหลาด เวลาเช้าพระเจ้าพังคราชก็เรียกพระยาโหาราธิบดีเข้ามาเฝ้า เล่าความฝันของภรรยาว่าฝันแบบนี้จะเป็นยังไง
    พระยาโหราธิบดีก็ลงเลขฉบับ ๆๆ แล้วทำนายว่า เด็กคนนี้มาจากพรหม ต่อไปจะมีอำนาจมาก จะนำไทยทั้งชาติให้เป็นสุข จะมีปัญญาดี จะมีความสามารถ และมีสหชาติ ๒๕๐ คน คือ ช้างแก้วที่เข้าไปเกิดตามบ้าน ขอพระจอมภูบาลได้โปรดให้การอารักขาเด็กในครรภ์ชองพระเมหสี ให้การอภิบาลเด็ก ๆ ในครรภ์ให้มีความสุข ทั้งนี้ เพราะจะเป็นกำลังใหญ่ของชาติ จะหมดจากความเป็นทาสของขอมต่อไป
    ลูกคงจะสงสัยว่าพระยาโหราธิบดีของพระเจ้าพังคราชรู้ได้ยังไงว่าเด็กที่มาเกิดในครรภ์มเหสีมาจากพรหม เลขตัวไหวมันบอกได้ เรื่องวิชาหมอดูนี่มีจริง และที่เก่งจริงมีอยู่ ในสมัยพ่อยังหนุ่มอยู่พ่อชอบเล่นวิชาหมอดู ซึ่งเขาเก็บสถิติมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ พ่อเล่นตั้งแต่วิชาเลข ๗ ตัว วิชาผีกระด้ง ผีถ้วยแก้ว ผีเบี้ย ผีตะไกร และเล่นยาม ๓ ตา วิชาดูลายมือ เลข ๗ ตัว นี่ดู ๓ ชั้น ๕ ชั้น ๗ ชั้น และ ๙ ชั้น และก็เล่นวิชากราฟ เวลาพ่อจะดู พ่อจะเอาทุก ๆ วิชาเข้ามาประสานกัน พยากรณ์ด้วยวิธีนี้แล้วก็ดูด้วยวิธีนั้นมันจะตรงกันไหม ถ้ามันตรงกันทุกวิชา การพยากรณ์ไม่ผิดว่าใครจะมาจากเทวดา ใครมาจากพรหม อันนี้ไม่ผิดลูกรัก
    แต่ว่าพระยาโหราธิบดีของพระเจ้าพังคราชนี้ท่านเก่งจริง ๆ ความรู้ของโหนห้อยแขวนสมัยนี้ที่ว่าเก่งจริง ๆ ยังไม่เท่า ๑ ใน ๑๐ ของโหรสมัยนั้น เพราะโหรสมัยนั้นดูทั้งเลข ดูทั้งใจ อย่าลืมว่าสมัยนั้นมีพระอรหันต์มาก คนเขาเป็นนักบุญ จึงได้มีความดี ความเยือกเย็น เป็นสุขกันมาก ในเมื่อจิตใจเขาเป็นนักบุญลูกรัก อะไรล่ะที่จะว่าไม่ดีน่ะมันไม่มี
    ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทานเขาทำ ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีลเขาทำ ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนาเขาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหร จะต้องสนใจวิชาการต่าง ๆ ที่จะพึงทำได้ ถ้าจะให้พ่อเดานะ พ่อไม่เดาดีกว่า เพราะเวลานี้ พ่อได้อะไรน่ะไม่สำคัญ แต่ลูกของพ่อทุกคนได้วิชชามโนมยิทธิซึ่งคลุมวิชชา ๘ ด้วย อย่าลืมนะว่าวิชชา ๘ อย่างนี่ สามารถเห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ รู้ว่าคนและสัตว์ที่มาเกิดที่นี่เดิมทีเดียวมาจากไหน ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน สามารถระลึกชาติได้ สามารถรู้ความรู้สึกของจิตคนได้ สามารถรู้เรื่องราวในอดีต อนาคต ปัจจุบันได้ สามารถรู้กฎของกรรมได้ ความดี ความชั่วที่จะมีขึ้นมาได้นี่มีอะไรเป็นเหตุก็สามารถรู้ได้ หรือว่าใครที่มานั่งอยู่นี่จะคิดคดทรยศยังไงก็รู้ได้ เรื่องราวที่ผ่านมาแล้วกี่แสนอสงไขยกัปก็สามารถรู้ได้
    เวลานี้พ่อพูดกับลูกซึ่งมีความรู้คล้ายคลึงพ่อ และสามารถจะจับผิดพ่อได้ด้วย ถ้าพ่อพูดผิด อย่าลืมว่า เวลาที่พ่อพูดพ่อไม่ได้ใช้ตำรา ไม่ได้ใช้ความรู้ของพ่อ พ่ออาศัยรับเสียงเสียงหนึ่งซึ่งบอกมาตามลำดับ นี่พ่อจึงพูดโดยไม่ต้องมีหนังสือ เวลานี้พ่อพูดตามคำบอกหรือพูดตามพากย์ เหมือนกับละครวิทยุมีคนบอกบท แต่ลีลาการแสดงตั้งใช้สมองของผู้แสดงเอง เพียงแต่คำพูด ต้องพูดตามคำบอกบทเท่านั้น ถ้าไม่ฉลาดก็พูดส่งเดชไปไม่มีความหมาย เป็นอันว่าเรื่องที่เราพูดอยู่นี่พ่อพูดตามพากย์ และพ่อเห็นตัวนะ พ่อก็เลยกลายเป็นคนดูหนัง รับพากย์มาจากข้างหลัง พ่อก็พายก์หนังต่อไป
    เป็นอันว่าพระยาโหราธิบดีของพระเจ้าพังคราช นอกจากจะเป็นโหรเลยแล้วยังเป็นโหรตาทิพย์อีกด้วยช่วยให้เกิดประโยชน์มาก เมื่อพระเจ้าพังคราชได้รับคำพยากรณ์จากโหรแล้วก็ดีใจ คนไทยซึ่งมีความทุกข์ทรมาน แล้วอาศัยเด็กปลอม คือ พระอินทร์มาบอกวิธีทำทองคำให้ก็มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ใครอยากทำทองคำบ้างล่ะ เวลานี้ไปหาแร่เพรียงไฟกับสารปากนกแก้วที่แถวหลังสุโขทัยออกไปแถวบ้านนาสารนั่นแหละ จุดนั้นถ้าเราไปนั่งอยู่ที่น้ำตกที่มีเกาะน้อย ๆ แยกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างออกไปจากจุดนั้น ๒ กิโลเมตรเศษ จะมีแร่เพรียงไฟ และไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะมีสารปากนกแก้ว
    ถ้าได้ ๒ อย่างนี้มาแล้ว การทำทองคำเป็นเรื่องธรรมดา ๆ นี่บอกไว้ให้แต่อย่าให้ไปชี้นะ ชี้ไม่ได้ เพราะให้สัญญากับเขาไว้แล้วว่า “ขึ้นชื่อว่าทรัพย์ใต้ดิน ไม่ต้องการอยากได้ หนึ่ง และสองจะไม่เอาเล็กจิกพื้นที่นั้น สาม จะไม่บอกให้ใคร แต่ที่บอกไว้อย่างนี้เพราะแร่เพรียงไฟกับสารปากนกแก้วของเรามีเยอะ ถ้าเราไม่นั่งโง่กันเสียอย่างเดียว เราก็มีทองคำอุดมสมบูรณ์นี่เป็นประการแรก
    ประการที่ ๒ เรายังมีแหล่งทองคำที่ยังพอหาได้ใช้แรงงาน นี่นักธรณีวิทยาหรือนักหาของใต้ดินควรจะศึกษาและหาของอย่างนี้ คนไทยจะได้มีอาชีพ คือ อาชีพการร่อนทองคำ อย่างจังหวัดเพชรบูรณ์นี่ยังมีอยู่ จังหวัดกาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ลพบุรี นี่มีเยอะแยะทั่วประเทศไทย เป็นแหลมทองจริง ๆ ให้ร่อนด้วยแรงคนได้พอ ถ้าใช้โรงงานนี่ไม่ควร ทำไมจึงว่าไม่ควร เพราะลงทุนมากเกิน คนอาจจะต้องล่มจม ถ้าเราใช้แรงคนวันหนึ่งได้ ๑ สลึง อีก ๒ วัน ไม่ได้ก็พอกินแล้ว บางวันอาจจะได้บาท ๒ บาท ก็ได้ เวลานี้ทองคำบาทละเท่าไร ทำไมไม่คิดกันล่ะเรื่องนี้ ปล่อยให้ของดีสูญไปเปล่า ๆ
    แต่ระวังนะจะเสียท่านายทุน รัฐบาลอาจจะดีแต่ผู้รับสนองบางคนอาจจะไม่ดีเหมือนกัน ลืมตัวลืมตนประเภทนี้อย่าลืมนะ ตาย ถ้าบังเอิญคนไทยสมัยโน้นมาเกิดสมัยนี้ละก็ตาย เก็บเงียบเหมือนเก็บขอมนั่นแหละ เวลานี้อาการเก็บเงียบแบบนี้มันจะเกิดมีในประเทศแล้ว สำหรับคนขายชาติจะถูกเก็บเงียบ ลัทธินี้จะมีแล้วในอนาคตอันใกล้ที่พูดนี่เป็นเดือนธันวาคม ๒๕๒๑ ไม่ใช่ผู้พูดต้องการให้มีนะ เหตุการณ์มันบังคับให้มีขึ้น วิธีเก็บนี่ถ้าพูดตามเสียงเขาว่า จะเก็บทั้งเล็กทั้งใหญ่เก็บให้หมด เพราะคนทรยศก็คือขอมดำมาเกิด จะเก็บมันไว้ทำไม ลูกรักของพ่อใช้ญาณตามไปด้วยนะ ทางที่ดีทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นแหละเวลาพ่อพูดไปละก็ดูภาพ
     
  5. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    ต่อมาอีก ๗ เดือน แม่ตั้งท้องได้ ๗ เดือน ชาวบ้านก็มีท้อง ๗ เดือน เหมือนกัน พระเจ้าพังคราชก็ให้การอารักขาท้องทั้งหมดเป็นอันดี เลยรวมท้องทั้งหมดจะเท่าไรก็ตามอารักขาหมด ไม่อย่างนั้นเขาหาว่าอคติ อารักขาเด็กในครรภ์ทั้งหมดถือว่าเป็นสหชาติ ๒๕๐ นั่นส่วนหนึ่ง เลยไปว่านี้ก็ให้ด้วย และถือเป็นประเพณีว่า คนที่เกิดในสมัยนั้นถือว่าเป็นลูกของพระมหากษัตริย์ แล้วพระองค์ก็ประชุมมุขอำมาตย์ทั้งหลายว่า เราจะออกกฎแบบนี้ดีไหม มุขอำมาตย์บอก ฮ้อ ดีแน่ พระองค์ก็ตกลง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปใครจะต้องท้องที่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นลูกคนไทยแล้ว ถือว่าเป็นลูกพระมหากษัตริย์ทั้งหมด การบำรุงรักษาพระองค์จัดสิ่งของไปสงเคราะห์
    พอ ๗ เดือน ผ่านไปลูกในท้องเริ่มแล้ว พระมเหสีนอนตื่นเช้าไม่ลุกจากที่นอนซะแล้ว ร้องไห้ เศร้าโศก เสียใจไม่รู้เรื่องอะไร พระเจ้าพังคราชพระราชบิดาก็ถามว่า เธอต้องการอะไรจ๊ะ บอกพี่ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกินวิสัยพี่จะหาได้เธอก็บอกว่าอยากทรงเครื่องกษัตริย์ เอาแล้วซิ พระเจ้าพังคราชก็บอกว่าสิ่งที่เธอต้องการน่ะมี เพราะก่อนขอมเข้ามา พี่ได้สั่งให้เก็บของทั้งหมดนี้ไปซุกซ่อนไว้ ตอนเช้าพระองค์จึงได้ให้คนไปเอาเครื่องกษัตริย์มาให้ท่านแม่แต่ง ท่านแม่สดชื่นไปหลายวัน
    สักพักเอาอีกแล้ว ร้องไห้อีก บอกว่าอยากมีอาวุธ นี่ แต่โหรทำนายไว้แล้ว กำลังใจของคนไทยจึงมุ่งอยู่ที่เด็กในครรภ์ พอบอกอยากมีอาวุธ คนก็ฮือฮา ๆ กันดีอกดีใจคราวนี้ไทยจะเป็นไทเสียที จะได้ฆ่าขอมให้สมกับความเจ็บแค้น ทำให้คนขยันมากขึ้นเดิมเขาก็ขยันกันอยู่แล้ว ก็เพิ่มความขยันมากขึ้นเพราะมีกำลังใจ ตอนนี้อยากทำอาวุธของ้าวหอกซัด เครื่องอาวุธต่าง ๆ พระเจ้าพังคราชก็บอกคนมาช่วย [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ไม่ได้เกณฑ์ บอกกันเขาก็มา[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]ทำอาวุธกันคึกคักกันใหญ่ โหรก็ทำนายว่าลูกชายคนนี้จะมีอำนาจมาก จะขยายเขตประเทศออกไปอีกหลายเท่าทุกทิศ
    พอข่าวอนี้ออกมาเท่านั้นแหละคนวางงานในมือวิ่งมากราบเด็กในท้อง เอ๋อ ต่างคนก็ฮึดฮัดๆ เก่งขึ้นมาทันที แม้แต่คนแก่ก็ยังลุกขึ้นเอากะเขาด้วย ว่านี่คนไทยนะเว้ย ไอ้ขอมดำหัวจะขาดหมด เจอหน้าขอมจะฆ่าให้เรียบ พระราชาท่านบอก ยังก่อน ๆ ลูกยังไม่เกิด ตอนนี้ก็ไปหาแร่เหล็กอย่างดีมาทำอาวุธกันใหญ่ แต่ไปทำในถ้ำที่เวลานี้กองพล ๙๓ ของจีนอยู่น่ะ นั่นแหละที่ทำอาวุธละ และที่หลังสุโขทัยไปทางบ้านนาสารบริเวณนั้นเป็นที่ฝึกอาวุธ ตอนนี้ท่านแม่ดีใจมาก
    ต่อมาไม่นานท่านแม่ก็ซูบซีดไปอีกแล้ว ท่านบอก อยากกินเลือดขอมติดอาวุธ เอาแล้วซิ พระเจ้าพังคราชเรียกพระโหราธิบดีเข้ามาทำนาย โหรบอกเด็กคนนี้เกิดมาแล้วเมื่อไร ขอมตายเรียบ ก็ไม่ยากเรื่องท่านแม่อยากกินเลือดขอมติดอาวุธ เจ้าขอมดำดินเกะกะเจ้าชู้มีมาก ขอมชอบเจ้าชู้ บางคนก็เกี้ยวดี บางคนก็ใช้อำนาจบอกไปกับฉันเดี๋ยวนี้ ฉันต้องการเอาไปเป็นเมีย ถ้าไม่ไปตายหมด พ่อแม่พี่น้องในบ้านนี้ตายหมด แหมอำนาจเขาแน่
    ดังนั้น ไอ้พวกเจ้าชู้มา ๑๐ ตาย ๑๐ มา ๒๐ ตาย ๒๐ เอาเลือดขอมมาละลายน้ำให้แม่กิน กินแล้วท่านสวยเปล่งปลั่งผ่องใส ดูแล้วคล้าย ๆ จะมีแสงสว่างออกน้อย ๆ พระเจ้าพังคราชเองก็แปลกใจว่า เมียเราตอนมีลูกชายคนแรกไม่สวยแบบนี้เลย นี่สวยมาก สดชื่น อิ่มเอมเปรมใจโอบอ้อมอารีจิตใจดี ต่อมาท่านแม่ก็อยากทรงช้าง ทรงม้า พระเจ้าพังคราชก็ทำหน้าที่นั่งบนหลังช้างอย่างดีให้
    มเหสีนั่งออกเยี่ยมเยียนราษฎร ไปที่ไหนคนเขาเห็นเขาก็นึกถึงเด็กในครรภ์ก็เข้ามาหมอบกราบ พวกท้องสหชาติ ๒๕๐ ก็ไปด้วย และท้องที่เกิน ๒๕๐ ก็ตามไปด้วย เป็นกองทัพคนท้องไปเยี่ยมราษฎร
    พอถึงกำหนดทศมาส คือ ๑๐ เดือน เกิดคลอด การคลอดแปลก ก่อนหน้าคลอด ๑ วัน ท่านแม่มีความรู้สึกว่า อยากทำบุญ และต้องการเครื่องบายศรี และเครื่องของผู้หญิงอีกเยอะแยะ และต้องมีกระพังช้าง กูบช้าง เครื่องแต่งช้างทั้งหมด พระเจ้าพังคราชจึงจัดให้ทำกระพังทองคำไว้ ทำร่างแหทองคำสำหรับคลุมหน้าช้าง ทำกูบทองคำ ทุกอย่างเป็นทองคำหมด เพราะเรามีทองคำมาก ชาวบ้านดีใจกันมากเมื่อรู้ว่าเด็กจะคลอด เหมือนกับชาวนาคอยฝน คนคอยน้ำ ช่วยกันทำทุกอย่างเรียบร้อยสวยสดงดงาม
    พอถึงเวลาคลอด วันนั้นเวลาเช้า ท่านแม่ตื่นขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วมีความรู้สึกอยากจะบูชาพระ เห็นพระชื่นใจเข้าไปนั่งเจริญพระกรรมฐานจิตเป็นสุข พอถึงเวลา ๖ นาฬิกาเศษ ๆ มีความรู้สึกว่า อยากคลอดพระราชโอรส จึงกราบทูลให้พระราชสวามีทรงทราบว่ารู้สึกจะคลอด แต่ท้องยังไม่ปวด พระเจ้าพังคราชจึงสั่งคนไปตามหมอตำแย ปรากฏว่าหมอตำแยยังไม่ทันมา ท่านแม่เข้าไปบูชาพระอยู่ การคลอดก็เกิดขึ้นในห้องพระนั่นเอง คลอดแบบประเภทท่านแม่ไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น พระราชโอรสมีผิวพรรณตามหนังสือเขาบอกว่า สดใสงดงามหาที่ติไม่ได้ ตามคติของชาวโลก แต่ชาวธรรมนี้ติได้แน่นอนเพราะขันธ์ ๕ มันเป็นของสกปรก
    ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันนั่นเอง สหชาติ ๒๕๐ คนก็คลอดออกมา แต่ละคนก็มีผิวพรรณสวยสดงดงามคล้ายคลึงกันหมด คราวนี้เองประชาชนทราบว่า พระราชโอรสคลอดแล้ว การคลอดน่าอัศจรรย์และทุกบ้านที่มีท้องใกล้ ๆ กันก็มีจริยาการคลอดเหมือน ๆ กัน เพราะมาจากพรหมเหมือนกัน ของขวัญต่าง ๆ เกิดขึ้น สำหรับลูกชายของพระเจ้าพังคราชได้ทองคำตั้งพันชั่ง เด็กสหชาติได้ทองคำคนละ ๑๐๐ ชั่ง ๒๐๐ ชั่ง ถ้าจะถามว่าเอามาจากไหนกันล่ะทองคำ ก็บอกแล้วว่าร่อนก็ได้ ขุดก็ได้ เวลานี้ในประเทศไทยก็มีอยู่ ทำไมมานอนหลับคุดคู้ทับทองคำกันอยู่ อะไร ๆ ก็ต้องตั้งโรงงาน ต้องต่างประเทศ เอาเงินไปให้ต่างประเทศเขาทำไม ให้คนไทยนี่แหละ ใช้มือขุด ใช้มือร่อน ทองน่ะมีมาก ยิ่งขุดลึกลงไปก็ยิ่งมีมาก
    สมมติว่า ๓ วันได้ ๑ สลึง แค่นี้คนไทยที่ยากจนก็มีความอุดมสมบูรณ์แล้ว ขออย่างเดียวให้ความอารักขาคนขุด คนร่อน จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครอง อย่าถืออภิสิทธิ์มากเกินไป จะนั่งกินนอนกินเงินอย่างเดียว ให้การอารักขาเขา ดีไม่ดีอย่างแร่ที่เขาศูนย์น่ะ กินกันไปกินกันมาตายหมด อย่างนี้มันต้อง ปู้ด ๆๆๆ เสียให้มันเสร็จสิ้นกันไป ไอ้ปู๊ด ๆๆ น่ะไม่ใช่ยิงหรอกนะ คือ เป่าคาถาให้ออกจากงานไปก็หมดเรื่อง
    เป็นอันว่าเด็กชายออกมามีรูปร่างงดงามมาก ท่านจึงให้นามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]พรหมกุมาร[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]สำหรับเด็กสหชาติทั้งหลายก็มีชื่อลงท้ายว่าพรหมเหมือนกัน เช่น ศิริพรหม กาญจนาพรหม มโนพรหม ฯลฯ นับตั้งแต่พรหมกุมารอยู่ในครรภ์ เริ่มต้นความอุดมสมบูรณ์ก็ปรากฏแก่บรรดาประชาชนชาวไทย และพวกขอมดำก็ลดตัวในการข่มเหงคนไทยลง เพราะคนไทยเกิดความแข็งแกร่งในจิต
    สำหรับเรื่องราวของพระเจ้าพรหมมหาราช นี่ถ้าจะพลาดพลั้งไปบ้าง ขอลูกจงให้อภัยแก่พ่อ เพระพ่อเป็นคนแก่ ตอนนี้ลูกอย่าลืมนะว่า เรากำลังพูดถึงอดีตของบรรดาบรรพบุรุษไทย ซึ่งท่านที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด และท่านที่เกิดมาเบื้องหลังของท่านทั้งหมดเวลานี้ ชีวิตของท่านไม่มีอยู่แล้ว ในช่วงนี้เราคุยกันถึงแดนของพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งเป็นโยนกนครเก่า กำแพงเมืองยังมีอยู่ แต่ทว่ากำแพงก็ไม่เป็นกำแพง เมืองที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงามก็ไม่มีอยู่แล้ว และในที่สุดคนทั้งหมดก็ตายหมด แต่พ่อก็ไม่แน่ใจนักว่า คนทั้งหลายที่ตายในเวลานั้น มานั่งร่วมวงคุยกับพวกเราอยู่ด้วยก็ไม่ทราบ ขอบรรดาลูกรักทั้งหมด จงอย่าเอาจิตไปติดในวัตถุ [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]วัตถุที่มีความสำคัญที่สุดก็คือร่างกายของเรา ที่เราเห็นว่าร่างกายมันเป็นเรา เป็นของเราน่ะ ความจริงมันไม่ใช่[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    พ่อมองดูหน้าลูกรักทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ พ่อคิดว่า ลูกทุกคนคงจะเกิดในสมัยนั้นแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลง คือ ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย มีความสุขบ้าง มีความทุกข์บ้าง ในที่สุดก็ตาย แล้วก็เกิด แล้วก็ตาย มาเป็นคนสมัยนี้ นี่เป็นความรู้สึกของพ่ออย่างเดียว พ่อไม่ยืนยัน แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็คงเกิดหลายวาระ การเกิดแล้วตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดแต่ละชาติมันก็มีแต่ความทุกข์ มีภาระในการปกครอง มีภาระในการบริหาร ในการเกิดทุกครั้ง เราก็หวังในความรุ่งเรืองของชีวิต แต่แล้วในที่สุดสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็หมดไป
    ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายที่ได้อภิญญาสมาบัติ และวิชชาสาม จงใช้อภิญญาสมาบัติ และวิชชาสามที่ได้มุ่งพระนิพพานอย่างเดียว การที่จะท่องเที่ยวไปดูภพดูชาติต่าง ๆ เป็นของดี แต่ก็อย่าเอาจิตไปยุ่งกับโลกีย์วิสัย คือ ความโลภ และความโกรธ คิดว่าชนชาตินั้นเคยเป็นศัตรูของเรา ชนชาตินี้เคยเป็นมิตรของเรา นี่เป็นทรัพย์สินของเรา อย่างกับคนที่มีอุปาทานกินใจ บอกว่าคนนั้น เมื่อชาตินั้นเคยเป็นภรรยาของฉัน ชาตินั้นเคยเป็นพระราชา เธอเคยเป็นภรรยาของฉันมาก่อน เธอเคยเป็นสามีของฉันมาก่อน เธอจะไปไหนไม่ได้ พ่อคิดว่านั่นเป็นอารมณ์ของความบ้ามากว่า เรื่องของคนละชาติมันก็เป็นคนละชาติ จะเอามาบวกกับชาตินี้ไม่ได้ ขอลูกจงอย่าติดอาการอย่างนั้น เป็นการแสดงถึงการติดด้วยอำนาจกิเลส คือ ตัณหาเป็นสำคัญ มีอวิชชาเป็นเบื้องหน้า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ควรจะคิดอย่างเดียวว่า เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    วิธีการไม่เกิด พ่อสอนลูกอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชชาสามกับอภิญญาที่ลูกได้นี่แหละเป็นจุดหมายชี้แนวทางแห่งการไม่เกิด ควรศึกษาความไม่เกิดเข้าไว้ การไม่เกิดเราต้องเสียสละ คือ ประการแรก เราต้องเสียสละเวลาการงานที่มีประโยชน์ของเราไปทำงานสาธารณประโยชน์ เพื่อทอดทิ้งความห่วงใย อาลัยในชีวิต แต่ก็ต้องเป็นบางจุด บางเวลา อย่าถึงกับเคร่งเครียดเกินไป ประการที่สอง สละทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เป็นส่วนสาธารณประโยชน์บ้างตามสมควรเพื่อเป็นการตัดความโลภ และเพื่อไม่เป็นการยึดเหนี่ยวชีวิตเกินไป เห็นว่าทรัพย์สินทั้งหลายที่เราเคยมีในกาลก่อนมากกว่านี้ เราก็แบกไปไม่ได้
    ประการที่สาม เราให้อภัยแก่คนผิดจัดเป็นอภัยทาน เป็นการตัดโทสะ ประการที่สี่ เห็นว่าร่างกายนี่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่ยึดถือร่างกาย ไม่ต้องการมี
     
  6. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    ร่างกายต่อไป มีความต้องการอย่างเดียว คือ พระนิพพาน เป็นการตัดโมหะ คือ ความหลงเท่านี้พอแล้วลูกรัก ตั้งอารมณ์หยั่งไว้เฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ การสอบสวนสืบเรื่องนรกมีจริง การระลึกชาติได้ถอยหลังเข้าไปหาความเบื่อนี่เป็นของดีพ่อไม่ห้าม แต่ว่าไปอวดวิเศษพ่อไม่เห็นชอบด้วย
    มาคุยกันต่อไปถึงเรื่องพระเจ้าพรหมมหาราช อาศัยที่เคยเป็นเณรมาก่อน มีเมตตาบารมี และอาศัยอำนาจฌานสมาบัติที่เคยได้นี้ไปเป็นพรหม กลับมาเกิดเป็นลูกชายของพระเจ้าพังคราช ลูกจะเห็นอำนาจของทานบารมี คือ พระเจ้าพรหมเป็นผู้มีเมตตาจริง เป็นผู้ให้อภัยทาน คิดเผื่อแผ่ให้คนไทยทั้งชาติมีความสุข ประการหนึ่ง
    ประการที่สอง เคยเกิดเป็นเณรมีศีลบริสุทธิ์ อดกลั้นความโกรธ ตอนเป็นเณรมีฌานสมาบัติ พ่อคิดว่าจะมีวิปัสสนาญาณด้วย อานิสงส์ของทาน ท่านบอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ทานัง สัคคะโส ทานัง[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ทานเป็นบันไดให้เกิดบนสวรรค์ อานิสงส์ของศีล [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]สีเลนะ สุขะติง ยันติ[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]สีเลนะโภคะสัมปะทา[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ศีลเป็นปัจจัยให้มีโภคสมบัติมาก [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]สีเลนะ นิพพุติง ยันติ[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ศีลเป็นปัจจัยให้ดับความทุกข์ [/FONT]
    เราจะมองเห็นอานิสงส์ของศีลของทานกันในตอนนี้ ตอนเป็นสามเณรมีศีลบริสุทธิ์ มีอภัยทานทำไว้แล้วด้วยดี มีเมตตาปรานี มีฌานสมาบัติ มีวิปัสสนาญาณ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ เป็นสมาธิ แล้วก็ตายไปเป็นพรหมมีความสุข ลงมาเกิดพร้อมด้วยสหชาติ พอเข้าท้องแม่ก็ปรากฏว่า ทรัพย์สินทั้งหลายปรากฏแก่บรรดาประชาชน ของที่เคยหายากก็หาได้ง่าย ของที่เคยหาได้น้อยก็หาได้มาก จิตใจของคนไทยทั้งชาติกลายเป็นไทยนักสู้รวมกำลังใจกัน นี่เป็นเรื่องของบุญบารมีที่สั่งสมไว้ ใครเขาจะว่ายังไงก็ช่างเขาเถอะ เราเห็นผลของเราก็แล้วกัน อาศัยที่ท่านมีจิตเมตตาอารีต้องการให้คนไทยรักกัน สามัคคีกัน มีความสุข
    ฉะนั้น ตั้งแต่เริ่มอยู่ในครรภ์มารดาก็ปรากฏว่าคนไทยมีความสมัครสมานสามัคคีกัน ความไม่สิ้นอาลัยในชีวิตที่คิดว่า คนไทยทั้งชาติจะต้องตายเพราะถูกขอมทำลายก็หมดสิ้นไป กลับเป็นคนไทยที่มีกำลังใจเพื่อสู้ คนไทยมีนิสัยตามผู้นำ ถ้าผู้นำดีไทยทั้งชาติก็สามารถจะเป็นเอกราชได้ ถ้าผู้นำชั่วไทยทั้งชาติก็จะมีแต่ความมัวหมอง เราจะดูได้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บางครั้งเราได้ผู้นำดีเราก็มีความสุข หน้าชื่นตาบาน บางครั้งที่มีผู้นำระยำก็หน้าเศร้าไปตาม ๆ กัน สิ่งที่ไม่ควรเสียก็เสีย สิ่งที่ควรจะได้ก็ไม่ได้
    มาตอนนี้ เมื่อพระเจ้าพรหมเกิดแล้ว พระยาโหราธิบดีพยากรณ์ไว้ว่า เด็กคนนี้มาจากพรหม จะมาทำให้ไทยทั้งชาติเป็นอิสรภาพ ไทยจะเป็นเอกราช จะชนะขอม กำลังใจของคนไทยก็เข้ามารวมกัน มีความสุข พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ขึ้น คนไทยตั้งหน้าตั้งตารออยู่อย่างเดียวว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เมื่อไรหนอ พรหมกุมารจึงจะโตพอที่จะเป็นผู้นำเกี่ยวกับการรบได้[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ที่ลูกทุกคนเห็นแล้วว่า สมัยนั้นพระเจ้าพังคราชทรงแต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดาไปไหนก็จูงลูกชายคนโต คือ ทุกภิกขะ หรือทุกขิตะกุมา และอุ้มลูกชายคนเล็ก คือ พรหมกุมารเป็นเด็กสวย
    น่ารัก ไว้ผมจุกมีเครื่องล้อมจุก แลมีปิ่นปักเป็นทองคำประดับด้วยทับทิม ท่านเดินไปไหนคนไทยเห็นแล้วก็มีความสุข นี่ลูกรัก ไอ้ความสุข ความทุกข์จริง ๆ น่ะมันอยู่ที่ใจ ท่านจะไปไหนก็มีคนกราบไหว้บูชา เห็นรึยังลูกว่าค่าของความดีของคนมีศีลมีธรรมน่ะ มีประโยชน์อย่างนี้
    ขอเล่าลัดตัดความมาถึงเด็กชายพรหมโตเป็นเด็ก ชอบเล่นยุทธวิธี เอาสหชาติ ๒๕๐ คน มาเล่นรวมกัน ชอบการรบ เอาไม้มาทำเป็นอาวุธบ้าง ทำม้าขี่บ้าง ทำหน้าไม้บ้าง สมมติขึ้นเล่นกองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพราบ เล่นขนเสบียงอาหาร เล่นการเกษตร ทำโรงงานสร้างอาวุธบ้าง สมมติเอา สมมติว่านี่เป็นเหล็ก เป็นทองคำ นี่เป็นเงิน เป็นอะไรก็ตาม บรรดาผู้ใหญ่เห็นเด็กเล่นแบบนี้ ก็ชื่นใจในยุทธวิธีของเด็กอย่างคาดไม่ถึง ก็เป็นเรื่องแปลก อย่างเล่นสมมติว่า ถ้าข้าศึกมีฝีมือดีกว่า หนังเหนียว เราจะรบกับข้าศึกอย่างนี้เราจะทำยังไง นั่นคือ การฝึกกระโดดสูง กระโดดข้ามรั้ว และให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระโดดข้ามหัวคนได้แบบสบาย ๆ แล้วฝึกตีข้าศึกด้านท้ายทอยด้วยสันดาบ เวลารบยั่วข้าศึกเปิดจังหวะให้ข้าศึกฟัน พอข้าศึกโถมตัวเข้าฟันก็หลบแล้วโดดขึ้นสูงตีท้ายทอยด้วยสันดาบ วิธีนี้เขาก็เล่นกัน
    พออายุเกือบ ๑๐ ปี เริ่มใช้มันสมอง คือเมื่อติดตามพระราชบิดาไปไหนก็มักจะถามว่านี่เขาทำอะไรกัน ตอนนั้นการทำพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ดี แร่ก็มีมาก ทองคำก็ได้มากการทำพืชพันธุ์ธัญญาหารเวลานั้น ทำในพื้นที่แคบ ๆ พรหมกุมาจึงได้กราบทูลสมเด็จพระราชบิดาว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]การปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารจะหวังแต่น้ำฝนอย่างเดียวก็ไม่พอ ถ้าจะให้อุดมสมบูรณ์กว่านี้ก็น่าจะขุดบ่อเป็นที่เก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งจะได้ปลูกพืชได้ ควรขุดบ่อใหญ่ ๆ เวลาที่เด็กคนนี้พูดกับพ่อคือพระเจ้าพังคราช คนเขาก็นั่งล้อมเขาก็ได้ฟังด้วย ทุกคนก็เห็นชอบด้วยนี่เป็นประชาธิปไตยแท้ไม่ใช่คณาธิปไตย บรรดาประชาชนฟังแล้วก็เข้าใจและเห็นชอบด้วย ก็ส่งข่าวกันออกไปว่า พวกเรา เด็กชายที่จะมาทำให้เรามีความสุข ให้ขุดบ่อใหญ่ ๆ ไว้ เก็บกักน้ำไว้จะได้ใช้ในฤดูแล้งปลูกผักได้ วัวควายจะได้กินน้ำได้ คนก็ใช้น้ำได้ด้วย ทำไร่ทำนาได้ ประชาชนทุกกลุ่มทุกหมู่บ้าน พากันขุดบ่อไว้ เวลาฝนตกน้ำหลากมา น้ำก็เต็มบ่อ เวลาฝนหมดไปแล้วน้ำก็ยังมีอยู่ใช้สะดวก ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์กัน ตอนนี้อุ่นหนาฝาคั่ง
    เมื่อพรหมกุมารอายุได้ ๑๒ ปี คืนวันหนึ่งมีเทวามาเข้าฝันว่า วันรุ่งขึ้นให้ไปที่แม่น้ำโขงจะมีช้างเผือก ๓ เชือก ถ้าจับช้างเชือกที่ ๑ ได้จะเป็นจ้าวโลก ถ้าจับช้างเชือกที่ ๒ ได้จะปราบชมพูทวีปได้หมด ถ้าจับช้างเชือกที่ ๓ ได้จะปราบขอมได้หมด พอตื่นขึ้นมาก็กราบทูลให้พระราชบิดาทราบ และพระราชบิดาก็มีความเชื่อมั่นว่า ลูกชายคนนี้มาจากพรหมจะต้องมีเทวดาประคับประคอง จึงอนุญาตให้ไปดักช้างเผือกได้
    ตอนสาย พรหมกุมารไปดักช้างตามความฝัน แทนที่จะเห็นช้างก็กลับเป็นงูหงอนแดงตัวขาวโพลนใหญ่โตมาก พรหมกุมารกับเพื่อน ๆ คิดว่า เรามาคอยช้าง แต่นี่เป็นงูหนอนก็ไม่เอา ตัวที่สองมาเป็นงูหงอนแบบเดียวกันอีก แต่ขนาดย่อมลงไปหน่อยก็ปล่อยไปอีก ตัวที่สามก็มาแบบเดียวกันอีกก็เลยตัดสินใจ งูก็งู มีบัญชาบอกเพื่อนสหชาติลงจับละ ก็โผลงไปในน้ำ โดดจับคองูหนอนก็
     
  7. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    กลายเป็นช้างเผือกขาวโพลนเดินทวนน้ำมาได้ น้ำกำลังไหลหลากมาก ที่นั่นจึงมีนามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]บ้านควานทวน[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ตอนนี้ช้างไม่ยอมขึ้นฝั่งละซี ขับไสอย่างไรก็ไม่ยอมขึ้น พรหมกุมารจึงให้สหชาติไปกราบทูลพระราชบิดาให้ทรงทราบพระองค์ก็เรียกโหรมา โหรบอกว่า ต้องเอากระพังทองไปตีล่อจึงขึ้นมา
    [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]สำหรับกระพังทองคำน่ะทำไว้แล้ว ตามประวัติศาสตร์บอกว่าทำวันนั้นน่ะไม่ทันหรอก ท่านบอกพระเจ้าแม่ทำไว้แล้ว[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]
    พระเจ้าพังคราชจึงจัดให้คนแต่งตัวสวย ๆ ถือดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะจัดเป็นขบวนไปถึงกราบไหว้เชิญพระยาคชสาร แล้วตีกระพังทอง ช้างก็เดินตามกระพังทองขึ้นมาแบบสบาย พอมาถึงที่ก็จัดพิธีทำขวัญช้างพลายประกายแก้ว ซึ่งมีสีขาวโพลนตามลำตัวมีประกายระยับคล้ายแก้วสวยสดงดงามจึงทำเครื่องประดับครบเครื่องทรง และปล่อยเป็นอิสระไม่มีการใส่ปลอก รางที่ใส่หญ้าให้กินก็ทำด้วยทองคำ ปล่อยเข้าป่าสบาย ๆ สัตว์ในป่าทั้งหมดกลัวช้างพลายประกายแก้วยอมหมอบราบคาบแก้ว แต่มีช้างที่อยู่ในป่ามาร่วมเป็นสหชาติด้วยโดยไม่ต้องไปต่อหรือไปดึงมา ช้างพลายประกายแก้วเป็นหัวหน้าพาโขลงช้างเข้ามาในเวียง ทุกคนดีใจมากที่มีช้าง มีม้า การฝึกง่ายมากพูดภาษาคนธรรมก็รู้เรื่อง
    เมื่อพรหมกุมารอายุได้ ๑๖ ปี พระเจ้าพังคราชก็ให้แต่งงานมีภรรยาเป็นหลักฐาน ต่อมาท่านก็ทำงานใหญ่ กราบทูลพระราชบิดว่า คนไทยขืนเป็นทาสของขอมต่อไป ความเป็นไทก็ไม่มีเราก็ไม่มีความสุขเพราะเขาบีบคั้นเรา ทองคำ ๒๐ ชั่งต่อปี ให้เขาไป ๑๐ ปีก็ ๒๐๐ ชั่ง เราหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานก็ไม่น่าจะให้เขา แต่พระราชบิดาก็กล่าวว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เราเป็นผู้แพ้เขานี่ลูก[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ลูกชายพรหมกุมารจึงกล่าวว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ต่อไปนี้เราจะไม่เป็นผู้แพ้ ดินแดนของเราอยู่เพียงไหนเราจะยึดเอามาให้หมด แล้วจะยึดพื้นที่เพิ่มอีกไม่น้อยกว่า ๔ เท่า[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    เวลาคุยกันนี่ก็เป็นเวลาที่อยู่กับประชาชน ชาวบ้าน ไม่ใช่เวลาออกขุนนาง เพราะพระเจ้าพังคราชท่านเสด็จไปไหน ท่านก็นุ่งกางเกงดำคลุมเข่าลงนิดหน่อย ใส่เสื้อดำมีผ้าขาวม้าคาด ดีไม่ดีท่านก็แบกจอมแบกเสียมไปทำทุกอย่างที่เขาทำกัน ไม่เคยนั่งชี้นิ้วเป็นจ้าวเป็นนายไปไหนตัวเสน่ห์ใหญ่ คือ เด็กชายพรหม คนเขาก็หมอบราบคาบแก้ว เด็กชายพรหมก็วิ่งไปกราบเขา ว่าคุณลุงคุณป้าอย่ากราบผมเลย ผมก็เป็นลูกคนธรรมดา ๆ จะกราบผมทำไม แต่ทุกคนเขาไม่ยอมเพราะเขาเชื่อโหรพยากรณ์ว่าเด็กคนนี้จะกู้ชาติ
    เป็นอันว่า เด็กชายพรหมกราบทูลพระราชบิดาว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ต่อไปนี้คนไทยทุกคนต้องเป็นนักรบ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พระราชบิดาก็กล่าวว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ตั้งแต่ลูกเข้ามาสู่ครรภ์แม่ คนไทยเขาก็เป็นนักรบกันหมดแล้วลูก เขาฝึกปรืออาวุธกันเป็นอย่างดี[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พอดีมีคุณยายคนหนึ่งอายุ ๘๐ ปี แล้วลุกขึ้นคว้าขวานชูขึ้นบอก [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]หลายเอ๋ย ถ้ายายจะต้องตายเพราะฆ่าขอมให้ตาย ยายพร้อมตายเพื่อความเป็นไท[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]แล้วยายก็แกว่งขวานให้ดู เป็นอันว่าคนไทยทุกคนต้องการอย่างเดียวว่า เด็กชายพรหมจะเอาอะไร เขาพร้อม เมื่อเด็กชายพรหมต้องการให้คนไทยทุกคนมีชีวิตเป็นทหารบรรดาแม่ทัพนายกองเก่า ๆ ทั้งหลายเขาฝึกอาวุธไว้
    แล้ว และคนไทยทุกคนก็พร้อมอยู่แล้วจึงร่วมกันฝึกอาวุธทันทีฝึกกันเป็นหย่อม ๆ แต่ต้องปิดบังขอม ยุทธวิธีแบ่งเป็น พลม้า พลช้าง พลราบ พลหอก พลดาบ พลธนู แยกย้ายกันออกไปฝึกไม่ต้องเกณฑ์เขามาฝึกกันเองด้วยกำลังใจ
    เด็กชายพรหมก็ปรึกษาพระราชบิดาต่อหน้าประชาชนว่า ถ้าเราจะรบกับเขานี่ ถ้าเวลาฤดูแล้งเขาปิดน้ำเราตาย เราควรจะขุดสระใหญ่ ๆ ไว้ ในบริเวณของเราสัก ๑๗ สระ สมมติว่าถ้าเราจะถูกกักบริเวณสัก ๑ ปี น้ำของเราจะพอกินพอใช้ก่อนฤดูน้ำหลากมา ทำเกษตรก็ได้ และอีกประการหนึ่ง เราต้องสะสมอาหารไว้ให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้าวกับเนื้อสัตว์เค็ม ถ้าเกิดรบกันขึ้นมาอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี เราจะได้ไม่ขาดอาหาร
    เมื่อชาวบ้านได้ยินลูกชายพูดกับพ่อ ก็เหมือนได้รับคำสั่ง ต่างคนต่างไปขุดสระ และเชื่อมน้ำติดต่อกันทุกสระด้วยลำรางเล็ก ๆ แล้วขุดลำรางเชื่อมจากแม่น้ำโขงกับสระใหญ่ เมื่อน้ำเต็มสระใหญ่ก็ไหลต่อไปสระเล็ก ทุกสระเต็มไปด้วยน้ำ เมื่อเตรียมการเสร็จ พรหมกุมารก็กราบทูลสมเด็จพระราชบิดาว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ต่อแต่นี้ไปไม่ต้องส่งส่วยขอมดำอีกแล้ว[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พูดต่อหน้าประชาชน พระราชบิดาก็ตอบว่า ถ้าไม่ส่งส่วยเขาก็มารบซิลูกเพราะเขาหาว่าเราแข็งเมือง เด็กชายพรหมจึงว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เราพร้อมรบ ไม่พร้อมรับ แต่เราพร้อมรุก[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พระราชบิดากก็เตือนว่า ลกรัก พลรบคือทหารของเขามันเท่ากับพลเมืองของเราทั้งหมดนะลูกนะ ู
    เด็กชายพรหมจึงกราบบังคมทูลพระราชบิดว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เรื่องการรบนี่ การแพ้หรือชนะไม่ได้อยู่กำลังพล ถ้ารบด้วยกำลังคนหรือกำลังอาวุธ ก็ถือว่าเป็นการแพ้ชนะที่ไม่เด็ดขาด การรบจริง ๆ ต้องใช้กำลังคนด้วย กำลังปัญญาด้วย กำลังความสามัคคีด้วย ความเด็ดเดี่ยวด้วย ลูกมั่นใจว่าการรบคราวนี้ถ้าจะพึงมีขึ้นเราต้องชนะ แต่เราไม่ได้เป็นฝ่ายไปตีเขา ถ้าเขามาตีเรา เราก็ตีเขา ถ้าเขาไม่ตีเรา เราก็ยังไม่ตีเขา เราพร้อมรบเท่านั้น ต้องพร้อมรับและพร้อมรุก[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    เป็นอันว่า พระเจ้าพังคราชก็ตามใจเพราะเชื่อโหร ท่านไปถามพระยาโหราธิบดีว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ว่ายังไง[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]โหรก็ยิ้มและตอบว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เห็นชอบด้วยกับพรหมกุมารพระเจ้าค่ะ และเวลานี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะเป็นอิสรภาพ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]แล้วโหรก็ลงเลขฉับ ๆ ตอบว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เรื่องการรบ แพ้สงครามไม่มี[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]เท่านั้นเองประชาชนลุกขึ้นไปกระจายข่าวว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ไทยเตรียมรบ ไทยจะไม่เป็นทาสขอม ไทยจะไม่ให้ทองคำแก่ขอม เราพร้อมรบ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]คนไทยทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส รื่นเริงคอยเวลานี้มา ๑๖ ปี แล้วว่าเมื่อไรจะลั่นกลองรบด้วยวาจาของพรหมกุมาร
    เจ้าขอมดำมันรู้ว่าแข็งเมืองเพราะไม่ส่งส่วย ก็จัดแจงยกกองทัพมาปราบเราหวังเผด็จศึกให้สิ้นซากไป ฝ่ายคนไทยพร้อมอยู่แล้วนี่ ก็จัดกองทัพยกออกไปทันที การยกกองทัพไปคราวนั้นมีช้างพลายประการแก้วนำทัพ พรหมกุมารประทับนั่งทรงเครื่องแม่ทัพสวยงามสง่าผ่าเผยมาก สำหรับพระราชบิดาประทับบนหลังช้างอีกเชือกหนึ่งมีเศวตฉัตรกั้นเป็นจอมทัพ มีแม่ทัพนายกองแต่งตัวสวย ๆ เพราะพรหมกุมารได้กราบทูลพระราชบิดา และพระราชมารดาว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]นักรบทุกคนต้องแต่งตัว
     
  8. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    สวยเป็นการตัดไม้ข่มนาม[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ข่มกำลังใจกันไปในตัวเสร็จ พลทหารใช้เกราะเงินแกมทอง นายทหารใช้เกราะทอง แม่ทัพใช้เกราะทองประดับเพชร มันเป็นการสง่าผ่าเผย ทำให้ข้าศึกครั่นคร้ามเป็นจิตวิทยาอันหนึ่ง แม้จะมีการรบเราก็พร้อมรบพร้อมรุกแต่งตัวสวยสะโอดสะอง
    ขอมยกทัพมามีกำลังมากว่าเรา ๔ เท่า แม่ทัพยิ้ม สหชาติ ๒๕๐ ก็ยิ้ม ชี้ให้กันดูว่า พวกนี้ไม่มีชีวิต เจ้าพวกขอมที่มากันนี่มันเป็นผีหมด เป็นการปลุกใจกัน ดูซิว่าเครื่องแต่งกายมันก็สู้เราไม่ได้ เหมือนอสุรกายแท้ ๆ และมาอย่างเกณฑ์กันมา ของเราไม่มีการเกณฑ์เรามาด้วยกำลังใจ การรบแพ้ชนะอยู่ที่กำลังใจเป็นสำคัญ เรามีความสามัคคีกันมีความหวังดีกัน นี่แหละลูกหลานที่รัก การที่เราจะอยู่ร่วมกันด้วยดี ก็ต้องอาศัยชนะกำลังใจกันเป็นสำคัญ การชนะแต่กายมันชนะไม่จริง โดยเฉพาะพวกที่อยู่ด้วยกันต้องมีความสามัคคีกัน
    พรหมกุมารจึงประกาศกับบรรดาประชาชนว่า ถ้าคนไทยจะพึงแพ้แล้วก็ควรจะตายกันทั้งชาติ เพราะว่าผืนแผ่นดินแห่งโยนกนครทั้งหมดตั้งแต่เชียงแสนมาถึงพะเยาเป็นของเราเดิม เวลานี้เราถูกจำกัดเขตให้อยู่ในแดนทุรกันดารมีเนื้อที่นิดหน่อยประมาณแสนไร่เศษ แล้วคนของเรามีเท่าไร ขอมดำไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ แต่กลับมาเป็นเจ้าของพื้นที่ อิสรภาพของเราก็หมดไป และนอกจากนั้นเราต้องส่งส่วยทองคำให้เขาปีละ ๑๐ ชั่ง คิดเป็นเงินเท่าไร ถ้าเราจะเอาทองนั้นมาขายเลี้ยงคนของเราเองก็จะมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนของเราเกิดขึ้นมาทุกวันจำนวนคนมากขึ้น เนื้อที่ก็ดูเหมือนว่าจะแคบลง เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มากขึ้นเพราะเนื้อที่มันเท่าเดิม การทำมาหากินก็ลำบาก ต้องไปหากินในแดนไกลออกไป
    ดังนั้น การรบคราวนี้ เรารบเพื่อหวังประโยชน์สองอย่าง ๑[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]รบเพื่อหวังอิสรภาพ ไทยต้องเป็นไท ๒[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]เพื่อขับไล่ขอมให้ออกไปจากเขตของประเทศไทย การรบคราวนี้ถ้าเพลี่งพล้ำ แพ้เขาแล้ว ไทยทั้งชาติจงอย่ามีชีวิตอยู่เลย และถ้าเราจะตายก็ควรจะตายจากอาวุธของข้าศึก ไม่ใช่ตายด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะการฆ่าตัวตายหนีภัยจากข้าศึกเป็นความขลาดของบุคคลที่ไม่ใช่คนไทย เราต้องต่อสู้กับข้าศึกและต้องตายเป็นคนสุดท้าย ถ้าเราขืนมีชีวิตอยู่ ขอมจะไม่ปรานีเรา เพราะอะไร เพราะอันดับแรก เขายึดพื้นที่ของเรา อันดับต่อมาเขากักบริเวณให้เราอยู่เป็นการทรมานเราให้หนีไปจากแผ่นดินที่เขาต้องการ หรือให้เราตายไปเพราะความลำบาก เขายื่นโยนความตายให้เราทีละน้อย ๆ
    คนไทยทุกคนเคยมีบ้านสวยสดงดงามในโยนกนคร เคยมีอิสรภาพ เคยอยู่เป็นสุข จะกินก็มีความสุข จะนอนก็มีความสุข เป็นพื้นเพที่มีความสบาย แต่หลังจากขอมยึดพื้นที่เราไปแล้วขับไล่เรามาอยู่ที่ วังสีทอง หรือเวียงสีทอง มีขอบเขตจำกัด เรามีความรู้สึกยังไงบ้าง ขอบรรดาพ่อแม่ พี่น้องทั้งหลายนึกถึงความหลังว่าเดิมทีเราเคยมีที่อยู่ขนาดไหน มีบ้านโตหรือบ้านเล็ก อิสรภาพในการทำมาหากินของเราเป็นไปโดยสะดวกหรือลำบาก พระราชาของเราเคยกดขี่ข่มเหงบรรดาประชาชนชาวไทยเหมือนขอมดำหรือไม่ ลูกเขาเมียใครที่มีเจ้าของอยู่ ขอมต้องการเมื่อไรเราต้องยื่นโยนให้เขา แต่สมัยที่เราปกครองกันเองเป็นยังงั้นหรือเปล่า
     
  9. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    เมื่อพรหมกุมารพูดอย่างนี้ คนไทยทุกคนมีความรู้สึกนึกถึงความหลังว่าเดิมเราเคยมีนา ๑๐๐ ไร่ ๒๐๐ ไร่ เราจะไปไหนก็ได้ เราจะนอนเมื่อไรก็ได้ ไม่มีใครบังคับบัญชา ใครอยากค้าขายก็ค้า ใครอยากทำไร่ทำนาก็ทำได้ทุกอย่าง เรามีอิสรภาพ มีบริเวณกว้างขวาง แต่เวลานี้เรามาอยู่ในแคว้นจำกัด คนยัดเยียดกันเราเคยมีบ้าน ๑ หลัง คน ๑๐ คน อยู่ก็ไม่คับแคบ แต่เวลานี้เราต้องมาปลูกกระต๊อบอยู่โคนต้นไม้ ต้องขุดหัวเผือกหัวมันกิน ข้าวที่ทำขึ้นมาแต่ละปีก็ไม่พอจะกิน ต้องหาพืชพันธุ์ธัญญาหารจากป่ามากินกัน บางทีข้าวปลาไม่มีจริง ๆ ๔[FONT=Cordia New,Cordia New]-[/FONT]๕ วัน เราจึงจะได้กินข้าว กินผล หมากรากไม้ไปตามที่หาได้ ร่างกายก็ทรุดโทรม
    แต่ความอุดมสมบูรณ์ก็เกิดขึ้นมาได้เพราะพรหมกุมารเกิดขึ้นมา นี่คนโบราณเขาถือโชคลาง จะว่าเขาถือผิดก็ไม่ได้ เพราะเขาถืออยู่คนที่ว่านับแต่พรหมกุมารเกิดขึ้นมาแล้วทุกคนมีความสุขกัน ลืมตา อ้าปากได้ มีความสุขมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ว่านี่มันเป็นพื้นที่แคบ ๆ ถ้าเรากลับยึดเอาโยนกนครคืนมาให้ได้หมด มันมากกว่าที่เราอยู่ปัจจุบันหลายร้อยเท่า ชีวิตความสุขจะกลับคืนมา และก็จะมีความสุขไปยิ่งกว่านี้ ทุกคนก็เห็นด้วย
    พรหมกุมารหรือพระเจ้าพรหมมหาราชจึงประกาศต่อไปอีกว่า การรบคราวนี้จงนึกถึงการรบคราวก่อน เราแพ้เขา ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ไปรุกรานเขา ขอมดำยกทัพมารุกรานเราเอง เราแพ้เขา เขาใช้อำนาจทำกับเรายังไง ถ้าเราแพ้คราวนี้ก็หมายถึงว่า คนทุกคนต้องตายอย่างทรมาน เพราะว่าเขาโกรธที่เราแข็งเมือง ฉะนั้น ขอทุกคนจงรบเพื่อชัยชนะ แต่อย่ามีความประมาท ข้อสำคัญที่สุดคือระเบียบวินัย ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา สั่งยังไงทำตามโดยเคร่งครัด เราจะชนะข้าศึกได้ คำว่าแพ้จะไม่มีสำหรับคนไทย
    พอจบคำประกาศของพรหมกุมาร ก็มีเสียงโห่ร้อง [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]สมัยนั้นไม่มีคำว่า ไชโย[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]กึกก้องขึ้นมาทั้งแผ่นดินสะเทือนไปหมด พร้อมกันนั้นก็มีฝนตกลงมาเป็นฝอยแสงแดดจ้าเป็นเวลาเที่ยง ฝนละอองตกมาในอากาศ แสดงว่าบรรดาเทวดา พรหมทั้งหลายให้พร เมื่อความมหัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างนั้น กำลังใจของคนไทยทั้งหมดก็มีความคึก เพราะเห็นว่าเทวดาช่วยเรา กองทัพช้าง ทัพม้า ทัพหน้า ทัพหลวง ปีกซ้าย ปีกขวาพร้อม ไปตั้งทัพคอยข้าศึก เพราะเราได้เปรียบ นี่การรบมันต้องชิงไหวชิงพริบกันแบบนี้ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาตีประจัญหน้ากัน ยุทธวิธีมี ๒ แบบ คือ ยุทธวิธี และกลยุทธ
    ยุทธวิธี คือ รบตามแบบ สำหรับกลยุทธเป็นการใช้ปัญญาลวงข้าศึก การรบไม่ใช่ทุ่มเทแบบตายเป็นตาย มีเท่าไรตายให้หมด ถ้าแบบนั้นไม่ต้องไปรบหรอก นอนเชือดคอตายที่บ้านเสียก็หมดเรื่อง การรบต้องคิดว่า เราหนึ่งชีวิตถ้าชีวิตเราจะต้องเสียไปอย่างน้อยต้องแลกกัน หนึ่งต่อหนึ่ง และต้องคิดว่า การท้อถอยเนื่องจากบาดเจ็บ การเสียดายชีวิตจะไม่มีในเรา เราจะสละชีพเพื่อชาติ ไม่ใช่สละชาติเพื่อชีพ นี่ถ้าตัดสินใจแบบนี้แล้ว กำลังใจมันดีกำลังใจจะเยือกเย็น การรบนี่ใจสั่นไม่ได้หรอก มันเสียท่าข้าศึก เวลาเคลื่อนเข้าโจมตีกับข้าศึกต้องคิดว่า คราวนี้จะได้กลับหรือไม่ได้กลับไม่สาคัญ มันอาจจะต้องตายหรืออาจจะอยู่ก็ได้ ถ้าเราจะตายหนึ่งคนอย่างน้อยข้าศึกต้องตายหนึ่ง นี่การรบแบบไทยแท้ ๆ ํ
    เป็นอันว่า เมื่อตั้งรับเสร็จ ตั้งกลยุทธเสร็จ กองทัพขอมก็เคลื่อนมา เขามากกว่าเรา ๔ เท่า เรา ๑ เขามา ๔ คน หรือ ๑๐ เพราะกำลังพลรบเขาก็มากกว่าคนทั้งหมดของเราอยู่แล้ว และเราตัดเด็ก คนแก่ ออกอีกล่ะเหลือเท่าไร คนแก่ตั้งแต่ ๖๐ ปี ลงมาเป็นทหารหมด และถ้าอายุ ๖๐ ปี ขึ้นไปยังแข็งแรงอยู่ก็เอาเป็นทหารหมด เด็กอายุต่ำกว่า ๑๖ ปี ตัดออกไปเป็นกำลังหนุน และกำลังเสบียง สำหรับคนแก่อายุเกิน ๖๐ ปี ที่มีความชำนาญธนูหน้าไม้ก็เอาไว้เป็นกองโจร คอยรุกรานบั่นทอนกำลังข้าศึก
    พรหมกุมารนั่งบนคอช้างประกายแก้ว สง่างามอยู่หน้ากองทัพ มีเศวตฉัตร ๗ ชั้น กั้นอยู่ นี่เป็นการข่มขวัญกัน มีคนกั้นเศวตฉัตรซึ่งท่านแม่ทำสวยแจ๋ว ทำด้วยแผ่นแก้วตำแหน่งแม่ทัพ สำหรับท่านพ่อคือพระเจ้าพังคราชมีฉัตรทองงามระยับ ๙ ชั้น กั้นเป็นจอมทัพ แต่ทว่าแม่ทัพสั่งจอมทัพอยู่เฉย ๆ ยังไม่ต้องรบ ท่านแต่งองค์สง่างามมาก แม่ทัพนายกองแต่งตัวสง่าลดหลั่นตามลำดับ ช้างทุกเชือก ม้าทุกตัวมีเครื่องประดับแพรวพราว มีกูบทองคำทำสวยงามมาก ไม่รู้ว่าจะไปรบหรือว่าไปขายกันแน่
    ลูกรักของพ่อทุกคน ฟังพ่อพูดละก็ดูตามไปด้วยนะ ใช้อตีตังสญาณนะลูก ดูว่าแนวรบเราตั้งยาวเหยียดขนาดไหน และหน่วยกองโจรที่ซุ่มตามที่ต่าง ๆ เลี้ยงวัว เลี้ยงควายกันตามประสาคนแก่เหลาแย่ พี่พวกข้าศึกนึกว่าไม่มีกำลัง เขาอยู่ที่ไหนกันบ้าง เขาเตรียมการณ์แบบไหนกันบ้าง นึกดูในใจนะ เอาใจเข้าไปจับภาพให้ชัด ถ้าไม่สามารถจับภาพได้ก็กราบทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ ทูลถามท่านปู่ก็ได้ลูก ท่านปู่พระอินทร์ หรือว่าท่านปู่พังคราชก็ได้ ว่าขอดูภาพในเวลานั้น ขอให้ภาพนั้นปรากฏแก่ใจของลูหลานเห็นไหมลูก
    เราจะเห็นว่าในเวลานั้น การแต่งกายเป็นชายทั้งหมด แต่จริง ๆ เป็นผู้หญิงตั้งเยอะ จับดาบ ๒ มือ มีหอกซัด มีขอ มีง้าว สารพัด กองทัพขอมเขายกมาแบบรื่นเริงโห่ร้องกันมา การโห่ของขอมคงไม่เหมือนไทย ขอมคิดว่าคราวนี้ไทยต้องย่ำแย่ ขอมตั้งใจมาเลยว่าคราวนี้ขึ้นชื่อว่าคนไทยทุกคนจะต้องไม่มีชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เพราะขืนให้มันมีชีวิตอยู่มันก็ต้องขบถแบบนี้อยู่ตลอดเวลา เห็นไหมลูก เขาถือว่าเราขบถ แต่ว่าเขาเป็นโจรปล้นทรัพย์สินของเราเขาไม่คิด นี่เป็นกำลังใจของคนอันธพาล จะว่ากันจริง ๆ มันก็เป็นไอ้โจรร้ายนั่นเอง
    พอกองทัพขอมดำเข้ามาใกล้ มันยับยั้งจะตั้งค่าย ยังไม่ทันจะตั้งท่าเพราะมันเดินขบวนมากัน พอล้ำเขตไทยเท่านั้น พรหมกุมารก็ให้สัญญาณยิงธนูไฟทันที หน่วยกองโจรที่เลี้ยงควายบ้าง ขุดหัวเผือกหัวมันบ้าง ก็ยิงธนูไฟ ยิงธนูสังหารทันทีมาจาก ๒ ข้างทางพร้อมกันนั้นกองทัพทั้งหมดก็บุกตะลุยทันที พรหมกุมารไสช้างพลายประกายแก้วสีขาวผ่อง และเนื้อเป็นประกายเข้าทันที บรรดาสัตว์พาหนะของข้าศึกเห็นช้างพลายประกายแก้วเข้าก็กลัว วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไอ้ขอมที่อยู่บนหลังม้าคอช้างมันจะอยู่ได้ยังไงเมื่อช้างม้ามันวิ่งหนี
    แม้แต่คนเดินก็เหมือนกัน กำลังใจเสียหมด กองทัพไทยจึงไล่ฟาดฟันขอมอย่างไม่ปรานี พวกที่ตายมากก็คือกองทัพราบ ตายเพราะถูกช้างม้าเหยียบตาย คนเหยียบกันตายมาก ที่ไปไม่ไหวจริง ๆ ก็ถูกคนไทยทั้งสตรี และบุรุษ [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]แต่เวลานั้นแต่งตัวเป็นผู้ชายหมด[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]ไล่ฟันตายเสียนับไม่ถ้วน
    ความจริงถ้าจะนับก็ถ้วน แต่ไม่มีเวลานับ ข้าศึกวิ่งหนีไม่ได้ยับยั้ง วิ่งเข้าเมืองโยนกนครแล้วปิดประตูเมือง ช้างพลายประกายแก้วใช้งาแทงประตูพังเลย บุกเข้าไปฟาดฟันข้าศึก
    ตอนนี้ภรรยาก็เป็นทหารไปรบด้วยตามเข้าไปเสียท่าข้าศึกตอนเข้าประตูเมือง ข้าศึกมันแอบอยู่ข้างประตูเมืองมันใช้หอกแทงภรรยาตาย ตอนนี้ใครเป็นใครตายเสียดายกันไม่ได้แล้ว พรหมกุมารเห็นเมียตายยิ่งโมโหร้ายใหญ่ ขับไสช้างประกายแก้วบุกฟาดฟันพังวินาศสันตะโร ข้าศึกเก็บของไม่ทัน ไล่ตีออกทางหลังเมืองตั้งตัวไม่ติด ของสักนิดเก็บไม่ได้ เพราะขืนเก็บก็ถูกฆ่าตาย หนีออกจากเมือง กองทัพของพระเจ้าพรหมราชติดตามไล่ข้าศึกไม่ลดละ ตีทั้งกลางวันกลางคืนไม่ยับยั้ง
    ถ้าจะถามว่ากินข้าวที่ไหน ก็ตอบว่า นักรบทุกคนมีข้าวตากคั่วผสมเกลือเค็ม ๆ หวาน ๆ มีข้าวตากยังไม่คั่วด้วยมีกระติกน้ำ รบไปกินไปประทังชีวิต ได้รับคำสั่งอย่างเดียว [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ขอมอยู่ที่ไหนฆ่าให้หมดแม้แต่เด็กที่ออกในวันนั้น ก็อย่าให้เหลือเป็นเชื้อขอม ตีไม่หยุด ๓ วัน กับ ๓ คืน ขอมมันไม่ได้กินข้าวนี่ ปัดโธ่ มันก็เพลีย ไปไหนไม่ไหว ช้าลง ถ้าช้าก็ตาย แค่ ๓ วัน กองทัพช้างทัพม้าก็มาถึงทุ่งยั้งทัพที่เวลานี้เขาเขียนไว้ว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]บ้านยั้งทัพ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]มาหยุดตรงนั้น พลรบตามไม่ทันพระเจ้าพรหมราชจึงสั่งยั้งทัพเป็นการพักกำลัง แล้วเคลื่อนไปรวมกันที่บ้านชุมพล พักกันที่นี่ ๓ วัน
    เป็นอันว่าข้าศึกซึ่งมีกำลังมากกว่าเรา ๔ เท่า ต้องย่อยยับไป ทั้งนี้เพราะอาศัยคนไทยตัดสินใจแน่นอนว่าการรบคราวนี้มี ๒ ทาง ถ้าไม่ชนะก็หมายถึงว่าตายทั้งชาติ เพราะเขาไม่เก็บเราไว้แน่ ดังนั้นการรบ ต้องตัดสินใจแน่นอน คำว่า ไม่กลัวตาย ต้องมีอยู่ในใจถือว่าเป็นของธรรมดา การป่วย เจ็บไข้ไม่สบาย การตาย ถือเป็นธรรมดาของนักรบ แต่ว่าเราก็ต้องหวังผลจากการรบคือ ๑[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]ได้รับ อิสรภาพ ๒[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ได้รับเนื้อที่ ๓[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]คนเบื้องหลังมีความสุข ๔[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]คิดว่าเราสละชีวิตของเราหนึ่ง แต่ว่าเพื่อความสุขของคนเบื้องหลังอีกหลายเท่า อย่างนี้จึงจะเป็นนักรบได้ และการรบจริง ๆ ไม่ถือว่ากำลังเป็นสำคัญ กำลังคน กำลังอาวุธมีความสำคัญ ถ้าไม่มีเราก็รบไม่ได้ แต่ถ้ามีกำลังคน กำลังอาวุธ ถ้าขาดกำลังปัญญา มีกลังเท่าไรก็แพ้เขาเท่านั้น
    ดังนั้น กำลังคนก็ดี กำลังอาวุธก็ดี และกำลังปัญญาก็ดี ๓ ประการนี้ต้องประสานกัน นอกจากนี้กำลังสำคัญคือ กำลังเศรษฐกิจ คือ เสบียงอาหาร กำลังสำคัญใหญ่ก่อนออกรบ ก็คือกำลังแห่งความสามัคคีที่พ่อเคยบอกบรรดาลูกรักทั้งหลายว่า
    คนไทยทั้งชาติ ควรจะตั้งอยู่ในสังคหวัตถุ ๔ มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีศรัทธาเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน หมายถึงต่างคนต่างรักความเป็นสุขไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีจาคะเสมอกัน หมายถึงมีการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สร้างความรัก สร้างความเป็นปึกแผ่น มีศรัทธาเสมอกัน คือ หาความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ มีปัญญาเสมอกัน คือ ก่อนจะเชื่อใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อน ทุกคนถ้าอยู่ร่วมกันได้แบบนี้ก็หมายถึงว่า เราทั้งชาติมีความสุข และไม่มีใครสามารถมาทำอันตรายเราได้
    เป็นอันว่า เมื่อกองทัพหน้าอันมีพระเจ้าพรหมมหาราช ตีขอมดำตะลุยไม่หยุดเลย เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน ก็มาพักทัพอยู่ที่บ้านยั้งทัพ แล้วเคลื่อนไปรวมพลที่บ้านชุมพล เห็นว่าทแกล้วทหารรวม
     
  10. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    ตัวกันดี และทัพราบตามมาทัน มีการพักผ่อนตามสมควร ต่อมาก็ขยายกำลังออกเป็นจุดเล็ก ๆ เพราะตอนนี้ขอมไม่อยู่เป็นจุดใหญ่แล้ว ก็เก็บเล็กเก็บน้อย ขอมหมดแรง เจอะที่ไหนฆ่าที่นั่น ขึ้นชื่อว่าขอมไม่ให้มีชีวิตอยู่เลย ตอนนี้ต้องใช้เวลาถึง ๑ เดือน ก็มาถึงเมืองกำแพงเพชร
    ตามตำนานท่านบอกว่าพระอินทร์มาเนรมิตกำแพงเพชรกั้นเอาไว้ ความจริงแล้วท่านเห็นว่า จะทำบาปมากเกินไปจึงให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาทำให้ทหารทั้งหมด หมดกำลังใจ แม้แต่พระเจ้าพรหมมหาราชเอง คิดว่าการเก็บล้างขอมก็ยากแล้วแค่นี้ก็พอ เป็นอันว่าพระเจ้าพรหมราชได้ขยายอาณาจักรของโยนกนครจากพะเยาลงมาถึงกำแพงเพชร นี่ก็ไม่ใช่น้อย หลังจากนั้นก็ยกทัพกลับโยนกนคร ประชาชนที่อยู่เบื้องหลังยืนถือดอกไม้ ธูปเทียน รับทัพพระเจ้าพรหมมหาราช ๒ ข้างทางด้วยอาการสงบ
    พระเจ้าพรหมมหาราชกลับไปก็อัญเชิญพระราชบิดาขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้พี่ชายเป็นมหาอุปราชแทนที่ตัวจะเป็น ท่านเองก็มารักษาอยู่ที่กำแพงเพชรนี่ บ้านเมืองแห่งโยนกนครก็เป็นสุขต่อไป เพราะขอมสิ้นไปจากแผ่นดินไทยแล้ว อาณาเขตของโยนกนครเวลานั้นก็ขยายจากพะเยามาถึงกำแพงเพชรก็ไม่ใช่น้อย เวลานั้นพระเจ้าพังคราชมีอายุ ๔๒ ปี รวมเวลาที่เป็นทาสขอมอยู่ ๒๒ ปี คนไทยลืมตาอ้าปากได้มีความสุข
    ต่อมาพระพุฒโฆษาจารย์ซึ่งเป็นไทยใหญ่ ได้นำพระไตรปิฏกกับพระบรมสารีริกธาตุมาถวายพระเจ้าพังคราช ดังนั้น พระองค์จึงให้ลูกชายทั้งสอง คือ เจ้าชายทุกภิกขะ และพระเจ้าพรหมมหาราชมาร่วมกันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบนดอยน้อย คือพระธาตุจอมกิตติ สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุทำเป็นอ่างทองคำฝังไว้ใต้ดิน มีเรือสำเภาทำมณฑปบรรจุผะอบแก้ว ผะอบทอง ผะอบเงิน ผะอบนาค และผะอบงาช้างเป็นชั้น ๆ เมื่อบรรจุแล้วก็สร้างเจดีย์ขึ้น ทำทองคำแผ่น รีดเป็นแผ่น ๆ แปะหุ้มภายนอกขององค์เจดีย์ตั้งแต่ยอดลงมาถึงฐานเต็มองค์ ดังนั้น เจดีย์องค์เดิมที่บรรดาลูกหลานเห็นเป็นทองอร่ามอยู่ภายในองค์ปัจจุบันนั่นเป็นความจริง ต่อมาพระเจ้าผาเมืองทรงสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ทับเข้าไว้ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าไม่สร้างทับไว้เวลานี้ทองคงจะหมดไป
    เวลานั้น สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ท่านชี้จุดบนดอยน้อยนี้ว่า องค์สมเด็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทับ ณ ที่นี้ ทรงอธิษฐานให้เส้นพระเกศาของพระองค์หลุดติดพระหัตถ์มา ๓ เส้น เมื่อทรงเสยพระเกศา แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงฝังเส้นพระเกศาโดยการอธิษฐานให้จมลงไปบนยอดดอยน้อยนั้น แล้วทรงพยากรณ์ว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เขตแดนนี้ต่อไปจะมีนามว่าโยนกนคร จะมีความเจริญรุ่งเรือง จะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ครบ ๕[FONT=Cordia New,Cordia New],[/FONT]๐๐๐ ปี[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]เวลานั้นทุกคนทราบเรื่องก็ดีใจ ประกอบกับมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากอยู่แล้ว ต่างคนต่างก็บูชาด้วยเครื่องสักกาวรามิสต่าง ๆ และได้ปฏิบัติเป็นปกติอยู่แล้วในด้าน ทาน ศีล ภาวนา ครบถ้วน
    บั้นปลายของชีวิตพระเจ้าพังคราชได้ไปเจริญสมณธรรมที่วัดปากน้ำคำ ที่เขากำลังซ่อมบำรุงกันอยู่เวลานี้ พระองค์ได้ฌานสมาบัติ เวลาทิวงคตก็ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑ เพราะท่านบอก
    ว่า เวลานั้นยังไม่ได้พระอนาคามี แต่เวลานี้ได้พระอนาคามีแล้ว [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]พ[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]ศ[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]๒๕๒๑[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]ก็ไม่อยากเลื่อนไปเพราะอยู่ที่นี่ก็สบายดี แต่ปัจจุบันนี้ [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ปี พ[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]ศ[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]๒๕๒๔[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]สมเด็จพระเจ้าพังคราชไปนิพพานนานแล้ว
    ต่อมาเจ้าชายทุกภิกขะก็เสด็จเสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา และในที่สุดก็ทิวงคตพระเจ้าพรหมมหาราชก็เป็นกษัตริย์ปกครองโยนกนครสืบมา พระองค์ก็เจริญสมณธรรมทรงฌานสมาบัติ เวลาทิวงคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมมีความสุขด้วยอำนาจธรรมปีติ
    ต่อมาภายหลังลูก ๆ ของพระเจ้าพรหมมหาราชเก่งไม่เท่าพ่อ ก็เลยเสียเอกราชให้แก่ไทยใหญ่ แต่ก็ไทยเหมือนกัน แล้วราชวงศ์เชียงแสนก็ถอยหลังลงมาทางใต้เป็นต้นตระกูลของพระเจ้าอู่ทองที่สร้างกรุงศรีอยุธยา และเวลานี้ราชวงศ์จักรีก็เป็นราชวงศ์ของเชียงแสนอยู่นั่นเอง นี่คนแก่ซึ่งไม่ใช่พ่อนะ ท่านเล่าให้ฟังต่อ ๆ กันมา
    พ่อมานั่งนึก ๆ ดูนะว่า พวกเราที่กำลังนั่งรวมกันอยู่นี่ ดีไม่ดีก็จะเกิดในสมัยเชียงแสน หรือสมัยพระเจ้าพังคราชตอนโน้นก็ได้ ดีไม่ดีก็เป็นนักรบบ้าง นักรักบ้าง แล้วก็มานั่งป๋อหลอกันอยู่ที่นี่ก็ได้ใครจะไปรู้ ถ้าเวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชมน์อยู่หรือว่าบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านชอบซุกซิก เราก็อาจจะถามท่านได้ว่า พวกเราที่กำลังนั่งฟังอยู่เวลานี้เกิดทันสมัยนั้นบ้างหรือเปล่า เป็นนักรบบ้างหรือเปล่า ดีไม่ดีท่านจะชี้หน้าว่าคนนั้นเป็นคนนี้ คนนี้เป็นคนนั้น ๆ เป็นต้น
    เรามาพูดกันว่า ทำไมประเทศจึงต้องมีกษัตริย์ คำว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]กษัตริย์[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]นี่เขาแปลว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]นักรบ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]กำลังใจของคนไทยทั้งหมดอยู่ที่หัวหน้า ถ้าหัวหน้าขี้แยคนไทยก็ขี้แย ถ้าหัวหน้าเอาจริง ขอให้เอาจริงสักอย่างเดียว คนไทยทั้งชาติจะลุกขึ้นจับดาบสู้ อย่างเช่นเวลานั้นที่พรหมกุมารเป็นหัวหน้านำคนไทย แม้เพียงส่วนน้อย น้อยกว่าขอมมาก ถูกขอย่ำยีอย่างหนัก ต้องแอบซุ่มซ้อมรบกัน เมื่อหัวหน้าเอาจริงเราก็สามารถขับไล่ขอมออกจากเขตไทยได้ แถมขยายอาณาเขตออกไปอีก
    ขอย้อนถึงพระเจ้าพรหมมหราชตอนทิวงคต อาศัยกำลังฌานสมาบัติก็ไปเกิดเป็นพรหม คนที่มาจากพรหม หรือจะไปเป็นพรหมได้ ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งจากกำลังฌานสมาบัติ เวลาที่มาเกิด คนมาจากพรหมจะมีจริยาไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา จะรักแต่ความเป็นธรรมอย่างเดียว ถ้า ความอยุติธรรมก็สู้แบบเอาหัวชนฝาเลยทีเดียว เรียกว่า ไม่ยอมขึ้นกับความยุติธรรม
    เป็นอันว่าพระเจ้าพรหมมหาราชตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม เห็นไหมลูก รบกันเกือบตาย ขยายเขตแดนออกไปร่ำรวยกัน เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผลสุดท้ายก็ตายหมด ตายแล้วขนอะไรไปได้บ้าง แม้แต่หนวดเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้
    [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]ที่ลูกรักของพ่อมีความต้องการธรรมะหวังพระนิพพานพ่อพอใจ เราไปนิพพานกันดีกว่านอนสบายให้มันเป็นสุข เราเหนื่อยกันมาแล้วเกินกว่า ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    พูดแบบนี้ใครจะฟ้องว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็เชิญสิพ่อคุณ ถ้าตัวรู้จริงจะฟ้องละก็เชิญทำให้ได้สิทบทวนในการเกิด เวลานี้ขอบอกกันตามตรงว่าไม่ขึ้นกับใครทั้งนั้น ขึ้นกับพระพุทธเจ้าองค์เดียว พวกที่ห่มผ้าเหลืองสักแต่ว่าห่มจะไปยอมขึ้นด้วยเป็นอันขาด เว้นไว้แต่ท่านที่ห่มผ้าเหลืองที่
    ทรงธรรมะแน่นอน นี่ขอประกาศเด็ดขาดว่า ถ้าขืนใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมข่มเหงกัน จะได้เห็นดีกันแน่นอน คราวนี้จะได้รู้กันว่าพวกที่ห่มผ้าเหลืองแล้วไม่ทรงศีลไม่ทรงธรรม หลอกลวงชาวบ้าน ชอบยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ก็อย่าลืมนะว่า พวกที่ทรงยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ท่านดีก็มีมาก แต่ไอ้ที่เลว ๆ มันก็มีมาก ไอ้พวกเลว ๆ นี่มันชอบกวนใจ สักวันหนึ่งข้างหน้ามันจะได้รู้ ถ้าขืนเข้ามาข่มเหง จะได้รู้ว่าคนพูดนี่เป็นใคร
    เป็นอันว่า ตายกันเสียทีพระเจ้าพรหม เวลาในเมืองมนุษย์ผ่านไป ๘๐๐ ปี ท่านก็นอนสบายอยู่ที่พรหม หนีเหนื่อยไป หนีบาปไป ด้วยกำลังของฌานและวิปัสสนาญาณเพราะท่านผู้นี้ทำบาปแล้วก็ทำบุญ เวลาเป็นพระราชาก็ต้องแบ่งเวลาความเป็นพระราชาบ้าง ถ้าไม่แบ่งเวลาไม่ได้ เป็นพระราชาทุกวินาทีก็หายใจไม่ออก มันต้องกระโดดโลดเต้นกันบ้างเป็นธรรมดา ๆ
    เวลาผ่านไป ๘๐๐ ปี จากการตายของพระเจ้าพรหมมหาราช ในเวลานั้นขอมมีอำนาจอีกแล้ว มีพระราชาของไทยองค์หนึ่งชื่อ พระยาอภัย หนีขอมจากลำพูน มาถือศีลภาวนาอยู่ในป่าที่เขาหลวงอันเป็นเขตกึ่งกลางระหว่างเชียงใหม่กับศรีสัชนาลัย ท่านมาถือศีลภาวนาทำตายิบ ๆ ยิบ ๆ ที่เขาหลวง เจอสาวชาวป่าสวยผิวขาวสะโอดสะองชื่อ นางนาด หน้าตาดีทรวดทรงน่ารัก เจอเข้าในป่าก็เลยชอบพอกัน สมสู่อยู่ด้วยกัน ๗ วัน ที่เขาหลวงนั่น หลังจากนั้นพระยาอภัยก็กลับไปหวังจะครองอำนาจตามเดิม ก่อนจะไปก็ให้ผ้ากำพลกับพระธำมรงค์ไว้เป็นที่ระลึก ท่านบอกว่า เวลานี้กำลังลำบากจะต้องกลับไปแสวงหาอำนาจ ถ้าได้ครองราชย์เมื่อไรจะกลับมารับ
    ต่อมานางนาดเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา คลอดออกมาแล้วเป็นผู้ชายไม่รู้จะเก็บลูกไว้ที่ไหน ก็เอาไปเก็บไว้ที่เขาหลวงนั่น เอาผ้ากำพลกับพระธำมรงค์แขวนไว้ด้วย นี่แหละคนดีของเชียงแสนมาเกิด [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]คือพระเจ้าพรหมมหาราช จุติจากพรหมมาเกิดเป็นลูกชายของนางนาคกับพระยาอภัยในป่าถูกแม่ทิ้งไว้ที่เขาหลวง แต่ก็มีงูใหญ่แผ่แม่เบี้ยรองรับเด็กน้อยไว้ ท่านบอกเป็นงูพระโพธิสัตว์ ท่านบอกว่ากรรมที่ตีขอมฆ่าขอมระเนระนาด ทำให้เขาพลัดพรากจากกันตายแล้วหนีบาปไปเป็นพรหมด้วยกำลังฌานสมาบัติ กฎของกรรมที่ทำให้เขาพลัดพ่อพลัดแม่ พลัดบ้าน พลัดเมือง พอมาเกิดชาตินี้ที่ไหนได้กลายเป็นถูกแม่ทิ้งไปเสียได้ เอาแล้วอยู่เป็นพรหมสบาย ๆ ไม่พอเสด็จลงมาเกิดอีก ก็จะนอนให้มันสบาย ๆ ไม่เอา นอนไม่ได้ซิ เพราะเวลานั้นไทยป่นปี้อีก หลังจากพระเจ้าพรหมมหาราชตายไปแล้ว ลูก ๆ ดีไม่พอ ไทยก็กลับเป็นทาสของขอมต่อไป เจ้าขอมมันก็ย่ำยีต่อไป
    ต่อมาท่านบอกว่า มีนายพรานป่าไปพบเด็กชายที่เขาหลวงเข้า เกิดชอบใจก็เก็บเอาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมเพราะท่านไม่มีลูกท่านก็รักเด็กมาก ต่อมาพระอภัยได้อำนาจกลับมาแล้วก็เกณฑ์ชาวบ้านไปสร้างปราสาท พรานคนนี้ก็ถูกเกณฑ์ไปด้วย จึงเอาเด็กน้อยไปด้วย ขณะทำงานก็เอาเด็กไปนอนไว้ในที่ร่มที่ปราสาทยังสร้างไม่เสร็จมีร่มเงา ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ปราสาทโอนไปเอียงมาเหมือนมีลมแรงพัดหวั้นไหวไปทั้งหลัง พระยาอภัยจึงรีบสั่งให้เอาตัวนายพรานเข้ามาถามว่า เอาเด็กนี้มาจากไหน พรานตอบว่า ได้มาจากเขาหลวง ท่านถามว่าเด็กชายคนนี้มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ พรานก็ตอบว่า มีผ้ากำพลกับแหวน
     
  11. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    พระยาอภัยเห็นก็จำแหวนกับผ้ากำผลได้ก็ทราบว่าเป็นพระราชโอรส จึงขอนายพรานว่า ขอเด็กชายคนนี้เถิดฉันจะเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรมของฉัน นายพรานแกรักเกือบตาย พระราชาขอแกก็ต้องให้ พระราชาก็ประทานบ้านส่วยให้นายพรานร่ำรวยขึ้น ต่อมาพระยาอภัยก็ให้นามเด็กชายว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]อรุณกุมาร[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]และมเหสีองค์ใหม่ก็ประสูติราชโอรสมาอีกองค์หนึ่งให้นามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ฤทธิกุมาร[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พี่น้อง ๒ คนนี่รักกันมาก ต่อมาอรุณกุมารก็มีนามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]พระร่วงโรจน์ฤทธิ์[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ฤทธิกุมารมีนามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]พระลือ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พระร่วงกับพระลือ ๒ พี่น้อง
    ต่อมา พระลือได้มาครองเมืองนครสวรรค์ และพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ได้อภิเษกกับราชธิดาเจ้าเมืองศรีสัชนาลัย ก็ครองเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งเป็นเมืองเดิม แสดงว่าตั้งแต่เหนือจรดใต้มีคนไทยอยู่เต็ม เป็นเมืองย่อย ๆ เขาก็เรียก ละว้าบ้าง ละโว้บ้าง ละเว้บ้าง ตามเรื่องตามราว
    เป็นอันว่ามาปกครองเมืองศรีสัชนาลัยได้นามว่า พระร่วง ไม่ช้าคงเป็นพระหล่น พระองค์ทรงสร้างมหาวิหาร ๕ ทิศ สร้างพระพุทธรูปหน้าพระมหาธาตุ [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]พระมหาธาตุคือเจดีย์ใหญ่[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]คือสร้างพระพุทธรูปไว้หน้าเจดีย์องค์ใหญ่ สร้างพระระเบียง ๒ ชั้น ไปดูที่ศรีสัชนาลัยเวลานี้ แถวใกล้ ๆ วัดเจดีย์ ๗ แถวน่ะ เอาศิลาแลงมาทำเป็นกำแพง มีเสาโคมรอบมหาวิหาร เอาทองแดงมาทำพระขรรค์ยาว ๘ ศอกครึ่ง เอาแก้วประดับที่ยอด ๑๕ ใบ มีบังลังก์แท่นรองด้วยยอดใหญ่ ๙ กำ ทองคำอย่างดี ๑๐ ชั้น หุ้มทองแดงขลิบขนุน ลงมาถึงตีนคูหาสร้างพระอุโบสถ สร้างวิหาร เจดีย์ ที่ต้นรังให้ชื่อว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]วัดเขารังแร้ง[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ เขาว่ายังงั้น ประเทศน้อยประเทศใหญ่พากันมาสวามิภักดิ์ เกิดทีไรขยายอาณาเขตทุกทีนะ พออายุได้ ๔๐ ปี ได้ช้างเผือกงาดำ และเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วยเป็นคู่บารมี ช้างเผือกงาดำนี่ ท่านผกาพรหมบอกว่า ส่งมาจากพรหม นี่ใครอย่าเอาไปเป็นประวัติศาสตร์นะ เขาเล่าให้ลูกให้หลานฟัง คนอื่นอย่าเสือกนะ อย่าเสือกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าตามโบราณท่านว่ามายังไงก็ว่าไปตามโบราณ สมัยพระร่วงโรจน์ฤทธิ์มีหนังสือไทยใช้ เพราะพระองค์มีหนังสือส่งไปยังมอญ พม่า ขอม เชิญเขามาร่วมงาน ลบศักราช คือศักราชเขาตั้งผิดน่ะ การลงศักราชนี่ก็นิมนต์พระมา ๕๐๐ รูป มีพระพุฒโฆษาจารย์แห่งวัดเขารังแร้งเป็นประธาน
    ต่อมาพระร่วงกับพระลือได้เสด็จไปเมืองจีนเป็นวาระแรก โดยไปเรือยาว ๘ วา กว้าง ๔ ศอก ใช้เวลา ๑ เดือนถึงเมืองจีน ทำสัมพันธไมตรีกันดีมาก พระเจ้ากรุงจีนได้ถวายราชธิดามีนามว่า พระสุทธิเทวีราชธิดา ให้เป็นเอกอัครมเหสีของพระร่วงด้วย [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]นี่แหละนาเกิดคราวไรไม่ค่อยพ้นลูกสาวเจ๊กเสียที ก็เพราะมีเชื้ออยู่นี่เอง[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]ก่อนกลับเมืองไทยพระเจ้ากรุงจีนได้ผ่าตรามังกร [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ตราประจำพระราชสำนักจีน[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]เอาส่วนหางให้ราชธิดามาด้วย เวลาส่งสาสน์ก็ประทับตราส่วนที่ผ่ามานั้นไปจะได้รู้กัน และให้ชาวจีน ๕๐๐ คนมาด้วย มาตั้งเตาทำถ้วยชามที่ศรีสัชนาลัยนั่นเอง เขาเรียกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เตาทุเรียง[FONT=Cordia New,Cordia New]” ([/FONT]ไม่ใช่เตาทุเรียนนะ[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]เป็นอันว่าชาวจีนได้เข้ามาอยู่เมืองไทยคราวนั้นเป็นครั้งแรก
    ต่อจากนั้นพระร่วงก็ให้เอาตะปูทองแดงยาว ๓ วา จำนวน ๓ กำไปตอกปักเขตที่เขาใหญ่อันเป็นเขตกึ่งกลางระหว่างเมืองเชียงใหม่กับเมืองศรีสัชนาลัย ตะปูทองแดงนั่นป่านนี้พวกเอาไปทำอะไรแล้วก็ไม่รู้
    ท่านบอกว่า พระร่วงโรจน์ฤทธิ์เวลานั้น คะนองมาก ชอบเล่นกับชาวบ้านไม่ถือพระองค์ ไปทางไหนเด็กผู้ใหญ่ล้อมกันเป็นกลุ่มคุยกัน นี่เขาเรียกว่าเป็นการชนะใจกัน การชนะใจกันถือว่าชนะเด็ดขาด แต่ถึงเวลาจะใช้อำนาจก็เด็ดขาดเหมือนกันถึงเวลาตัดหัวก็ตัดกันใครจะมาทูลขอไม่ได้ เวลาไปไหนพระองค์ชอบไปคนเดียว ไม่มีขุนนางติดตามชอบไปคนเดียว ท่านรู้วิชาหายตัว กำบังตน [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ภาษาไทยโบราณเรียกว่า บังเหลื่อม คือหายตัวได้[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]รู้จบไตรเพท เวลานั้นนับถือพราหมณ์ด้วย มีวาจาศักดิ์สิทธิ์เป็นไปตามวาจามีเจ้าขอมโผล่จากดินจะมาจับท่าน ท่านบอกขอมจงเป็นหิน ก็เป็นหินอยู่อย่างนั้นนี่เรื่องของขอมกลายเป็นหินน่ะพระร่วงโรจน์ฤทธิ์นะ
    เวลานั้นก่อนสุโขทัยตั้งไปประมาณ ๗๐๐ ปีเศษ คือก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ไปประมาณ ๗๐๐ ปีเศษ ในที่สุด พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ก็สวรรคต ด้วยกำลังของฌานสมาบัติกลับไปเป็นพรหมตามเดิมมีความสุขด้วยอำนาจธรรมปีติ เพราะมีการเจริญพระกรรมฐานได้ฌานสมาบัติ
    เป็นอันว่าบุคคลคนเดียวกันคือ พระเจ้ามังรายมหาราช มาเกิดอีกทีเป็นสามเณรน้อยถูกขอมย่ำยี แม้แต่ข้าวในบาตรที่คนอื่นเขาใส่ให้แล้วด้วยดี พญาขอมก็ให้คนของมันจับบาตรเทข้าวของเณรน้อยทิ้งไปไม่ให้กิน เณรไม่ว่าอะไรคิดสงสารคนไทยว่าเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้ จึงอธิษฐานแผ่เมตตาจิตให้คนไทยมีความสุขเข้าฌาน ๗ วันก็ตายไปเกิดเป็นพรหม กลับมาเกิดเป็นพระเจ้าพรหมมหาราชขับไล่ขอม ไทยเป็นอิสรภาพมีความสุข แล้วต่อมาพระเจ้าพรหมมหาราชขับไล่ขอม ไทยเป็นอิสรภาพมีความสุข แล้วต่อมาพระเจ้าพรหมมหาราชก็ตายในระหว่างฌานสมาบัติไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม ตอนนี้คนไทยถูกขอมย่ำยีอีก จึงลงมาเกิดเป็นวาระที่ ๔ พระร่วงโรจน์ฤทธิ์สร้างความเจริญมั่นคงขยายอาณาเขตออกไปครอง มอญ พม่า ขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด ในที่สุดก็สวรรคต คือตายในระหว่างฌาน กลับไปเป็นพรหมตามเดิมอีก
    เห็นไหมลูกรักของพ่อ ถ้าตัณหามันยังไม่หมดเพียงใดก็ต้องเกิดอีก ตัณหาคือความรักติดอยู่ในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ความโลภอยากจะรวย อยากจะเป็นใหญ่ ความบ้าอยากจะมีอำนาจเหนือคน ความหลงคิดว่ามันจะไม่แก่ไม่ตาย นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ ฉะนั้นขอบรรดาลูกรักทั้งหมดจงอย่ามีความปรารถนาตามนั้น ลืมมันเสียเรื่องขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราลูกรัก ถ้ามันเป็นเราเป็นของเราจริงก็ดูตัวอย่างพระเจ้ามังรายระยะเวลาเพียง ๒[FONT=Cordia New,Cordia New],[/FONT]๐๐๐ ปี ก็เกิดถึง ๔ วาระแล้ว นี่แค่สมัยความเป็นคนไทย สมัยอื่นท่านจะไปเกิดที่ไหนอีกก็ไม่ทราบ
    เวลาในเมืองมนุษย์ผ่านไป ๖๐๐[FONT=Cordia New,Cordia New]–[/FONT]๗๐๐ ปี พรหมพระเจ้ามังรายที่มาเกิดเป็นพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ก็มีความสุขสบายมาก มองมาดูประเทศไทย ทนไม่ไหวเพราะพวกลูก ๆ หลาน ๆ ไม่สามารถจะรักษาความเป็นไทยไว้ได้ ตกอยู่ในอำนาจขอมอีก [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ขอมนี้ไม่ใช่เขมร พวกเขมรเป็นแขกอินเดีย
    พวกหนึ่งที่ไม่เคยมีความเป็นตัวของตัวเองเลยจนปัจจุบัน[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]ท่านมองดูคนไทยเวลานั้นแล้วทนไม่ไหวคิดว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เราเหนื่อยเพื่อคนไทยมามากแต่วางมือไม่ได้ วางมือทีไรยุ่งทุกที[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ท่านผกาพรหมอีกนั่นแหละมาเตือนว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]นี่พ่อพรหมร่วง พรหมหล่น จะมานั่งแหงแก๋อยู่ทำไม แกลืมตาดูบ้างซิว่าคนไทยที่แกสร้างไว้น่ะ สร้างความเป็นปึกแผ่นไว้น่ะ เดี๋ยวนี้เอาอีกแล้ว พัง ลงไปตามหน้าที่ ในฐานะปรารถนาพระโพธิญาณ พระโพธิญาณนี่ต้องต่อสู้กับความทุกข์ เพื่อให้ความสุขแก่คนอื่น จะมานั่งหน้าแช่มชื่นมีความสุขแบบนี้น่ะมันใช้ไม่ได้ ไม่ใช่วิสัยของพระโพธิญาณ เวลานี้ไทยเป็นทาส ขอมมันใช้อำนาจเป็นธรรม มีความร้ายกายหยาบคายมาก[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ท่านพรหมองค์ที่ไปจากพระร่วงรุ่งโรจน์ท่านก็ถามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]จะให้ฉันไปคนเดียวหรือมีใครลงไปช่วยด้วย[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ท่านผกาพรหมตอบว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]จะส่งพรหม เทวดาอื่น ๆ ไปช่วยด้วย คราวนี้ต้องขยายอาณาจักรไทยให้ถึงสิงค์โปร์ ทางด้านเหนือจะส่งคนไปสะกัดด้านเหนือไว้ด้วย ให้เขาสร้างความสามัคคี แต่ตอนเริ่มต้น ท่านต้องไปเริ่มต้นไว้ก่อน ท่านพรหมพระร่วงก็ถามอีกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ถ้าเริ่มต้นตอนนี้แล้วมันจะพังอีกไหมล่ะ ถ้ามันจะพังอีกละก็ ไม่ต้องไปเริ่มกันละ เลิก เริ่มทีไรพังทุกที เริ่มเมื่อไรก็พังทุกที จะไปเริ่มมันทำไม มันอยากจะเป็นขี้ข้าเขา มันไม่รักชาติก็ช่างมัน[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ท่านผกาพรหมก็บอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ไม่เป็นไร ถาเริ่มตอนนี้ละก็ ไทยเป็นไทตลอดไปจะมีบ้างก็โขยกเขยก ๆ จะถึงขนาดพังเป็นทาสเขาทั้งชาตินี่ไม่มี จะมีบ้างก็ตามกฎของกรรมของสัตว์ที่มาเกิด[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]นี่อย่านึกว่าหลวงพ่อรู้เองนะ ท่านปู่มาบอกให้ฟัง ท่านพรหมพระร่วงท่านก็ตกลง ลงมาเกิดเข้าท้องแม่ก็เริ่มอาละวาดทีเดียว ท่านแม่แพ้ท้องอยากจะกินเลือดขอม เอาแล้ว ท่านพ่อก็ไปเจอะขอมเซ่อ ๆ ซ่าๆ เตะพั้บฟันคอฉับเอาเลือดมาให้แม่กินสด ๆ แหมมีกำลังแข็งแรงขึ้น ผิวสวย ใจดี มีเมตตาน่ารักขึ้นกว่าเดิมผิวพรรณผ่องใสแช่มชื่น นี่หลังจากกินเลือดขอมแล้ว ก็มีจริยาชดช้อยอ่อนหวานหว่านเครือ แข็งแรง คนท้องน่าจะอุ้ยอ้าย แต่ปรากฏว่ามีความแข็งแรง ฝึกอาวุธ นั่น [FONT=Cordia New,Cordia New]! [/FONT]แสดงตั้งแต่ในท้องแล้ว 
    พอคลอดจากท้องแม่มาก็เป็นเด็กชายมีรูปร่างหน้าตาสดสวย ผิวพรรณงดงามมีไฝแดงที่หัวคิ้วขวา อันนี้ท่านพ่อให้โหรมาดู โหรทำนายว่าเด็กคนนี้มีบุญญาธิการมากสามารถปูพื้นฐานรวมไทยได้ตลอดถึงแหลมมลายูโน่น ท่านพ่อทำพิธีให้ลูก โดยนิมนต์พระมาสวด ในบรรดาพระที่มาสวดนี่มีพระผู้เฒ่า ๒ องค์ ผิวคล้ำหน่อยเพราะธุดงค์มาด้วย สวดเสร็จนั่งหลับตาปี๋ พอลืมตามาบอกว่า เด็กคนนี้มาจากพรหม หวังจะมากู้ชาติไทย มีสหชาติมาเกิดด้วยคือพ่อขุนน้าวนำถม จะเป็นคนปูพื้นฐานไทยให้เป็นไทตลอดไป ไทยจะไม่สลายตัว เพราะเด็กคนนี้สร้างไทยให้เป็นไทมานานแล้วเมื่อคราวไทยย่อยยับ จึงมาเกิดเพื่อรวมไทย
    พอหลวงตา ๒ องค์ ทำนายอย่างนี้ ของขวัญมามากมาย ท่านพ่อท่านแม่ก็เริ่มวางแผนเอาสิ่งของที่เขานำมาให้ลูกชายเก็บทำเป็นธนาคารไว้ทำทุนในการสร้างอาวุธ ทำทุน ฝึกอาวุธ ฝึกระเบียบวินัย ทำทุนการศึกษา นี่ท่านพ่อเริ่มงานก่อน ขอมมันก็คน ไทยก็คนมันวิเศษจริงมันก็อยู่ มันแย่มัน
     
  12. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    ตาย เราไทยกับขอมมันต้องตายกันข้างหนึ่ง นี่ท่านพ่อก็นักเลงเหมือนกัน ลูกชายคนนี้ท่านตั้งชื่อว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ขุนศรีเมืองมาน[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ขุนศรีเมืองมานโตขึ้นก็ทำงานคู่กันกับพ่อขุนน้าวนำถม ให้พ่อขุนน้าวนำถมเป็นคนอ่อนน้อมต่อขอม
    แต่พ่อขุนศรีเมืองมานนี่เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ถ้าขอมพูดไม่ชอบใจก็เอาเลยบอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]นี่ไทยนะ ไทยก็คน ขอมก็คน ถ้าจะเอาอะไรก็เอาแต่เพียงดี ๆ นะ ถ้าใช้อำนาจแบบนี้มันต้องใช้ดาบกันก่อน ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัว ไม่อยากตายละก็กลับไปก่อน แล้วมาพูดใหม่ถ้าอยากได้คนที่เขากลัวแก โน่น ขุนน้าวนำถมโน่น คนนั้นเขาก้มหัวให้แกได้ทุกอย่าง แต่นี่ฉันขุนศรีเมืองมานไม่ได้เกิดแต่ตัวนะ เอามือเอาเท้ามาด้วย แกจะนึกว่าแกเป็นนายฉันนะที่ฉันยอมให้แกทำตามชอบใจได้ก็เพราะฉันถือว่า มันเป็นประเพณีที่เคยเป็นมาก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นขอมมันก็คน ไทยก็คน ถ้าขอมฟันคอคนไทยขาดได้ ไทยก็ฟันคอขอมขาดได้เหมือนกันนะ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ตอนนี้ขอมชักถอยกรูด ต่อมามีลูกมีหลาน ขอมเห็นท่าไม่ได้การเลยเอาลูกเอาหลานไทยไปเป็นลูกเขย ลูกสะใภ้ เพราะท่าทางจะแข็งเมือง เป็นอันว่าสมัยนั้นก็ฝึกปรือลูกหลานในการรบ รู้จักรักคือรักความสามัคคีในชาติขึ้นชื่อว่าไทยด้วยกันอย่าโกงกัน อย่าข่มเหงกัน อย่าทำลายกัน แม้จะโกรธกันก็ควรให้อภัยกัน ทั้งผู้หญิงผู้ชายควรจะฝึกอาวุธ หาแหล่งทรัพยากร สอนวิธีทำทองขุดทองด้วยมีความร่ำรวย ขอมเห็นว่าไทยร่ำรวยก็มาขอให้ไทยส่งส่วยมากกว่าเดิม พ่อขุนศรีเมืองมานจึงไปสัมพันธ์กับขอม [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]คือติดต่อพูดกับเขา[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]ว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]จะเอาส่วยมากกว่าเดิมหรือจะไม่เอาเลย ไอ้ที่ให้อยู่นี่ก็เบียดเบียนกันมากเกินไปอยู่แล้ว ถ้าจ้องการมากกว่านี้ ก็จะไม่ให้เลย[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ขอมทำตาปริบ ๆ เจอะคนบ้าเข้า ขอมเห็นท่าไม่ดีก็เลยบอก [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]งั้นขอเท่าเดิม[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ท่านพ่อขุนศรีเมืองมานก็บอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เท่าเดิมจะให้ แต่จะให้ไปนานเท่าใดนั้นไม่แน่ อย่าใช้อำนาจให้มันมากเกินไปนะ เราเป็นคนเหมือนกันที่ให้ส่วยไปนี่ก็เอาเปรียบกันเกินไปอยู่แล้วผืนแผ่นดินนี่ขอมไม่ได้สร้างไว้นะ โลกนี้ขอมไม่ได้เป็นจ้าวโลกนะ ขอมไม่ได้เอาดินมาถมให้เป็นโลก อย่าใช้อำนาจให้มันมากเกินไปที่ยอมอ่อนย้อมกันอยู่นี้ก็ถือว่าเป็นประเพณีนะ ถ้าไม่รักประเพณีเสียอย่างเดียวขอมจะไม่มีที่อยู่[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ความจริงเวลานั้น เราพร้อมรบ แต่เรายังไม่รบ เพราะพวกเราอายุมากไปแล้วให้ลูกหลานรบ สั่งสอนลูกหลานคือ พ่อขุนผาเมือง กับพ่อขุนบางกลางท่าว ให้รับประเพณีนี้ไว้ เวลานั้นพ่อขุนศรีเมืองมานอายุ ๓๐[FONT=Cordia New,Cordia New]–[/FONT]๔๐ ปี ช่วงนี้ ภรรยาคือแม่ศรีตาย [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]แม่ศรีไหนล่ะท่านปู่ ท่านบอกก็พรรณวดีศรีโสภาค เธอตาย ท่านพ่อขุนศรีเมืองมานจึงบวชหน้าไฟให้เมีย แล้วไม่สึกอีกเลย เวลานั้นมีเมียหลวงคนเดียวคือแม่ศรี และมีเมียราษฎร์อีก ๒๙ คน ไม่ไหว บวชแล้วไม่สึก มอบหน้าที่ให้พ่อขุนน้าวนำถมทีมฝ่ายฆราวาส ฝ่ายพระก็ตั้งมหาวิทยาลัยการรบ การปกครอง การเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ การคลัง สอนให้เด็กรู้จักความสามัคคี รักในธรรม ประพฤติในธรรม
    แล้วหลังจากนั้นพระศรีเมืองมานก็ออกเดินธุดงค์ตั้งแต่เหนือยันนครศรีธรรมราช เพราะท่านทราบดีว่าคนไทยอยู่เกลื่อนกลาดตลอดไปหมด เป็นกลุ่มย่อย ๆ เวลาธุดงค์ไปก็เป็นคนเก่ง ใคร
    อยากได้คาถาอาคม ค้าขายดี เมตตามหานิยม คงกระพัน หนังเหนียว มีทุกอย่าง คนไทยชอบ มาทำบุญใส่บาตรกันเป็นกลุ่ม ๆ ใหญ่ ๆ ในเวลาเดียวกันท่านก็ปลุกระดมไปในตัว ให้รู้จักว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เราเป็นคนไทยนะ คนไทยด้วยกันต้องรักความสามัคคี ต่อไปคนไทยต้องเป็นเอกราช ไม่เป็นทาสขอม ให้ทุกคนกลมเกลียวสามัคคีกันไว้ ฝึกปรือการรบไว้ฝึกปรือการสร้างสรรค์ด้านเศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรืองเข้าไว้ด้วย ทำมาหากินได้เก็บเข้าไว้ ถ้าเกิดสงครามเราจะต้องจับจ่ายใช้สอยมาก จะได้ไม่ลำบากในการอุปโภค บริโภค[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]นี่พระธุดงค์สมัยนั้น นี่ถ้าจะไม่ใช่พระ เขาเรียกเดินดง ไม่ใช่ธุดงค์ เดินไปถึงนครศรีธรรมราช และไปยันสิงค์โปร์ ใช้เวลาเป็นปี
    พอย้อนกลับมาอีกทีคนไทยดีขึ้นมาก งานขั้นต่อมาก็ส่งหน้าที่ให้พ่อขุนบางกลางท่าวกับพ่อขุนผาเมือง กลับมาถึงเมืองบอกลูกหลานว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]งานเสร็จแล้ว ลงมือได้[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พระพ่อขุนศรีเมืองมานมาเกิดเป็นวาระที่ ๕ นี้ก็สร้างสรรค์ความสามัคคีกันในความเป็นไทย แล้วก็ไปอยู่ที่วัดต้นจันทร์ ซึ่งอยู่ในป่าลึก ท่านก็เจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็ตายในระหว่างฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม สบาย เกิด ๆ ตาย ๆ แบบนี้ไม่เป็นเรื่องลูกรัก
    เป็นอันว่าบุคคลคนเดียวกันคือพระเจ้ามังรายมหาราชมาเกิดวาระที่ ๕ เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน ลูกหลานก็ทำสงครามขับไล่ขอมไปจากแผ่นดินไทย จนกระทั่งพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์และแก่แล้ว พระพ่อขุนศรีเมืองมานจึงตาย การตายคราวนี้ ก่อนหน้าจะตายท่านละภารกิจทั้งหมดปล่อยให้เป็นเรื่องของคนหนุ่ม ท่านเจริญพระกรรมฐานทรงฌานสมาบัติตายไปเป็นพรหม หนีบาปไป
    จำไว้นะลูกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]คนเราเกิดมาในโลกที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี ถ้าเราจะชดใช้บาปมันก็ชดใช้กันไม่ไหว มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป การภาวนาให้จิตทรงตัว การคิดถึงคุณพระรัตนตรัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกรักของพ่อทั้งหมดต่างคนต่างได้อภิญญาสมาบัติ การทรงอภิญญาสมาบัตินี่ถือว่าเป็นคุณธรรมอันเลิศ ยากที่บุคคลอื่นจะพึ่งทำได้ [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]คำว่าบุคคลอื่นหมายถึงบุคคลภายนอก แต่พราหมณ์เขาก็ทำได้[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]
    เมื่อได้อภิญญาสมาบัติแล้ว จงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ให้ทรงตัว พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการไว้ให้ครบถ้วน พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน ทรงศีลให้บริสุทธิ์ มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมานี้ ลูกรักของพ่อจะไม่ต้องเกิดอีกต่อไป การเกิดอย่างพระเจ้ามังรายที่เล่ามานี้ไม่เป็นเรื่อง
    ตอนนี้ไปนอนสบายอยู่ที่พรหม มองดูคนไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงยาวเหยียด ไทยด้านเหนือพ่อขุนรามคำแหงก็วางแผนดีเป็นมิตรกับพ่อขุนเม็งราย เป็นเพื่อนกันดี ฝ่ายใต้ตีไปจนถึงสิงค์โปร์ การตีคราวนั้นไม่ยากเพราะเป็นการรวมไทยที่พระพ่อขุนศรีเมืองมานไปวางรากฐานแห่งความสามัคคีไว้แล้ว รวมกันก็ง่ายเพราะคนไทยด้วยกันที่ขัดคอก็มีที่กระบี่เท่านั้นที่เขาสู้หนัก นอกนั้นไม่เสียเลือดเนื้อ ท่านก็นอนดูสบาย
    ต่อมาไม่ช้าไม่นานคนไทยเกิดแบ่งเป็น ๒ พวกซะแล้ว ไทยเชียงแสนก็ยังอยู่ดี แต่เกิดไทยอู่ทองขึ้นมาอีกแล้ว ท่านพรหมมังรายเห็นไทยแยกเป็น ๒ พวกแบบนี้มันก็จะกลายเป็นไม้เรียวหนามเป็นอัน ๆ ไม่ช้าไม่นานนักเขาก็จะหักทีละซี่ ๒ ซี่ ตอนนี้เห็นท่าจะไม่ดีซะแล้ว ลูกหลานไทยนี่มันไม่รู้จักประสานกัน ไม่มีความสามัคคี การบ้าลาภ บ้ายศนี่ มันเป็นของไม่ดี บ้าความเป็นใหญ่ มองมามองไปเกิดความรำคาญใจถ้าจะอยู่ไม่ได้ พอดีท่านท้าวผกาพรหมก็มาบอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]นี่ท่านปู่ท่านบอกนะ เล่าเรื่องของพระเจ้ามังรายมหาราชนะไม่ใช่ประวัติหลวงพ่อ พระเจ้ามังรายนี่ท่านเป็นคนขยันเกิดแต่คนอื่นก็อาจจะขยันเกิดอย่างพระเจ้ามังรายเหมือนกัน[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]
    ท่านผกาพรหมก็บอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]นี่พ่อพรหมจ๋า ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิ พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ในประเทศไทย แต่ถ้าไทยยังแตกกันอยู่อย่างนี้เพียงใด พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีคนนับถือ ไม่มีคนปฏิบัติตาม พระพุทธศาสนาเกิดไม่ได้ ฉะนั้นท่านต้องกลับลงไปรวมไทยเดิมให้เป็นไทยตามเดิม[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]เอาอีกแล้ว ท่านองค์นี้ขยันเตือนจริง ๆ จะลงมาเกิดเองก็ไม่ลงมา จึงถามท่านว่า จะไปลงที่ไหนล่ะ
    ท่านผกาพรหมบอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]โน่น ไปลงที่อู่ทอง ไปหาทางเข้าครองเมืองให้ได้ เป็นกำลังใหญ่ของเมือง อย่าเพิ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ถามว่า จะจัดใครลงไปบ้าง ท่านผกาพรหมก็บอก จะจัดเทวดา พรหม ลงมาช่วยพอสมควร แหมท่านผกาพรหมนี่มีหน้าที่จัดอย่างเดียว น่าจะแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีพรหมจัด ประเภทจัดให้คนอื่นเขาทำงาน แต่ตัวเองไม่ทำน่ะ นี่ พอคุยละมายืนต่อว่า ท่านบอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]มันเป็นหน้าที่ของพระเจ้ามังรายเขา เขามีความปรารถนาอย่างนั้น ก็คอยบอกเขาให้ทำอย่างนั้น[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    เป็นอันว่าพรหมพระเจ้ามังราย ก็ลงมาเกิดเป็นวาระที่ ๖ ในช่วงระยะเพียง ๒[FONT=Cordia New,Cordia New],[/FONT]๐๐๐ ปีเศษ เกิดในเมืองอู่ทอง เขาให้นามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ขุนหลวงพระงั่ว[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ตอนนี้ก็หาทางรวมไทยเข้าด้วยกัน ใช้วิธีการทั้ง ๒ อย่าง คือ รบด้วยอาวุธ และรบด้วยลิ้น การรบด้วยลิ้นถือว่ามีความสำคัญมากกว่าการรบด้วยอาวุธ เมื่อหาทางไปตีสุโขทัยเข้ามารวมกันไม่ได้ ก็เจรจาเป็นเพื่อนกันดีกว่า เพราะตอนนี้พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ที่หนองโสนแล้ว
    ขุนหลวงพระงั่วเข้าไปหาพระเจ้าลิไท เจรจากันว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]คนไทยเรานับถือพระพุทธศาสนา และเวลานี้ พระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระจัดกระจายไป เราควรจะรวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่ จะได้เป็นหลักฐานในการสร้างความดีของคนไทย[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พระเจ้าลิไท ท่านก็เป็นคนดี บอก โอ[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]เค[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ด้วย ไม่ถือโทษโกรธเคืองที่เคยยกทัพไปตีท่าน ต่อมามีการนิมนต์พระสงฆ์ไปรวบรวมพระธรรมวินัย ใครรู้อะไร ใครมีตำราอะไร ก็มารวบรวมกันไว้
    ต่อมาท่านก็คิดว่า ควรจะให้คนไทยรู้จักบาปรู้จักบุญ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ไตรภูมิพระร่วง[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ขึ้น การร่างไตรภูมิพระร่วงนี่ ความจริงพระร่วงไม่ได้ทำ ท่านเป็นเพียงศาสนูปถัมภ์ มีขุนหลวงพระงั่วไปร่วมกับบรรดาพระสงฆ์ที่นิมนต์มาด้วย เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัย และกรุง
    ศรีอยุธยา และต่อมาก็ได้ร่วมกันอีก[FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]สร้าง พระพุทธชินราช สร้างพระพุทธชินสีห์ และสร้างพระศากยมุนี ขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวอยู่ได้ด้วยเหตุ ๓ เส้า ด้วยกันคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ [/FONT]
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์ [/FONT]
    [FONT=Cordia New,Cordia New]พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา [/FONT]
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ [/FONT]
    การสร้างคราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ท้าวโกสีสักกะเทวราช ให้พระวิษณุกรรมมาช่วย นี่ท่านผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้นะ ถ้าใครไม่เชื่อก็ไปเอาคนตายมาถามดูก็แล้วกัน ต่อมาภายหลังขุนหลวงพระงั่ว ก็มีโอกาสเข้ารวมไทยให้เป็นไทยเดียวกัน เป็นอันว่าสุโขทัย กับกรุงศรีอยุธยาก็รวมเป็นประเทศเดียวกัน เรื่องทั้งหลายนอกจากนี้เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์เขาเขียนไว้แล้ว ถูกบ้าง ผิดบ้าง เราจะมานั่งพูดเรื่องประวัติศาสตร์กันก็ไม่ดีจะกลายเป็นรือฟื้นหาตะเข็บ ดีไม่ดีเล็บจะไปทิ่มเอาเข็มเข้าไม่เกิดประโยชน์
    ลูกรักทั้งหลาย เป็นอันว่าพระเจ้ามังรายนี่เป็นพระเจ้าจอมเกิด เกิดทีไรยุ่งทุกทีจะต้องหาทางรวมไทยให้เป็นไท สร้างความสมัครสมานสามัคคีให้เกิด เห็นไหมว่า พระเจ้ามังรายท่านสร้างบุญแค่ไหน เวลานี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนมาเกิดก็ดีหรอก ถ้าใช้ลัทธิพระเจ้าพรหมมหาราช และพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ มีหวังหัวขาดไปตาม ๆ กัน เพราะมีไทยขายชาติไทยทำลายชาติ นี่ไอ้พวกขอมเก่ามันมาเกิดในประเทศไทยแล้วมันก็หวังความเป็นใหญ่ในประเทศไทย เราจะสังเกตได้ว่า ไอ้พวกขอมเก่าที่มาเกิดแทรกแซงนี่ เวลามันพูดละก็มันพูดดี แต่เวลาทำมันทำเลว
    และนิสัยของคนไทยไม่ค่อยจำ เจ็บแล้วไม่จำเพราะว่าเขาให้สตางค์เมื่อไรเลิกจำเมื่อนั้น จำได้อย่างเดียวเขาให้สตางค์ เพียงเขาให้สตางค์ ๑๐ บาท ก็ลงคะแนนให้เขา ไม่ได้คิดเลยว่าการที่เขาให้สตางค์เรามาน่ะ เขาต้องหากำไร ชาติจะฉิบหายวายป่วงยังไงช่างมัน ขอให้ได้สตางค์ก็แล้วกัน นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ การที่เด็กนักศึกษาเข้าป่าไปน่ะ ความจริงเราจะไปหาว่าเขาเป็นคอมมูนิสต์ก็ไม่ถูกเสมอไป เราต้องดูน้ำใจเขา เช่น บางคนก็หวังผิดไปจริง ๆ บางคนก็ว่าตามเข้าไม่ใช้มันสมองก็มี แต่บางคนคิดเพื่อความหวังดีของชาติอันนี้ก็มีมาก เพราะเคยพบ เคยเห็น เคยคุยกัน บางคนเจตนาเขาดี แต่มันไม่เป็นที่ถูกใจของคนบางพวก
    เราจะเห็นได้ว่า ไอ้พวกของเก่ามันมาเกิด ใครจะทำลายทรัพย์สินของชาติที่สร้างด้วยเงินภาษีอากรของคนไทยทั้งชาติ ไอ้คนพวกนี้มันจะเห็นว่า ไม่ผิดกฎหมาย ทำลายได้ทำลายไป ความมั่นคงของชาติจะมีเพียงใดไม่พึงปรารถนา ต้องการอย่างเดียว คือ ความเป็นใหญ่ คิดว่าตัวดีแต่ผู้เดียว นอกจากนี้ก็มีพรรคพวกชอบกอบ ชอบโกย ชอบโกง ชอบกินเยอะแยะ นี่เจ้าพวกนี้มันเป็นขอมเก่ามาเกิดทั้งนั้น
    ฉะนั้น คนไทยที่เป็นไทยทั้งหลาย จงรักษาอิสรภาพคือความเป็นไทเข้าไว้ยังไง ๆ ไทยก็ต้องเป็นไท แต่อย่าลืมว่าก่อนที่ไทยเราจะเป็นเอกราชเราต้องเข่นฆ่าขอมให้พินาศไปสมัยเดิมเราเป็น
     
  13. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    มาอย่างไรสมัยนี้ก็เช่นกัน คำว่าขอมไม่ใช่เขมร นี่หมายถึงคนที่เขาประกาศว่าเชื้อชาติไทยแต่เขาขายชาติ นี่คือขอมเก่ามาเกิดมันจึงมุ่งทำลายชาติ ทำลายเศรษฐกิจทำลายความมั่นคงของชาติ
    เป็นอันว่า พระเจ้ามังรายมหาราชกลับมาเป็นวาระที่ ๖ มาเป็นขุนหลวงพระงั่วเป็นรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงศรีอยุธยา ขยายอาณาเขตกว้างไปมากทำไทยให้เป็นประเทศไทยขึ้นอาศัยบุญบารมี สร้างพระพุทธรูป ๓ องค์นั่น การรวบรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น การสงเคราะห์บรรดาประชาชน การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การถวายสังฆทาน การจำศีลภาวนา ในสมัยนั้นท่านนิยมเจริญพระกรรมฐาน เพราะมีพระอรหันต์อยู่ ตายไปจึงไปเป็นพรหมตามเดิม แต่ไม่ช้าไม่นานก็ต้องลงมาเกิดเป็นวาระที่ ๗ ในช่วงนี้
    ตอนนี้ลงมาเป็นลูกชาวบ้าน ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงศรีอยุธยา เกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีมีเนื้อที่ประมาณแสนไร่เศษ ทั้งพ่อ และแม่เป็นเศรษฐี พอมาแต่งงานกันก็เลยเป็นมหาเศรษฐี แม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ตอนนี้ท่านเห็นว่าประชาชนยากจนเข็ญใจเป็นส่วนมาก และอาศัยความสามัคคีมีน้อยเกินไป อาศัยความเป็นมหาเศรษฐีจึงสร้างความสามัคคีด้วยการยื่นโยนทรัพย์สินให้แก่บรรดาประชาชนทั้งหลายให้รู้จักทำมาหากิน รู้จักเก็บหอมรอบรินได้น้อยใช้น้อยได้มากใช้มาก ใช้แต่พอควร พอกำลังของตน สงเคราะห์ที่ทำกิน สงเคราะห์ด้านการเกษตร ด้านการเงิน
    ในตอนแรก ท่านแม่ถามว่า เอาเงินไปใช้ที่ไหน ให้เงินไปเท่าไรหมด ในที่สุดก็ต้องบอกความจริงแก่ท่าน ทีแรกท่านแม่ไม่ค่อยพอใจนัก แต่อยู่มาไม่นานนักท่านแม่ก็ออกแสดงเอง เพราะรู้ความจริง ท่านไปดูเองแล้วมาบอกว่า ที่ตรงนั้นมันยังไม่ดี สงเคราะห์เขายังไม่พอ ให้การศึกษายังไม่พอ แนะนำไม่พอ ท่านแม่ท่านลูกช่วยกันแบบนี้ จนกระทั่งคนในประเทศไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนา บรรดาประชาชนมีความสุข ในการเกิดเป็นเศรษฐีอำไพนี่มีอายุไม่นานนักก็ตาย อาศัยการสร้างบุญบารมีดี ก็เป็นปัจจัยให้ไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม ไปนอนสบายอยู่พรหมไม่เท่าไร มีผู้มารายงานอีกแล้ว บอก โน่นหลวมหัวหลวมท้าย พม่ามันกินเข้ามากินอีกแล้ว มะริด ทวายก็ไม่ได้เรื่อง
    ท่านท้าวผกาพรหม ผู้มาเตือนก็บอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]นี่ท่านพรหมจ๋า จะมานั่งสบายอยู่ยังไงในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ความจริงเราเป็นพระเจ้ามังรายก็รำคาญเหมือนกันนะ จะอยู่ให้สบาย ๆ ก็มาเตือนให้ลงมาลำบากอีก แต่ทว่า ท่านเตือนในสมัยที่ปรารถนาพุทธภูมินะ พุทธภูมิ มีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา แต่ทว่าพระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ได้ก็ต้องอาศัยคนที่นับถือเป็นสำคัญ ถ้าคนไม่นับถือพระพุทธศาสนาซะแล้ว พระพุทธศาสนาก็จะทรงอยู่ไม่ได้ ท่านพรหมมังราย ก็ถามท่านผกาพรหมว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]จะให้ไปเกิดที่ไหน[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ท่านผกาพรหม บอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ลงไปเกิดเป็นลูกของแม่ทัพของสมเด็จพระพันวสา[FONT=Cordia New,Cordia New]” ([/FONT]พระพันวสานี่มีชื่อเรียก ๒ องค์ สมเด็จพระอนิทราธิราช เขาก็เรียกพระพันวสา และพระเจ้าสามพระยา เขาก็เรียกพระพันวสาเหมือนกัน[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]ท่านพรหมมังราย จึงกล่าวว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ถ้าไปเกิดเป็นลูกแม่ทัพก็ต้องรบกัน
    หนัก[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ท่านผกาพรหมก็ถามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]จะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ หรือจะรักษากำลังใจตนเองให้เป็นสุข ถ้าพระพุทธศาสนาหมดไป ใจท่านจะเป็นสุขไหม[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ท่านมังรายพรหมก็ตอบว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ถ้าพระพุทธศาสนาหมดไป ใจฉันจะเป็นสุขได้อย่างไร ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อพระพุทธศาสนา เพราะว่าถ้าพระพุทธศาสนายังทรงอยู่เพียงใด คนทั้งโลกจะมีความสุข ถ้าพระพุทธศาสนาขยายไปได้ทั้งโลก[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ท่านผกาพรหมจึงบอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ถ้าอย่างนั้น ท่านก็ต้องไปเกิดในตระกูลของแม่ทัพของสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ท่านมังรายพรหมก็ต้องรับคำ แล้วถามว่า มีใครร่วมไปเกิดด้วยไหม ท่านผกาพรหมจึงบอกว่า จะจัดพรหม หรือเทวดา ร่วมไปตามสมควร
    ลูกรักของพ่อ นี่เรื่องของบุคคลคนเดียวในช่วงระยะเวลา ๒ พันปีเศษก็เกิดมาเป็นวาระที่ ๘ แล้ว การเกิดแต่ละคราวก็เต็มไปด้วยความลำบากยากแค้น สิ่งที่สร้างไว้ทั้งหมดอำนาจวาสนาบารมีที่มีอยู่ก็ไม่ได้สร้างให้ตัวดีขึ้นมาเลย นี่เป็นแบบฉบับของบรรดาลูกหลานที่รัก ว่า ไม่ควรจะห่วงขันธ์ ๕ จนเกินไป งานที่เรามีอยู่ถือว่าทำตามหน้าที่ แต่อีกส่วนหนึ่งของกำลังใจ นั่นคือ ความดี เราต้องรักษาไว้ เราต้องรักษาความดีทั้งสองอย่างคือโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย หน้าที่พ่อบ้านแม่เรือน การปกครองตัวเองทำให้ครบถ้วนทุกอย่างในด้านของความดีและศีลธรรม หากินด้วยความสุจริต ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรม ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดประเพณีของบ้านเมือง และไม่ขัดคอชาวบ้าน ถ้าเป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ปกครองโดยธรรม ทำตามหน้าที่ รับราชการ เป็นลูกจ้างบริษัท ก็ทำงานด้วยดี คิดว่าเป็นงานของเรา สร้างเขาให้มีความสุข ให้มีกำไร ผลกำไรมันก็ตกมาถึงเราเอง นี่คนดีเขาคิดแบบนี้
    ฉะนั้น ลูกรักทั้งหลายของพ่อ ที่ทุกคนตั้งใจทำความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความดีที่คาดไม่ถึงนั้นก็คืออภิญญาสมาบัติ ลูกรักของพ่อทั้งหญิงและชายต่างคนต่างมีความดีทุกคนช่วยงานสาธารณประโยชน์ด้วยความแข็งขันไม่หวั่นไหวต่อความลำบากยากแค้น ลูกรักของพ่อทำแล้วจงอย่าเกาะนะลูก ถ้าลูกเกาะมันจะเกิด ดูตัวอย่างพระเจ้ามังรายมหาราชเป็นสำคัญ เกิดไม่ได้หยุด เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ไม่ได้มีความดีอะไร [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]เกิดแต่ละคราวก็เป็นไปด้วยความทุกข์[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]โดยหวังความสุขให้แก่บุคคลอื่น ทำให้เขาเป็นปึกแผ่นมั่นคงแล้ว ในที่สุดเมื่อตัวตายไป ความมั่นคงนั่นก็สลายตัวไปไม่มีใครเขารักษา ถ้าบังเอิญลูกของพ่อจะพบชีวิตแบบนี้บ้างก็ต้องถือเอาพระเจ้ามังรายมหาราชเป็นตัวอย่าง ถือว่ามันเป็นธรรมดาของโลกจะต้องเป็นอย่างนั้น โลกมีความไม่เที่ยง
    เป็นอันว่า ท่านพรหมพระเจ้ามังรายมหาราชก็จุติลงมาเกิดเป็นลูกแม่ทัพที่ชื่อว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ขุนไกร[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]สำหรับประวัติขุนไกร กับขุนแผน ที่สุนทรภู่หรือใครเขียนหนังสือไว้นั่นไม่ถูกเกินพอดีไป เป็นนิยายเป็นหนังสืออ่านเล่น แต่ก็ช่างเขาเถอะ เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว คนในสมัยนั้นมีระเบียบวินัยมาก ที่เขาบอกว่าขุนช้างไม่ดีนั่นไม่จริง ความจริงขุนช้างดีมากเป็นพระยาชื่อ [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]พระยาภานุมาศ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ส่วนขุนแผนขั้นสุดท้ายเป็น [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เจ้าพระยากาญจน์บุรี[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ตอนนี้ ก็มารวบรวมกำลังของเมืองไทยอีก ขุนแผนไปตีเมืองเหนือ เมืองใต้ ตีกันไม่หยุดทำเอาคนไทยที่แตกแยกออกไปกลับเข้ามาเป็นปึกแผ่นตามเดิม
    สำหรับเรื่องนี้ ท่านท้าวผกาพรหม ท่านบอกว่า คนที่เขาเขียนเรื่องขุนช้างขุนแผนน่ะ เขียนไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่ควรจะไปตำหนิเขาเพราะเขาเขียนเพื่อความสนุก ความจริงขุนช้างเป็นคนดีเป็นคนไม่มีลูก ขุนแผนก็เป็นคนดีเป็นคนมีลูกมาก คำว่า ขุนช้างก็ดี ขุนแผนก็ดีไม่ได้มีในทำเนียบข้าราชการ ในทำเนียบของข้าราชการทั้ง ๒ คน นี่เป็นพระยาด้วยกันทั้งคู่ และเป็นเพื่อนรักกันมาก ตามที่ท่านผกาพรหมบอกมาว่า ขุนช้างมีอายุแก่กว่าขุนแผน ๑ ปี เป็นเพื่อนเล่นรักกันมากมาตั้งแต่เด็ก ขุนช้างเป็นเศรษฐีอยู่ในตระกูลที่หาช้างให้แก่พระราชาตั้งแต่สมัยปู่ เมื่อได้ช้างมาแล้วก็ฝึกช้าง และควบคุมช้างเรียกว่า เป็นหัวหน้ากองช้าง เขาจึงเรียกว่า ขุนช้าง
    สำหรับขุนแผนเป็นแม่ทัพอยู่ในระเบียบวินัย อยู่ในแบบแผนข้อบังคับ จึงได้นามว่า ขุนแผน เป็นศัพท์ของชาวบ้าน แต่ศัพท์ทางราชการตอนแรกเป็นหลวงอะไรไม่ทราบ ต่อมาได้เป็น [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]พระบำราบหรินทร์[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ต่อมาเป็นพระยากาญจน์บุรี และเจ้าพระยากาญจนบุรี ไม่ช้าก็ตาย
    ที่เขาว่าขุนช้าง โกงเมียขุนแผน แล้วขุนแผนก็ไปขโมยเมียกลับคืน นี่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตามประวัติที่ท่านผกาพรหมบอกไว้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น ขุนแผนเป็นคนมีลูกมาก เพราะมีเมียมาก ที่มีเมียมากเพราะเป็นคนมีคาถาอาคมดี เป็นแม่ทัพ แม่ทัพนี่ไม่ใช่ว่าหน้าบึ้งขึงจอนะ ท่านมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไปไหนมีแต่ความแช่มชื่นเป็นที่รักของบุคคลทั่วไป ฉะนั้นเมื่อชาวบ้านรักได้ สาว ๆ ก็รักได้เหมือนกัน เมื่อสาว ๆ รักได้พ่อแผนหนุ่มเมียเผลอก็รักได้เหมือนกัน
    ดังนั้น พ่อแผนจึงไม่ได้มีเมียแต่เพียง ๒ คน ลาวทองกับพิมพิลาไลยเท่านั้น ความจริงขุนแผนมีเมียมากกว่านั้น เพราะว่าฐานะขุนแผนไม่ได้ยากจนเข็ญใจตามโบราณคดีที่เขียนไว้ ขุนช้างท่านมาบอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ถ้าเจ้าแผนไม่จับจ่ายใช้สอยมาก มันรวยกว่าท่าน อย่างจนก็อยู่ในคหบดีขนาดสูง[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ขุนช้างไม่มีลูกก็เลยเอาลูกขุนแผนเป็นลูกขุนช้างไป เวลาเช้าขุนเช้าก็จะสั่งคนรับใช้ให้หุงข้าวมาก ๆ แกงมาก ๆ ทำขนมมาก ๆ ประเดี๋ยวลูกไอ้แผนมันมา มันจะไม่มีอะไรกิน ส่วนลูกขุนแผนพอไปหาขุนช้างก็คุณพ่อแบบนั้น คุณพ่อแบบนี้ คุณพ่อเป็นคนไม่มีลูก คุณพ่อก็เห่ออุ้มลูกจูงหลานเป็นแถว ลูกขุนแผนต้องการอะไร ขุนช้างหาให้ทั้งหมด นี่เขาเป็นคนดีกันจริง ๆ แต่ว่าหนังสือที่เขียนไว้นะซีไม่ได้ดีตามนั้นเลย คนในสมัยนั้นอยู่ในระเบียบ ในกรอบวินัยดีมาก มีขนมธรรมเนียมประเพณีดี และพระราชาก็มีสิทธิตัดหัวได้สบาย ๆ ถ้าไปทำชั่วแบบที่เขียนในหนังสือไว้
    เป็นอันว่า ชาตินี้ ขุนแผนต้องมารวบรวมไทย อาศัยที่มีวิชาการมากเป็นนักรบเก่งล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้ ทำหุ่นยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลก ๆ การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมากก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้ บั้นปลายชีวิตของขุนแผนไปเป็นเจ้าพระยากาญจนบุรี ก็ไปจำศีลภาวนาอยู่ที่เขาชนไก่ และก็ตายในถิ่นนั้น ด้วยกำลังของฌานไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม นอนสบาย อยู่พรหมสักพักหนึ่ง
    [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]อาศัยมีใจห่วงใยพระพุทธศาสนา[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]มองดูคนไทยคิดว่าถ้าจะไม่ค่อยดีอีกแล้ว ต้องลงไปช่วยพยุงทั้งชาติ พระพุทธศาสนา และประชาชนให้มีความเป็นอยู่ให้ดีกว่านี้สักหน่อย ตอนนี้เรียกว่ามาช่วยมุงหลังคา เพราะหลังคารั่ว ฝนตกมาก็ลำบาก แต่ยังไม่ถึงกับพัง ตอนนี้ลงมาเกิดเป็นลูก
     
  14. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    กษัตริย์ มีนามว่า พระบรมไตรโลกนาถ ประวัติของท่านเป็นยังไงบรรดาประชาชนชาวไทยก็รู้อยู่แล้ว นี่ย่องมาเป็นครั้งที่ ๙
    หลังจากเป็นพระบรมไตรโลกนาถพอสมควรเวลานั้นอย่าลืมนะว่ามีพระอรหันต์มาก คนเวลานั้นนิยมเจริญพระกรรมฐานอยู่มาก แต่การแย่งราชสมบัติกันสมัยกรุงศรีอยุธยานี่แย่งกันไปแย่งกันมา ก็รู้สึกน่ารำคาญ กษัตริย์เปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันมา รู้สึกว่าใคร ๆ ก็อยากเป็นกษัตริย์ เห็นว่าเป็นของดี บางคนเป็นได้ไม่กี่ปีก็ตาย ก็ยังอยากจะเป็นกันก็แปลกตำแหน่งกษัตริย์เป็นตำแหน่งที่หนักมาก แต่ก็อยากเป็นกัน ช่างเขา มันเป็นกฎของกรรม และอาจจะเป็นบุญวาสนาของเขาก็ได้ เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคต ก็ไปเป็นพรหมตามเดิม ไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาอีก
    วาระที่ ๑๐ ก็ลงมาเกิดเป็นขุนเหล็ก หรือ [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]พระยาโกษาเหล็ก[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อ ขนปาน หรือพระยาโกษาปาน ประวัติของ เจ้าพระยาโกษาเหล็ก และสมัยหลังน้องชายก็เป็นเจ้าพระยาโกษาปาน ทำอะไรบ้างก็รู้กันตามประวัติศาสตร์แล้ว แต่งานจริง ๆ ทำมากกว่านั้นมีงานหนักมาก เจ้าพระยาโกษาเหล็กนี่เป็นเชื้อสายของสุโขทัย ตอนนี้ท่านก็มาถึงไทย และขยายไทยให้เข้าสู่สภาพปกติ ุ
    เพราะตอนนั้นไม่สู้ปกตินัก เจ้าพระยาโกษาเหล็กและเจ้าพระยาโกษาปาน เคยเดินทางถึงต่างประเทศ ทั้ง ๒ คน มีฝีมือดีเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาก อันดันแรกเป็นเพื่อนเล่นกัน ต่อมาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันมีฝีมือดี ต่อมาเป็นแม่ทัพ สมัยนั้นมีแม่ทัพนายกองเก่ง ๆ หลายท่านด้วยกัน เช่น พระยาพิชัยดาบหัก และอีกหลายคน ไม่ใช่เก่งคนเดียว เก่งคนเดียวนี่เก่งไม่ได้
    บั้นปลายของชีวิตท่านลาราชกิจราชการ เพราะเป็นคนแก่ ไปจำศีลภาวนาเจริญพระกรรมฐานวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตามปกติของคนแก่ ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็กด้วยกำลังของฌานไปเป็นพรหมตามเดิม นอนสบายได้พักหนึ่ง ก็ต้องเสด็จลงมาอีกแล้วกรุงศรีอยุธยาแตกยับเยิน
    วาระที่ ๑๑ นี้ ท่านพรหมพระเจ้ามังรายมหาราชก็มาเกิดเป็นขุนดาบของพระเจ้าตากสินมหาราช คือ พระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราช สมัยกรุงธนบุรี ก่อนศรีอยุธยาแตกท่านผู้นี้เป็นหัวหน้าพร้อมด้วยคณะนายทหารของชาติ เป็นกำนัน ชื่อว่า กำนันจัน หนวดเขี้ยว มีรูปร่างหน้าตาสวยมีเสน่ห์ กินหมากสูบบุหรี่ ร่างท้วมนิด ๆ เนื้อเต็ม หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นที่รักของบรรดาประชาชนทั้งหลายที่ปกครอง ชาวบ้านรักท่านกำนันมาก ถึงกับตั้งให้เป็น [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ขุนบาลไท[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ซึ่งเป็นตำแหน่งของชาวบ้านตั้งให้ ไม่ใช่ตำแหน่งข้าราชการ
    แต่ทุกคนเรียกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]พ่อ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]มีอำนาจมาก อำนาจของท่านก็คือ ความดี วันทั้งวันใคร ๆ ก็จะเห็นกำนันจันหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ถ้าเราจะพูดกันแบบคนเลว ๆ ก็จะหาว่า ท่านกำนันจันเป็นคนอ่อนแอ แต่เนื้อจริง ๆ ลูกรักท่านกำนันจันเป็นคนเข้มแข็ง เป็นคนที่ชนะใจคนทั้งตำบล และก็ชนะใจคนหลายๆ ตำบลทุกคนที่พบกำนันจันก็จะหมอบราบคาบแก้ว ซึ่งความจริงท่านก็เป็นทหารนั่นเอง ไม่งั้นจะสู้พม่าได้ยังไงที่ค่ายบางระจัน
    ต่อมาเมื่อสงครามเกิด เพราะพม่าจะเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ท่านกำนันหนวดเขี้ยวกับบรรดาเพื่อนที่รักรวบรวมกำลังของคนไทยในชาติเท่าที่จะพอหาได้ตั้งค่ายสู้รบกับข้าศึกทั้ง ๆ ที่รัฐบาลไม่มีโอกาสจะสนับสนุนกำนันจันได้เลย เขาเรียกว่า ค่ายบางระจัน คำว่า บางระจันนี่คงไม่ได้หมายความว่า เอาชื่อกำนันจันมาตั้งชื่อค่าย หรืออาจจะมีความหมายอย่างนั้นพ่อก็ไม่รู้ แต่ตำบลนั้นเขาอาจจะชื่อตำบลบางระจันมาก่อนก็ได้
    ความจริงเวลานั้น ถ้ารัฐบาลฉลาด พ่อคิดว่า ข้าศึกไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาได้ ทั้งนี้เพราะกำลังประชาชนส่วนใหญ่ต่อสู้กับข้าศึก มันเป็นโอกาสดีที่เราจะสร้างกองโจรได้ดี ทางฝ่ายรัฐบาลเวลานั้นหาคนดียาก กษัตริย์เวลานั้นจะเป็นใครก็ตาม พ่อขอประณามว่าเป็นกษัตริย์ที่มีอารมณ์โง่ที่สุด เป็นสมัยของข้าราชการที่โง่ที่สุด ถ้าหากว่าประชาชนเขาสู้เราเป็นรัฐบาลก็เอาทหารไปในนามของประชาชน มันก็ไม่ยากไปช่วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ยาตราทัพเข้าไปโจมตีเบื้องหลังของข้าศึก หรือทำเป็นหน่วยกองโจรก็ได้ สนับสนุนคนในค่ายบางระจัน
    แต่นี่เพียงคนในค่ายบางระจันจะขอปืน ทางราชการก็เกรงว่า ข้าศึกจะแย่งปืนในระหว่างทาง จนกระทั่งพระยาอะไรท่านหนึ่ง ท่านอุตส่าห์ไปช่วยหล่อปืนให้ ท่านยังเดินทางไปได้ แล้วทำไมทหารจึงไปไม่ได้ นี่ความโง่ของรัฐบาลสมัยนั้น มันก็เท่ากับความโง่ของรัฐบาลสมัยหนึ่ง หรืออาจจะเป็น ๔ สมัย ที่ทำให้ชาติล่มจมเกือบทรงตัวอยู่ไม่ได้ จะเป็นสมัยใดบ้าง พ่อไม่พูด หวังว่าลูกๆ คงเข้าใจดี และคงจะจำหน้าและเชื่อคนในสมัยที่พ่อพูดนี้ได้ดีกว่าพวกนี้ ถ้าเข้ามาบริหารประเทศเมื่อใด เมื่อนั้นแหละประเทศเราก็ยำแย่ แต่ทว่าพวกเราแย่ เขารวย บางรายจะเป็นผู้แทนสักที ลงทุนกันเป็นล้าน เงินเดือนผู้แทนเท่าไร เป็นอันว่ารัฐบาลสมัยนั้นซวยที่สุด มันเป็นชะตาของประเทศ
    ในที่สุดค่ายบางระจันก็แตก ตามประวัติศาสตร์เขาเรียกว่า คนในค่ายบางระจันตายทั้งหมด แต่พ่อว่า คนในสมัยนั้นเขาไม่โง่เท่าคนเขียนประวัติศาสตร์ คนลงตั้งค่ายได้เกณฑ์คนมาร่วมรบได้โดยไม่มีเงินดาวน์ เงินเดือน เบี้ยหวัด ก็ไม่มี สามารถตั้งเป็นกองทัพต่อสู้ข้าศึกได้เป็นเดือน ๆ แล้ว จะมีคนที่ไหนเขายอมตายทั้งหมด
    พ่อเคยพบนักเลงคนหนึ่งเขาคุยเรื่องตีรันฟังแทงแก่ง ถามเขาว่า คุณเคยหนีบ้างไหม แกยิ้ม บอกว่า ผมพูดมาตั้งหลายชั่วโมงไม่มีใครถาม มีท่านองค์เดียวถาม และบอกว่า ถ้านักเลงจริง ๆ ต้องมีหนี ถ้าไม่หนีก็ไม่ใช่นักเลง เพราะว่าถ้าเราสู้เขาไม่ได้ เราก็ต้องถอยก่อน ถอยเพื่อไปตั้งหลักต่อสู้กับเขาใหม่ นี่จึงจะเป็นนักเลงได้ แต่ว่าถ้าถือตัวว่าเป็นนักเลง แต่ตัวเองไม่สามารถจะถอยในเมื่อกำลังสู้เข้าไม่ได้ ยังงั้นก็ไม่ใช่นักเลงแท้ เขาถือว่าเป็นคนโง่
    ค่ายบางระจันมีกำนันจันพร้อมด้วยเพื่อน ๆ เมื่อพม่าตีค่ายแตกก็เป็นของธรรมดาที่จะต้องเสียกำลังไปประมาณ ๑ ใน ๔ ของกำลังทั้งหมด แต่ว่าเมื่อสถานที่ตั้งมั่นแตกยับเยินอยู่ไม่ได้ก็ต้องสลายตัว การสลายตัวคราวนั้นก็ไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนามมาอีก เก็บเงียบปิดเป็นความลับ ฉะนั้น นักบันทึกประวัติศาสตร์จึงเขียนว่าค่ายบางระจันแตกพร้อมด้วยทุกคนตาย ถ้าปล่อยให้ตายแบบนั้นก็ไม่ใช่กำนันจันขุนดาบฝีมือดี
    กำนันจันคุมกำลังส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ถอยออกจากค่ายไป ในเมื่อข้าศึกมีกำลังมากกว่า จะสู้แบบประจันหน้ากันไม่ได้จึงได้แยกย้ายออก ตั้งเป็นกองโจรทำลายข้าศึกที่ออกหาเสบียง เห็นข้าศึกมากกว่าก็ใช้ธนูหน้าไม้ยิงตัดกำลัง ถ้าข้าศึกมาน้อยก็เข่นฆ่าเสียพินาศ เป็นอันว่าสมัยนั้นแม้ว่ากรุงจะแตก แต่ว่ากำลังของประชาชนที่อยู่นอกกรุงยังรวมกำลังกันอยู่เป็นจุด ๆ แบบเสรีไทย ตั้งกลุ่มกันอยู่เรียงรายตั้งแต่จังหวัดสิงห์บุรี ถึงสุพรรณบุรีมีกำลัง ๑๐ จุด ต่อมาขยายกำลังไปถึงราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ตั้งเป็นกำลังใหญ่เข้าไว้
    ต่อมาเมื่อประเทศไทยหวังในการกู้ชาติ โดยการนำของพระเจ้าตากสิน ก็ได้กำลังคนพวกนี้นี่แหละเข้ามาเป็นกำลังใหญ่ช่วยในการกู้ชาติ เขาไม่ได้เป็นทหารของรัฐโดยตรง แต่ว่าเขาเป็นทหารของประเทศ เป็นกันทั้งผู้หญิงผู้ชาย เมื่อเลิกศึกสงครามแล้วก็ฝึกปรือกันสอนกัน พวกนี้ก็แก่ไป คนใหม่เกิดขึ้น สั่งสอนยุทธวิธีกันตั้งแต่เด็ก จึงมีความชิน ความชำนาญยุทธวิธีในการรบ รบบนหลังช้าง รบบนหลังม้า รบบนหลังควาย รบในทางเดินราบ เขาทำกันละก็สร้างความสามัคคี ตั้งหมวด ตั้งหมู่ ตั้งกองไว้ ที่เรียกกันว่า กำนัน ใครเป็นกำนันก็ชื่อว่า เป็นผู้บังคับกอง ใครเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ชื่อว่าผู้บังคับหมวด ใครเป็นสารวัตรคนนั้นเป็นผู้บังคับหมู่ ใครเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ก็เป็นผู้บังคับหมู่ จัดกำลังกองทัพประชาชนกันไว้แบบเงียบ ๆ ฝึกยุทธวิธีสั่งสมเสบียงอาหาร
    เมื่อเราหวังในการกู้ชาติ กำลังท่านพวกนี้ก็พยายามตัดกำลังข้าศึกนับตั้งแต่เดินทัพเข้ามา หน่วยไหนที่แหลมออกไปเพื่อหาอาหาร หรือออกลาดตระเวน ชาวบ้านธรรมดานี่แหละจะทำท่าไปหากินตามปกติ แต่อาวุธอยู่ไม่ไกลนัก อาวุธสำคัญคือ ธนู กับหน้าไม้ ใช้เป็นอาวุธยาว ติดยางน่อง ซึ่งถูกแล้วเลือดออกนิดเดียวก็ตายได้ ยางน่องที่ติดปลายธนูนี่เข้าทำลายข้าศึกด้วยการตัดอาหารการบริโภค เพราะข้าศึกมันมีเสบียงมาไม่พอยังออกตระเวนกวาดเสบียงจากชาวบ้านด้วย เราก็ค่อยๆ ริดรอนไป ถ้ากำลังมากก็ริดรอนทีละคน ๒ คน ถึง ๑๐ คน แอบตามสุมทุมพุ่มไม้แบบกองโจร ถ้าข้าศึกมากลุ่มน้อย นั่นหมายถึงต้องตายทั้งหมด แล้วทุกคนหลบเข้าป่า ทำท่าเป็นชาวไร่ชาวนาปกติ
    เมื่อพระเจ้าตากสินกู้ชาติสำเร็จแล้ว กรุงศรีอยุธยายับเยินจนไม่สามารถบูรณะเป็นเมืองหลวงต่อไปได้ พระองค์จึงตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง แต่สงครามก็ยังไม่เสร็จสิ้น ตอนนี้พรหมพระเจ้ามังรายมหาราชหายสาบสูญจากกำนันมาเป็นขุนดาบคู่พระทัยของพระเจ้าตากสินมหาราช ชื่อว่า พระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง
    ในเวลานั้นแบ่งเป็น ๓ ทัพ คือ ทัพของวังหน้า หนึ่ง ทัพขององค์สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สอง และทัพหลวง สำหรับทัพหลวงนี่เป็นทัพซ่อม เมื่อข้าศึกมา ทัพของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเจ้าพระยาสุรสีห์ก็ต้องนำทัพออกไปก่อนตามกำลังทหารที่มีอยู่ พระเจ้าตากสินอยู่ข้างหลัง พระองค์ก็ใช้ให้นายทหารคู่พระทัย ๑๐ คน นำกำลังออกไปตามสมควร หรือไม่พระองค์ก็เสด็จเอง นายทหารคู่พระทัย ๑๐ ท่านนี้มีฝีมือดีมาก การรบคำว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]แพ้ไม่มี[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]เข้าที่ไหนพังที่นั่น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงรับสั่งให้ชะตาของประเทศไทยอยู่ในตำแหน่ง [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]กูผู้ชนะ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    [FONT=Cordia New,Cordia New]นักรบทั้ง ๑๐ ท่านนี้ พ่อถามท่านบอกว่ามี ๑[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]พระยาศรีสิทธิสงคราม ๒[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]พระยาปราบอริราชศัตรู [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]เสริม[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]๓[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]พระยาศัตรูพินาศ [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]ประชา[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]๔[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]พระยาองอาจราชสงคราม [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]ไม่เกิด[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]๕[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]พระยาสามเมืองระย่อ [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]ไม่เกิด[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]๖[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]พระยาพนอราชบาท [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]ไม่เกิด[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]๗[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]พระยาไพรีพินาศ [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]ไม่เกิด[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]๘[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]พระยาปราบราชปัจจามิตร [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]ไม่เกิด[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]๙[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]พระยาราชมิตรราชา [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]ไม่เกิด[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]๑๐[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]พระยามหาพิชัยสงคราม [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]ไม่เกิด[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]
    พูดถึงการสิ้นอำนาจของพระเจ้าตากสินมหาราชนี่ ตามประวัติศาสตร์เห็นจะเขียนผิดความจริงคนเขียนประวัติศาสตร์เขียนไม่ผิด แต่เขียนถูกตามรับสั่งของพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เพราะถ้าหากเขียนถูกตามเรื่องราว ประเทศไทยเราอาจจะต้องย่อยยับเพราะเวลานั้นเป็นการแสดงละครอย่างดีมาก สมัยนั้นบ้านเมืองเรายับเยินมาก คนไทยแตกกระจัดกระจายไทยไม่เป็นไท ท่านจำต้องมารวบรวมไทย การเกิดเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม นายทหารเอกก็ต้องทำหน้าที่นี้
    อยุธยาแตกครั้งหลังเพราะอะไร เพราะคนไทยเราแตกความสามัคคี ไม่รักความเป็นไท คล้าย ๆ กับคนไทยใกล้ ๆ สมัยปัจจุบันที่ชาวบ้านเขาไม่รู้จักว่า รัฐธรรมนูญเป็นยังไง ก็ร้องเรียกรัฐธรรมนูญ ชาวบ้านเขารังเกียจสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะมาเคี่ยวเข็ญเขาเข้าไปแล้วก็ไม่ได้เป็นผู้แทนจริง ๆ ไปกอบโกยอำนาจ กอบโกยทรัพย์สิน ทำให้เขาเสียหายมาก คนที่อยากจะเป็นผู้แทนราษฎรก็ให้คำมั่นสัญญากับบรรดาประชาชนไว้ยังไง แต่เวลาเข้าไปในสภาแล้วก็อยากเป็นรัฐบาล แทนที่จะเข้าไปควบคุมรัฐบาลกลับอยากไปเป็นรัฐบาลซะอง ความมุ่งหมายปลายทางที่ประกาศให้สัญญากับประชาชนไว้ก็ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมาย การเมืองของประเทศใดก็ตาม ที่ยังมีพรรคการเมืองอยู่ เราก็ยังไม่เรียกประชาธิปไตย ถ้าเป็นพรรคเป็นกลุ่มเขาเรียกคณาธิปไตย แต่อย่างไหนจะดีไม่ดีไม่ขอวิจารณ์นี่พูดตามศัพท์
    พระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์เป็นคนรักชาติ เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งหลังยับเยินมาก พระองค์มีกำลัง ๕๐๐ คน ตีฟันฝ่าข้าศึกออกไป รวบรวมกำลังคนได้ไม่เกิน ๕ พันคน ก็กำลังใหญ่ ๆ ๑๐ จุด ของกำนันจันนั่นแหละ กลับมากู้กรุงศรีอยุธยา สามารถกู้คนไทยได้ทั้งชาติ นี่เราก็ต้องถือว่าเป็นบารมีของพระเจ้าแผ่นดินที่สามารถรวบรวมคนสำคัญไว้ได้ เช่น พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ดี กรมพระราชวังบวรก็ดี นี่ต้องถือว่าเป็นคู่บารมี เป็นคนที่มีบุญคุณต่อประเทศชาติมาก เวลานั้นตอนกรุงแตกมีคนขายชาติ แต่สมัยพระเจ้าตากสินไม่มีคนขายชาติ เพราะถ้ามีคนขายชาติละก็ ถูกกำจัดเสียหมดไม่เหลือ ดูคนคิดคดทรยศอย่างพระยาสวรรค์ก็ถูกประหารชีวิต การปกครองกันต้องทำกันแบบนี้จึงจะถูกไม่ควรปล่อยให้ไอ้พวกขอมเก่าเข้ามาทำลายชาติ เวลานี้เรามักนิยมขอมเก่ากัน ทั้ง ๆ ที่มันทำลายชาติไทยไปตั้งหลายวาระ และมันก็อ้างว่าจะทำโน่นให้เจริญ จะทำนี่ให้เจริญ แต่มันบ่อนทำลายทุกอย่าง
    เมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นมาเป็นกษัตริย์ พระองค์ไม่ได้เป็นลูกกษัตริย์ไม่มีราชสมบัติมาก่อน การรบทัพจับศึกไม่ได้หยุด นึกดูก็แล้วกัน ท่านเป็นพ่อบ้าน เพียงแค่พ่อบ้านแม่เรือน ก็รู้อยู่ว่าการ
    จับจ่ายใช้สอยมันมากมายเพียงใด ถ้าเป็นเรื่องของประเทศล่ะจะจับจ่ายใช้สอยกันมากมายขนาดไหน เงินที่ใช้สอย เบี้ยหวัด เบี้ยบำนาญ เงินเดือนข้าราชการของท่านก็ไม่มี ผลที่สุดในฐานะที่พระองค์มีเชื้อสายเป็นจีนมาก่อน ท่านจึงต้องอาศัยจีนคือ [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ขอยืมเงินเจ้าสัวคนจีนเขามา[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]เพราะเป็นหนี้ เบี้ยหวัด เบี้ยบำนาญข้าราชการเขาอยู่มาก
    ฉะนั้น มาบั้นปลายของชีวิต ท่านจึงมาคิดว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ถ้าเราจะเป็นกษัตริย์ต่อไป เราก็ต้องใช้หนี้เขา เงินก็ไม่มีจะใช้หนี้เขา[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]จึงได้เรียกสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เข้ามาพบในวันหนึ่งให้ทรงเครื่องรบขัดดาบมาด้วย เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกท่านก็แปลกใจคิดว่าคงจะมีเรื่องร้าย ครั้นเข้ามาแล้วก็ปรากฏว่า พระเจ้าตากสินอยู่ทรงอยู่องค์เดียวในห้องพระ ทรงขาวทั้งชุดนั่งชักลูกประคำ พระพุทธยอดฟ้าเห็นแบบนั้นก็ไม่กล้าเข้ามา เพราะขัดดาบมาด้วย พระเจ้าตากสินเห็นเข้า ก็ทรงเรียกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ด้วงเรอะ เข้ามาซิ [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ความจริงท่านเป็นเพื่อนกัน[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]เอาดาบเข้ามาด้วย[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    พระพุทธยอดฟ้าจะถอดดาบเก็บข้างนอกก็จำต้องถือเข้ามา แล้ววางดาบไว้ห่าง ๆ หมอบคลานเข้าไปเฝ้า พระเจ้าตากสินรับสั่งว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]หยิบดาบมาให้ใกล้[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็เลยเอามือกระทุ้งดาบออกนอกประตูไป ในฐานะที่พระมหากษัตริย์ประทับอยู่พระองค์เดียว การถือดาบเข้าไปอย่างนั้นย่อมไม่เหมาะ และอยู่ในชุดรบ พระเจ้าตากสินจึงถามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ด้วง อยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พระพุทธยอดฟ้าก็กราบทูลว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ไม่เคยคิด พระพุทธเจ้าข้า[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    พระเจ้าตากสินจึงบอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ด้วง จะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]แล้วทรงเล่าเรื่องตามความเป็นจริงให้ทราบ แล้วบอกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]อีกไม่กี่วัน เจ้าสัวเขาจะมาทวงเงินเขา ด้วงก็รู้อยู่แล้วนี่ว่า ฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนที่สุด ฉันไม่มีทรัพย์สินที่ไหนมาเลย ต้องกู้เงินเจ้าสัวเขามาจับจ่ายใช้สอย เวลานี้ฉันก็เป็นหนี้ เบี้ยหวัด เงินเดือน เงินปี ของข้าราชการอยู่มาก ยังชำระไม่หมด การรบทัพจับศึกก็ไม่เสร็จ ทำอยู่ตลอดเวลา การจับจ่ายใช้สอยมันก็มาก ถ้าฉันจะเอาเงินใช้หนี้เขาก็ไม่พอ เราก็จะต้องกู้หนี้ยืมสินเขาใหม่อีก และเงินเก่าเราก็ไม่มีให้เขาพร้อมทั้งดอกเบี้ย ฉันลำบากมาก ถ้ากระไรก็ดี ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เวลานี้เขมรแข็งเมือง ให้ด้วงยกทัพไปตีเขมร เอาลูกชาย ๒ คน ของฉันไปด้วย
    และเมื่อตีเขมรได้แล้ว ไม่ต้องเอาลูกชายฉันมา ให้ครองอยู่ที่นั่น ด้วงกลับมา ด้วงก็เป็นกษัตริย์ สำหรับเงินที่จะต้องใช้ให้แก่ข้าราชการ เบี้ยหวัด เงินปีต่าง ๆ ที่คั่งค้างฉันเตรียมไว้แล้ว และเงินอีกส่วนหนึ่งสำหรับใช้ภายในประเทศฉันก็เตรียมไว้แล้ว และเงินอีกส่วนหนึ่งที่จะใช้เวลาที่ด้วงเป็นกษัตริย์ฉันก็เตรียมไว้แล้ว รวมเป็น ๓ ส่วนด้วยกัน ซึ่งในระยะไม่ช้า เจ้าสัวเขาก็จะมาทวงเงินของเขา ซึ่งตอนนี้แหละ ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และฉันจะต้องพ้นจากตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดิน แต่ด้วงทำงานคราวนี้ต้องทำในรูปปฏิวัติหรือทำในรูปขบถยึดอำนาจจากฉัน แต่การยึดอำนาจกันเฉย ๆ ใคร ๆ เขาจะคิดว่าด้วงเป็นคนอกตัญญู เห่อเหิมมาก ฉันจะทำทีเหมือนว่าเป็นนักบวช และ
     
  15. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    ทำเป็นสติฟั่นเฟือน ในที่สุดกลับมาแล้ว ด้วงก็จับฉันประหารชีวิต แต่การประหารชีวิตฉันนั้น จะประหารจริงหรือหลอกก็ให้เป็นวิธีการของด้วง ฉันพร้อมที่จะยอมตายเพื่อชาติ
    เห็นไหมลูกหลานที่รัก คนดีท่านทำอย่างนี้ ท่านไม่มานั่งเมามันเพื่อต้องการรัฐธรรมนูญ ต้องการรัฐสภา เวลาประกาศกับประชาชนก็ว่าต้องการเป็นตัวแทนของประชาชนชาวไทย แต่เมื่อเลือกเข้าไปแล้วก็อยากจะเป็นรัฐมนตรีมุ่งความเป็นใหญ่
    แต่นี่พระเจ้าตากสินมหาราช ท่านไม่ต้องการอย่างนั้น เมื่อสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกเวลานั้นได้ทราบความจริง และสมเด็จพระเจ้าตากสินก็มีพระทัยมั่นคงต้องการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่อย่างนั้นประเทศไทยเราจะทรงตัวอยู่ไม่ได้ เพราะว่าท่านกู้เงินของจีน ถ้าไม่มีเงินให้เขา ก็อย่าลืมว่าประเทศไทยกับประเทศจีนน่ะกำลังต่างกัน เราเองก็เพิ่งจะตั้งตัวได้ใหม่ ๆ เพียงแต่จีนเขาใช้กำลังใกล้ ๆ กับเรา เราก็สู้เขาไม่ได้ ถ้าเขาหากว่าเราโกงเขา นี่เนื้อแท้ความจริงเป็นอย่างนี้
    แต่ทว่าต่อมาภายหลัง พระยาสรรค์บุรี ทำงานเกินอำนาจที่สั่งไว้ จับพระเจ้าตากสินเอาเสียจริง ๆ จับแบบเอาจริง แต่ตอนเข้าไปจับนั้น ท่านท้าวผกาพรหมบอกว่า ขุนดาบ ๑๐ พระยาของพระเจ้าตากสินนี่จะสู้ เพราะมีกำลังรักษาพระองค์อยู่พอสมควร พระยาสรรค์บุรี ไปเอากำลังมาจากกรุงศรีอยุธยา เนื้อแท้จริง ๆ ถ้ารบกันพระยาสวรรค์ก็หัวขาด แต่ทว่าพระเจ้าตากสินคิดว่า ถ้าเกิดสู้กันจริง ๆ งานที่คิดไว้ก็ไม่เป็นผลเพราะว่า ขุนดาบ ๑๐ พระยานี่ยังไม่รู้เรื่อง ถ้ารบก็ต้องรบกันถึงขั้นแตกหักกันจริง ๆ พระองค์จึงห้ามปราม ๑๐ พระยานั่น ปล่อยให้พระยาสวรรค์จับ
    เรื่องการลงโทษ พระสงฆ์ ของพระเจ้าตากสินเรื่องนี้ก็หลอกกัน เมื่อพระสงฆ์ทำผิดเรียกมาสอบสวน เวลาจะลงโทษ ก็เอานักโทษมาโกนหัวเอาผ้าเหลืองนุ่งแล้วก็เฆี่ยน เขาก็หาว่าท่านบ้าเฆี่ยนพระ แต่ความจริงพระไม่ได้ถูกเฆี่ยน พระองค์ทำให้คนอื่นเขาเห็นว่าบ้า นี่สติฟั่นเฟือน การจับให้ออกจากพระมหากษัตริย์ก็เป็นของธรรมดา
    เมื่อพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทราบเรื่องพระยาสวรรค์ทำเกินเหตุ จึงยกทัพกลับจับพระยาสวรรค์บุรีประหารชีวิตเสีย ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีคำสั่งให้เอาพระเจ้าตากสินมหาราชมาประหารชีวิต โดยการใส่กระสอบแล้วทุบด้วยท่อนจันทน์จนตาย แต่คนที่อยู่ในกระสอบไม่ใช่พระเจ้าตากสินครั้งแรกมีราชองครักษ์ของพระองค์มีความจงรักภักดีมาก อาสาตายแทนพระเจ้าตากสิน แต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาไม่เอา ให้เอานักโทษประหารชีวิตมาใส่กระสอบทุบด้วยท่อนจันทน์ตายแทน ราชองค์รักษ์นั่นก็ถูกฆ่าด้วยในฐานะที่รู้เรื่องเข้าเดี๋ยวปากจะมากไป และแล้วกลางคืนวันหนึ่งก็ลงเรือจากปากท่อไปยังนครศรีธรรมราช บวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแถวนั้นเขาเรียกกันว่า หลวงตาพรหมา ปัจจุบันเรายังพบซากกุฏิร้างอยู่เชิงเขาแถวนั้นเป็นป่าลึก สงัดมาก ท่านเจริญพระกรรมฐานอยู่ที่นั้นจนสิ้นชีวิต
    หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็สั่งประหารชีวิตลูกชายพระเจ้าตากสิน ๒ คน บอกว่า ตัดบัวแล้วจงอย่าไว้ใย แต่ปรากฏว่าลูกชายคนหนึ่งไปโผล่ที่นครศรีธรรมราช
    เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำงานที่นั่น อีกคนหนึ่งค้าขายเรือสำเภากับต่างประเทศ เป็นอันว่า พระเจ้าตากสินมหาราชก็ถูกประหารชีวิตตามรับสั่งของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตามความเป็นจริงท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้
    มิช้ามินานเจ้าสัวเขาก็มาทวเงินคืนพร้อมกับเอาถ้วยโถโอชามมาขายด้วย พอเรือสำเภาของเจ้าสัวเลี้ยวเข้ามาในเขตจันทบุรีตราดก็ถูกลมสลาตันคือลมหอกลมดาบพัดกระหน่ำจนเรือจมอยู่ที่นั่น
    เป็นอันว่า ทั้งสองพระองค์ต้องยอมเสียชื่อเสียง เสียศักดิ์ศรีทั้งสองฝ่าย ก็ต้องขอบคุณท่าน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยอมเสียชื่อเสียงให้คนเขาเข้าใจว่าเป็นบ้า และถูกออกจากกษัตริย์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็ต้องยอมเสียชื่อในฐานะเป็นขบถ แต่ความจริงทั้ง ๒ ท่านนี้ทำเพื่อไทยทั้งชาติ ให้ชาติไทยทรงอยู่ ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    เท่าที่พ่อนำเอาเรื่องพระเจ้าพรหมมหาราชมาพูดก็ดี หรือนำเอาเรื่องของพระราชาองค์เก่า ๆ ตั้งแต่พระราชบิดาของพระเจ้าอชุตราชมาพูดก็ดี และก็มาพูดถึงการรบก็ดี พ่อมีความมุ่งหมายอยู่ว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ต้องการให้ลูกรักของพ่อทุกคนรู้จักความจริง[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ความจริงที่เราหนีไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]สัจธรรม[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]คือธรรมะที่พระอริยเจ้าทรงไว้ คือ ธรรมะที่ทำให้คนเป็นพระอริยเจ้า พ่อขอเตือนลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้เสมอว่า ขณะที่ฟังพ่อพูดให้ตั้งใจไว้ในสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา ฟังไปด้วย ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา รวมตัวกันเข้าไว้ในใจจุดเดียวกันจะทำให้สะอาด
    [FONT=Cordia New,Cordia New]ศีล ขัดเกลาภาคพื้นใจให้ดี สมาธิ จับอารมณ์ใจให้นิ่ง ปัญญา ชำระล้างความสกปรกของจิต จิตมีอารมณ์ผ่องใส [/FONT]
    เมื่อจิตมีอารมณ์ผ่องใส กำลังใจก็เป็นทิพย์ เมื่อกำลังใจเป็นทิพย์อยากจะรู้อะไรก็รู้ได้ทันทีทันใด ที่เราเรียกกันว่า ใช้ทิพย์จักขุญาณ หรือจุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ อตีตังสญญาณ อนาคตังสญาน ปัจจุบันนังสญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และยถากรรมมุตาญาณ โดยเฉพาะลูกรักของพ่อทุกคนได้อภิญญาเล็ก คือ มโนมยิทธิ หมายถึง มีฤทธิ์ทางใจ คำว่า มีฤทธิ์ทางใจ ก็คือ ใจมีฤทธิ์ คำว่าฤทธิ์หมายถึงเก่ง คือใจเก่งกว่าใจธรรมดา สามารถถอดจิตออกจากร่างไปสู่ภพต่าง ๆ ได้ เราจะไปเที่ยวเมืองสวรรค์ก็ได้ ไปเที่ยวพรหมโลกก็ได้ ไปเที่ยวเมืองนิพพานก็ได้ ไปเที่ยวเมืองนรกก็ได้ สู่แดนเปรตอสุรกายก็ได้ และในโลกมนุษย์นี่จะไปมุมไหนก็ได้ ประเทศไหน ๆ ก็ไปได้ บ้านใครสำนักงานไหนเขาหวงเราก็ไปได้ นี่การมีฤทธิ์ทางใจเป็นของดี
    แต่ทว่ามีบางคน ตำหนิพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนหลักวิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ เพียงสอนขั้นสุขวิปัสโกอย่างเดียวก็พอ คำว่า [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]สุขวิปัสโก [/FONT]หมายความว่า จิตสะอาดปราศจากกิเลส ไม่มีความรักในเพศ ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลวง จิตมีอารมณ์เป็นสุข จิตมีความเยือกเย็น ไม่มีทุกข์ มีอารมณ์สบาย นี่ความเป็นพระอรหันต์
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]เตวิชโช [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]วิชชาสาม[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]สามารถทำทิพย์จักขุญาณให้ปรากฏ และหมดกิเลสสามารถระลึกชาติได้ มีวิชชาแปดอย่างที่เรียกว่า ญาณ ๘
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ฉฬภิญโญ [/FONT]หมายถึงอภิญญาหก สามารถเนรมิตอะไรก็ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีทิพย์จักขุญาณ มีญาณ ๘ อย่างครบเช่นเดียวกับ เตวิชโช และมีอิทธฤทธิ์มีฤทธิ์ทางใจ เป็นต้น และจิตหมดกิเลส
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ปฏิสัมภิทาญาณ [/FONT]หมายถึงความรู้พิเศษ สามารถรู้ธรรมะทุกอย่างทรงพระไตรปิฏก คำว่า ไม่รู้ ไม่มี และสามารถรู้ภาษาสัตว์ และภาษาคนทุกภาษา ได้โดยไม่ต้องศึกษา แต่ทว่าเนื้อแท้จริง ๆ ก็คือ ความเป็นพระอรหันต์ มีความรู้ทั้ง เตวิชโช และฉฬภิญโญด้วย
    เป็นอันว่าบางท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนแบบนี้ เสี่ยงภัยเกินไป แต่พ่อก็ขอเตือนลูก ถ้ามีใครเขาถามว่า ทำไมจะต้องเรียน อภิญญาสมาบัติ ทำไมจะต้องมีทิพย์จักขุญาณ เห็นผี เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ เห็นนรกก็ได้ ทำไมจะต้องมีการยกจิตไปท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ ได้ การรู้ว่าคนและสัตว์นี่ ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน เจโตปริยญาณ รู้วาระน้ำจิตของคนและสัตว์ว่า มันชอบอะไร คิดอะไร คิดดี คิดชั่ว มีกิเลสตัวไหนอยู่บ้าง
    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติต่าง ๆ ได้ ถอยหลังไปดูว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต อนาคตตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต ปัจจุบันนังสญาณ รู้ว่าเวลานี้ใครอยู่ที่ไหนใครกำลังทำอะไรอยู่ ยถากรรมมุตาญาณ รู้ว่าเขามีความสุข มีทุกข์เพราะผลจากอะไรเป็นสำคัญ ความจริงความรู้แบบนี้ ถึงแม้ว่าเราไม่เป็นพระอรหันต์ เราก็รู้ได้ถ้าใครเขาถามว่า ศึกษาทำไม ก็ควรจะตอบว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ศึกษาเพื่อกันความสงสัย จะได้ไม่สงสัยคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ไม่ประมาทในชีวิต[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ถ้าใครเขาจะแย้งว่า ดูตัวอย่างพระเทวทัตเพราะอาศัยได้อภิญญาสมาบัติจึงลงอเวจีมหานรก อย่างนี้ก็ต้องย้อนถามเขาลงไปว่า ท่านที่ได้อภิญญาสมาบัติในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่หรือว่าปรินิพานไปแล้วก็ตาม คนที่ได้อภิญญาสมาบัติลงนรกกี่คน และคนที่ได้อภิญญาสมาบัติไปนิพพานเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเทวทัตถ้าไม่ได้อภิญญาสมาบัติความยับยั้งก็ไม่มี ต้องลงอเวจีตามกฎของกรรมคือ ๑ กัป แต่นี่พระเทวทัตลงอเวจีเพียงแค่ไม่ถึง ๑ วันของอเวจี เพราะผลความดีที่มีความรู้ด้านอภิญญามีการยับยั้ง เหมือนกับคนตาดีเดินไปในกลุ่มหนามหรือเดินไปบนลานแก้วแตก จะวางเท้าลงไปก็ค่อย ๆ วาง เพราะมองเห็นหนามและแก้วแตก เกรงว่าจะบาดเท้า ตำเท้า จะเจ็บบ้าง ก็เล็กน้อย ไม่เหมือนกับคนตาไม่ดี ไม่เห็นว่าที่นั้นมีอันตราย เดินสวบ ๆ เข้าไป ผลที่สุดก็โดนทั้งแก้วแตกทั้งหนามตำเต็มกำลัง
    ข้อนี้ฉันใด แม้คนที่ได้อภิญญาสมาบัติ และวิชชาสามก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่ากฎของกรรมบางอย่างจะบีบบังคับ ก็มีการยับยั้ง รู้ผิดรู้ชอบเหมือนคนที่รู้กฎหมายกับคนที่ไม่รู้กฎหมาย คนที่เขารู้กฎหมายเขาทำผิดก็จริงแหล่ แต่ทว่าเขารู้ทางออกจะรับโทษก็รับไม่มาก ไม่เหมือนคนที่ไม่รู้กฎหมาย อยากจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ ดีไม่ดีติดคุกติดตะราง คิดว่าของมันเล็กน้อย แต่ที่ไหนได้ของมันใหญ่ เช่น คิดจะฆ่าควายตัวมันใหญ่โทษจะมาก ฆ่าคนดีกว่าตัวเล็กกว่า แต่ที่ไหนได้ฆ่าคนม
     
  16. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    ทำเป็นสติฟั่นเฟือน ในที่สุดกลับมาแล้ว ด้วงก็จับฉันประหารชีวิต แต่การประหารชีวิตฉันนั้น จะประหารจริงหรือหลอกก็ให้เป็นวิธีการของด้วง ฉันพร้อมที่จะยอมตายเพื่อชาติ
    เห็นไหมลูกหลานที่รัก คนดีท่านทำอย่างนี้ ท่านไม่มานั่งเมามันเพื่อต้องการรัฐธรรมนูญ ต้องการรัฐสภา เวลาประกาศกับประชาชนก็ว่าต้องการเป็นตัวแทนของประชาชนชาวไทย แต่เมื่อเลือกเข้าไปแล้วก็อยากจะเป็นรัฐมนตรีมุ่งความเป็นใหญ่
    แต่นี่พระเจ้าตากสินมหาราช ท่านไม่ต้องการอย่างนั้น เมื่อสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกเวลานั้นได้ทราบความจริง และสมเด็จพระเจ้าตากสินก็มีพระทัยมั่นคงต้องการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่อย่างนั้นประเทศไทยเราจะทรงตัวอยู่ไม่ได้ เพราะว่าท่านกู้เงินของจีน ถ้าไม่มีเงินให้เขา ก็อย่าลืมว่าประเทศไทยกับประเทศจีนน่ะกำลังต่างกัน เราเองก็เพิ่งจะตั้งตัวได้ใหม่ ๆ เพียงแต่จีนเขาใช้กำลังใกล้ ๆ กับเรา เราก็สู้เขาไม่ได้ ถ้าเขาหากว่าเราโกงเขา นี่เนื้อแท้ความจริงเป็นอย่างนี้
    แต่ทว่าต่อมาภายหลัง พระยาสรรค์บุรี ทำงานเกินอำนาจที่สั่งไว้ จับพระเจ้าตากสินเอาเสียจริง ๆ จับแบบเอาจริง แต่ตอนเข้าไปจับนั้น ท่านท้าวผกาพรหมบอกว่า ขุนดาบ ๑๐ พระยาของพระเจ้าตากสินนี่จะสู้ เพราะมีกำลังรักษาพระองค์อยู่พอสมควร พระยาสรรค์บุรี ไปเอากำลังมาจากกรุงศรีอยุธยา เนื้อแท้จริง ๆ ถ้ารบกันพระยาสวรรค์ก็หัวขาด แต่ทว่าพระเจ้าตากสินคิดว่า ถ้าเกิดสู้กันจริง ๆ งานที่คิดไว้ก็ไม่เป็นผลเพราะว่า ขุนดาบ ๑๐ พระยานี่ยังไม่รู้เรื่อง ถ้ารบก็ต้องรบกันถึงขั้นแตกหักกันจริง ๆ พระองค์จึงห้ามปราม ๑๐ พระยานั่น ปล่อยให้พระยาสวรรค์จับ
    เรื่องการลงโทษ พระสงฆ์ ของพระเจ้าตากสินเรื่องนี้ก็หลอกกัน เมื่อพระสงฆ์ทำผิดเรียกมาสอบสวน เวลาจะลงโทษ ก็เอานักโทษมาโกนหัวเอาผ้าเหลืองนุ่งแล้วก็เฆี่ยน เขาก็หาว่าท่านบ้าเฆี่ยนพระ แต่ความจริงพระไม่ได้ถูกเฆี่ยน พระองค์ทำให้คนอื่นเขาเห็นว่าบ้า นี่สติฟั่นเฟือน การจับให้ออกจากพระมหากษัตริย์ก็เป็นของธรรมดา
    เมื่อพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทราบเรื่องพระยาสวรรค์ทำเกินเหตุ จึงยกทัพกลับจับพระยาสวรรค์บุรีประหารชีวิตเสีย ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีคำสั่งให้เอาพระเจ้าตากสินมหาราชมาประหารชีวิต โดยการใส่กระสอบแล้วทุบด้วยท่อนจันทน์จนตาย แต่คนที่อยู่ในกระสอบไม่ใช่พระเจ้าตากสินครั้งแรกมีราชองครักษ์ของพระองค์มีความจงรักภักดีมาก อาสาตายแทนพระเจ้าตากสิน แต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาไม่เอา ให้เอานักโทษประหารชีวิตมาใส่กระสอบทุบด้วยท่อนจันทน์ตายแทน ราชองค์รักษ์นั่นก็ถูกฆ่าด้วยในฐานะที่รู้เรื่องเข้าเดี๋ยวปากจะมากไป และแล้วกลางคืนวันหนึ่งก็ลงเรือจากปากท่อไปยังนครศรีธรรมราช บวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแถวนั้นเขาเรียกกันว่า หลวงตาพรหมา ปัจจุบันเรายังพบซากกุฏิร้างอยู่เชิงเขาแถวนั้นเป็นป่าลึก สงัดมาก ท่านเจริญพระกรรมฐานอยู่ที่นั้นจนสิ้นชีวิต
    หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็สั่งประหารชีวิตลูกชายพระเจ้าตากสิน ๒ คน บอกว่า ตัดบัวแล้วจงอย่าไว้ใย แต่ปรากฏว่าลูกชายคนหนึ่งไปโผล่ที่นครศรีธรรมราช
    เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำงานที่นั่น อีกคนหนึ่งค้าขายเรือสำเภากับต่างประเทศ เป็นอันว่า พระเจ้าตากสินมหาราชก็ถูกประหารชีวิตตามรับสั่งของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตามความเป็นจริงท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้
    มิช้ามินานเจ้าสัวเขาก็มาทวเงินคืนพร้อมกับเอาถ้วยโถโอชามมาขายด้วย พอเรือสำเภาของเจ้าสัวเลี้ยวเข้ามาในเขตจันทบุรีตราดก็ถูกลมสลาตันคือลมหอกลมดาบพัดกระหน่ำจนเรือจมอยู่ที่นั่น
    เป็นอันว่า ทั้งสองพระองค์ต้องยอมเสียชื่อเสียง เสียศักดิ์ศรีทั้งสองฝ่าย ก็ต้องขอบคุณท่าน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยอมเสียชื่อเสียงให้คนเขาเข้าใจว่าเป็นบ้า และถูกออกจากกษัตริย์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็ต้องยอมเสียชื่อในฐานะเป็นขบถ แต่ความจริงทั้ง ๒ ท่านนี้ทำเพื่อไทยทั้งชาติ ให้ชาติไทยทรงอยู่ ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    เท่าที่พ่อนำเอาเรื่องพระเจ้าพรหมมหาราชมาพูดก็ดี หรือนำเอาเรื่องของพระราชาองค์เก่า ๆ ตั้งแต่พระราชบิดาของพระเจ้าอชุตราชมาพูดก็ดี และก็มาพูดถึงการรบก็ดี พ่อมีความมุ่งหมายอยู่ว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ต้องการให้ลูกรักของพ่อทุกคนรู้จักความจริง[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ความจริงที่เราหนีไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]สัจธรรม[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]คือธรรมะที่พระอริยเจ้าทรงไว้ คือ ธรรมะที่ทำให้คนเป็นพระอริยเจ้า พ่อขอเตือนลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้เสมอว่า ขณะที่ฟังพ่อพูดให้ตั้งใจไว้ในสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา ฟังไปด้วย ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา รวมตัวกันเข้าไว้ในใจจุดเดียวกันจะทำให้สะอาด
    [FONT=Cordia New,Cordia New]ศีล ขัดเกลาภาคพื้นใจให้ดี สมาธิ จับอารมณ์ใจให้นิ่ง ปัญญา ชำระล้างความสกปรกของจิต จิตมีอารมณ์ผ่องใส [/FONT]
    เมื่อจิตมีอารมณ์ผ่องใส กำลังใจก็เป็นทิพย์ เมื่อกำลังใจเป็นทิพย์อยากจะรู้อะไรก็รู้ได้ทันทีทันใด ที่เราเรียกกันว่า ใช้ทิพย์จักขุญาณ หรือจุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ อตีตังสญญาณ อนาคตังสญาน ปัจจุบันนังสญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และยถากรรมมุตาญาณ โดยเฉพาะลูกรักของพ่อทุกคนได้อภิญญาเล็ก คือ มโนมยิทธิ หมายถึง มีฤทธิ์ทางใจ คำว่า มีฤทธิ์ทางใจ ก็คือ ใจมีฤทธิ์ คำว่าฤทธิ์หมายถึงเก่ง คือใจเก่งกว่าใจธรรมดา สามารถถอดจิตออกจากร่างไปสู่ภพต่าง ๆ ได้ เราจะไปเที่ยวเมืองสวรรค์ก็ได้ ไปเที่ยวพรหมโลกก็ได้ ไปเที่ยวเมืองนิพพานก็ได้ ไปเที่ยวเมืองนรกก็ได้ สู่แดนเปรตอสุรกายก็ได้ และในโลกมนุษย์นี่จะไปมุมไหนก็ได้ ประเทศไหน ๆ ก็ไปได้ บ้านใครสำนักงานไหนเขาหวงเราก็ไปได้ นี่การมีฤทธิ์ทางใจเป็นของดี
    แต่ทว่ามีบางคน ตำหนิพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนหลักวิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ เพียงสอนขั้นสุขวิปัสโกอย่างเดียวก็พอ คำว่า [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]สุขวิปัสโก [/FONT]หมายความว่า จิตสะอาดปราศจากกิเลส ไม่มีความรักในเพศ ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลวง จิตมีอารมณ์เป็นสุข จิตมีความเยือกเย็น ไม่มีทุกข์ มีอารมณ์สบาย นี่ความเป็นพระอรหันต์
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]เตวิชโช [/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]วิชชาสาม[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]สามารถทำทิพย์จักขุญาณให้ปรากฏ และหมดกิเลสสามารถระลึกชาติได้ มีวิชชาแปดอย่างที่เรียกว่า ญาณ ๘
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ฉฬภิญโญ [/FONT]หมายถึงอภิญญาหก สามารถเนรมิตอะไรก็ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีทิพย์จักขุญาณ มีญาณ ๘ อย่างครบเช่นเดียวกับ เตวิชโช และมีอิทธฤทธิ์มีฤทธิ์ทางใจ เป็นต้น และจิตหมดกิเลส
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ปฏิสัมภิทาญาณ [/FONT]หมายถึงความรู้พิเศษ สามารถรู้ธรรมะทุกอย่างทรงพระไตรปิฏก คำว่า ไม่รู้ ไม่มี และสามารถรู้ภาษาสัตว์ และภาษาคนทุกภาษา ได้โดยไม่ต้องศึกษา แต่ทว่าเนื้อแท้จริง ๆ ก็คือ ความเป็นพระอรหันต์ มีความรู้ทั้ง เตวิชโช และฉฬภิญโญด้วย
    เป็นอันว่าบางท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนแบบนี้ เสี่ยงภัยเกินไป แต่พ่อก็ขอเตือนลูก ถ้ามีใครเขาถามว่า ทำไมจะต้องเรียน อภิญญาสมาบัติ ทำไมจะต้องมีทิพย์จักขุญาณ เห็นผี เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ เห็นนรกก็ได้ ทำไมจะต้องมีการยกจิตไปท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ ได้ การรู้ว่าคนและสัตว์นี่ ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน เจโตปริยญาณ รู้วาระน้ำจิตของคนและสัตว์ว่า มันชอบอะไร คิดอะไร คิดดี คิดชั่ว มีกิเลสตัวไหนอยู่บ้าง
    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติต่าง ๆ ได้ ถอยหลังไปดูว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต อนาคตตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต ปัจจุบันนังสญาณ รู้ว่าเวลานี้ใครอยู่ที่ไหนใครกำลังทำอะไรอยู่ ยถากรรมมุตาญาณ รู้ว่าเขามีความสุข มีทุกข์เพราะผลจากอะไรเป็นสำคัญ ความจริงความรู้แบบนี้ ถึงแม้ว่าเราไม่เป็นพระอรหันต์ เราก็รู้ได้ถ้าใครเขาถามว่า ศึกษาทำไม ก็ควรจะตอบว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ศึกษาเพื่อกันความสงสัย จะได้ไม่สงสัยคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ไม่ประมาทในชีวิต[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ถ้าใครเขาจะแย้งว่า ดูตัวอย่างพระเทวทัตเพราะอาศัยได้อภิญญาสมาบัติจึงลงอเวจีมหานรก อย่างนี้ก็ต้องย้อนถามเขาลงไปว่า ท่านที่ได้อภิญญาสมาบัติในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่หรือว่าปรินิพานไปแล้วก็ตาม คนที่ได้อภิญญาสมาบัติลงนรกกี่คน และคนที่ได้อภิญญาสมาบัติไปนิพพานเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเทวทัตถ้าไม่ได้อภิญญาสมาบัติความยับยั้งก็ไม่มี ต้องลงอเวจีตามกฎของกรรมคือ ๑ กัป แต่นี่พระเทวทัตลงอเวจีเพียงแค่ไม่ถึง ๑ วันของอเวจี เพราะผลความดีที่มีความรู้ด้านอภิญญามีการยับยั้ง เหมือนกับคนตาดีเดินไปในกลุ่มหนามหรือเดินไปบนลานแก้วแตก จะวางเท้าลงไปก็ค่อย ๆ วาง เพราะมองเห็นหนามและแก้วแตก เกรงว่าจะบาดเท้า ตำเท้า จะเจ็บบ้าง ก็เล็กน้อย ไม่เหมือนกับคนตาไม่ดี ไม่เห็นว่าที่นั้นมีอันตราย เดินสวบ ๆ เข้าไป ผลที่สุดก็โดนทั้งแก้วแตกทั้งหนามตำเต็มกำลัง
    ข้อนี้ฉันใด แม้คนที่ได้อภิญญาสมาบัติ และวิชชาสามก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่ากฎของกรรมบางอย่างจะบีบบังคับ ก็มีการยับยั้ง รู้ผิดรู้ชอบเหมือนคนที่รู้กฎหมายกับคนที่ไม่รู้กฎหมาย คนที่เขารู้กฎหมายเขาทำผิดก็จริงแหล่ แต่ทว่าเขารู้ทางออกจะรับโทษก็รับไม่มาก ไม่เหมือนคนที่ไม่รู้กฎหมาย อยากจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ ดีไม่ดีติดคุกติดตะราง คิดว่าของมันเล็กน้อย แต่ที่ไหนได้ของมันใหญ่ เช่น คิดจะฆ่าควายตัวมันใหญ่โทษจะมาก ฆ่าคนดีกว่าตัวเล็กกว่า แต่ที่ไหนได้ฆ่าคน
     
  17. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    มีโทษมากกว่า ฆ่าควายมีโทษน้อย [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]นี่ในแง่ของกฎหมายน่ะ[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]เช่น ฆ่าไม่เอาหนักไป ด่าดีกว่า แอบไปด่าพระมหากษัตริย์เข้า เจ๊งไปเลย ถูกลงโทษหนักฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือด่าศาลว่าศาลคด ศาลโกง ศาลไม่ยุติธรรม นี่ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีโทษหนัก
    เป็นอันว่า คนมีความรู้ แม้จะมีโทษหนัก ก็มีการยับยั้งในการทำความผิด ซึ่งผิดกับคนที่ไม่รู้อะไรเลย ทำก็ทำลงไปเต็มอัตราศึก ไม่รู้บาปบุญ คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ เป็นอันว่า ที่พ่อให้ลูกศึกษาวิชาความรู้อันนี้ ต้องระมัดระวังรักษาไว้ด้วยดี อย่าไปอวดเขา [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]รักษาไว้เพื่อชำระจิตใจของเราให้เป็นสุข[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    เวลานี้ลูกรักของพ่อกำลังรบกับสงครามสำคัญคือกิเลส สงครามภายนอกน่ะมันเรื่องเล็ก สงครามกิเลสมีความสำคัญมาก เจตนาของพ่อก็มีอยู่ว่า ความเกิดมันเป็นทุกข์ ลูกทุกคนเวลานี้ต่างคนต่างก็มีความทุกข์กันหมด แต่ว่าให้ทุกข์มันมีเฉพาะขันธ์ ๕ จิตเราจงอย่าเป็นทุกข์ บรรดาลูกรักของพ่อทุกคนต่างคนต่างมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา พ่อดีใจเวลาฟังพ่อพูดพยายามใช้สมาธิให้คล่องตัว สำหรับอภิญญาสมาบัติ อิทธิฤทธิ์ ยกจิตไปตามที่ต่าง ๆ ทำให้คล่อง ทิพย์จักขุญาณทำให้แจ่มใส ศีล สมาธิ ปัญญา ดีแล้วจะเห็นชัดเจน จุตูปปาตญาณ มองหน้าคน มองหน้าสัตว์ อยากรู้ว่าก่อนเกิดมาจากไหนจะรู้ได้ทันที ตายแล้วไปไหนก็รู้ได้ทันที
    เจโตปริยญาณ ถ้าเราอยากจะรู้วาระน้ำจิตของคนอื่น ให้รู้กระแสจิตของตนเองไว้เสมอก่อน เรารู้ได้ไม่ยาก คนที่มีกิเลสหนามีความชั่ว ใจจะมีสีดำบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้าง แต่เป็นเนื้อ ถ้าใจดีปานกลาง ใจจะเป็นแก้ว แต่คนที่ดีจริง ๆ จะเป็นแก้วประกายทั้งดวงเหมือนดาว นี่ไม่ยากแต่รู้แล้วก็นิ่งเสีย ปุพเพนิวาสานุสติญาณฝึกให้คล้อง นึกถอยหลังเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่อย่าไปไล่ทีละชาติเลย เห็นอะไรก็นึกว่าเราเคยเกิดไหม เช่น เห็นสัตว์เราก็นึกว่า เราเคยเกิดเป็นสัตว์ชนิดนี้ไหมกี่ชาติ ภาพจะปรากฏชัด เป็นอันว่า ธรรมะ ส่วนนี้มีความสำคัญ พ่อให้ลูกไว้เพื่อชำระจิตของลูกให้บริสุทธิ์ ถอยหลังไปดูการเกิดแต่ละคราวเต็มไปด้วยความทุกข์ ดูบรรดาบรรพบุรุษกษัตริย์ทั้งหลาย ที่พ่อพูดมา และคนทั้งหลายที่กล่าวถึง ต่างคนต่างไปหมดแล้ว
    ผืนแผ่นดินไทยที่เราเดินอยู่นี่ ถ้าเราใช้อตีตังสญาณ ก็จะรู้ว่าเราเดินอยู่บนร่างกายและเลือดเนื้อของบรรดาบรรพบุรุษของเรา ฉะนั้น ถ้าใครเขาจะมาเชือดเฉือนเอาร่างกายเลือดเนื้อบรรพบุรุษของเราไป เราก็ไม่ควรยอม นี่พูดกันอย่างทางโลก คือ โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย
    สำหรับกิเลสที่เราจะชนะได้ ต้องทำกำลังใจตามนี้ ถ้าเรื่องความรักชาติ เรื่องของความสามัคคี จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต้องมีสังคหวัตถุ ๔ ได้แก่ ๑[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ทาน การให้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ๒[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ปิยวาจา พูดวาจาไพเราะ ๓[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]อัตถจริยา ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น ช่วยกิจการงาน ๔[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]สมานัตตา ไม่ถือตัว ไม่ถือตน นี่แค่ ๔ ประการ ถ้าเราทำกันไม่ได้ เราก็มีความสุขไม่ได้ ฉะนั้น ชาติเราจะมีความสุข จะมีความสามัคคีก็ต้องทำ ๔ ประการนี้ได้ นี่เป็นกิเลสหยาบที่เราต้องละให้ได้จะมีความสุข คำว่า สุข นี่อย่าเอาสุขกายนะ เอาสุขใจก็แล้วกัน
    เรื่องของร่างกายเราต้องคิดว่า ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ เป็นอันว่าขันธ์ ๕ มันเป็นทุกข์ แต่ใจของเราจงอย่าทุกข์ ใจเราจงอย่าทุกข์ทำยังไง รักษาอารมณ์ใจไว้ [FONT=Cordia New,Cordia New]10 [/FONT]ประการ
    ๑[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ทาน การให้ คิดไว้เสมอว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เราจะมีจิตเมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นให้มีความสุข โดยการให้ ให้ของ ให้ความคิด ให้กำลังกายช่วยกิจการงาน เป็นเสน่ห์ใหญ่ทำให้มีความสุข ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ
    ๒[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ศีล แปลว่า ปกติ อารมณ์ของเราจะทรงความดี ๕ ประการไว้เสมอ คือไม่ละเมิดศีล ๕ ประการ
    ๓[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช คือบวชใจ คำว่า บวช นี่ไม่จำเป็นต้องโกนหัว ถ้าโกนหัวแล้วจิตใจไม่ดี ก็ไม่ถือว่าเป็นนักบวช เราบวชใจ คือ ๑[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ไม่มัวเมาอยู่ในกามคุณ ๕ ให้คิดไว้เสมอว่า ไอ้รูปสวยน่ะประเดี๋ยวทันก็พัง เสียงไพเราะผ่านหูแล้วก็หายไป กลิ่นหอมผ่านจมูกแล้วก็หายไป รสอร่อยกระทบลิ้นแล้วก็หายไป สัมผัสระหว่างเพศจับแล้วพอพ้นแล้วก็หายไป และเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์ รักมากทุกข์มาก รักน้อยทุกข์น้อย ไม่รักเลยไม่ทุกข์ ๒[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ไม่ยึดถือความโกรธความพยาบาทมาเป็นบรรทัดฐานตัดกำลังใจให้อภัยอยู่เสมอ ขึ้นชื่อคนเกิดมาในโลกนี้ ไม่ทำความผิดเลยไม่มี ก็น่าเห็นใจ เพราะความพลาดพลั้งของงาน เขาจะด่าจะว่าก็ช่างเขา ไม่ช้าต่างคนก็ต่างตาย ๓[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ป้องกันการง่วงเหงาหาวนอน ขณะที่จิตใจจะทำความดี ๔[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ระงับอารมณ์ฟุ้งซ่าน ก็พยายามตั้งใจไว้ในยามปกติ นึกถึงความดีจุดใดจุดหนึ่ง เราจะไม่ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทรก ๕[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]เราจะไม่สงสัยธรรมะปฏิบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน
    คนที่บวชห่มผ้าเหลืองน่ะ ถ้าระงับเหตุ ๕ ประการที่ว่ามานี่ไม่ได้ เขาเรียกว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เถนะ[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]เถน แปลว่า หัวขโมย ขโมยเอาเพศของสมณมานุ่ง นี่นักบวชจริง ๆ อันดับแรกจะต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการได้ ขอลูกจงระงับใจตามนี้ให้เป็นธรรมดา พิจารณาหาความจริงว่า นี่มันเป็นปัจจัยของความสุขหรือความทุกข์ ทำงานตามหน้าที่ ถือว่าชาตินี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะต้องทำงาน ชาติใหม่ไม่มีสำหรับเรา เราไปนิพพาน ถ้าสงสัยนิพพาน ก็ใช้วิปัสสนาญาณให้เข้มข้น ใช้มโนมยิทธิแป๊บเดียวก็ถึงนิพพาน จับอารมณ์นิพพานได้ว่า มีความสุขขนาดไหน
    ๔[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ปัญญา มีความรอบรู้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเป็นโทษ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วใช้ปัญญาหาความจริงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย จริงไหม ถ้าเรายังเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนี้จะไม่หมดทุกข์ เราจะมีความสุขก็คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอีกต่อไป ได้แก่รักษาธรรมะ ๑๐ ประการนี้ให้ครบถ้วน
    ๕[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]วิริยะ มีความเพียร ทำกิจการงานฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม ต้องอดทนทุกอย่างเพื่อรักษาความดีให้คงอยู่ เรียกว่า เพียร พังให้มันทะลุไปเลย
    ๖[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]ขันติ ความอดใจ อดทนต่อความเหนื่อย อดทนต่อความร้อน อดทนต่อความหนาว อดทนต่อความขัดข้องใจ
    ๗[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]สัจจะ ความจริงใจ ตั้งใจไว้แบบไหนก็ทรงกำลังใจแบบนั้น เช่นตั้งใจไว้ว่าเราจะรักษาศีล เราก็ทำจริง ใครมาชวนด่าเราก็ไม่ด่า
    ๘[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]เมตตา เราจะมีเมตตา ความรักคนและสัตว์เสมอด้วยตัวเรา ใครมาชวนโกรธเราก็ไม่โกรธ
    ๙[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]อธิษฐาน ตั้งใจไว้ว่า การทำอย่างนี้เพื่อทรงคุณธรรมอะไร จะไปไหนมีเมตตาอยู่เสมอ เหมือนคิดว่าเป็นถิ่นของเรา
    ๑๐[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]อุเบกขา วางเฉยในอารมณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เป็นที่ถูกใจเรา หมายความว่า อะไรก็ตาม ถ้าไม่เป็นที่ถูกใจเรา เราก็เฉย ๆ เขาจะด่า เขาจะว่า เขาจะนินทาอะไรก็ช่างเขา ประเดี๋ยวก็ตาย จะไปยุ่งอะไรกัน
    กำลังใจ ๑๐ ประการนี่ ลูกรัก ถ้าทรงไว้ได้ความสุขใจจะเกิด ทำเสมอ ๆ นะลูก เพื่อความไม่ประมาท
    เวลานี้ชีวิตของพ่อก็ดี ชีวิตของลูกก็ดี อยู่ในช่วงของอันตราย จะเห็นว่าปี พ[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]ศ[FONT=Cordia New,Cordia New]. [/FONT]๒๕๒๐ มีบุคคลบางกลุ่มไม่ทราบว่ามาจากไหน ส่งมือปืนมาจะยิงพ่อที่วัดเกินกว่า ๑๐ ครั้ง และก็หาทางก่อวินาศกรรมเกินกว่า ๕ ครั้ง บางครั้งส่งมือปืนมาเวลากลางคืน ๒ คันรถปิกอัพ เพื่อจะทำลายทั้งสถานที่วัด และทำลายทั้งชีวิตพ่อ และการไปที่ไหนก็ถูกติดตามอยู่เสมอ ทั้งนี้เพราะเขาว่าพ่อขัดคอเขา เรื่องอะไรรึ [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]งานสาธารณประโยชน์[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]ความจริงพ่อทำเพื่อการสงเคราะห์ ในฐานะที่เป็น [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้คนไทยทั้งชาติมีความสุขมีความสามัคคีกัน[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]แต่พ่อไม่มีวาสนาบารมีจะให้คนไทยทั้งชาติมีความสามัคคีกันได้
    แต่พ่อก็ได้ทำเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย กระจายไปทั่ว ๆ ประเทศไทย เขาก็ไม่ชอบใจ [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]การแจกของสงเคราะห์คนยากจนก็ได้อาศัยบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ และเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ของโดยเสด็จพระราชกุศล และได้รับความเมตตาปรานีจากท่าน พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และกองบัญชาการทหารสูงสุดก็มี พลเอกทวนทอง สุวรรณฑัต เป็นกำลังใหญ่ และก็มีบรรดาประชาชนชาวไทยทั่วไป คณะของเราทั้งหมดต่างคนต่างก็ช่วยกัน[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]การทำอย่างนี้ลูกรัก [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]เขายังเห็นว่าเราเป็นศัตรูของเขา[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]พ่อก็ไม่รู้จะทำยังไง
    [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ฉะนั้น ชีวิตของพ่อ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะอยู่ไปนานหรือไม่นาน เพียงแต่สังขารมันก็แย่อยู่แล้ว มันคอยจะตายอยู่แล้ว และยิ่งมาถูกคิดประหัตประหารแบบนี้เข้าอีก พ่อไม่มั่นใจว่าชีวิตพ่อจะอยู่นานสักเท่าใด ฉะนั้น ขอลูกรักของพ่อทุกคน [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]คำสอนอันใดที่พ่อให้ไว้กับลูก ลูกจงถือว่าคำสอนนั้นนั่นแหละ คือพ่อของเข้า สำหรับร่างกายของพ่อนี่เล่า ลูกอย่าถือมากเกินไป เพราะชีวิตและร่างกายเกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ดูตัวอย่างพระเจ้ามังรายมหาราช ท่านเกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิดตามสภาวะของท่าน[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
     
  18. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    “พ่อเห็นว่าชีวิตไม่สำคัญ ความสำคัญมีอยู่อย่างเดียวคือว่าทำอย่างไรเราจะทำให้ไทยเป็นไทตลอดไป” การลงทุนทำงานสาธารณประโยชน์และงานด้านธรรมะ พ่อทำด้วยมือเปล่า พ่อไม่ได้สะสมเงินทองอย่างเขาทั้งหลาย ที่เขาลือกันว่าพระมีเงิน ๑๐ ล้าน ๒๐ ล้าน นั่นไม่ใช่พอ พ่อมีแต่หนี้ “และลูกของพ่อก็เป็นคนดีส่งเสริมสงเคราะห์พ่อทั้ง ๆ ที่เงินทองของลูกก็ไม่ค่อยจะมีกันนัก เราไม่ใช่คนรวย ไม่ใช่มหาเศรษฐี แต่เพราะอาศัย กำลังใจดี ของลูกพ่อชื่นใจ พ่อสบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกชายลูกหญิงของพ่อเวลานี้ ได้อภิญญาสมาบัติกันหมดแล้ว พ่อต้องถือว่าหมด เพราะคนที่อยู่ในช่วงใกล้ไม่มีใครไม่ได้”
    “ลูกต้องถือว่าอภิญญาสมาบัติที่พ่อให้ลูกไว้ เป็นสมบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานมา ถ้าพ่อตายลงเมื่อไร ขอลูกจงถือว่า อภิญญาสมาบัตินี่แหละคือชีวิตของพ่อที่อยู่กับกายกับใจของลูกตลอดเวลา คิดถึงพ่อคราวไร จงคิดถึงอภิญญาสมาบัติที่ลูกได้ และลูกก็จงภูมิใจว่า ลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก”
    ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ งานใดที่พ่อนำลูกทั้งหลายทำ งานทั้งหลายเหล่านั้น ขอลูกรักทั้งหมดจงรักษางานนั้นไว้ด้วยหัวใจของลูกเอง คือรักษาไว้ด้วยชีวิต เพราะงานสาธารณประโยชน์เป็นกิจอันหนึ่งที่ทำให้คนไทยรวมตัวกัน มีความรัก มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน และทุกคนก็จะมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสาดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำ และจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็เชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ
    พ่อขอจบเรื่องของ พระเจ้ามังรายมหาราช ในชั่วระยะเวลา ๒,๕๐๐ ปีเศษ ท่านก็เกิดถึง ๑๑–๑๒ ครั้ง เวลานี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ เอาละลูกรักของพ่อจบกันนะ
    “ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประธานไว้ ขอลูกรักของพ่อทุคนจงทรงธรรมนั้นไว้จนกว่าจะเข้านิพพานในชาตินี้” [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]สวัสดี [/FONT]
     
  19. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    “พ่อเห็นว่าชีวิตไม่สำคัญ ความสำคัญมีอยู่อย่างเดียวคือว่าทำอย่างไรเราจะทำให้ไทยเป็นไทตลอดไป” การลงทุนทำงานสาธารณประโยชน์และงานด้านธรรมะ พ่อทำด้วยมือเปล่า พ่อไม่ได้สะสมเงินทองอย่างเขาทั้งหลาย ที่เขาลือกันว่าพระมีเงิน ๑๐ ล้าน ๒๐ ล้าน นั่นไม่ใช่พอ พ่อมีแต่หนี้ “และลูกของพ่อก็เป็นคนดีส่งเสริมสงเคราะห์พ่อทั้ง ๆ ที่เงินทองของลูกก็ไม่ค่อยจะมีกันนัก เราไม่ใช่คนรวย ไม่ใช่มหาเศรษฐี แต่เพราะอาศัย กำลังใจดี ของลูกพ่อชื่นใจ พ่อสบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกชายลูกหญิงของพ่อเวลานี้ ได้อภิญญาสมาบัติกันหมดแล้ว พ่อต้องถือว่าหมด เพราะคนที่อยู่ในช่วงใกล้ไม่มีใครไม่ได้”
    “ลูกต้องถือว่าอภิญญาสมาบัติที่พ่อให้ลูกไว้ เป็นสมบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานมา ถ้าพ่อตายลงเมื่อไร ขอลูกจงถือว่า อภิญญาสมาบัตินี่แหละคือชีวิตของพ่อที่อยู่กับกายกับใจของลูกตลอดเวลา คิดถึงพ่อคราวไร จงคิดถึงอภิญญาสมาบัติที่ลูกได้ และลูกก็จงภูมิใจว่า ลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก”
    ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ งานใดที่พ่อนำลูกทั้งหลายทำ งานทั้งหลายเหล่านั้น ขอลูกรักทั้งหมดจงรักษางานนั้นไว้ด้วยหัวใจของลูกเอง คือรักษาไว้ด้วยชีวิต เพราะงานสาธารณประโยชน์เป็นกิจอันหนึ่งที่ทำให้คนไทยรวมตัวกัน มีความรัก มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน และทุกคนก็จะมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสาดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำ และจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็เชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ
    พ่อขอจบเรื่องของ พระเจ้ามังรายมหาราช ในชั่วระยะเวลา ๒,๕๐๐ ปีเศษ ท่านก็เกิดถึง ๑๑–๑๒ ครั้ง เวลานี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ เอาละลูกรักของพ่อจบกันนะ
    “ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประธานไว้ ขอลูกรักของพ่อทุคนจงทรงธรรมนั้นไว้จนกว่าจะเข้านิพพานในชาตินี้” [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]สวัสดี [/FONT]
    ต่อตอนที่ 4นะ ครับ
     
  20. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม เป็นอย่างสูง ครับ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ------------------------------------------------------------------------------------------------<O:p</O:p

    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป งานวางศิลาฤกษ์ และ เคลื่อนย้ายศาลาการเปรียญหลังเก่า เพื่อนำไปก่อสร้างอุโบสถไม้ เฉลิมพระเกียรติ พระมหาเถรคัณฉ่อง พระสุพรรณกัลยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ และ ทอดกฐินสามัคคี<O:p</O:p
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี-ปี-2552-ณ-วัดย่านยาว-จ-พิษณุโลก.202385/<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...