เห็นผลในชาตินี้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Mantalay, 16 ธันวาคม 2010.

  1. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กฎแห่งกรรม : กรรมชั่วตกถึงลูก</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>6 กันยายน 2553 14:06 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><IFRAME style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; OVERFLOW: hidden; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 450px; BORDER-BOTTOM: medium none; HEIGHT: 35px" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9530000124689&layout=standard&show_faces=false&width=450&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> กรรมและผลของกรรมนั้น เป็นสิ่งที่สลับซับซ้อนยากที่จะเข้าใจได้อย่างละเอียด บางครั้งพ่อเป็นคนสร้างกรรม แต่ผลของกรรมกลับไปแสดงผลกับลูก กับครอบครัว เป็นต้น อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ นอกจากทุกคนจะมีกรรมเป็นของตนเองแล้ว แต่ละคนยังมีกรรมร่วมกันด้วย เมื่ออยู่ในครอบครัวเดียวกัน ก็จะมีกรรมที่ทุกคนเคยทำร่วมกัน จึงได้รับผลร่วมกันก็มี ดังเรื่องราวของ “ประยงค์” ชายรับจ้างวัย 51 ปี เป็นคนสามพราน นครปฐม เขามีฐานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีรายได้แค่พอเลี้ยงครอบครัวไปวันๆเท่านั้น

    วันหนึ่งมีร้านอาหารมาเปิดแถวพุทธมณฑลสาย 5 ซึ่งไม่ไกลจากบ้านของประยงค์เท่าใดนัก และเจ้าของร้านก็รู้จักกันดีกับประยงค์ ที่ร้านนี้มีเมนูอาหารหลายอย่าง แต่ที่ขึ้นชื่อน่าจะเป็นปลาช่อนลุยสวน ซึ่งมีรสชาติอร่อยมาก เพราะใช้ปลาช่อนสดๆที่เพิ่งถูกฆ่าใหม่ๆ เมื่อร้านอาหารมีคนมาอุดหนุนมากขึ้นเรื่อยๆ ปลาช่อนลุยสวนเมนูเด็ดของร้านจึงทำไม่ค่อยทัน หลายครั้งปลาก็หมดอย่างรวดเร็ว เจ้าของร้านจึงคิดสั่งปลามาเพิ่ม เพื่อจะได้ตอบสนองลูกค้าอย่างเพียงพอ

    เจ้าของร้านเห็นประยงค์ไปรับจ้างได้ค่าแรงไม่มาก จึงคิดอยากจะหาทางช่วยเหลือ วันหนึ่งเมื่อได้เจอประยงค์ เขาก็ถามว่าสนใจที่จะทำงานให้กับร้านหรือไม่ ประยงค์ก็รีบรับปากทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เจ้าของร้านบอกว่า ทำอยู่ที่บ้านก็ได้ ทำเสร็จค่อยเอาไปส่งที่ร้าน จะทำกี่คนก็ได้ ช่วยกันทำ ยิ่งทำได้มาก ก็ยิ่งจะได้ค่าตอบแทนมาก งานนั้นก็คือ เป็นเพชฌฆาตฆ่าปลาช่อน พร้อมขอดเกล็ดให้เรียบร้อย

    ประยงค์ไม่ได้นึกอะไรไปมากกว่าได้รับค่าตอบแทนที่ดี มีเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงครอบครัว เพราะตอนนี้เขาก็มีลูกสาวอยู่คนเดียว อายุเพิ่ง 7 ขวบ ความหวังของประยงค์ นั้นอยากจะให้ลูกได้มีโอกาสเรียนสูงๆ จะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อแม่ เขาจึงตกปากรับคำกับเจ้าของร้าน

    วันรุ่งขึ้นก็มีรถขนปลาช่อนตัวเป็นๆ มาที่บ้านเขาจำนวนมาก ตอนแรกที่เห็นปลาทั้งหมดดิ้นในถัง ทำเอาประยงค์รู้สึกกลัวเหมือนกันที่ต้องฆ่าปลาเหล่านี้ เพราะขนาดของปลามีแต่ตัวใหญ่ๆ หากเป็นปลาตัวเล็กๆ เขาก็คงไม่หวาดเสียวเท่าใดนัก แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะได้รับปากไว้แล้ว

    ประยงค์จึงเริ่มทำงานโดยทุบหัวปลาช่อนให้ตายทีละตัวๆ บางตัวก็ต้องทุบหลายครั้งกว่าจะตาย เนื่องจากตัวใหญ่หัวแข็ง ในแต่ละวันกว่าจะทุบหัวปลาและขอดเกล็ดหมดก็ใช้เวลานานพอสมควร และตามแขนขาหน้าตาของเขาเต็มไปด้วยเลือดปลาที่กระเด็นใส่!!

    เมื่อวันแรกของการเป็นเพชฌฆาตปลาช่อนผ่านไปและมีรายได้ดี ประยงค์ก็ไม่รู้สึกอะไรอีก นอกจากทุบหัวปลาให้ได้มากขึ้น หลายครั้งเขาก็เรียกลูกเมียมาช่วย ซึ่งตอนแรกๆทุกคนรู้สึกกลัว ไม่กล้าทำ แต่เมื่อเห็นจนเป็นความเคยชิน จึงได้เริ่มลองทำดูบ้าง จนทำให้งานของเขาเสร็จเร็ว ได้เงินมากขึ้น และเหลือเวลาไปรับจ้างทำอย่างอื่นได้อีก

    บ้านของประยงค์อยู่ริมคลอง ทุกเช้าเขาจะมานั่งทุบหัวปลาอยู่ริมคลองพร้อมกับครอบครัว หลังจากทุบเสร็จ ขอดเกล็ดแล้ว ก็จะตักน้ำคลองมาล้างปลาจนสะอาด และทุกเช้าจะมีพระเดินบิณฑบาตรผ่านบ้านเขาทุกวัน บางครั้งพระที่เดินผ่านมาก็ตกใจ เพราะเห็นปลาที่ประยงค์กำลังทุบอยู่นั้นดิ้นอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช ทุกข์ทรมานกับการถูกทุบหัวเป็นยิ่งนัก บางครั้งดิ้นแรงมากจนถึงกับกระเด็นมาใกล้เท้าพระ หลายครั้งที่พระได้เตือนประยงค์ไปว่า หากเลี่ยงอาชีพนี้ได้ก็ให้เลี่ยงซะ อย่าทำเลย เพราะมันเป็น บาปเป็นกรรม ประยงค์ก็รับฟังสิ่งที่หลวงพ่อสอน แต่ว่าจะให้เขาทำอย่างไร จะเปลี่ยนอาชีพก็ไม่รู้จะไปทำอะไร จึงคิดว่าทำอาชีพนี้ต่อไปก่อน หากหาอาชีพใหม่ที่ดีกว่านี้ได้แล้ว ค่อยเปลี่ยนไปทำ

    เวลาผ่านไป ครอบครัวของประยงค์เริ่มมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากคนที่กลัวการฆ่า แต่วันนี้ทุกคนไม่กลัว และเห็นการฆ่าปลาเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย จนกลายเป็นความเคยชิน เพราะอาชีพนี้ช่วยให้ครอบครัวเขาดีขึ้น

    ประยงค์และครอบครัวไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้ ผลกรรมมันจะตามมาทันอย่างรวดเร็วในชาตินี้... แล้วกฎแห่งกรรมก็เดินทางมาถึงในช่วงเย็นของวันหนึ่ง ลูกสาวของประยงค์ได้ลงไปเล่นน้ำในคลองหน้าบ้านตามลำพัง ซึ่งตามปกติเธอก็มักจะโดดน้ำคลองเล่นเป็นประจำมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ จนกระทั่งอายุ 7 ขวบ เธอจึงมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการเล่นน้ำในคลอง พ่อแม่ก็ปล่อยให้เล่นตามสบาย เพราะเห็นลูกเล่นอย่างนี้มานานแล้ว

    แต่วันนี้ไม่เหมือนวันก่อนๆ น้องเจนจิราได้ปีนขึ้นต้นไม้ริมคลองแล้วกระโดดลงน้ำ เหมือนอย่างที่เคยเห็น เด็กแถวบ้านทำกัน เธอกระโดดพุ่งหัวลงไปในคลองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นหัวของเธอก็ไปกระทบเข้ากับตอไม้ท่อนใหญ่ที่อยู่ในน้ำอย่างแรง จนหัวแตก คอหัก ทำให้เธอจมดิ่งลงใต้น้ำ!! กว่าที่พ่อแม่จะรู้ว่าลูกจมหายไปในน้ำ แล้วลงไปช่วยกันงมหา น้องเจนจิราก็ได้กลายเป็นศพไปเสียแล้ว...

    ประยงค์และภรรยาต่างร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะมีลูกสาวเพียงคนเดียว แถมยังมาตายอย่างน่าอนาถ ความฝันของประยงค์ ที่จะทำให้ลูกสาวได้เรียนสูงๆนั้นจึงหายวับไปกับตา เมื่อเขาได้สติก็ระลึกถึงคำเตือนของพระ ว่าสิ่งที่เขากับครอบครัวช่วยกันทำนั้นเป็นบาปกรรม พวกปลาที่ถูกเขาฆ่าคงอาฆาตแค้นอยู่ไม่น้อย จึงทำให้ลูกสาวต้องตายในสภาพเช่นเดียวกับปลาช่อนที่ถูกทุบหัวนั้น!!

    นี่คือผลของกรรมที่เห็นได้ทันทีในชาตินี้ ถึงแม้ว่ากรรมที่ทำจะไม่ได้แสดงผลกับประยงค์โดยตรง แต่การที่มันให้ผลกับลูกของเขา ก็ยิ่งเป็นเหมือนกับมีดโกนที่บาดลงกลางใจของผู้เป็นพ่อ เพราะลูกเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ เขายอมทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เพื่อลูก แต่เมื่อเห็นลูกมาตายเช่นนี้ ชีวิตเขาก็เหมือนกับตายทั้งเป็น

    การฆ่าสัตว์ใดๆ ก็ตาม ล้วนแต่เป็นบาป ผิดศีล และผลกรรมจากการฆ่าสัตว์จะทำให้อายุสั้นลงด้วย

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553 โดย มาลาวชิโร)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> ​
     
  2. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]
    ขอบคุณโพสท์ของน้องพายุนะค่ะ
    ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านค่ะ
    .........................................................

    [​IMG]


    การทำความดีไม่ใช่แค่ทำตามแบบชาวโลกทั่วไป

    แต่จงทำความดีตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้





    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2014
  3. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    [​IMG]

    หายไปนาน หน้าใหนเป็นหน้าใหนจำไม่ได้แล้วนิ
    เดี๋ยวหาก่อนค่ะ...
     
  4. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>

    [​IMG]
    ดีใจจังที่น้องพิม กลับมาแล้ว
    ปล่อยให้พี่คิดถึงอยู่นาน
    ขอขอบคุณทุกๆ ท่านนะค่ะที่เข้ามาอ่านกันค่ะ




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2011
  5. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><HR>[​IMG]

    พระรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)

    ..............................................................
    ลำธารริมลานธรรม
    เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้
    พระไพศาล วิสาโล รวบรวมและเรียบเรียง







    สังฆราชไก่เถื่อน




    ไก่เป็นสัตว์ขี้ระแวง เวลาจิกกินอาหาร จะผงกหัวขึ้นมองรอบตัวอยู่ไม่ขาด หากมีเสียงผิดปกติ จะกระโตกกระตากหรือส่งเสียงดังลั่น ยิ่งไก่ป่าด้วยแล้ว ระวังภัยรอบทิศไม่ยอมเฉียดกรายเข้าใกล้บ้านคนเลย ไก่ป่าที่จะประพฤติตนเป็นไก่บ้านจึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะเป็นไปได้ แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็กลับเป็นไปได้แล้ว ที่วัดราชสิทธาราม ฝั่งธนบุรี เมื่อร้อยกว่าปีก่อน



    สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) ทรงเป็นพระสังฆราชองค์ที่ ๔ ในรัชสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท่านเป็นพระมหาเถระที่ทรงคุณในทางวิปัสสนาญาณ แต่แทนที่ท่านจะมีชื่อเสียงในทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือการเป็นเกจิอาจารย์ดังสมเด็จพระพุฒาจารย์ (หลวงพ่อโต) ซึ่งเป็นพระรุ่นหลัง ท่านกลับเป็นที่รู้จักโดยพระนามฉายาว่า “สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน”


    ทั้งนี้เพราะทรงมีเมตตามหานิยมสูงมาก แม้กระทั่งไก่ป่าที่อยู่รอบวัดก็ยังสัมผัสได้ถึงเมตตาบารมีดังกล่าว จนกลายเป็นสัตว์เชื่อง พากันมาหากินอยู่รอบๆ พระตำหนักและในบริเวณวัดของท่านเป็นฝูงๆ กล่าวกันว่าใครที่มาเห็นก็มักเข้าใจว่าเป็นไก่บ้านที่ถูกปล่อยวัด.
    .....................................................
    [​IMG]

    ความเมตตา แม้แต่สัตว์ยังสัมผัสได้
    เมตตาต่อกันไว้ค่ะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2011
  6. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>โลงศพ 1 โลง [​IMG]


    นายลิโป แซ่ซู เป็นผู้อำนวยการของบริษัท ป.เจริญเปา จำกัด ได้พูดคุยกับคุณไป่เปี่ยว ว่า มีเรื่องแปลกประหลาดที่ได้พบมา ยังบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าใครไม่เชื่อโทรศัพท์มาถามผู้อำนวยการท่านนี้ได้ เรื่องมีอยู่ว่า นายลิโปได้รับเหมาฝังท่อโทรศัพท์ในภาคอีสานแห่งหนึ่ง เขาได้ว่าจ้างคนในท้องถิ่นนั้นเป็นคนรับจ้างชั่วคราว ซึ่งคนงานเหล่านี้ไม่มีความรู้ในเรื่องรายละเอียดของท่อโทรศัพท์ ได้แต่ขุดดินแล้วนำอุปกรณ์ไปวาง แต่ในจำนวนคนงาน มีนายดำกับนายขาวซึ่งพอจะมีความรู้อยู่บ้าง ยังมีคนบอกว่าถ้า 2 คนนี้ฝึกฝนบ่อยจะเป็นช่างมือเอกได้ หนุ่มทั้ง 2 มีฐานะยากจน บ้านทำนา ขณะนี้หนุ่มทั้ง 2 รับจ้างขุดดินและเดินสายโทรศัพท์

    ครั้งนี้ทางบริษัทรับเหมางาน 2 ชิ้น ชิ้นที่ 1 นี้คือรับจ้างฝังท่อโทรศัพท์ ชิ้นที่ 2 คือเปลี่ยนสายโทรศัพท์ใต้ดิน สำหรับนายดำและนายขาวมีหน้าที่ร้อยสายโทรศพท์ใต้ดิน เพราะทางบริษัทได้รับงานเหมาก่อสร้างที่จังหวัดอื่นๆ อีกด้วย จึงทำให้ผู้อำนวยการมาดูแลงานฝังท่อโทรศัพท์เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น

    โดยเฉพาะเดือนนี้ นายลิโปเดินทางไปดูงานที่จังหวัดอื่น แล้วมาที่สำนักงานชั่วคราว เมื่อเข้าประตูมา ก็เห็นช่างสถาปนิกพูดโทรศัพท์อยู่ หลังจากวางสายแล้วจึงรายงานว่า มีคนงาน 3 คนถูกไฟฟ้าแรงสูงดูด ขณะนี้อาการสาหัสและกำลังถูกส่งไปที่โรงพยาบาล เมื่อผู้อำนวยการรู้ข่าวก็รีบนั่งรถไปกับช่างสถาปนิกเพื่อไปโรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลมีคนมารายงานว่าสาเหตุที่ไฟฟ้าดูดเพราะว่าไฟฟ้ารั่ว จึงได้ดูดคนงานคน 2 ใน 3 คน คือนายดำกับนายขาว เพราะขณะนั้นนายดำกับนายขาวกำลังรื้อสายไฟฟ้าเก่าออก ทั้ง 2 คนได้ปีนขึ้นบันได เมื่อได้ขึ้นไปบนยอดของบันได บันไดก็เกิดโยกจึงได้เรียกให้คนงานอีกคนมาช่วย คนงานรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงโยงสายไฟอีกเส้นมาที่บันได สายไฟมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงจึงได้ดูดนายขาว นายดำเห็นเข้าตกใจไม่ทันคิดก็ไปช่วยนายขาว ไฟก็เลยดูดนายดำและคนงานรวมเป็น 3 คน 2 คนพอถูกไฟดูดจนผิวเป็นสีดำ ตาเหลือก

    ขณะที่เล่าอยู่นั้นหมอก็เดินออกมา ผู้อำนวยการจึงรีบถามอาการของคนเจ็บหมอบอกว่า “พูดยากนะ” ผู้อำนวยการพูดกับหมอว่า “ถ้ารักษาคนงานทั้ง 3 นี้จนหายเป็นปกติ จะตบรางวัลให้ 3 แสนบาท” แต่ดูสีหน้าหมอไม่ยินดียินร้าย หมอพูดตอบมาว่า การช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว การดูแลคนไข้จะดูแลเอาใจใส่เหมือนพ่อดูแลลูก ถ้าคนไข้มีทางหายแค่ 1 % หมอก็จะทำหน้าที่ของตนเองให้เต็มที่ คุณไม่ต้องเอาเงินมาหลอกล่อ จะทำให้เสียภาพพจน์ของหมอที่ดี”พูดจบหมอก็เดินจากไป

    เมื่อนายลิโปได้ฟังหมอพูดเช่นนั้น รู้สึกเคืองในใจ จึงไปนั่งสูบบุหรี่ที่ห้องรับแขก ขณะที่นายลิโปกำลังอัดบุหรี่เข้าปอดอยู่นั้น มีนางพยาบาลคนหนึ่งเดินมาพูดกับนายลิโปว่า “ที่นี่เขาห้ามสูบบุหรี่ ถ้าจะสูบเชิญข้างนอกค่ะ” นายลิโปสะบัดหน้าแล้วเดินออกไป พลางคิดในใจว่า วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร เจอแต่คนที่ขวางหูขวางตา วันนี้ดวงไม่ดีเจอแต่เรื่องไม่ดีทั้งสิ้น เมื่อนายลิโปเดินออกไปทางประตูซ้ายมือ ก็เจอห้องดับจิตและก็มีชาวนามารับศพ 4-5 คน ศพนั้นวางอยู่บนรถคันเล็กๆ แล้วยังไม่มีอะไรปิดศพ ตอนนั้นเป็นเวลาบ่าย 2 โมง ศพอยู่ในห้องดับจิตมีความเย็นมากพอ ออกมาข้างนอกเจอความร้อนหลายชั่วโมงสภาพศพจึงไม่น่าดู

    นายลิโปเดินเข้าไปถามว่า “จะเอาศพไปไว้ที่ไหน” ชาวนาจึงตอบว่า “จะเอาไปไว้ที่บ้านต่างจังหวัดจากนี้ไปประมาณ 80 กิโล ระยะทาง 80 กิโลเมตรไม่ใช่น้อย อากาศก็ร้อนอบอ้าว คนตายไม่มีโลงใส่มีแต่ผ้าปิดไว้เท่านั้น ผ้าผืนนั้นก็สั้นปิดได้แค่หน้าถึงหน้าท้องเท่านั้น เท้าทั้ง 2 ถูกแดดเผา” นายลิโปจึงได้ถามว่าทำไมไม่ชื้อโลงมาใส่ ก็ได้รับคำตอบว่าครอบครัวนี้ยากจนมาก นายลิโปจึงบอกว่า “จากนี้ไปไม่ไกลมีร้านขายโลงศพ ฉันจะซื้อโลงให้ใส่เอง ตามฉันไปซื้อโลง เพราะตอนนี้ฉันว่าง คนงานของฉันจะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้”

    เมื่อไปถึงร้านขายโลงศพ นายลิโปถามพวกเขาว่า “จะเอาโลงแบบไหน” และบอกว่า “ต้องการอะไรอีกเช่น ธูป เทียน กระดาษเงิน กระดาษทอง” ก็ได้รับคำตอบว่า “ไม่มีเงินชื้อ” นายลิโปจึงบอกกับเถ้าแก่ร้านโลงศพว่า “จัดทุกอย่างให้ครบสำหรับคนตายเสร็จแล้วมาคิดเงินกับฉัน”

    คนชนบทซื่อตรง ถึงแม้มีเศรษฐีมาช่วยก็ไม่กล้าขอมาก จึงเลือกซื้อแต่สิ่งของที่จำเป็นและราคาถูกเท่านั้น เถ้าแก่เป็นคนดีจึงไม่ได้คิดแพง สิ่งของที่ซื้อไปรวมเงินแล้วไม่ถึง 5,000 บาท ในความรู้สึกของนายลิโปเงินจำนวน 5,000 บาทที่เสียไป ยังน้อยกว่าเงินที่เขาไปเที่ยวดิสโก้เทคหนึ่งคืน แต่ความรู้สึกของคนจนเมื่อได้รับการช่วยเหลือแบบนี้ ก็กราบขอบคุณแล้วขอบคุณอีก นายลิโปรู้สึกมีความสุขมากที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ตอนนี้ใกล้เย็นแล้วจำเป็นต้องเอาคนตายกลับไปที่บ้าน นายลิโปบอกกับตัวเองว่า ตอนนี้จะต้องไปรับศพของคนงานทั้ง 3 หรือไม่ก็ยังไม่รู้

    นายลิโปเดินทางไปโรงพยาบาลแล้วนั่งรออยู่ที่ห้องมืดๆ ดูหมอที่ไม่รับสินจ้างรางวัลคนนั้น นายลิโปไม่คิดที่จะทักทายกับหมอ ยังคิดว่าถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็จะหลีกเลี่ยง เป็นเรื่องแปลกหมอกลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหานายลิโปเองแล้วส่งยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยกับเถ้าแก่ คนงานทั้ง 3 พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่อาจจะต้องพิการ เพราะกระแสไฟฟ้ามีพลังสูงดูดจนสมองผิดปกติ นับเป็นเรื่องแปลกที่หมอได้เจอมา กระแสไฟฟ้าที่มีพลังสูงดูดแล้วยังรักษาให้หายได้ แม้แต่หมอกับพยาบาลที่มาช่วยรักษาต่างเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาด”

    คุณหมอจับมือนายลิโปแล้วแสดงความยินดี เมื่อหมอเดินจากไปแล้ว หูของนายลิโปได้ยินว่า คนที่ถูกไฟฟ้าดูดถึงขนาดนี้ยังรักษาให้รอดมาได้เป็นไปได้อย่างไร ? แทบไม่เชื่อตนเอง หรือว่าที่ตนได้ทำบุญโลงศพ เหตุการณ์ทุกอย่างจึงแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดี โอ้ ! สาธุ



    .....................................................

    คัดลอกมาจาก
    http://www.mindcyber.com
    [​IMG]""""""""""""""""""[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD class=postdetails vAlign=bottom height=40>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2011
  7. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]
    หลวงพ่อทองสัมฤทธิ์

    มีนักสอนศาสนาหลายท่านมีความเห็นพ้องกันว่า
    "ทุกวันนี้ศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่คนผู้นับถือศาสนาเริ่มเสื่อม"
    และยังให้ความเห็นอีกว่า
    "ศาสนา คือคำสั่งสอนเป็นสัจธรรม เป็นนามธรรมมีสภาพที่ทรงอยู่ตลอดกาล หากแต่ผู้แสวงสัจธรรมนั้นจะนำมาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น"

    แต่ปัจจุบันนี้ ความเจริญทางด้านวัตถุนับวันจะทวีมากขึ้น ความเจริญทางด้านจิตใจที่จะศึกษา ปฏิบัติน้อย หันหลังให้พระศาสนามากขึ้น นับถือศาสนาแต่อยู่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น หารู้แก่นแท้หรือหลักธรรมของศาสนาของตนไม่

    เพราะฉะนั้นจึงได้ยินข่าวทำนองว่า "หนอนบ่อนไส้" อยู่เสมอ เช่นการทำลายศาสนาในรูปต่างๆ การบิดเบือนคำสอน การลักลอบตัดเศียรพระพุทธรูปไปขาย หรือการลักพาเอาพระพุทธรูป อันเป็นตัวแทนของพระศาสดา ที่ชาวพุทธเคารพสักการบูชา เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดแห่งหนึ่ง ที่จะเล่าต่อไปนี้

    เย็นวันหนึ่ง มีชาย ๓ คน แบกตะกร้าคนละหาบ เข้ามาในวัด
    "หลวงพ่อครับ...คืนนี้พวกผมขออาศัยพักสักคืน"
    "โยมพากันไปอย่างไร มาอย่างไร!..."
    หนึ่งใน ๓ คนนั่งพับเพียบประณมมือแล้วพูดว่า
    "พวกกระผมมาขอทานครับ... ที่บ้านแห้งแล้งไม่ได้ทำนา มาขอข้าวไปเรื่อยๆ ครับ..."
    "อยู่บ้านเป้า...หรือ"
    "เปล่าครับ พวกผมอยู่บุรีรัมย์"
    [​IMG]"บนศาลากว้างขวาง ให้โยมพักผ่อนตามสบาย ขาดเหลืออะไรก็บอกมานะ..."
    "ครับ...เป็นพระคุณครับ"
    ทั้งสามก้มลงกราบ ๓ ครั้ง ลุกออกจากหน้าอาสน์สงฆ์ ถือหาบตะกร้าตรงไปที่ศาลาการเปรียญ
    นี่ทองมี ตอนที่เรากราบพระที่อาสน์สงฆ์ตอนหัวค่ำ เอ็งสังเกตเห็นไหม?...
    ตาจอม..ขณะนอนคุยกับเพื่อนบนศาลาการเปรียญ
    "พระพุทธรูปองค์นั้น ข้าคิดว่าจะไม่ใช่พระพุทธรูปธรรมดา องค์หน้าตักขนาด ๑๒ นิ้ว ที่อยู่เหนือสุดบนโต๊ะหมู่ คงจะมีเนื้อทองผสม หรือไม่อาจเป็นเนื้อทองสัมฤทธิ์ที่มีค่าก็ได้นะ องค์ไม่ใหญ่ ขนาดพอดีเลย.."
    "ข้าเห็นเหมือนกัน..แต่ไม่ได้สังเกต"
    "ถ้าเราได้พระพุทธรูปองค์นี้...เราจะเลิกขอทานเลย"
    [​IMG]ตาจอม...ออกความเห็น
    "นำไปขายได้เงินแบ่งกัน เราก็จะมีชีวิตอยู่ได้หลายวัน"
    "ข้าไม่เห็นด้วย...ขนาดท่านหลวงพ่อให้ที่พักอาศัย ก็เป็นพระคุณยิ่งแล้ว เรายังจะคิดลักขโมยของสงฆ์ของวัดอีก...ข้ากลัวบาปกรรม"
    ทิดน้อย...ที่นอนฟังอยู่ออกความเห็นคัดค้าน เพราะกลัวบาปกลัวกรรมจะตามสนอง จึงไม่สนับสนุนเพื่อนๆ
    "ถ้าเอ็งกลัวบาป ก็นอนอยู่ที่นี่เฝ้าของ ข้ากับทองมีจะใช้วิชาย่องเบา"
    เขาทั้งสองลุกไปไม่นาน ก็กลับมาอย่างเร่าร้อน
    "เราจะออกเดินทางแล้ว ขณะนี้เกือบสองยาม"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2011
  8. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ทิดน้อย...ไม่อยากจะไปต้องการนอนมากกว่า พูดว่า
    "ข้าไม่ไป ข้าจะนอนอยู่ที่นี่"
    "นอนยังไง...ลงเรือลำเดียวกันก็ต้องไปด้วยกัน"
    เขาไม่อาจทนคำทัดทานเพื่อนได้ ต้องฝืนใจเดินทางแต่กลางดึก
    เขารีบร้อนรนออกจากวัด เดินอ้อมหมู่บ้านลัดลงกลางทุงนาสู่ถนนใหญ่ เป็นระยะทางเกือบ ๒๐ กิโล เขาดูเนื้อพระแล้วเขามีความหวังที่จะขายพระพุทธรูปองค์นี้ได้เป็นหมื่นบาท... แต่สำหรับทิดน้อย...มันตกกระไดพลอยโจน ยกมือท่วมหัวตลอดทาง
    "ขอให้ท่านหลวงพ่อผู้ศักดิ์สิทธิ์อโหสิ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เจตนา และไม่มีส่วนร่วมด้วย"
    รุ่งเช้า...ตีสี่ หลวงพ่อและพระบวชใหม่ ๒ รูป ลุกขึ้นทำวัตร ก็แปลกใจ เมื่อเห็นโต๊ะหมู่ว่างเปล่าจากพระประธาน ท่านหลวงพ่อจึงพูกดับพระใหม่ว่า
    "มีใครนิมนต์หลวงพ่อบนโต๊ะหมู่ไปไว้ที่ไหน..."
    "ผมไม่เห็น... ทำวัตรเย็นก็ยังอยู่ที่นี่"
    พระบวชใหม่ต่างปฏิเสธทุกรูป เพราะไม่รู้ไม่เห็น นึกคิดได้ ท่านหลวงพ่อจึงใช้พระบวชใหม่ไปดูที่ศาลา
    "คุณวิชัย...ไปที่ศาลาการเปรียญ มีโยมนอนพักอยู่ที่นั่นไหม...บางทีเขาอาจรู้เห็น"
    สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินรายงานว่า
    [​IMG]"ไม่มีใครอยู่...บนศาลาไม่มีโยมอยู่เลย
    หลวงพ่อนึกแปลกใจ ถ้ามีคนเอาไปคงจะเป็นพวกที่มาขออาศัยพักที่ศาลาการเปรียญตอนหัวค่ำเมื่อวานนี้...
    "พวกคุณไปตีกลอง ตีระฆัง พร้อมกันตีรัวเร็วนะ"
    หลวงพ่อสั่งพระบวชใหม่ ไม่นานก็ได้ยินกลองเสียงระฆัง จวนจะสว่าง ชาวบ้านแตกตื่นออกมาที่วัด ถามไถ่หลวงพ่ออย่างอลหม่าน...ผู้ใหญ่บ้านประกาศให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งออกติดตามหาคนลักขโมยพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ส่วนตัวเองจะไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้
    [​IMG]ไม่นาน ทิดน้อย ๑ ใน ๓ ของพวกขโมย วิ่งกระหืดกระหอบมาบอกชาวบ้านและหลวงพ่อว่า
    "ไอ้ทองมี กับ ตาจอน มันเอาพระพุทธรูปของทางวัดไป"
    ทิดน้อย หยุดพักเหนื่อยและหายใจอยู่นาน นั่งประนมมือกับหลวงพ่อ และเล่าต่อไปว่า
    [​IMG]"ผมห้ามมันๆ ไม่เชื่อผม และบังคับให้ผมร่วมขโมยด้วย ผมไม่เอา มันบังคับให้เดินทางไปด้วย ก่อนจะเข้าในเมือง มันทั้งสองปวดท้องพร้อมกัน นั่งคุกคลาน มือกุมท้องไปไหนไม่ได้ ร้องครวญคราง ผมจึงหาดอกไม้มาขอขมาคารวะ ยินยอมรับผิดและจะนำส่งคืน มันทั้งสองก็หายปานปริดทิ้ง เขาทั้งสองอายหลวงพ่อไม่กล้ามา จึงให้ผมนำพระพุทธรูปมา แต่ผมกลัวชาวบ้านกระทืบ ก็เลยนิมนต์ท่านให้อยู่ต้นร่มยางใหญ่กลางทุ่ง"
    [​IMG]"ให้ผู้ใหญ่บ้านพาชาวบ้านไปแห่เข้ามา"หลวงพ่อสั่งญาติโยม ชาวบ้านทั้งหมด แห่จากทุ่งนาพาเข้าสู่วัดสรงน้ำ หลวงพ่อให้เงิน ๑๐๐ บาท เป็นของสมนาคุณแก่ทิดน้อย แต่เขาปฏิเสธไม่รับ และเขาขอบวชเป็นศิษย์หลวงพ่อเป็นการทดแทน........
    .................................................
    [​IMG]
    เรื่องจริง จากหนังสือกฏแห่งกรรม
    ชุด เวรใดใครก่อ
    โดย พูนศักดิ์ ศักดานุวัฒน์
    จัดพิมพ์จำหน่ายโดย
    สำนักงาน หอสมุดกลาง 09
    5 แพร่งสรรพสาตร์ ด้านคลองหลอด ปท.2 กรุงเทพฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  9. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    สื่อมรณะ
    [​IMG]
    ที่ศาลอาญา หรือศาลชั้นต้น ประชาชนเดินกันเป็นหมู่ ขนาบข้างซ้ายขวา ทนายผู้ถือกระเป๋าเจมส์บอนสวมเสื้อแขนยาวสีขาวผูกเนคไท แขนซ้ายพาดเสื้อครุย บางหมู่ก็เดินขึ้นลงตามหลังทั้งแนะทั้งนำ ทุกคนส่วนใหญ่แต่งกายเรียบร้อย เดินไปมาขวักไขว่อย่างรีบร้อน บ้างก็นั่งเรียงรายอยู่หน้าบัลลังก์ รอฟังศาลตัดสินคดีความ ส่วนใหญ่ก็เป็นพี่น้องของคู่คดี ทั้งโจทก์และจำเลย
    พ่อเฒ่าจันทร์ นั่งคอตกอยู่เงียบๆ บนชั้นสองหน้าบัลลังก์แต่ผู้เดียว น้ำตาซึมอยู่ หลังจากผู้ต้องหาสี่คน คือ นายสญ นายเสาร์ และนายเอก ถูกศาลชั้นต้นสั่งประหารชีวิต จนเข่าอ่อนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ส่วนจำเลยอีกคนหนึ่งคือ นายสิน ลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต เพราะให้การชั้นโรงพัก เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ได้ลงจากศาลไป
    [​IMG]
    ทิดคำ เดินทางขึ้นศาลเป็นครั้งแรก มาเยี่ยมญาติที่เป็นจำเลย ซึ่งเขามาจากต่างจังหวัด ยังไม่รู้ระเบียบปฏิบัติของศาลอะไร จึงกะจะเข้าไปถามพ่อเฒ่าจันทร์ เพราะเห็นนั่งอยู่คนเดียว ถึงจะปล่อยไก่อะไรออกไป ก็คงจะไม่อายใครๆ นอกจากพ่อจันทร์เท่านั้น
    "ขอโทษครับ ที่นี่เป็นศาลอาญาไหมครับ"
    "ใช่แล้ว คุณมาเรื่องอะไร?"
    "เปล่าครับ ผมจะมาเยี่ยมญาติ ที่เป็นจำเลยฆ่าคน"
    "ชื่ออะไร?"
    "ชื่อ สิน ครับ"
    พ่อเฒ่าจันทร์คิดได้ว่าคงจะเป็นคดีเดียวกัน จึงพูดว่า
    "คุณเป็นอะไรกับนายสิน..."
    "เป็นพี่ชาย...พวกผมเป็นลูกกำพร้าพ่อแม่.. ผมอยู่ไกล"
    "ไอ้สิน มันโชคดีกว่าเพื่อน..."
    "โชคดียังไงลุง หมายความว่า นายสินไม่ผิดใช่ไหม?"
    "เปล่า...นายสินถูกศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต..."
    ทิดคำถึงกับเข่าอ่อนทรุดลง นิ่งไปครู่ใหญ่ๆ พอได้สติจึงถามพ่อเฒ่าจันทร์ขึ้นอีกว่า
    "ไหนลุงบอกว่า โชคดี ทำไมต้องติดคุกตลอดชีวิต ลองเล่าให้ฟังหน่อยซิครับ..."
    "ได้ซิ...แต่เรื่องมันยาว ผมจะเล่าอย่างย่อๆ นะ"

    จากนั้นพ่อเฒ่าจันทร์ก็เริ่มเล่า ตั้งแต่เริ่มแรกเลยทีเดียว เพราะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ และเป็นพ่อของนายเอก หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกศาลลงโทษประหารชีวิต
    "เรื่องนี้เกิดขึ้นในตอนเช้าวันหนึ่ง ขณะที่นายคงเดช พ่อค้าหมูตื่นขึ้นมาและกำลังเดินสลึมสลือไปเข้าห้องน้ำ ก็มีผู้ต้องหาจำนวนสี่คนนี้ ใช้รถมอเตอร์ไซค์ สองคัน เป็นพาหนะมาจอดไว้ริมรั้วบ้านนายคงเดช สามคนยืนคร่อมรถไว้ ส่วนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นมือสังหาร เดินเข้าไปหานายงเดช คุยด้วยสี่ห้าคำก็ชักปืนสั้นจากเอวจ่อยิงใส่ในระยะเผาขนสองนัด นายคงเดชทรุดฮวบเท่งทึงโดยมิได้สั่งเสียสักแอะ พวกจำเลยก็จ้ำอ้าวไปตามระเบียบ

    แต่ตำรวจก็เก่งเหมือนกัน ไปคว้าเอาผู้ต้องหามาได้ทั้งหมดมาดำเนินคดี จะจริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ ทั้งหมดให้การปฏิเสธ แต่มีผู้รู้เห็นเป็นพยาน ก็คือนายปรีชา ญาติของนายคงเดช พอสอบสวนเสร็จ พนักงานสอบสวน คือ ตำรวจก็ส่งให้อัยการพิจารณา และทั้งหมดก็โดนฟ้องในข้อหาฉกรรจ์ คือฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โทษหนักหนา ดังที่ศาลชั้นต้นให้พยานทั้งสองฝ่ายเข้าสืบ เพราะเราก็ว่าจ้างทนายเหมือนกัน ต่อสู้คดีเสร็จสรรพ ก็ตัดสินชี้ขาดว่า
    "จำเลยทั้งหมด ยกเว้นนายสิน มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษประหารชีวิตนายเสาร์ นายสูญ นายเอก ส่วนนายสิน ลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต เพราะให้ความสะดวกในการพิจารณาคดี เป็นประโยชน์แก่พนักงานสอบสวน"

    ทั้งหมดแทบจะเป็นลม ขาอ่อนหน้าซีดไปตามๆ กัน นอกจากนายสินสีหน้ายังเป็นคนอยู่ ส่วนทนายจำเลยก็หน้ามืดไปเหมือนกัน เมื่อลูกความโดนน๊อคยกทีม ไม่รอดแม้แต่คนเดียว แต่ต้องทำใจดีสู้เสือ ลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจนายเสาร์กับพวกที่ยืนตาขวางทำท่าจะทวงค่าทนายคืน
    "เย็นไว้ก่อนน้อง ยังมีอีกตั้งสองศาล คดีก่อนของทนาย ก็ถูกสั่งประหารแบบนี้แหละ พออุทธรณ์ฎีกาเสร็จ ก็ถูกปล่อยตัว"
    "แน่นอนนะ...ไม่หลอกนะ..."
    นายเสาร์และพวกไม่แน่ใจ จึงถามทนาย แต่ก็ได้รับคำตอบยืนยันอีกว่า
    "อ๋อ...แน่นอนซิ ไม่กล้าหลอกหรอก!"
    แล้วต่างก็แยกย้ายกันไป ส่วนจำเลยทั้งหมดก็ถูกผู้คุมทางเรือนจำ นำตัวกลับเรือนจำ ญาติของจำเลยอีกพวกหนึ่ง ยืนคุยกันอยู่ที่นี่นาน จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเสียงร้องไห้ ลูกเมียระงมบนศาล ส่วนลุงไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงนั่งระงับสติอารมณ์อยู่ที่นี่ก่อนไม่ได้ไปไหน ก็คุณมาพอดีนี่แหละ"
    "ต่อไปนี้ลุงจะไปไหนดี..หรือว่าจะกลับบ้าน"
    "ฉันจะไปพบทนายอีก ถ้าเขาไม่ช่วยอุทธรณ์ฎีกาให้ ก็จะทวงเอาเงินคืน สักครึ่งก็ยังดี เพราะสัญญากันแล้วว่า ต้องชนะคดี แต่กลับพลิกล็อกอย่างนี้ ลูกฉันทั้งคนจะมาถูกประหาร จะเสียเงินเท่าไรไม่ว่า ข้าจะไม่ยอมเสียรู้คน"

    ว่าแล้วก็เข้าไปพบทนายความกับทิดดำ ปิดประตูพูดคุยกันจนดึก ในที่สุดทนายได้ทำคดีอุทธรณ์ รอดตัวไม่โดนทวงเงินคืน แถมยังเรียกค่ากระดาษดินสอ ค่าน้ำมันได้อีกหลายบาท

    ศาลอุทธรณ์ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาจำเลย หรือพยานแม้แต่คนเดียว เอาสำนวนที่ศาลชั้นต้นทำไว้มาเปิดอ่านและติดสินคดีไป
    พอถึงวันฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ เห็นแต่พวกญาติและเพื่อนๆ ของจำเลย ตลอดทั้งประชาชนไปฟังกันเนืองแน่น เพราะคดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชน แต่ทนายของจำเลยนี้ก็เห็นโผล่หน้มาเหมือนกัน แต่อยู่ห่างๆ เพราะขัดไม่ได้ ตัวเองได้คุยเอาไว้ว่า คดีนี้จะหลุด

    ทั้งลูกความและทนาย ใจคอไม่ดีพอๆ กัน ในระหว่างที่ยืนฟังศาลอ่านคำตัดสินเสียแจ้วๆ ปรากฏว่าทั้งหมด ไชโยโห่ฮิ้วอย่างลืมตัว เมื่อศาลอุทธรณ์ตัดสิน ยกฟ้อง ปล่อยกราวรูด ไม่ประหารกันแล้ว ทั้งผู้ต้องหา ทั้งญาติๆ เพื่อนผู้มาฟัง โดยเฉพาะทนายดีใจอย่างบอกไม่ถูก
    เรื่องนี้ เดือดร้อนอัยการผู้ทำหน้าที่เป็นโจทก์ เมื่อคดีกลับหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้
    "พวกเราจะต้องฎีกาให้ศาลสูงชี้ขาดอีกยกหนึ่ง"
    "ใช่แล้วครัวหัวหน้า...เพื่อจะให้คดีถึงที่สุด ว่าจะปล่อยหรือประหาร เราต้องยื่นฎีกาให้ศาลสูงชี้ขาดอีก"
    (ยังไม่จบค่ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  10. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    สื่อมรณะ(ตอนต่อไป)
    ทั้งอัยการผู้เป็นหัวหน้าและลูกน้อง ที่รับผิดชอบคดีนี้ ทำหน้าที่เป็นโจทก์ฟ้อง ได้ยื่นศาลสูงอีก แต่ศาลสูงก็เหมือนศาลอุทธรณ์ ตามปกติจะอ่านสำนวนที่ศาลชั้นต้นทำไว้แล้วตัดสิน พวกจำเลยมีหน้าตาอย่างไร แล้วชวนให้เชื่อว่าเป็นโจร จึงรอดตัว คดีถูกยกฟ้องอีก เพราะคำให้การของโจทก์เฟอะฟะนั่นเอง

    จำเลยทั้งหมดรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เต้นกอดคอกันอย่างไม่รู้ตัว ทิดคำจึงไปถามพ่อเฒ่าจันทร์อีกว่า
    "นับว่าจำเลยยังไม่ถึงฆาต.....เรื่องนี้มันเป็นอย่างไรนะลุง"
    ทิดคำไม่เข้าใจถึงกระบวนการ ที่เขาตัดสิน และพ่อเฒ่าจันทร์จึงอธิบายให้ฟังว่า
    "คดีนี้ พยานคือ นายปรีชา ญาติของนายคงเดชผู้ตายได้ยัดเยียดและอัดจำเลยไว้อย่างไม่มั่นใจ ซึ่งให้การแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน ซึ่งนายปรีชาได้เบิกความเละตุ้มเป๊ะ ในข้อสำคัญถึงสามอย่างในฐานะที่เป็นพยานเอก
    ตามคำชันสูตรศพ ผู้ตายกระสุนปืนเข้าทางขมับด้านขวา แต่นายปรีชาบอกว่าด้านซ้าย เวลาให้การกับตำรวจบนโรงพัก นายปรีชาบอกว่า นายเสาร์ขับรถมอเตอร์ไซค์สีเหลือง มีนายสูญซ้อนท้ายและนายเอกเป็นคนลงไปยิง แต่ในชั้นศาลบอกว่า นายเอกซ้อนท้าย และลงไปยิงด้วยตัวเอง

    นางหนูแม่ของคนตายบอกว่า ได้ยินเสียงปืน ลงไปจากบ้านเห็นลูกนอนอยู่ บริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลย แต่นายปรีชาบอกว่า นางหนูลงมาจากบ้านขณะที่ตนเองยืนอยู่ นับว่านายปรีชาทำบุญอย่างแรง เพราะความเฟอะฟะขนาดนั้น ศาลจะไปลงโทษลงทัณฑ์จำเลยทั้งหมดได้อย่างไร ศาลเห็นว่าสงสัยยกประโยชน์ให้จำเลย สบายไป...มีข้อสังเกตว่า นายปรีชาอาจไม่ได้เห็นเหตุการณ์จริงๆ เลยก็ได้ อาจเป็นพยานปั้นว่างั้นเถอะ
    "แล้วจะเป็นไปได้หรือที่ว่า นายปรีชาจะไม่มีความจงใจจะทำเช่นนั้น"
    "ก็ไม่แน่...นายปรีชาอาจเฟอะจริงๆ หรือเกิดจากการจงใจก็ได้"
    "ผมงงจริงๆ นะครับลุง ผมแย่ที่ไม่เคยรู้เรื่องกระบวนการยุติธรรม ต่อไปผมจะพยายามศึกษาจากลุงเพิ่มเติมอีก"
    "มันก็อย่างนี้แหละ ลวดลายการต่อสู้คดีกันบนศาลเหมือนเกมอย่างหนึ่งก็ไม่ต่างกัน"
    "ลุงครับ...ที่ว่าเกมอย่างหนึ่งเป็นอย่างไร"
    "เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง แต่ที่แนๆ ในศาลนี้ แต่ละวัน มีทั้งคนที่เสียใจสุดขีดและดีใจสุดขีด อย่างที่เราพบมา ไม่เชื่อลองหาเวลามานั่งดูอีกซิ แต่อย่างหลงเชียร์หรือถือหางวางเดิมพันก็แล้วกัน โดนขังแน่..อ้อ..ที่ว่าเกมนั้นเป็นเพราะ เมื่อมีคดีแล้วทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน"
    "พยานหลักฐาน คดีนี้คงจะเป็นพยานไม่แท้จริง?"
    "ก็นั่นซิ...คนถึงได้พูดว่า คนไม่ผิดติดคุกถมไป ส่วนคนผิดลอยนวลก็ถมไปเหมือนกัน...จุ๊ๆๆ..คุยกันที่อื่นดีกว่า"

    ทั้งสองก็พากันกลับบ้านด้วยความดีใจ ซึ่งผู้พ้นจากคดีทั้งหมดไปฉลองชัยอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองก็ไม่ลืมแวะมอบของขวัญให้กับทนายพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณที่ได้ช่วยเหลือในครั้งนี้ ก่อนที่จะเดินทางกลับ

    ต่อมาทั้งสี่คนที่พ้นคดีออกมาแล้ว ก็อยู่ไม่เป็นสุข รู้สึกกระวนกระวายออกร้อนทั้งตัว จึงได้ตกลงกันสั่งลูกเมีย และญาติพี่น้องจะไปบวชสักสามเดือน เพื่อจะเป็นการอุทิศให้ผู้ตาย
    [​IMG]

    "พี่รู้สึกกระวนกระวายเหมือนกับเพื่อนๆ คงจะเป็นกรรมที่พวกพี่เคยทำไว้ พี่จะลาน้องไปบวชสักสามเดือนกับเพื่อนๆ"
    นายเสาร์สั่งเมียเขาก่อนเข้านอน เธอก็ไม่ว่าอะไรเพียงแต่พูดว่า
    "หากสิ่งใดที่จะเป็นความสุขของพี่แล้ว ฉันไม่ขัดข้อง"
    "เมื่อครบสามเดือน พี่ก็จะสึกมาอยู่กับลูกกับเมีย"

    จากนั้นไม่กี่วัน ทั้งหมดก็อุปสมบท ณ วัดแห่งหนึ่ง อยู่ได้เกือบจะถึงสามเดือน พายุก็พัดเอากฏิหลังเก่าๆ หักพังทับพระบวชใหม่ทั้งสี่รูป ถึงแก่มรณภาพ ยังความเศร้าสลดแก่ญาติเป็นอย่างยิ่ง แต่จะมีใครเล่าในโลกนี้จะหนี กฏแห่งกรรม ไปได้....

    .................................................
    [​IMG]
    เรื่องจริง จากหนังสือกฏแห่งกรรม
    ชุด เวรใดใครก่อ
    โดย พูนศักดิ์ ศักดานุวัฒน์
    จัดพิมพ์จำหน่ายโดย
    สำนักงาน หอสมุดกลาง 09
    5 แพร่งสรรพสาตร์ ด้านคลองหลอด ปท.2 กรุงเทพฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  11. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
  12. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><HR>
    [​IMG]

    จงอางหางกุดที่วัดหนองป่าพง

    วัดหนองป่าพงช่วงแรกๆ มีงูจงอางหางกุดอยู่ตัวหนึ่ง หลวงพ่อชา สุภทฺโท เรียกมันว่าไอ้หางกุด ตอนเช้าเมื่อหลวงพ่อออกไปบิณฑบาต มันก็เลื้อยตามหลังทับรอยเท้าของหลวงพ่อไปด้วย เช้าวันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อกำลังเดินเข้าหมู่บ้าน คนหาปลาผู้หนึ่งสังเกตเห็นรอยงูใหญ่เลื้อยตามหลัง จึงวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านบอกเพื่อนบ้านว่า “อาจารย์ชาเอางูมาบิณฑบาตด้วย”

    ชาวบ้านกลัวมาก ขากลับจึงสะกดรอยตามหลวงพ่อ ก็เห็นงูใหญ่เลื้อยตามหลวงพ่อเข้าไปในวัดด้วย รุ่งเช้าชาวบ้านจึงพากันมาพูดกับท่าน

    “ท่านอาจารย์ทำไมเอางูไปบิณฑบาตด้วย ทีนี้จะไม่ใส่บาตรแล้วนะ กลัว”

    “อาตมาไม่ทราบ อาตมาไม่ได้เอาไป” หลวงพ่อตอบ

    “ไม่ได้เอาไปยังไง ตอนออกมาทุ่งนา ยังเห็นรอยงูมันเลื้อยทับรอยเท้าท่านอาจารย์อยู่นี่นา” ชาวบ้านช่วยกันต่อว่า

    แต่หลวงพ่อก็ยังยืนยันว่าท่านไม่รู้อยู่นั่นเอง ชาวบ้านก็เลยพากันมาสังเกต ก็พบว่างูตัวนี้ตามท่านไปจากวัด พอถึงศาลพระภูมิทางเข้าหมู่บ้าน มันก็แยกเข้าไปคอยอยู่ที่นั่น จนหลวงพ่อกลับจากบิณฑบาต มันก็เลื้อยตามท่านกลับวัดอีก หลวงพ่อเองก็ไม่ได้เห็นงู แต่ได้สังเกตว่ามีรอยอย่างที่ชาวบ้านพูดกัน หลังจากนั้นเวลาที่ท่านจะออกจากวัดไปบิณฑบาต เมื่อจะพ้นเขตวัดหนองป่าพง ท่านพูดขึ้นว่า

    “ไอ้หางกุดอย่าไปบิณฑบาตกับอาตมานะ คนเขากลัว”

    ต่อมาท่านก็ได้บอกด้วยว่า “ให้หลบหนีเข้าไปหาที่อยู่ในป่ารกทึบเสียเถอะ อย่าออกมาให้คนเห็นอีก เพราะวัดนี้จะมีคนมามากขึ้น เขาจะกลัว”

    กาลต่อมา ก็ไม่ปรากฏเห็นงูจงอางใหญ่ตัวนี้อีก

    ...........................................................................

    ลำธารริมลานธรรม
    เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้
    พระไพศาล วิสาโล รวบรวมและเรียบเรียง






    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2011
  13. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    หนามไผ่[​IMG]

    มีพุทธภาษิตบทหนึ่ง บอกว่า
    "อันความดี คนดีทำได้ง่าย ...คนชั่วทำได้ยาก
    อันความชั่ว คนชั่วทำได้ง่าย...คนดีทำได้ยาก"

    ออกจะเป็นความจริง เพราะคนดีคือ คนทีมีศีลธรรมมีคุณธรรมสูง หากจะทำความชั่วก็ละอายแก่ใจไม่กล้าทำ หากจะสร้างความดีเช่น สร้างบุญกุศล มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ละเว้นการสร้างบาป หรือปฏิบัติตามศีล ๕ ข้อ ของฆราวาส เป็นการง่ายสบายใจ

    ส่วนคนชั่ว หากจะฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จิตใจคิดอาฆาตพยาบาท มุ่งสู่อบายมุขทั้งปวง กล่าวมุสา เป็นโจรหรือขโมย ย่อมทำได้โดยง่าย หากจะให้รักษาศีลปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์หรือประกอบสัมมาชีพ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวม แล้วยาก

    [​IMG]เหมือนยายจันทร์บ้านข้างวัด อายุจะเข้า ๗๐ ปีแล้ว แต่แกไม่เคยเข้าวัดทำบุญหรือฟังเทศน์ฟังธรรมเลย ได้แต่ บ่นเช้าบ่นเย็น แกคิดว่า
    "พระตื่นขึ้นมา...ก็ทำวัตรสวดมนต์ ออกขอข้าวอาหาร ฉันแล้วก็นอนไม่เห็นทำอะไร ..บางรูปก็ไม่อยู่ในห้อง และออกเที่ยว...วันศีลวันพระก็ประกาศให้คนนำเงินให้เป็นค่าน้ำค่าไฟ และอื่นๆ"
    แกอิจฉาพระ ฉะนั้นแกจึงไม่เข้าวัดทำบุญ ฟังเทศน์ฟังธรรม เมื่อมีคนถามแกว่า "พระและสามเณร ที่วัดมีกี่รูป...วันพระมีโยมไปจำศีลกี่คน"
    แกได้แต่สั่นศีรษะตอบสั้นๆ ว่า
    "ไม่รู้...ไม่เห็น..."
    [​IMG]เขตบ้านยายจันทร์ด้านทิศเหนือ เป็นเขตติดต่อแดนเดียวกันกับเขตวัด ซึ่งเป็นหลังบ้านของแก และปลูกต้นไม่หลายชนิด เช่นมะม่วง น้อยหน่า มะพร้าว มะขาม มะนาว กลางรั้วจะปลูกต้นไผ่ ทั้งไผ่บ้าน ไผ่สร้างไพ ไผ่ตง... พอโตขึ้นมันจะแตกหน่อออกหลายหน่อ แกจะใช้เสียมสับหน่อด้านที่อยู่ข้างบ้าน ส่วนด้านข้างวัด แกจะปล่อยไว้

    แกจะใช้หน่อไม้ทำเป็นอาหาร เช่น แกง หรือซุป ต้มกินกับน้ำพริก แกเป็นคนขยันทำมาหากิน แต่เป็นคนขี้เหนียว เป็นคนเห็นแก่ตัว
    พอยอดไม้ไผ่เป็นลำสูงขึ้น แกจะรื้อรั้วถอนเสาขยับเข้าไปให้เสาอยู่ตรงกับกอไผ่ หน่อไผ่ก็ขยายกอออกไปทุกด้านเรื่อยๆ แกก็ใช้เสียมสับหน่อไม้ด้านที่อยู่ทางบ้านแกเหมือนเดิม ส่วนหน่อที่อยู่ทางวัดก็ปล่อยไว้ให้มันขยายเนื้อที่เข้าสู่วัดเรื่อยๆ ทุกปี และแกก็ขยับรั้วตามเข้าหากลางกอไผ่เรื่อยๆ ทุกปีเช่นกัน

    [​IMG]๓ ปีผ่านไป ทางวัดต้องทำความสะอาดบริเวณวัดเกือบทุกเช้า กวาดไบไผ่ของยายจันทร์ที่ใบแห้งปลิวลงสู่พื้นบริเวณวัดในฤดูหนาว

    วันหนึ่ง ท่านเจ้าอาวาสวัดก็พูดกับยายจันทร์ว่า
    "นี่โยม...อาตมาว่ากอไผ่ของโยมขยายเข้ามาในวัดมากแล้วนะ"
    ท่านเจ้าอาวาสพยายามหาคำพูด ที่จะไม่ให้กระทบกระเทือนใจยายจันทร์
    "แล้วโยมก็ถอนเสารั้วตามมาทุกปี รู้สึกจะกินที่วัดมากเกือบจะสองเมตรแล้ว... จะให้โยมถอนเสากลับตามเดิมจะได้ไหม?..."
    "เรื่องอะไร?...ทำไมท่านเดือดร้อน...เรื่องของชาวบ้าน"
    ยายจันทร์แกยืนท้าวสะเอวมือซ้าย และยกตรงกลางๆ ผ้าถุงขึ้นด้านขวา พูดชัดถ้อยชัดคำต่อไปว่า...
    "ท่านเพิ่งมาอยู่ไม่กี่ปี...ฉันอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด ปู่ฉันเป็นคนสร้างวัดนี้ และมีเจ้าอาวาสหลายองค์มาแล้ว ไม่เคยมีใครมาว่ากล่าวดิฉันเลย มีก็แต่ท่านนี่แหละ..."
    "อาตมาไม่ได้พูดถึงเรื่องบุญคุณหรือในอดีต อาตมาเป็นผู้รับผิดชอบในเขตธรณีสงฆ์แห่งนี้ ตามอำนาจหน้าที่จึงอยากทราบว่า โยมจะถอนเสารั้วออกไปไว้ที่เดิมหรือไม่"
    "รั้วมันก็อยู่ตรงกลางกอไผ่ที่เดิม...ตั้งแต่ไหนแต่ไร อยู่ก็อยู่อย่างนี้... จะให้ฉันถอนเสาเขตแดนออกมาอย่างไรไม่สำเร็จหรอก ท่านเอาอะไรมาพูด"
    [​IMG]ยายจันทร์ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่า แกเป็นคนถอนเสารั้วเข้าไปในเขตวัด ติดตามกอไผ่ที่มันขยายลำต้นออกไป แต่แกก็เถียงพระเพื่อที่จะเอาชนะ เพราะความโลภ ต้องการกินพื้นที่เข้าไปในเขตวัดให้กว้างออกไป แกไม่ได้คิดถึงบาปบุญคุณโทษ หรือบาปกรรมแต่อย่างใด
    ท่านเจ้าอาวาสรู้สึกหนักใจ เห็นแกดื้อดึงไม่ยอมรับความจริง จึงพูดย้ำอีกว่า
    "ถ้าโยมไม่ถอน...ก็ขอให้คนเก่าแก่ที่อยู่ก่อนมายืนยัน ที่วัดก็มีหลวงตาที่แกอยู่มาแล้วหลายเจ้าอาวาส พอจะเป็นพยานได้"

    ต่อมายายจันทร์ก็เกิดล้มป่วยลงด้วยโรคชราและโรคแทรกซ้อนอื่นๆ แกออกร้อนตามตัวดิ้นทุรนทุรายเหมือนหนามแทงตามร่างกาย ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ใครๆ เห็นแล้วก็เวทนา
    "ลูกๆ นำส่งโรงพยาบาลมาแล้ว อาการไม่ดีขึ้นจึงขอตัวออกมารักษาอยู่ที่บ้าน..."
    ลูกของยายจันทร์ เรียนให้ท่านเจ้าอาวาสทราบ ขณะที่ท่านเข้าไปเยี่ยมอาการป่วยของแก
    "แม่รู้สึกร้อนตามตัว เหมือนมีหนามหรือไม้แหลมๆ แทง ต้องดิ้นรนไม่ขาดระยะ พวกดิฉันได้ตามหมอพื้นบ้าน และยาพื้นบ้านมากินมารักษาก็ไม่หาย ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว"
    "คนแก่ป่วยก็อย่างนี้เอง นานไปก็จะหาย"
    ท่านเจ้าอาวาสปลอบใจลูกๆ แก แต่ในใจคิดว่า คงเป็นเพราะกรรมของแกที่หัวดื้อ โลภมาก อยากได้ที่ดินมากๆ ลุกล้ำเข้าไปในเขตวัด โดยอาศัยกอไผ่ที่แผ่ขยายเข้าไปในเขตวัด เวลาป่วยจึงออกร้อนตามตัวเหมือนหนามไผ่ หรือหน่อไม้ไผ่แหลมทิ่มแทง แกจึงปวดร้อนร้องโอดโอยไม่ขาดระยะ
    "เอาอย่างนี้นะ...อาตมาก็ไม่มียา หรือวิชาที่จะรักษา"
    ท่านเจ้าอาวาสออกความคิดเห็นให้ลูกๆ แก
    "ลองให้แก ขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง หรือบรรพบุรุษอดีตเจ้าอาวาสทุกรูปที่มรณภาพไปแล้ว ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น หากแกได้ล่วงล้ำเขตวัดเข้าไป ก็ให้หายจากป่วยไข้ เมื่อหายดีแล้วจะเข้าวัดฟังธรรม บำรุงพระศาสนาตามอัตภาพ บางทีแกอาจหายจากป่วยก็ได้"
    "พวกดิฉันจะลองดู...และเรียนให้แม่ทราบ"

    ท่านเจ้าอาวาสก็ลุกออกจากบ้านยายจันทร์เข้าสู่วัดไป
    เมื่อลูกๆ ได้เล่าความเป็นไปให้แม่ฟัง แม่เขาก็ยินดีและปฏิบัติตาม

    จากวันนั้นเป็นต้นมา อาการป่วยของยายจันทร์ ก็หายปานปริดทิ้ง แกเริ่มเข้าวัดฟังธรรม ถือศีล และตักบาตร ทำบุญเกือบทุกวัน

    "อิฉันป่วย ท่านยังอุตส่าห์ไปเยี่ยม...นึกว่าท่านจะโกรธอิฉัน ถ้าไม่ได้ท่าน อิฉันคงตายไปแล้ว..."

    ท่านเจ้าอาวาสได้แต่ยิ้ม และก็นั่งสาธยายธรรมะให้ยายจันทร์ฟังอยู่นาน แกก็กลับ..."
    .................................................
    [​IMG]
    เรื่องจริง จากหนังสือกฏแห่งกรรม
    ชุด เวรใดใครก่อ
    โดย พูนศักดิ์ ศักดานุวัฒน์
    จัดพิมพ์จำหน่ายโดย
    สำนักงาน หอสมุดกลาง 09
    5 แพร่งสรรพสาตร์ ด้านคลองหลอด ปท.2 กรุงเทพฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2011
  14. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>บทบรรณาธิการ : มองโลกตามความจริง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>25 มกราคม 2548 15:46 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left></B>การมองโลกตามความเป็นจริงนั้นต้องมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่คงที่ เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และแตกสลายในที่สุด เป็นการมองด้วยปัญญา เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ว่าทุกสิ่งเป็นไปดังเหตุปัจจัยที่มีองค์ประกอบแล้วจึงเกิดผล
    [​IMG]อย่าไปมองโลกในแง่ลบว่ามันเลวมันแย่ เพราะมันต้องมีส่วนดีบ้าง แล้วก็อย่ามองว่ามันดีสูงสุดจนกระทั่งเราไว้ใจมัน วางใจมัน แล้วก็ตกเป็นทาสของมัน เพราะในที่สุดสิ่งที่ไว้ใจวาง ใจอาจกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อเราก็ได้
    [​IMG]แต่จงมองโลกในแง่ของความเป็นจริง คือ ไว้ใจก็ไม่ได้ วางใจก็ไม่ได้ แล้วทำใจเป็นกลางๆ คนที่มองโลกแบบนี้เปรียบเหมือนคนยืนดูของในที่สูง ซึ่งจะเห็นความเป็นไปทุกอย่าง
    เมื่อเรามองโลกตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรที่เราจะไม่เข้าใจ
    คนที่มองโลกตามความเป็นจริง จะรู้จักใช้ทุกเรื่องให้เป็นประโยชน์ แต่คนที่มองโลกไม่ตามความเป็นจริง คือมองตามอารมณ์ บางครั้งทำให้คนดีๆ ข้างเราก็กลายเป็นศัตรู คนที่เป็นมิตร มาชั่วชีวิตก็กลายเป็นคนที่เราคิดไม่ดี ต่อเขา ส่วนคนที่เป็นศัตรูของเราก็ไป มองว่าเป็นคนดีไป มองโลกด้วยอารมณ์อย่างนี้ไม่ดี ต้องมองโลกด้วย ปัญญา
    [​IMG]ถ้าเรามองโลกในแง่ตามความเป็น จริง ก็จะไม่มีอะไรให้เราซึมเศร้า ไม่มีอะไรให้เราล้มละลายและขาดทุนในอารมณ์ เพราะทุกอย่างมีเหตุปัจจัยของมัน โดยหลักของสมมติสัจจะ คือ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย และไป สู่ปรมัตถสัจจะคือทุกอย่างไม่ว่าจะได้ จะเสีย จะดี จะมี จะเป็น ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีอะไรคงที่ถาวรตลอดกาลตลอดสมัย
    [​IMG]มองอย่างนี้จะทำให้เราเข้าใจถึงสรรพสิ่งในการดำรงชีวิต ไม่ตกเป็นทาสของความได้ ความมี ความเสีย ความเป็น ฯลฯ
    การมองโลกตามความเป็นจริงด้วย ปัญญา ทำให้เราคิดเป็น
    เมื่อคิดเป็นเราก็เป็นสุข

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]</B>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2011
  15. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    [​IMG][​IMG]


    ขออนุโมทนากับธรรมมะดี ๆค่ะ อ่านแล้วได้แง่คิดสอนใจตั้งมากมาย ขอบคุณค่ะ
     
  16. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065

    [​IMG]

    ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านค่ะ
    ขอบคุณโพสท์ของน้องพิม ที่มาให้กำลังใจค่ะ
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Ym9Yu2AjGXo"]YouTube - MV เพลงธรรมะทำไม[/ame]​

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=K1hYCnIDdZk"]YouTube - ?????????38??????[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2011
  17. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
  18. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]

    คนเข้าถึงธรรมหายจากโรคได้

    [​IMG] หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม


    ๘ พฤษภาคม ๓๗

    กุศล นามแก้ว

    จากหนังสือ กฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๘

    หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

    วัดอัมพวัน สิงห์บุรี



    [​IMG]วันนี้อาตมาจะเล่าอานิสงส์แห่งความมีศรัทธา
    ตั้งใจแน่วแน่ในการสวดมนต์เจริญกุศลภาวนา ทำให้หายจากโรคได้
    ท่านทั้งหลายจำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าคนเข้าถึงธรรมเมื่อใดจะหายจากโรคแน่ ๆ


    เมื่อวานได้รับจดหมายจากหนองคายฉบับหนึ่ง
    มาจากโยม กุศล นามแก้ว ป่วยเป็นโรคหัวใจรั่วจะตายอยู่แล้ว
    ทำพืชไร่อยู่ที่ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
    เลี้ยงสัตว์ไว้ด้วย มีเหยี่ยวกามารบกวน ขโมยก็มาลักของ


    เขานั่งกรรมฐาน สวดมนต์ช่วยตัวเอง ไม่ต้องให้คนอื่นช่วย ไม่ต้องให้พระช่วย
    โรคหัวใจนี่ทำอะไรก็เหนื่อย หาคิดอะไรขึ้นมาละก็ตายเลย หรือถ้าโกรธก็ตายเลย


    เขาสวดมนต์เจริญกุศลภาวนาอยู่ ๙ เดือน ขณะนี้โรคหายไป ๙๐% แล้ว
    ยังเหลืออีก ๑๐% จึงจะเป็นปกติ หมอบอกหายได้อย่างไร มีแต่จะตายเท่านั้น


    การสวดมนต์นั้นสวดเพื่ออะไร สวดเพื่อต้องการให้มีสติ ช่วยตัวเองได้


    คนที่มาที่นี่มีแต่มาให้พระช่วย ไม่ช่วยตัวเองเลย ไม่สนใจปฏิบัติกรรมฐาน
    มากันเพื่อจะปฏิบัติแลกเหมือนแบบพ่อค้าแม่ค้า ไม่ได้ผลสักราย


    โยมกุศลนี่ตั้งใจจริงโรคหายไปเลย เขาขอหนังสือสวดมนต์มหาเมตตาใหญ่
    วันนี้ส่งไปให้เขาแล้ว ต้องช่วยตัวเอง ต้องพึ่งตัวเอง ต้องสอนตัวเอง


    [​IMG]ที่จังหวัดอุทัยธานี มีลุงคนหนึ่งเป็นโรคมะเร็ง หมอบอกว่า ถ้าผ่าแล้วจะอยู่ได้ ๓ ปี
    ถ้าไม่ผ่าต้องตายปีนี้ จะเอาอย่างไรก็เลือกเอา จงตัดสินใจเสีย


    ลุงคนนั้นก็คิดว่า คนเรายังไงก็ตาย หมอก็ต้องตาย ปู่ย่าตายายตายทั้งนั้น
    ก็เลยบอกว่า เอาล่ะ ผมยังไม่ผ่า หนีมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดนี้ อาตมาก็ไม่รู้
    ปฏิบัติกรรมฐานได้ ๗ วัน ก็กลับไปหาหมอ หมอตรวจแล้วมะเร็งหายไปเลย
    ต้องช่วยตัวเองอย่างนี้ซิ มากันที่ที่ร้อยละ ๙๐ มาให้พระช่วย ให้แผ่เมตตาทั้งนั้น
    แต่ตัวเองไม่ช่วยตนเองเลย


    หนังสือมหาเมตตาใหญ่นี้มีมานานแล้ว ไม่มีคนสนใจ
    เป็นบทสวดมนต์ของเทวดาที่ต้นพิกุล มาสอนแม่ชีก้อนทอง ปานเณร
    ให้สวดมนต์ที่ศา
    ลาหลังเก่า


    แม่ชีอ่านหนังสือไม่ออก ตายอายุ ๙๐ กว่าปี มาอาศัยศาลาอยู่ที่วัดนี้
    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ สมัยนั้นยังไม่มีสำนักชี


    [​IMG]เทวดามาชวนสวดมนต์ตอน ๒๔ นาฬิกา เทวดาถูกสาปจากสรวงสวรรค์
    ผิดประเวณีนางฟ้านางสวรรค์ ได้รับโทษ ๑๐๐ ปี


    หลวงสมานวนกิจ อธิบดีกรมป่าไม้บอกว่า ต้นนี้อายุพันกว่าปี
    ต้นลูกยังอยู่ข้างโบสถ์ เมื่อครบกำหนด ๑๐๐ ปี เวลา ๙.๔๕ นาฬิกา
    ต้นพิกุลโค่นทันทีไม่ต้องมีลมเลย หมดอายุเทวดา


    อาตมาได้ตำราจากเทวดาไว้เยอะ เพราะจดเข้าไว้
    ให้แม่ชีถามว่าเทวดาชวนสวดมนต์ทุกบ้านไหม ได้คำตอบว่า


    “ไม่ทุกบ้านหรอก ถ้าบ้านไหนตั้งโต๊ะหมู่บูชาพระไว้สะอาด ปูผ้าขาวไว้
    และเจ้าของบ้านสวดมนต์ทุกวัน เทวดาจะลงบ้านนี้เลย
    ถ้าบ้านไหนเอาเด็กไปนอนห้องพระ ห้องพระสกปรก เทวดาจะไม่เข้าบ้านนั้น”


    ขอฝากไว้ด้วย ถ้าเชื่อก็เอาไป ถ้าไม่เชื่อไม่ต้องเอาไป
    บางแห่งห้องพระสกปรกเหลือเกิน ระวังนะทำใจสกปรกสัตว์นรกมาเกิดบ้านนั้น
    เถียงพ่อเถียงแม่คำไม่ตกฟาก ฟ้องร้องกันวุ่นวายเป็นกฎแห่งกรรม


    บ้านไหนทำใจสะอาด นักปราชญ์มาเกิด คนบริวารดีก็เข้ามาประเสริฐในบ้านนั้น
    ท่านทั้งหลายจงไปตีความ ไม่ใช่พูดให้ท่านเชื่อ ไม่ใช่พูดให้ท่านมีความรู้
    แต่อาตมาพูดให้ท่านไปคิดกันบ้าง มีความคิดกันบ้างไหม


    [​IMG]บางคนไม่มีความคิดเลยนะ จะเอาบุญตะพึด บุญอะไรก็ไม่รู้ ยังไม่รู้ว่าบุญคืออะไร
    แล้วท่านจะได้อะไรหรือ


    เทวดาบอกว่า บ้านใครมีพระพุทธรูป ไม่ต้องไปปลุกเสกท่านหรอก
    เราหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ เทพจะสิงในองค์พระ อาตมาได้ตำราเลย


    หลวงพ่อโสธร ที่แปดริ้วมีเทวดารักษาถึง ๑๖ พระองค์
    จึงได้เงินทองมากมายเป็นพันล้าน แต่วันหลวงพ่อพุทธชินราช
    วัดพระนอนจักรสีห์ วัดไชโย วัดบ้านแหลม วัดไร่ขิง มีเพียง ๑๐ องค์เท่านั้น
    ที่สิงสถิตอยู่ในองค์พระ ไม่ใช่ทองเหลืองศักดิ์สิทธิ์นะ เทพเขารักษาองค์พระ


    อาตมาก็ถามว่า “คนล่ะมีเทวดารักษาไหม” เขาตอบว่า “มีทุกคน”
    ถ้าคนไหนจิตใจดีเทวดาบัณฑิตรักษา ถ้าจิตใจเลวเทวดาพาลรักษา
    บ้านนั้นเถียงกันไม่พัก ยุให้รำตำให้รั่วไปเลย
    ถ้าญาติโยมกลับมาสวดมนต์ไหว้พระเสมอ
    เทวดาพาลจะออกจากจิตใจของโยมไป เทวดาบัณฑิตก็จะมาอาศัยอยู่
    จะสร้างความดีในการงานของท่าน จะสร้างความดีสู่สถานการณ์เป็นต้น


    โยมกุศลทำไร่ไว้เยอะ มีทั้งพืชไร่ และสัตว์เลี้ยง มีสัตว์มากวน
    คนก็เบียดเบียนลักข้าวของ และมีโรคภัยไข้เจ็บ
    เขาบอกว่า ตั้งแต่สวดมนต์ เจริญกุศลภาวนาทุกวันตลอดมา
    โรคหัวใจรั่วผมหายแล้ว ๙๐% คนเคยเบียดเบียนจะมาทำร้ายผม
    กลับมาเป็นมิตรหมด สัตว์ร้ายที่เคยมากวนพืชไร่ไม่มีมากวนเลย
    เขาบอกมาอย่างนี้


    [​IMG]อาตมาก็ขออนุโมทนากับเขา เพราะเขาเป็นโรคร้ายและหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
    มันหายปับ เกิดขนลุกซู่ขึ้นมา เกิดปีติยินดี เลยบอกให้หมอทราบว่า
    ได้สวดมนต์และเจริญกุศลภาวนา คนร้ายที่เคยมาลักของที่บ้านเขาก็เลิกเลย
    ไม่มาลักอีกต่อไปจนบัดนี้ นี่อานิสงส์


    ขอฝากให้ไปคิดนะ ไม่ใช่ฝากให้ไปทำ คิดได้ก็ทำ
    คิดไม่ได้อย่าไปทำให้มันเสียเวลา เพราะโยมไม่มีศรัทธาอย่าทำ
    ไม่มีจิตเป็นกุศลอย่าทำนะ ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน


    เวลาแผ่เมตตานะโยมนะ ถ้าเรานั่งกรรมฐานและแผ่เมตตาให้ศัตรูมาเป็นมิตร
    ให้ชีวิตเราสดชื่นต่อไป จะมีประโยชน์เหลือเกิน
    เป็นเรื่องสด ๆ ร้อน ๆ ที่เกิดขึ้น มีอะไรแปลก ๆ


    ไม่มีอะไรดีเท่า พาหุงมหากา คนไม่สวดกันเอง สวดต้องการให้มีสติดี
    สวดต้องการให้รำลึกเหตุการณ์ในชีวิตได้ สวดแล้วโรคภัยไข้เจ็บหาย
    ถ้าจำเป็นจะต้องตายจะได้ไม่ต้องทรมาน
    จะได้รู้ว่าเขาเอาวอช่อฟ้ามารับเราไปสวรรค์


    เราจะได้รีบเดินทางไป ลูกเต้าจะได้ไม่กังวลกับพ่อแม่ที่ล้มหายตายจากไป
    เรื่องที่ถูกต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าญาติโยมเข้าใจก็ได้ผลสมคาดปรารถนาทุกประการ
    ด้วย อันนี้มีความหมายให้ญาติโยมได้เข้าใจด้วย


    วันนี้ไปทำบุญร้อยวันที่กรุงเทพฯ เขาคุ้นเคยกับอาตมามา ๓๐ กว่าปีแล้ว
    ไม่เคยนั่งกรรมฐานเลย ชวนก็ไม่เอา ตอนนี้ต้องบังคับแล้ว
    เพราะรู้ว่าเขาหมดอายุแล้ว จะต้องตายแน่ ๆ


    เขาเป็นโรคปวดหลังทรมานเหลือเกิน ปวดเวลาบ่าย ๓ โมงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืน
    เขาถามว่าเป็นเพราะอะไร หลวงพ่อทราบไหม
    อาตมาก็บอกให้มานั่งกรรมฐานเอาเอง ลูกก็มือสั่นหงิก ๆ เลย


    คุณสุกฤช ชนสัมพันธ์กุล เป็นคนจีนไม่เคยนั่งกรรมฐาน ไม่เคยช่วยตัวเอง
    อาตมาต้องโทร.ไปเรียกมา ต้องการจะช่วยเขาโดยด่วน
    เพราะลูกสาวเขาจะแต่งงาน เขาจะตายก่อน


    ประเพณีจีน ถ้าพ่อแม่ตาย ต้องหยุดการแต่งงาน ๓ ปี ปัญหาก็คือถ้าเขาตาย
    ลูกจะไม่ได้แต่งงาน ๓ ปี อาจจะเกิดแปรผันไปแต่งกับคนอื่นได้


    [​IMG]ผลสุดท้ายเขาก็มาอยู่ปฏิบัติ หายสบาย เดินได้
    พอถึงเวลาแผ่เมตตาเสียปวดหลังก็หายไป ปรากฏนิมิตออกมาว่าตีแมวหลังหัก
    แถมเลี้ยงนกพิราบอีกตัวละ ๔-๕ แสน เอาไว้สำหรับแข่งกัน ไปซื้อมาจากไต้หวัน


    ตอนจะตายนี่บอกให้เลิก เอาไปปล่อยให้หมด ปล่อยมันก็ตาย
    ต้องไปให้คนที่เขาเลี้ยงไว้จัดการต่อไป นกแข่งราคามันแพงเขาไม่ฆ่ากันหรอก
    ปล่อยตายเอง เขาก็จัดการ


    นี่แหละนั่งกรรมฐานรู้กฎแห่งกรรมได้ ว่าตีแมวหลังหัก ตีตอนบ่าย ๓ โมง
    หมอตรวจแล้วบอกไม่มีอะไร ตรวจหลายโรงพยาบาล แล้วปวดได้อย่างไร
    นี่โรคกรรมจำไว้ หมอตรวจไม่พบโรคหรอก


    หมอตรวจไม่พบโรคแล้วรักษาไม่ได้ หมอเขาบอกหัวใจก็ดี เลือดลมก็ดี
    ความดันก็ดีด้วย ไม่มีอะไรทำไมถึงปวดได้ ได้แต่ฉีดยากันปวดไว้เท่านั้นเอง
    พอถึง ๓ โมงเย็นก็ต้องฉีดยา ตีแมวตอนนั้น
    ตัวเองก็เลยมาปวดตอนนั้น ชัดเจนแล้ว


    แมวหลังหักแล้วก็ไปสั่นกว่าจะตาย เลยติดมาถึงลูก ลูกมือสั่นเลย
    เขียนหนังสือก็ไม่ค่อยจะได้แล้ว


    เลยบอกให้ลูกมานั่งกรรมฐาน แผ่เมตตา
    จะยังเวลาให้อยู่ได้ เขาก็เลยมาอยู่กรรมฐาน


    กลับไปบ้านแต่งงานลูกสาวเสร็จเรียบร้อย ก็เดินได้ อารมณ์ดี ใจสบาย
    เพราะได้กรรมฐานไป ได้สติ ได้หนทางไป ยังดีกว่าไม่ได้หนทางเลย


    เหลืออีก ๓ วัน เขาต้องตายแน่ เพราะขอเวลาไว้ ๑๕ วันเท่านั้น
    ต่ออายุมาได้ ๑๕ วัน อยู่ต่อไม่ได้แล้ว
    เขาได้จัดการแบ่งสมบัติให้ลูกไปประกอบอาชีพการงาน
    จัดเสร็จแล้วเขาก็ลาตาย มันก็แน่นหน้าอก


    และได้แผ่เมตตาให้แมว แล้วเอาไปโรงพยาบาล ไม่ต้องมีเวทนาเลย
    พอถึงเวทนาก็ขอลาหลับสนิทไปเลย เขามารับขึ้นวอช่อฟ้าไป นี่ดีมาก


    ตายอย่างนี้ดีกว่าไปตายโอยอายที่โรงพยาบาล
    เอาสายออกซิเจนใส่จมูกให้ยุ่งไป นี่เขาไม่ต้อง


    ท่านทั้งหลายโปรดพิจารณาอย่าประมาทในชีวิตของท่าน อย่าคิดว่าไม่ตายนะ
    ต้องตายแน่ สาวก็ตายได้ เด็กก็ตายได้ บางคนไม่ทันร้อง ตายในท้องก็มากมาย
    ถ้าไม่คิดหรือคิดไม่ได้ก็ตามใจโยมเถอะ ไม่ว่ากันหรอก


    คนเรามีเวรกรรมด้วยกันทั้งนั้น ไม่ทราบว่าจะแก้ไขได้แค่ไหน
    ไม่มีอะไรดีเท่าการเจริญกรรมฐาน ดีที่สุด ทำให้ลูกดีได้
    แผ่เมตตาไปอย่าวุ่นวายเลย คนที่วุ่นวายคือคนขาดสตินะ
    คนไม่มีสติสัมปชัญญะทำอะไรไม่ได้ผล ทำอะไรไม่สำเร็จ มันอยู่ตรงนี้


    [​IMG]คนที่ทำกรรมฐานได้ ดูง่าย ๆ จะมีแต่เมตตาและมีแต่ความขยัน ไม่ขี้เกียจ
    อยู่บ้านท่านอย่าดูดาย ปั้นวัวปั้นควายขยันตลอดไป นี่กรรมฐาน


    การเจริญกรรมฐานสามารถจะแผ่เมตตาช่วยคนอื่นได้
    เขาส่งข่าวมาจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นายแพทย์ประสงค์ อายุมากแล้ว
    ภรรยาฝันว่าเทวทูตจะเอาตัวไป เทวทูตบอกให้มานั่งกรรมฐานที่วัดอัมพวัน
    เขาต้องนั่งเครื่องบินมาจากกรุงปารีสมาขออยู่ ๑๕ วัน ต้นเดือนกรกฎาคม
    มาทั้งสามีภรรยาและลูก เขายังอุตส่าห์เสียค่าเครื่องบินมานั่งกรรมฐาน
    วันนี้จะยังไม่เล่า ให้เขามาเล่าของเขาเอง


    เวลาเดินจงกรมทำให้ได้ เวลามีเวทนากำหนดเวทนาก่อน
    ปวดตรงไหนกำหนดตรงนั้น บางคนปวดศีรษะมา ๗ – ๘ ปีแล้ว
    มานั่งกรรมฐานก็ไม่ได้กำหนดที่ปวดเลย ใช้ไม่ได้


    อริยสัจ ๔ มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็แก้ที่ทุกข์ก่อน มันทุกข์ที่ปวดศีรษะ
    เราก็นึกมโนภาพ หลับตาเอาสติตั้งไว้ที่ศีรษะ กำหนดว่า ปวดหนอ ปวดหนอ
    ตายให้ตาย เดี๋ยวมันจะระเบิดขึ้นไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หายปวดศีรษะเลย


    พอหายแล้วมันจะบอกว่าทำกรรมอะไรไว้ เดี๋ยวนิมิตจะบอกออกมา
    เมื่อตอนเป็นเด็ก ๆ ทุบหัวปลาทั้งนั้น ทุบหัวปลาขายด้วยซิ
    มันมีบาปมาถึงปวดศีรษะอย่างนี้ แต่ไม่ถึงกับเป็นโรคประสาท
    เพียงแต่ปวดศีรษะไม่พัก ทำให้เสียงาน


    เวลาเจ็บไข้ไม่สบายทำให้เสียงาน


    อโรคยา ปรมา ลาภา คนไหนไม่มีโรค คนนั้นมีลาภ
    ถ้าสามวันดีสี่วันไข้ต้องเข้าโรงพยาบาล โยมจะไปหาเงินได้หรือ
    อย่างนี้มีความหมายมาก


    [​IMG]จดหมายของนายกุศล นามแก้ว
    บ้านเลขที่ ๑๐๓ ต.พระพุทธบาท

    อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

    ๕ พฤษภาคม ๒๕๓๗



    กราบเท้านมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงสุด


    กระผมนาย กุศล นามแก้ว เป็นเจ้าของไร่ลูกปุ๋ย
    ไร่ของกระผมอยู่ห่างจากวัดหินหมากเป้งประมาณ ๒ กิโลเมตร
    กระผมป่วยมีโรคประจำตัว หมอตรวจและบอกกับกระผมว่า
    เป็นโรคหัวใจรั่วและหัวใจโต ทำอะไรหน่อยก็เหนื่อย


    กระผมยังไม่มีโอกาสได้มากราบหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน
    ได้แต่รู้จักหลวงพ่อทางวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์
    มีความสนใจที่จะได้ฟังเทปธรรมะและอ่านหนังสือกฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติ
    ของหลวงพ่อและอยากได้รูปของหลวงพ่อด้วย


    ลุงเจริญ หินหุ้มเพชร ได้ให้ความเมตตาส่งสิ่งของดังกล่าวไปให้
    กระผมได้รับเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๖ เป็นเวลา ๙ เดือนแล้ว


    [​IMG]กระผมมีความเชื่อมั่นในธรรมะที่หลวงพ่อได้อบรมสั่งสอนมากที่สุด
    ไม่มีอะไรจะมาเทียบได้เลย ตั้งแต่กระผมได้รับเทปนั้น
    กระผมได้เปิดฟังทุกวันและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อในเทปนั้นทุกประการ
    รู้สึกว่ามีความพอใจเป็นอันมาก มีความปีติ
    และคิดถึงหลวงพ่ออยู่เสมอทุกเวลาที่เปิดฟัง


    ทุกเช้าและค่ำ กระผมจะปฏิบัติธรรมเป็นประจำทุกวัน
    ก่อนอื่นกระผมจะกราบรูปของหลวงพ่อก่อนแล้วกล่าวคำปฏิญาณตนต่อหลวงพ่อ
    เสร็จแล้วจึงเริ่มบูชาพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
    ไหว้พ่อแม่ ครูอาจารย์ เสร็จแล้วจึงได้ปฏิบัติต่อไป ทำอย่างนั้นทุกวันมิได้ขาด


    กระผมจึงใคร่ขอชี้แจงรายละเอียดมาให้หลวงพ่อที่เคารพสูงสุดของกระผมทราบ
    ถ้ากระผมมิได้รับเทปธรรมะของหลวงพ่อ กระผมคงตายไปแล้ว
    กระผมจึงขอกราบขอบพระ คุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วย


    ขณะนี้อาการป่วยของกระผมหายไปได้ถึง ๙๐% เหลืออีกเพียง ๑๐%
    ก็จะหายเป็นปกติ หมอที่ตรวจกระผมประหลาดมากว่า
    โรคหายไปได้อย่างไร กระผมได้บอกว่า ได้สวดมนต์และปฏิบัติธรรมทุกวัน


    ผลที่เกิดจากการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อนั้น
    ได้เกิดขึ้นกับกระผมหลายอย่างดังต่อไปนี้


    [​IMG]๑. กระผมได้ฝันเห็นคนที่เกลียดเขามาก
    เนื่องจากกระผมได้แผ่เมตตาให้เขาได้รับความสุข ตามที่หลวงพ่อสอน


    [​IMG]๒. งูที่มารบกวนสัตว์ที่อยู่ในสวนของกระผมนั้น ไม่มาให้เห็นอีกเลย
    แต่ก่อนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมนั้น เห็นทุกวัน


    [​IMG]๓. นิ่วที่อยู่ในร่างกายของกระผมออกมา ๒ ก้อน โดยไม่เจ็บปวดเลย
    กระผมอัศจรรย์ใจมากที่สุด


    [​IMG]๔. เวลากระผมขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวรแล้ว
    ที่หัวใจของกระผมลมวิ่งพรูดออกไปเลย หายใจได้คล่องสบายตั้งแต่วันนั้นมา


    [​IMG]๕. สัตว์มีปีกทั้งหลาย มีเหยี่ยวและกาเป็นต้น
    ที่มารบกวนสัตว์เลี้ยงของกระผมนั้น ไม่มีมาอีกเลย

    [​IMG]๖. กระผมฝันว่าลูกต้มน้ำร้อนไว้ให้กินยา พ่อกินข้าวแล้วไม่ได้กินยา
    ลูกนำน้ำร้อนมาให้พ่อกินยาด้วย และมีคนหนึ่งมาบอกกระผมว่า ไม่ต้องกินยา
    ให้งดไว้ก่อน คนนั้นกระผมรู้จัก แต่เขาอยู่ไกลได้แต่เห็นหน้า


    กระผมอยากได้ หนังสือมหาเมตตาใหญ่ จะมาไว้สวดเป็นประจำ
    กระผมหาที่ไหนไม่ได้เลย จึงได้แต่ภาวนาดังนี้


    · เมตตายะ ภิกขะเว... หน้า ๓๑ ในหนังสือมนต์พิธี และสวด

    · พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา ต่อด้วย

    · ปัญจะมาเร ชิโนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง...

    · อรหัง พุทโธ อิติปิโส ภควา นะมามิหัง

    · อุ มะ พัด พา ยะ อุ พัด อะ หัง

    · เมตตัญจะ สัพพะ โลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง

    · เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา


    [​IMG]กระผมสวดทั้งหมดนี้ครบอายุก่อนนอนทุกวันเป็นประจำ
    กระผมอยากสวดมหาเมตตาใหญ่ด้วย
    ถ้าหลวงพ่อมี ขอได้โปรดให้ความอนุเคราะห์แก่กระผมด้วย


    กระผมขอเพิ่มเติมอีกนึกหนึ่งว่า วันไหนที่กระผมได้ดูโทรทัศน์
    รายการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เป็นรายการของหลวงพ่อ กระผมดีใจมาก
    กระผมจะได้ปฏิบัติตามเจ้าของที่เห็นด้วยตาเอง
    กระผมชอบลีลาการเทศน์ของหลวงพ่อมาก และเข้าใจข้อความดี

    สุดท้ายนี้ กระผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยคุ้มครอง
    อภิบาลรักษาหลวงพ่อให้มีแต่ความสุข ความเจริญ ปราศจากภยันตรายทั้งปวง
    ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน มีอายุยืน ได้สั่งสอนลูกหลานให้ปฏิบัติธรรม
    ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ตามความประสงค์ของหลวงพ่อด้วยเทอญ


    ขอแสดงความเคารพอย่างสูงสุด

    กุศล นามแก้ว

    [​IMG][​IMG][​IMG]


    ที่มา... <!-- m -->http://www.palapanyo.com/dham/files/cdd ... /R8017.htm<!-- m -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2011
  19. ปรินิพาน

    ปรินิพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2010
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +176
    อนุโมทนาสาธุค่ะแม่ ไม่น่าละ หนูยังต้องปรึกษาผู้ที่เป็นผู้อาวุธโสมากๆๆๆ55+ เพราะบางทีคนจะมีปัญญาจริงๆ ต้องผ่านอะไรมามากมายจนวางได้ ขอบคุณมากค่ะตรงกับหนูมาก
     
  20. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    หนูอ่านบทความที่แม่แนะนำให้อ่านได้เข้าใจจริงๆ แล้ว แม่ก็ดีใจที่หนูรู้จักเรียนรู้ หนูอ่านธัมมะ แล้วนำมาปรับใช้ในชีวิต หนูจะอยู่กับความทุกข์ได้ค่ะ ความสุขก็คือความทุกข์อย่างหนึ่งนะค่ะ เมื่อสุขดับไป ก็ต้องการความสุขมาอีก สิ่งใดที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สิ่งนั้นคือความทุกข์ ดังนั้นชีวิตคน มีแต่ทุกข์ล้วนๆค่ะ
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...