ว่าด้วยเรื่อง คัมภีร์มรณะ(Book of the Dead) มีชื่อดั้งเดิมในภาษาฮีโรกลิฟฟิก แปลว่า The Cahptors of Coming-Forth-By-Day ในปีค.ศ. 1842 นายโทมัส จี อัลเลน (Thomas G. Allen) ผู้แปลภาษาอียิปต์โบราณที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ได้ให้ความหมายของคัมภีร์มรณะว่า เป็นความปรารถนาที่จะเดินทางไปยังยมโลก คัมภีร์มรณะทำด้วยกระดาษปาปิรุส (Papyrus) บรรจุถ้อยคำยาวเหยียด อักษรสีแดงใช้เป็นหัวเรื่อง หรือคำที่เน้นว่าสำคัญ นอกนั้นใช้สีดำ บางครั้งก็มีวาดรูปประกอบไว้ด้วย[1] ชีวิตหลังความตายของชาวอียิปต์โบราณนั้นเชื่อว่า เมื่อตายไปแล้วอนูบิส (Anubis) จะมารับดวงวิญญาณไปสู่ยกโลก โดยพานั่งเรือเทพเจ้ารา (Ra) ซึ่งเป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ ผ่านอาณาจักรของเทพเจ้ารา ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มาก จากนั้นเรือก็จะผ่านเขตสุดท้ายคือมหาวิหารพิพากษาของเทพโอซิริส วิญญาณของผู้ตายก็จะถูกเกณฑ์ลงเรือเข้าไปยังห้องพิพากษาของวิญญาณ ตรงกลางมีตราคันชั่งใหญ่แบบตราชู เทพฮอรัสกับเทพอนูบิสจะทำการกำกับการชั่ง โดยนำเอาหัวใจของผู้ตายชั่งไว้ข้างหนึ่งของตาชั่ง ส่วนอีกข้างจะเป็นขนนกของเทพีมะอาท (Maat) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม ผู้ตายจะต้องประกาศความดีที่ตนเคยทำเอาไว้ครั้งที่ตนยังมีชีวิตอยู่ พร้อมทั้งประกาศว่าตนไม่เคยทำความผิดบาป 42 ประการ เช่น ไม่เคยชักชวนให้ผู้อื่นเสียคน ไม่เคยใส่ร้ายป้ายสีใคร ไม่เคยกล่าวคำเท็จ ไม่เคยเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เคยฉ้อฉล ไม่เคยสั่งฆ่าผู้ใด ไม่เคยฆ่าใคร ไม่เคยลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้า และไม่เคยทำในสิ่งที่พระองค์รังเกียจ เป็นต้น ผู้ตายจะต้องประกาศสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าเทพโอซิริส (Osiris) หากสิ่งที่ผู้ตายพูดเป็นความจริง ขนนกของเทพีมะอาทจะหนักกว่าหัวใจของผู้ตาย นั่นก็ถือว่าผู้ตายได้ผ่านการทดสอบ และได้เข้าไปอยู่ในดินแดนของเทพเจ้ารา ที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง ความสวยงาม และความอุดมสมบูรณ์ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ถ้าสิ่งที่ผู้ตายพูดเป็นเท็จ หัวใจของผู้ตายจะหนักกว่าขนนกของเทพีมะอาท นั่นก็ถือว่าผู้ตายไม่ได้ผ่านการทดสอบ และผู้นั้นจะไม่ได้ไปในที่ๆ เป็นดินแดนของเทพเจ้ารา ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นที่ๆ ผู้ตายจะไม่ได้รับแสงสว่างจากเทพเจ้าราเลย และยังเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความอดอยากหิวโหย คัมภีร์มรณะเกิดขึ้นภายหลังจากการที่อียิปต์อยู่ในสมัยจักรวรรดิแล้ว ก่อนหน้านั้น อียิปต์ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกฮิกซอสเป็นเวลานานถึง 200 ปี ศาสนาและหลักศีลธรรมของอียิปต์เรื่อมเสื่อมลง ความเชื่อเรื่องเครื่องลางของขลังได้เข้ามาแทนที่ ทำให้พวกพระเข้ามามีบทบาทในจิตใจของชาวอียิปต์อย่างมาก พวกพระเหล่านี้เป็นพระที่มีความละโมภในทรัพย์สิน ได้เป็นผู้ริเริ่มขายหนังสือเวทมนตร์ต่างๆ ซึ่งเป็นการล้มล้างความผิดให้กับผู้ตาย โดยการเขียนใส่กระดาษปาปิรุส (Papyrus) ใส่ไว้ในหว่างขาของมัมมี่ (Mummy) หรือตรงฐานโลงศพ ข้อความในคัมภีร์มรณะเป็นคาถาอาคมป้องกันไม่ให้วิญญาณเสื่อมสลาย บทร่ายเวทมนตร์ช่วยให้วิญญาณพ้นจากการถูกขังในยมโลก บรรยากาศการตัดสินต่อหน้าเทพโอซิริสในยมโลก รวมถึงคำพูดที่ผู้ตายควรพูดเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพเจ้าโอซิริส เชื่อกันว่า การซื้อคัมภีร์มรณะถือว่าเป็นการซื้อใบเบิกทางให้ตนได้เข้าสู่อาณาจักรของเทพเจ้ารา แม้ว่าจะเคยทำผิดหรือไม่ก็ตาม ทำให้ไม่จำเป็นต้องทำความดี ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ศาสนาและหลักศีลธรรมของอียิปต์เริ่มเสื่อมลง ที่มา///www.amulet.in.th
อ่านแล้ว ก็ คล้าย ๆ กับหลักทางพุทธศาสนา พร้อมทั้งประกาศว่าตนไม่เคยทำความผิดบาป 42 ประการ เช่น ไม่เคยชักชวนให้ผู้อื่นเสียคน ไม่เคยใส่ร้ายป้ายสีใคร ไม่เคยกล่าวคำเท็จ ไม่เคยเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เคยฉ้อฉล ไม่เคยสั่งฆ่าผู้ใด ไม่เคยฆ่าใคร ไม่เคยลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้า และไม่เคยทำในสิ่งที่พระองค์รังเกียจ เป็นต้น = ศีล อนูบิส (Anubis) = ยมมบาล รับดวงวิญญาณ เทพโอซิริส (Osiris) = ท่านพระยายม ตัดสิ้นโทษ ผ่านอาณาจักรของเทพเจ้ารา ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มาก = สวรรค์ อนุโมทนา สาธุครับ
ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากค่ะ สำหรับเรื่องราวในแง่มุมของศาสนาอื่น ยังดีที่ชาวพุทธไม่ได้มีความคิด หรือ ความเชื่อเช่นนั้น พระพุทธศาสนาจึงยังคงอยู่ สาธุ
เดิมทีเค้าสอนดีมาก เค้ามีการสอนให้คนเป็นคนดี พอเรื่องเครื่องรางเข้ามาก็ทำให้เสียหมด น่าเสียดาย ผมชอบเรื่องราวทางอียิปต์ ไอยคุปพวกนี้ลึกลับน่าสนใจมากวิทยาการเค้าบางทีอาจจะทันสมัยกว่าปัจจุบันนี้ก็เป็นได้
ทุกศาสนามีทั้งเกิดและดับ ได้ อย่าไปว่าศาสนาเขา ของเรายังอยู่ได้แค่ 5000 ปีเลย ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเทื่ยงแท้แน่นอน ศาสนาของเขาอยู่มาได้ราวๆ 5000ปีก็ คงจะมีอะไรดีบ้างแหล่ะ
เสน่ห์แห่งมนตราของลุ่มแม่น้ำไนล์ ... ปิรามิด สฟิงค์ ขุมทรัพย์โบราณ ทุกชีวิตที่เกิดมา ไม้พ้นจากความตายไปได้ ขอให้ดวงวิญญาณ์แห่งองค์ฟาโรห์ ผู้ที่มีดวงจิต สื่อสารกับพลังจักรวาฬ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ตำแหน่งที่ตั้งของปิรามิดเหล่านี้ หาใช่เฉพาะบนปฐพีไม่ แต่มีอยู่ในพื้นน้ำแห่งมหาสมุทรด้วย พระอุปคุต ท่านทราบเรื่องราวเหล่านี้ดี
พังพีรามิด ก็คือ พลังขององค์ไภษัชฯ นั่นเอง ท่านส่งลงมาเป็นสีทอง เวลาดูดซับเข้ากายสังขารแล้ว พลังจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกต มีคุณสมบัติในการรักษากายทิพย์ครับ สิ่งที่เขาฝึกไปนรกกันคือ วิชามโนมยิทธินั่นเอง ส่วนอานาจักรเทพเจ้ารา จะไปได้ต้องผ่านองค์กษิติครรภ์ครับ
ถ้ามองในแง่บวก ผมว่าท่านที่ทำตำราบอกเล่าและจารึกลงเป็นลายลักษณ์อักษร อาจจะเป็นพระโพธิสัทธิ์ก็ได้นะครับ มาบำเพ็ญ เพราะอธิบายชีวิตหลังความตายและตั้งกฏข้อยังคับขึ้นมาให่คนทำดี มองดูคล้ายๆกับของเราเลย
กระทู้มีสาระดีค่ะคุณลูกไก่..พึ่งเคยได้ยินไม่รู้มาก่อนค่ะ ..ประวัติอียีปน่าสนใจ น่าศึกษาค่ะ เราเคยไปเที่ยวอียีปมาเมื่อสิบปีที่แล้ว ไปนั่งบนปิรามิดมา ยังอยากจะไปอีกเลยค่ะ
สุริยเทพ รา แต่ตำนานเค้าบางอย่างก็ดีนะ ความรักสามีคือ โอสิริส ของพระนางไอซิส ที่เที่ยวตามเก็บชิ้นส่วนของสามีมาประกอบพิธี ....