ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ แต่สิ่งที่ตัวเองสื่อได้ คล้ายๆจะมาทางด้านนี้

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Me, myself, 3 มีนาคม 2009.

  1. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    จะขอชี้แจง ขอระบายความอัดอั้นตันใจหน่อยขอท่านกัลยาณมิตรอ่านแล้วโปรดใช้ปัญญาในการพิจารณาด้วยค่ะ

    <O:p
    ปัญหาเรื่องธรรมะเรื่องคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นี่ ถกเถียงกันไม่รู้จบจริงๆเวลาอ่านหนังสือแล้วเจอข้อสงสัยอะไร พอไปหาข้อมูลหรือไปถามใครก็ไม่เคยได้คำตอบดีๆสักที เห็นแต่ทะเลาะกันแล้วก็ยกเอาข้อความในพระไตรปิฎกมาให้อ่านกันเป็นหางว่าวเลยทีเดียว บอกให้ดูในพระไตรปิฎกก็มีเขียนไว้ โถ โถ โถ ถ้าอธิบายอย่างนั้นก็ไม่ต้องยกมาดีกว่าแค่บอกว่าให้ไปอ่านในพระไตรปิฎกเลยแล้วกัน แต่ขอโทษเถอะข้อความในพระไตรปิฎกน่ะมันอ่านยาก แปลความหมายก็ยาก ขนาดดิฉันว่าเป็นคนชอบอ่านหนังสือ อ่านหนังสือคล่องยังขอยอมแพ้เลย (อ่านแล้วตาลายมากกก)แล้วตาสีตาสาคนธรรมดาๆจะไปเข้าใจอะไรคะมันมีไหมเนี่ยไอ้ที่อธิบายง่ายๆแล้วก็รู้เรื่องอ่ะ

    <O:p
    ศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาที่ดี มีเหตุมีผล แต่คนศึกษาและเข้าใจให้ถ่องแท้หายากมากกกแถมยังมัวแต่มาทะเลาะกันเสียอีก งัดเอาคำอ้างสารพัดมาสู้กันแล้วมันละกันได้ตรงไหนคะเนี่ย ยิ่งถ้ามาคนละสายนี่ยิ่งจะเอากันให้ตายกันไปข้างนึงเลย มันอะไรกันนักกันหนาทำไมไม่มองถึงสิ่งดีๆที่ต่างฝ่ายต่างมีแล้วค่อยพูดค่อยจา มาสนทนาแลกข้อมูลกัน อย่างวัดของหลวงพ่อเกษม อาจิณณสีโล ที่ท่านสอนให้ไม่เคารพกราบไหว้รูปปั้นอันนี้ดิฉันก็เข้าใจท่านนะ เพราะที่เรียนรู้มาพระพุทธองค์ก็ไม่เคยสอนให้กราบไหว้รูปปั้นเหมือนกัน เพียงแต่ตอนหลังก็มีคนคิดหล่อรูปพระพุทธองค์ให้คนระลึกถึงพระองค์ท่านมันเป็นเพียงกุศโลบายอันนึง แต่ก็ได้แพร่หลายไปทั่ว พอมีคนทำไม่เหมือนกันก็โจมตีกันจนเละเป็นโจ๊ก ดิฉันเคยเข้าไปอ่านในเวปท่าน เขาก็เขียนไว้ว่าถ้าใครมีความคิดเห็นไม่เหมือนเขา ก็ปล่อยเขาไว้ในทางของเขาเหอะก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย อันนี้ดิฉันเห็นด้วย ถ้ารู้จักปล่อยวางซะก็หมดเรื่อง

    <O:p
    วันนึงพาเพื่อนไปไหว้หลวงพ่อโสธรดิฉันน่ะไปหลายครั้งแล้วก็เลยอาสาถือกระเป๋าให้เพื่อนๆแล้วรออยู่ด้านนอก ระหว่างที่รอก็ได้ยินโฆษกประกาศถึงเรื่องที่มีคนเอาประกาศมาติดตามวัดว่าอย่าโง่ไปไหว้เทวรูปก็แค่อิฐหินปูนทราย ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ฯลฯ ดิฉันก็รู้แหละว่ามาจากแหล่งใด โฆษกก็ประกาศให้ทราบเหมือนกัน แล้วแน่นอนการโจมตีด่าว่าก็เกิดขึ้นบอกว่าไอ้พวกนี้มันพวกมาร ไม่นับถือพระ ใครเอาพระพุทธรูปไปถวายวัดมันเอาฝังดินหมดเลยบาปมากๆๆ ได้ยินแล้วเซ็งมากๆๆ ดิฉันก็คิดนะไหนไม่อยากให้คนอื่นไปยุ่งกับตัว แต่ทำไมตัวเองก็ไม่อยู่ในที่ของตัวแล้วมายุยงคนอื่นด้วยทำไม ปัญหามันก็เกิดด้วยประการฉะนี้ วุ่นวายจริงๆแต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ทำให้ดิฉันคิดได้ว่า จะเอาปัญหานี้ไปลองถามตถาคตซิอยากรู้ว่าท่านจะตอบว่าอย่างไร
    <O:p
    <O:p
    ก็ไปถามท่านว่า อย่างนี้ใครผิด รู้ไหมคะว่าท่านตอบว่าอย่างไร คำตอบของพระองค์ท่านทำให้รู้ซึ้งเลยว่า นี่แหละใช่เลยองค์พระศาสดาผู้ประเสริฐกว่าใครในโลก ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาอย่างยิ่งหาใครเสมอเหมือน ท่านตอบว่าไม่มีใครผิด เพราะธรรมะของพระองค์มีตั้งหลายอย่าง ฝ่ายที่เคารพกราบไหว้พระพุทธรูปก็มีแนวทางอย่างหนึ่งฝ่ายที่ไม่เคารพกราบไหว้รูปปั้นก็ดำเนินตามแนวทางของพระองค์ซึ่งเขาก็ไม่ได้ผิด ทั้งสองฝ่ายต่างก็สอนให้ทุกคนเป็นคนดี เพียงแต่แนวทางมันไม่เหมือนกันเท่านั้นเองดิฉันก็ถามต่อว่า แล้วที่เอาพระพุทธรูปไปฝังดินบาปไหม ท่านก็ว่าไม่บาปเพราะดูที่เจตนา เนื่องเพราะเขาดำเนินตามที่พระองค์สอนไว้ไม่ให้เคารพกราบไหว้พระพุทธรูป เขาก็ยึดถือเอาคำสั่งสอนนั้นดังนั้นการที่เขาเอาพระพุทธรูปไปฝังไว้ก็ไม่ได้ทำให้บาป เพราะเจตนาบริสุทธิ์เป็นไงคะ พระองค์ท่านไม่ได้ด่าหรือตำหนิใครเลยแต่ไม่รู้ทำไมผู้ที่สืบทอดถึงได้ไม่มีพรหมวิหาร 4 กันบ้าง ดิฉันได้ยินคำตอบอย่างนี้ก็กระจ่างเลยไม่รู้ทำไมต้องมาทะเลาะกันเนี่ย
    <O:p
    <O:p
    ดิฉันเองเป็นคนที่มีคำถามเยอะ เพราะบางทีอ่านเจอเรื่องที่ขัดแย้งกันแต่หาคำตอบไม่ได้ พวกที่พอจะให้คำตอบได้ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังมัวแต่เถียงกันหน้าดำหน้าแดง เฮ้อ..
    <O:p
    <O:p
    จะสังเกตุว่าที่ดิฉันมีคำถามไปถามพระองค์ท่าน บางทีมันก็เหมือนปัญหาเล็กๆขี้ประติ๋วแต่จริงๆถ้าไม่ได้คำตอบที่ดีๆก็พาลให้สงสัยไม่หยุดเหมือนกันนะ อย่างที่ดิฉันอ่านเจอเรื่องที่คนไปเที่ยวนรกแล้วไปกี่ทีๆก็เจอแต่พวกผู้หญิงหากินไปตกนรกแต่ชีวิตเธอจริงๆก็เป็นคนดี ทีนี้คำถามมันก็เกิดขึ้นละซี เป็นคนดีทำไมตกนรกกับแค่เป็นผู้หญิงหากินน่ะเหรอ ถึงได้มีเรื่องไปถามพระองค์ท่านซึ่งคำตอบที่ได้มันเหมือนเส้นผมบังภูเขานะ ที่ท่านบอกว่า เป็นอาชีพสุจริตจริงแต่ว่าเป็นอาชีพที่ส่งเสริมให้คนผิดศีลข้อกาเม แค่นี้เองความหมายจริงๆมันอยู่ตรงนี้เอง (that's the point) คำตอบง่ายๆอธิบายได้ชัดแจ้งไม่ต้องยกเอาพระไตรปิฎกมาเถียงกันทำไมคนอื่นถึงไม่อธิบายอย่างนี้ละ แล้วก็อีกหลายคำถามที่ดิฉันเขียนเล่ามาก็จะเห็นว่าพระองค์อธิบายได้อย่างชัดแจ้งด้วยคำง่ายๆเอง มิน่าสมัยก่อนคนถึงได้บรรลุโสดาบันกันได้ง่ายๆจริงๆธรรมะของพระองค์มันไม่ได้เข้าใจยากเลย แต่คนนั่นเองที่ทำให้มันยาก
    <O:p
    <O:p
    มีอยู่หลายเรื่องที่ไม่ได้เขียนเล่าให้ฟังเหมือนกัน พระอาจารย์อนุรุททะก็เคยสอนเรื่องพรหมวิหาร 4 ท่านว่าต่อให้มีศีล 5 ถ้าขาดพรหมวิหาร 4 ก็ไม่เกิดผล ไปไม่ถึงไหนเหมือนกัน ท่านอธิบายด้วยเหตุและผลให้ฟังนะคะ คิดดูซิเป็นเรื่องที่ดิฉันเองก็อ่านมามาก แต่ท่านอธิบายจบเดียวบรรลุเลย ทำไม๊ทำไมมันง่ายจริง ทั้งพระศาสดาแล้วก็พระสงฆสาวกต่างๆทำไมท่านสอนธรรมะเราได้ง่ายจัง ภาษาก็ไม่ได้ยากอะไรเลยนี่ก็เป็นสาเหตุนึงที่อยากบอกให้ท่านกัลยาณมิตรรับรู้
    <O:p
    <O:p
    ยังระบายไม่หมด เดี๋ยวมาต่อค่ะ<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤษภาคม 2009
  2. classic songs

    classic songs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +896
    ไม่แน่ใจนะคะคุณ Me myself

    ที่ชอบมาทะเลาะกันว่าสายฉันดีกว่าของเธอ
    สาเหตุอาจจะเป็นเพราะ ผู้รู้ไม่จริงแต่ชอบอวดวิเศษก็เป็นได้

    อวดวิเศษโดยการอ้างภูมิรู้ในพระไตรปิฎก โน่นนี่นั่น
    ไม่ได้รู้ และเข้าใจวิบากกรรมใดๆอย่างแท้จริง
    เพียงแต่อาศัยความรู้ในพระไตรปิฏก มาอนุมานตอบ ว่าปัญหาต่างๆต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

    ความเห็นส่วนตัวของดิฉัน คือ
    ผู้ใดที่ได้สัมผัสอารมณ์กรรมฐานบ้างแล้ว และพื้นของจิตไม่มีโลภะในคำสรรเสริญ
    บุคคลเหล่านั้น เขาไม่มานั่งทะเลาะกันเอาเป็นเอาตายเรื่องธรรมะหรอกค่ะ

    เขาย่อมมีสติเตือนตนเองได้ว่า ผู้รู้จริงคือครูบาอาจารย์ และพระศาสดา
    เราจะมาทะเลาะกันเพื่ออะไร ไม่เกิดประโยชน์เลย

    แม้แต่พระกรรมฐานยังมีถึง 40 กอง มีอานิสงค์แตกต่างกันเล็กน้อย
    นับประสาอะไรกับแนวทางปฏิบัติของคนยุคนี้ ยุคซึ่งพระศาสดาละสังขารไปตั้ง 2500 ปีแล้ว
    ย่อมมีความแตกต่างค่ะ

    สิ่งที่ต้องระวังให้หนักอย่างเดียวคือพวกมิจฉาชีพค่ะ
    สำหรับนักปฏิบัติแท้ สายไหนก็คือทำความดีเหมือนกัน จะต้องแข่งกันทำไม
     
  3. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คราวนี้มาว่ากันถึงเรื่องมโนฯ ต้นเหตุของการมาตั้งกระทู้นี้ ดิฉันได้มันมาก็หลายปีแต่ซื่อบื้ออยู่ได้ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันคืออะไร อ่านประสบการณ์ของหลวงพ่อฤาษีก็ว่าเราไปคล้ายๆท่านเลย แต่เราเองก็ไม่เคยไปฝึก มันรู้เอง ทีนี้ก็เลยอยากรู้ว่าคนอื่นเขาเป็นยังไงกันบ้าง ฝึกกันยังไงมีประสบการณ์ในการรู้การเห็นเป็นยังไงบ้าง ก็ไม่เห็นมีใครมาบอกเล่าให้ฟังบ้างเลย

    ตอนที่หนังสือสแกนกรรมของผู้หญิงคนหนึ่งออกมา ดิฉันเห็นก็ว่า เธอมีอะไรๆคล้ายดิฉันเลย อย่ากระนั้นเลยซื้อมาอ่านดูซิเผื่อจะได้แนวทางการปฎิบัติเพิ่มขึ้น พออ่านแล้วก็ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเลย เธอไม่ค่อยได้กล่าวถึงเรื่องการปฎิบัติสักเท่าไหร่ เล่าเกี่ยวกับชีวิตเธอซะมากกว่าแล้วก็เรื่องกรรมของชาวบ้านที่เห็น สรุปดิฉันก็ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นเลยเพราะเป็นเรื่องที่ดิฉันก็รู้ๆอยู่แล้ว

    ดิฉันก็ยังไปหาหนังสือธรรมะ การฝึกปฎิบัติของพระต่างๆมาอ่านนะคะ ส่วนใหญ่ก็จะเน้นทางพวกที่มองเห็น ท่องนรก สวรรค์ได้ ก็เพราะอยากศึกษาเพิ่มเติมถึงการปฎิบัติ แต่ละองค์ก็ปฎิบัติดีนะ เก่งเชียว บอกว่าชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายแล้วไม่มาเกิดแล้ว ลูกศิษย์ลูกหาเยอะมากกก แต่ที่มาสะดุดทุกทีคือ ทำไมต้องแข่งกันสร้างพระองค์ใหญ่ที่สุดในโลก (ไม่ใช่พระแบบเดียวกันหรอก คนละแบบ คนละปาง แต่ว่าต้องใหญ่ที่สุดในโลก) ท่านบอกว่าพระอินทร์สั่งให้ท่านสร้างเพื่อเสริมบารมี สร้างให้คนเคารพศรัทธาแล้วนึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาต่อไป แหม..แบบนั้นสร้างแค่องค์พอประมาณก็ได้มั้ง ทำไมต้องใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าอยากให้คนศึกษาธรรมะเพิ่มขึ้นมันน่าจะสอนให้คนเข้าใจธรรมะมากกว่ามาแข่งกันสร้างพระองค์ใหญ่ที่สุดในโลก จิตตกไปอีกดิฉัน ขนาดพระที่ได้อภิญญาขนาดนี้ ยังมีความคิดอย่างนี้เลย แล้วจะไปหาอาจารย์ที่ไหนให้เป็นแบบอย่างได้เนี่ย เศร้าใจน้ำตามันไหลออกมาเองโดยอัติโนมัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤษภาคม 2009
  4. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ง่ะ..พิมพ์ยังไม่เสร็จดีเลย ไหงมันกดส่งไปเองละเนี่ย
     
  5. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ต่อค่ะ..

    จิตตกเลยไม่อยากทำสมาธิอีก แต่ก็ไปหาหลวงพ่อนะ เลยโดยหลวงพ่อเทศน์ตำหนิซะ อืมม..เลยตาสว่างขึ้นมาอีกรอบ โดนด่าค่อยยังชั่ว

    ไอ้ด้วยความที่อยากรู้ว่าคนอื่นที่เขาฝึกกันได้น่ะเป็นยังไงกันบ้าง ก็พยายามไปเสริทหาในเนท พอเจอเวปนึงเข้าไปอ่าน ดูท่าว่าจะดี อ่านไปอ่านมาชักไม่ไหวแล้ว ทำไมสมเด็จที่เวปนี้เจอ ไม่เหมือนที่เราพบเลยอ่ะ เหมือนท่านก็ยังละไม่ได้เลย คนที่ได้มโนฯก็เหมือนหลงติดไงไม่รู้ โอย..จิตตกไปอีกละ ทำไมมันเป็นงี้กันไปหมด ทำให้ไม่อยากเขียนกระทู้อีกเลย พอไปหาหลวงพ่อ เจอเทศน์ไปกัณฑ์ใหญ่ ท่านว่าฝึกมาขนาดนี้ มาก็ไกลกว่าชาวบ้าน ยังมาสะดุดกับสิ่งแค่นี้ จริงของท่าน หลังจากทำใจได้ขึ้นไปเฝ้าสมเด็จกับพระศาสดา ไปขอขมาองค์สมเด็จท่าน ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ท่านหัวเราะ แล้วก็เทศน์สั่งสอนมา ยังไม่หมดเจอพระศาสดาเทศน์สั่งสอนมาอีก ท่านว่ามีปัญญาก็มากกว่าใคร แต่มาพลาดท่าซะได้ คราวหน้าคราวหลังให้หยุดคิดพิจารณาก่อน ใช้ปัญญาในการพิจารณา อย่าหุนหันพันแล่น...วันเดียวโดนไปหลายดอก สมแล้ว

    มโนฯว่าฝึกยากแล้ว แต่การรักษาไว้ คงไว้ด้วยความไม่ยึดติด ไม่หลง ยิ่งยากกว่า ดิฉันถึงได้ทดสอบตัวเองอยู่บ่อยๆ แล้วก็ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ บางท่านว่าการฝึกมโนต้องละเรื่องการไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า ไม่งั้นฝึกไม่ได้ อันนี้ก็ไม่เถียงค่ะ ดิฉันเชื่อในพระพุทธองค์แน่ แต่การที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆทุกครั้งของดิฉันก็เหมือนการป้องกันสิ่งที่จะทำให้หลงคิดไปเองต่างๆนาๆ ต้องฝึกให้รู้เท่าทันมารด้วย มารในที่นี้บางทีก็ไม่ได้มาในรูปมารหรอก บางทีก็มาในรูปของสิ่งที่เราเคารพศรัทธาก็ได้ แต่ให้สังเกตุถึงคำสั่งสอนให้ดีๆ ถ้าผิดเพี้ยนไปจากพุทธพจน์ละก็ไม่ใช่แล้ว ทั้งหลวงพ่อ องค์พระศาสดา พระอาจารย์อื่นๆ ไม่เคยสอนธรรมะที่ไม่ถูกต้องให้สักครั้งนึงเลย แล้วก็ไม่พูดหยาบคายด้วย จิตของผู้ที่บรรลุแล้วจะสะอาดมาก ดิฉันจะรู้ทันทีว่าที่คุยอยู่นี่ใช่หลวงพ่อหรือพระศาสดาหรือพระอาจารย์หรือไม่ ถ้าคำพูดผิดไปนิดเดียว ดิฉันจะว่าเลยว่า ท่านไม่ใช่หลวงพ่อ ไม่ใช่พระอาจารย์เพราะท่านไม่มีวันพูดสิ่งเหล่านี้ การฝึกจิตให้รู้เท่าทันไม่ใช่ง่ายเหมือนกัน มโนฯเหมือนดาบสองคม หากผิดพลาดไปนิดเดียว ก็หลงได้ สิ่งที่เห็นก็อาจจะบิดเบือนได้ ถูกแล้วที่ทางวัดท่าซุงระมัดระวังเรื่องคำสอนของหลวงพ่อฤาษีหากใครจะเอาไปเผยแพร่ เพราะถ้าเอาไปสอนผิดๆตัดต่อคำพูดของท่านก็เพี้ยนแน่นอน จากที่จะพ้นทุกข์กลายเป็นหลงไปอีกแบบ ละไม่ได้กันละทีนี้..อย่างที่อ่านเจอมา เห็นแล้วกลุ้ม..เฮ้อ
     
  6. Jenny_Lee

    Jenny_Lee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    414
    ค่าพลัง:
    +1,357
    เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้..สู้..
     
  7. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    การรู้ การเห็นของดิฉัน ไม่ได้ถูกสอนมาจากอาจารย์ใดๆ เพราะเกิดขึ้นเองแบบไม่รู้ตัว ดังนั้นดิฉันจึงต้องเรียนรู้สิ่งนี้ด้วยตัวดิฉันเอง ตลอดระยะยี่สิบกว่าปีมานี้ ดิฉันก็ยังไม่ค่อยจะเชื่ออยู่ดี ดิฉันก็ยังคงทดสอบมันอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองหลงเชื่อไปแบบงมงาย ดังนั้นสิ่งที่เห็นที่รู้ มันถึงไม่ใช่สิ่งที่ดิฉันนึกขึ้นเอง ต้องเป็นสิ่งที่เขาต้องทำให้รู้ ให้เห็นจริงๆ การรู้เห็นเรื่องนิพพานของดิฉันมันก็ไม่ได้เห็นเหมือนๆกับที่พวกท่านๆไปฝึกกันมาหรอก

    สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้อาจจะไปขัดใจบางท่านเอาก็ได้ ก็ทำใจไว้แล้วแหละ ไหนๆก็จะเขียนระบายแล้วนี่ ขอสักทีเหอะ มีกัลยาณมิตรบางท่านได้เข้ามาพูดคุยด้วย ได้สอบถามกันถึงเรื่องการฝึกมโนฯ ดิฉันก็ว่าดิฉันไม่ได้เรียนมาแบบที่เขาฝึกๆกันนะ บางทีก็อาจจะให้ข้อมูลไม่ได้ ดิฉันไม่ได้ต้องการเป็นอาจารย์อะไรเลย ก็ไม่ต้องมาเรียกดิฉันว่าอาจารย์ก้นหรอกค่ะ เดี๋ยวนรกจะกินกบาล จากที่สอบถามท่านเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็ไปฝึกกันมาแล้วทั้งนั้น และส่วนใหญ่บอกว่า ก็ยังไม่ได้เห็นอะไร แต่บางทีก็กลัวครูจะว่าหรือเสียหน้าก็หานึกคำตอบไปตอบ อย่างบางคนบอกว่าเขาจำสถานที่หรือสิ่งต่างๆจากวัดท่าซุงนั่นแหละเอามาตอบ เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร พอตอบไปแล้วก็ไม่เห็นครูว่าอะไร อย่างบางคนครั้งแรกตอบว่าไม่เห็น ครูก็จะไปเร่งเร้าบอกว่าให้ดูดีๆ คราวนี้ตอบใหม่ก็ต้องตอบว่าเห็น แต่จริงๆไม่เห็นอะไรเลย เฮ้อ..ไม่รู้จะว่าไงเหมือนกัน ก็ไม่เคยไปฝึกกับเขาเนอะ

    แล้วไอ้ที่เอาลิงค์การฝึกมาแปะให้ดูกันน่ะ ถ้าอ่านแล้วพิจารณาดีๆนี่การเห็นของแต่ละท่านเหมือนกันเลยเนอะ เหมือนบทเรียนที่เรียนมาแล้ว พอครูออกข้อสอบมาต้องตอบแบบนี้นะ ลอกกันมาเลย ไม่มีใครเห็นแตกต่างบ้างเรอะ หรือกลัวว่าตอบไม่เหมือนเขาแล้วมันจะผิด บุคคลที่อยู่ที่นิพพานนี่ต้องแต่งตัวยังงี้ๆๆนะ วิมานก็ต้องเป็นแก้ว ถ้าเห็นเป็นทองไม่ใช่อะไรประมาณนี้ ที่ดิฉันเห็นพระพุทธองค์ไม่เห็นพระองค์ท่านต้องแต่งชุดนิพพานอย่างที่ว่าเลย ท่านก็ทรงจีวรแบบพระนั่นแหละ อย่างสมเด็จองค์ปฐมครั้งแรกที่เห็นก็ทรงเครื่องกษัตริย์ พอครั้งที่สองก็ทรงจีวรแบบพระ ก็ไม่เห็นเหมือนกันเลย แล้วดิฉันก็ไม่เคยนึกด้วย ท่านมาให้เห็นเองแบบนั้น หลวงพ่อฤาษีท่านก็บอกแล้วว่าแต่ละคนนี่จะเห็นไม่เหมือนกัน เพราะจิตแต่ละคนก็ไม่เท่าเทียมกัน องค์พระศาสดาก็ว่าแล้วแต่จิตคนและกำลังบุญของแต่ละคน แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าข้างบนจะให้เห็นเป็นแบบไหน ดังนั้นมันยากที่ทุกคนจะเห็นเหมือนกัน

    อย่างมีน้องคนนึงที่เคยเข้ามาตั้งกระทู้ว่าเขาไปเห็นพระจุฬามณีเป็นสีทอง ดิฉันก็ว่าแน่จริงเล้ยน้องคนนี้ เพราะดิฉันเห็นเป็นแก้ว (แต่ก็ยังไม่ใช่มณีหลายชนิดอย่างที่หลวงพ่อเล่าไว้) ดิฉันก็ไม่ได้กังวลอะไรว่าจะต้องเห็นให้เหมือนท่าน ดิฉันรู้ตัวเองดี เห็นอย่างนี้ยังดีกว่าพวกอุปโลกมองให้เห็นเหมือนคนอื่น อย่างนั้นจะฝึกไปเพื่ออะไร แทนที่จะมัวไปกังวลว่าต้องไปเห็นให้ได้ยังงี้ๆๆๆ ทำให้ได้จริงๆแล้วไปสนทนาธรรมะกับพระพุทธองค์ไม่ดีกว่าเหรอ

    อย่างจะบอกว่านอกจากประสบการณ์ของหลวงพ่อแล้ว ดิฉันยังไม่เคยเห็นใครเอาประสบการณ์อย่างท่านมาเล่าให้ฟังบ้างเลย มีไหมละ เอามาเล่าให้ฟังกันบ้างซิ คนอื่นๆจะได้บรรลุด้วย อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว เอาธรรมะที่ได้มาสอนคนอื่นด้วย เอาแบบง่ายๆนะ เพราะดิฉันไม่ชอบแบบยากๆ คนที่รู้จริงไม่กลัว กลัวคนรู้ไม่จริง

    เมื่อคืนก็ได้พบหลวงพ่อฤาษีด้วย ไม่อยากเล่าว่าสนทนาอะไรกับท่านบ้าง เดี๋ยวจะรับกันไม่ได้ แต่ที่เขียนมาบางท่านก็คงไม่พอใจดิฉันอยู่แล้วแหละ ไม่เป็นไรคะ มีอะไรก็แนะนำมาได้เลยค่ะ รับฟังเสมอแต่ดิฉันจะใช้ปัญญาพิจารณาเองว่าสมควรเชื่อหรือไม่เชื่อ
     
  8. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    ลองทำดูค่ะ อนุโมทนาบุญ อ้าว แล้วไม่เห็นเล่ากันบ้างเลยค่ะ
     
  9. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    สถานการณ์ ยังไม่เหมาะที่จะเล่าเลยค่ะ รอดูสถานการณ์อีกหน่อยค่ะ อิ อิ fairy3
     
  10. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    "เมื่อคืนก็ได้พบหลวงพ่อฤาษีด้วย ไม่อยากเล่าว่าสนทนาอะไรกับท่านบ้าง เดี๋ยวจะรับกันไม่ได้ แต่ที่เขียนมาบางท่านก็คงไม่พอใจดิฉันอยู่แล้วแหละ ไม่เป็นไรคะ มีอะไรก็แนะนำมาได้เลยค่ะ รับฟังเสมอแต่ดิฉันจะใช้ปัญญาพิจารณาเองว่าสมควรเชื่อหรือไม่เชื่อ"<!-- google_ad_section_end -->

    หลวงพ่อ เตือนอะไรมาบอกลูกหลานบ้างครับ หลวงพ่อจะว่าอะไร ลูกหลานพร้อม ยอมรับครับ ถ้าพี่เมตตา ช่วยเล่าให้ฟังบ้างครับ อยากทราบครับ

    ขอขอบพระคุณมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2009
  11. RICK

    RICK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +380
    ขอบคุณคุณ Me,myself สำหรับคำตอบคำแนะนำครับ

    และจากคห.351 ของคุณ เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ

    สารภาพจริงๆ ตัวผมก็ไม่ถึงไหนหรอกครับ ถ้าจะเล่าเป็นเพื่อนคุณ Me,myself ก็เคยไปฝึกครั้งแรกแบบทางวัดฯมาเอง ไหว้ครูเรียบร้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าเห็นมั้งไม่เห็นมั้ง เอ้าให้นึกเลยเหรอ อุปทานไปเองหรือเปล่า ไม่เชื่อไม่แน่ใจแล้วจะปรามาสพระรัตนตรัยหรือครูบาอาจารย์หรือเปล่า ตอนหลังมาฝึกกับอ.ฆารวาสท่านหนึ่ง บอกได้เลยว่าเมื่่อย ไม่เห็นอะไร สมมุติตอบเอาใจไปงั้นแหล่ะ แย่กว่าครั้งแรกอีก ทำไปทำมาสับสนวุ่นวายไปหมด ก็คงเป็นกรรมของเรา แต่ไม่เป็นไรจะลองศึกษาหาข้อมูลดู แต่พออ่านในเน็ตแล้ว มันก็ต่างกัน คนไหนเชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้ ก็ต้องใช้วิจารณญานอีกทีนึง แต่ดูๆไปแล้วรู้สึกว่าค่อนข้างเชื่อถือคุณ Me,myself ครับ เป็นกำลังใจให้ครับ ถือว่าเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ

    เสริมนิดนึงนะครับ ผมเคยอ่านเจอ หลวงพ่อฤาษีท่านแนะว่าคนที่ได้มโนฯแล้ว ให้ลองเช็คดูว่าเราเห็นของจริงหรือไม่ โดยนึกว่าพรุ่งนี้คนที่มาหาคนแรกใส่เสื้อสีอะไร คุณ Me,myself ลองดูครับ อย่าหาว่าผมส.ใส่เกือกเลยนะครับ เป็นอย่างไรก็แต่จะกรุณามาเล่าหรือไม่ครับ
    ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกประสบการณ์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2009
  12. classic songs

    classic songs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +896
    โมทนาสาธุค่ะ ท่าน Me myself

    สิ่งที่ท่านกล่าวมาน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง จริงไม่กลัว กลัวไม่จริงค่ะ
     
  13. Pikzy

    Pikzy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +619
    ยังคอยติดตามอยู่นะครับ เอาใจช่วยครับ

    อยากจะแนะนำให้รู้สึกดีขึ้น

    แต่ภูมิความรู้ของผมมันไม่อำนวย -*-

    อนุโมทนาครับ พรหมวิหาร 4 อิทธิบาท 4 ช่วยได้ครับ
     
  14. Ricardo DeCalgary

    Ricardo DeCalgary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +11,341
    สวัสดีครับ คุณ สงบระงับ

    ยังไม่สามารถ เล่าอะไรได้ครับ ต้องขออภัย ฮิ ฮิ

    อย่างที่เคยเรียนให้ฟังครับ ผมยังมืดสนิท ยาวตลอด ก็ไม่รู้ อีกนาน แค่ไหน

    ส่วนที่ขอยืม วิธีไปใช้ ก็ตั้งใจ ไปแบบ มืดๆ นี่แหละครับ ถ้าได้ความก้าวหน้าอย่างไร จะมาเล่าให้ฟังครับ

     
  15. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เช้านี้ไปใส่บาตรมาค่ะ เอาบุญมาฝากค่ะทุกคน ขอให้ผลบุญช่วยส่งให้ทุกคนฝึกสมาธิไปได้ตามที่ใจหวังนะคะ สาธุ
     
  16. Ricardo DeCalgary

    Ricardo DeCalgary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +11,341
    สวัสดีอีกครั้งครับ คุณ Me,myself

    หากว่าสบายใจขึ้นแล้ว มาเล่าประสบการณ์ ดีๆ ต่างๆ ให้อ่านต่อน่ะครับ

    กัลยาณมิตรหลายท่านรออ่าน และเป็นกำลังให้ครับ

    โมทนาบุญด้วยครับ
     
  17. Ricardo DeCalgary

    Ricardo DeCalgary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +11,341
    โมทนาบุญ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยคนครับ

     
  18. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0

    มิได้ค่ะ ดิฉันไม่ว่าคุณหรอกค่ะ แต่ดิฉันกล้ายอมรับได้เลยว่า ดิฉันยังไม่เก่งถึงขนาดนั้น เมื่อก่อนก่อนที่จะมารู้เรื่องมโน ก็ไม่เคยรู้ว่ามันทำอะไรได้มากมาย พอเริ่มมาตั้งกระทู้นี้ ตอนหลังก็ไปขอหนังสือปฎิบัติของหลวงพ่อมาศึกษา ถึงได้รู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับมโน (ก็บอกแล้วว่าโง่อยู่ตั้งนาน) ดิฉันลองมาทำดูแล้วค่ะ ที่หลวงพ่อบอก บอกว่าให้จดไว้ว่าวันไหนตรง วันไหนไม่ตรง จะได้รู้อารมณ์ว่ามันเป็นยังไง ที่ลองๆมาไม่กี่ครั้ง บางวันมันก็ตรง บางวันมันก็ไม่ตรง อย่างเช่นวันหนึ่งพระศาสดาบอกว่า วันนี้จะได้พระบรมสารีริกธาตุ (ดิฉันไม่เคยมีค่ะ) ก็ได้จริงๆ (มีคนให้มาค่ะ) แล้วช่วงนั้นก็ฝันเห็นพระธาตุอยู่บ่อยๆ จากที่ไม่เคยมีพระธาตุ ก็มีคนให้มาค่ะ จากสามคนสามแหล่ง

    ดิฉันว่าเรื่องอารมณ์นี่แหละตัวสำคัญ เพราะถ้าอารมณ์ไม่นิ่ง การรับรู้ก็เปลี่ยนไปตามสภาพอารมณ์นะคะ ก็หลวงพ่อถึงได้บอกว่าให้ดูอารมณ์ว่าวันไหนการพยากรณ์ตรงก็จับเอาอารมณ์นั้นแหละ แต่..แหม..บางครั้งมันก็ยากนะคะ

    แล้วที่หลวงพ่อว่ามโนใช้ดูสภาพจิตของคนได้ว่ามีสีอะไร จากสีจะรู้ได้ว่าคนนี้เป็นยังไง ดิฉันก็เพิ่งมารู้นี่แหละ แต่เมื่อก่อนดิฉันไม่ได้ดูสีของจิตนะคะ แต่ดิฉันจะดูจากการพูดคุยของจิตว่าคนนี้เป็นคนยังไง อันนี้ก็เรียนรู้เองอีกแหละ จะยกตัวอย่างให้ฟังนะคะสักสองเครส

    เครสแรก มีวิศวกรจากสาขาฮ่องกงมาทำงานที่เมืองไทย แล้วเจ้านายเขาเพิ่งได้ลูกคนแรก ก็เลยพาพนักงานไปเลี้ยง ทำให้เพื่อนดิฉันกับวิศวกรคนนี้เขารู้จักกัน เพื่อนดิฉันก็รู้สึกชอบเขามาก พอตอนหลังเขากลับไปที่ฮ่องกงก็ยังติดต่อกันอยู่ แต่ผู้ชายก็ไม่ได้แสดงอะไรที่เป็นมากกว่าเพื่อน เพื่อนก็ใช้ให้ดิฉันไปลองถามจิตเขาดู (จริงๆไม่ค่อยชอบทำนะ แบบว่าเดี๋ยวก็โดนใช้เรื่อยๆ) ก็เลยเรียกเขามาคุย เขาก็คุยดีนะ นิสัยดี เขาก็ว่าก็ชอบที่เพื่อนดิฉันนิสัยดี เป็นเพื่อนกันได้ แบบว่าเขามีแฟนแล้วไง แล้วเขาก็ว่าแฟนเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร ทำไมเขาต้องเลิก (ก็แมนดี) ก็เลยไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอก อืมม...ก็รู้นะว่าเขามีแฟน แล้วก็ถูกที่แฟนเขาไม่ผิด ดิฉันก็ว่าตัดใจเหอะ เธอก็ยังตัดใจไม่ได้ แต่ว่าก็แค่แอบรักไว้ในใจ

    เครสที่สอง เพื่อนที่ทำงานอีกคนเป็นหม้าย ก็เหงา อยากมีแฟนใหม่ ก็พยายามเสาะหาแล้วต้องเป็นต่างชาติด้วย วันๆเธอเอาแต่นั่งแชทหาแฟน แต่จริงๆเธอไม่รู้ภาษาอังกฤษนะ ต้องเอามาให้คนในออฟฟิสแปลเรื่อย โดนกันไปทั้งออฟฟิส ดิฉันก็โดนเธอใช้ให้แปลอีเมลบ่อยๆก็เป็นห่วงเหมือนกัน ทีนี้มาวันหนึ่งเธอลงลิฟท์ไปทานข้าวเจอกับหนุ่มสถานฑูต (ต่างชาติค่ะ) ทำงานที่ตึกเดียวกัน ก็ทำทีมาทักทายเธอแล้วก็จีบเธอ ก็ตามภาษาผู้ชายเจ้าชู้อ่ะนะ แล้วเพื่อนดิฉันน่ะเธอก็อยากได้แฟนอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง เห็นเขาเป็นเจ้าหน้าที่สถานฑูต มีเงิน เป็นต่างชาติ ก็หลงไปเลยอ่ะซี เธอก็มาเล่าให้เพื่อนๆฟัง ดิฉันก็เตือนเธอนะ แต่คนเราเวลาหลงมันไม่ฟังอะไรหรอก ด้วยความเป็นห่วงดิฉันเลยลองไปสัมผัสจิตของผู้ชายคนนี้ว่าเป็นยังไง รู้ไหมคะ คำแรกที่เขาทักดิฉันว่าไง เขาบอกว่า "เรื่องของกู มึงอย่าเสือก" ดิฉันสะอึกไปเลยค่ะ ก็ยังไม่เคยเจอจิตใครเลวเลยนี่คะ เจอเข้าไปเล่นเอาไปไม่ถูกเลย ดิฉันเลยรู้ว่าเพื่อนดิฉันต้องซวยแน่ๆ แต่เพื่อนไม่ยอมฟังอะไรเลยค่ะ สุดท้ายก็โดนทิ้งจริงๆ ผู้ชายคนนี้จะใช้หน้าที่การงานไปหลอกผู้หญิง ถ้าใครหลงไปก็แย่เลย เพื่อนร้องไห้ไม่ทำงานทำการไปเป็นอาทิตย์เลย กรรมจริงๆ

    นั่นแหละค่ะ วิธีตรวจสอบจิตคนที่ดิฉันเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตอนหลังก็พยายามฝึกตามที่หลวงพ่อบอก มโนฯจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ขนาดดิฉันได้มาขนาดนี้บางอย่างก็ยังไปไม่ถูกเหมือนกัน คิดว่าได้มา 80% อีก 20% ยังงมโข่งอยู่เลยค่ะ ดิฉันก็บอกแล้วว่าดิฉันน่ะไม่ได้เก่ง ยังต้องฝึกอีกเยอะ
     
  19. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ตอนแรกนั่งสนทนากับหลวงพ่อโต ก็พูดคุยกันถึงเรื่องที่คนไปฝึกมโนฯแล้วมันไม่เป็นผลนั่นแหละ หลวงพ่อเลยว่าอย่างนี้ต้องเรียกหลวงพ่อฤาษีท่านมาเพราะท่านเป็นอาจารย์สอนวิชานี้

    พอท่านมาท่านก็ว่าสิ่งที่ท่านเป็นห่วงหลังจากที่ท่านมรณภาพไปแล้วนี่แหละ ว่ามันจะเกิดแล้วมันก็เกิดจริงๆ ท่านว่าท่านกลัวว่าคนที่ได้มโนฯไปบางพวกบางเหล่าจะใช้วิชามโนฯไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร บิดเบือนไปจากเดิม บางคนก็ไปฝึกผิดๆ วิปัสสนึกก็เยอะ แล้วที่ท่านผิดหวังมากที่สุดก็คือลูกศิษย์ลูกหาเปลี่ยนไปกลายเป็นไปหลงวัตถุเครื่องรางของขลังมากกว่าที่จะไปฝึกจิต ดิฉันก็ว่าก็หลวงพ่อปลุกเสกได้ดี คนเขาเลยศรัทธาไง ท่านก็ว่าฉันไม่ได้ปลุกเสก ฉันใช้บารมีของพระพุทธองค์ต่างหาก ฉันจะทำได้ไง เพราะยังไงก็ต้องตายอยู่ดี

    ฟังท่านแล้วก็สงสารท่านนะ อุตส่าห์เอาวิชามาสอนลูกศิษย์เพื่อให้ได้พ้นทุกข์ แต่มันกลายไปเป็นอื่นซะหมด แต่อ่ะนะ กรรมของใครก็ของคนนั้น

    ที่แปลกคือเมื่อเช้ามีน้องคนนึงเขามาเล่าว่าเมื่อคืนเขาฝันว่าหลวงพ่อฤาษีมาบอกเขาว่า

    "อย่าไปเช่าพระเครื่องมากมายเกินกำลังตัวเอง มันจะทุกข์ จุดประสงค์ที่ฉันสร้าง เพื่อให้คนที่เขาเอาไปบูชานึกเห็นว่าพระเครื่องคือตัวแทนถึงพระพุทธเจ้า จำภาพเป็นนิมิตร นึกถึงพระพุทธองค์ทุกขณะจิต ท่านบอกเป็นการปิดประตูนรก ลูกศิษย์ทั่วไปหลงผิดกันมาก ติดวัตถุมงมาก นำมาตีราคากันได้ยังไง นี่คือรูปแทนพระพุทธเจ้า"

    คือตัวเขาช่วงนี้วิ่งหาเช่าพระเครื่องของหลวงพ่อ บอกว่าเงินเดือนเอามาลงกับพระเครื่องนี่แหละ ท่านเลยมาเตือนมั้ง ก็แปลกดีที่เขาฝันแล้วมาตรงกันที่เราคุยกับหลวงพ่อ
     
  20. กระติ๊บ

    กระติ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    672
    ค่าพลัง:
    +939
    โมทนาเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ เพราะMe, myself ตอบได้โดนใจจริงๆ พระเครื่องก็คือรูปพระพุทธเจ้า หลวงพ่อท่านสร้างก็เพราะเอาไว้เป็นตัวแทนนึกถึงพระพุทธเจ้า ทุกขณะจิต ดิฉันจะจำเอาไว้ให้มั่นเลยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...