ให้จำไว้ว่าไม่ว่ากายหรือจิตก็ไม่ใช่ของเรา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengkenny, 7 กรกฎาคม 2009.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ไม่มีอะไรครับ ไม่ต้องกังวลครับ มาอ่านและพิจารณาธรรมแล้วก็ปฏิบัติธรรมกันเถอะครับ
    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2009
  2. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    ^_^
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500

    สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ
     
  4. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    ไม่ค่อยสบายเท่าไร นับวันทุกข์ มันมาเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ตัด ๆ ไป
    แล้วคุณล่ะ
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500

    มองโลกในแง่ดีไว้ก่อนครับ บางทีมันก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ ทุกข์มันเป็นของอยู่คู่เรามาทุกคนครับ อย่ากังวล ค่อยๆก้าว ค่อยๆเดิน ผมว่ายังดีกว่าหยุดอยู่กับที่และเดินถอยหลังครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ
     
  6. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ธรรมภูติ รู้จัก วิญญานซักทีนะ ทั้ง วิญญาณ ขันธ์ และวิญญาณ ธาตุ
    ต่างก้เป็น วิญญาณ วิญญาณ เป็นนามธรรม ที่มีลักษณะ ในการ รู้ เป็นเพียงตัวรู้

    แต่ รู้ ตัวที่ แตกต่างและ และเป็น รู้ที่ ธรรมภูติสับสน นั้น คือ รู้ ของ ปัญญา

    อาการของวิญญาณ นั้น เป็น ตัวรู้ มีอาการ รู้
    อาการของปัญญา นั้นมีลักษณะ เห็น เหมือนแสงที่ส่อง เหมือน ประทีป

    เหตุที่ปัญญา มีลักษณะอย่างนั้น เพราะ เมื่อปัญญาเกิด เหมือนเกิดแสงส่องให้เราเห็น สิ่งที่อวิชาคลุมไว้ ปิดบังทำให้เราหลง เห็นว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตนเป็นตัวตน ทำไห้เราไม่สามารถมองออกว่า จิตและกาย นั้นประกอบกันขึ้นเป็นตน และส่วนของนาม จิตนั้น ยังประกอปด้วย จิต แ จตสิก ตรงนี้หากปัญญายังไม่เกิดก้มองไม่เห็นอีก


    เริ่มแรกๆๆนักดูจิตที่ยังพึ่งเริ่มมี ปัยญา หรือการ เห็นนั้นจะ เห็นสิ่งแรกก่อนนั้นคือ เริ่มเห็น จิต และกาย นั้นแยกกัน ตรงนี้จึงมีคนเคยเอามาพูดและคิดไปว่า นอกขากขันธ์ ใน ส่วนนามแล้วยังมี จิต ที่เป็นผู้รู้จีรังยั่งยืนไม่แก่ไม่ตายอยู่ต่างหากอีก

    แต่ไม่ใช่สิ่งนั้นคือปัญญา อันปัญญาเวลาเกิดเหมือนแสงที่ส่องไห้เราได้เห็นการที่เราเห็นว่าจตและกายแยกจากกันชัดเจนนั้นเพราะปัญญาในขั้นต้นได้เกหิดและจบกิจนั้นเมื่อปัญญาเกิดอวิชาดับ เราก้ได้รู้ได้เห็นว่าจิต และกายนั้นคนละส่วนกันจากที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    แต่ ปัญญาที่ยิ่งกว่านั้นยังมี อวิชาไม่ได้ถูกถอนรากถอนโคนออกไปยังคงปิดบังไห้เราไม่รู้อีก บางคนปัญญามากขึ้นดูจิตต่อไม่หยุดเพียงเห็นเท่านั้น ก้สามารถมองเห็น ขันธืในส่วนของนาม เห็นนามที่เป็น จิต+เจตสิก ทีนี้เห็นชัดกว่าเดิมอีก เห็นส่วนของจิตชัดเจน เป้นการดู จิตในจิต เห็น เวทนาที่เกิดเห็นสันยาที่เกิด เห้นสังขารที่เกิด

    เห็นในที่นี้ไม่ใช่เห็นด้วยสันยาที่ฟังที่รับรู้มาแต่เห็นด้วยปัญญา อันเป็นดั่งแสงส่องไห้เห็น ตรงนี้หากไม่เข้าใจอีกก้จะคิดไปว่ามีจิตอีกดวงดูอยู่ จริงๆๆแล้วจิตนั้น ประกอบขึ้นด้วย เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน แต่ปันยานั้นส่องไห้เราได้เห็นไห้เราได้รู้ ธรรมตามสภาวะที่เป็นจริง ผู้ที่ยังเห็นไม่ชัดก้จะคิดเอาว่ามันเป็นตัวตน มันมีจิตที่ตั้งมั่นอยู่คงทนไม่แตกสลายไม่ประกอปขึ้นเป็น อัตตา เพราะกำลังของอวิชาที่ยังบังอยู่นั่นเอง

    นอกจากนี้ปัญญาที่เกิดขึ้น เนื่องจากโยนิโสมนสิการนี้ จะทำไห้เห็นการเกิด และดับ ของกระบวนการจิต ภายในที่ชัดเจน และไม่ใช่เพียงแค่เวทนา ที่เป็นอุปทานตัวไหย่ๆๆ หากปัญญาเกิดในจุดนี้ก้จะเข้าใจองค์ประกอปของจิตและเข้าใจธรรมมากขึ้น

    หากโยนิโสมนสิการต่อ โดยไม่มีนิกันติกั้นขวาง หากปัยญาเกิดก้จะยังไห้เห็นต้นตอของ อวิชา อันเป็นปัจจัย และกระทำการดับอวิชานั้นก้จะ ถึงปัญญาอันดับอาสวะ และหลุดพ้นวงจรแห่ง อวิชา

    ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
    (การเกิดขึ้นของทุกข์)
    เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
    เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
    เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
    เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
     
  7. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    kengkenny อ่านด้านบน
     
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    หมายถึงทั้งหมดเลยเหรอครับ
     
  9. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ที่ผมถามว่าสัญญานั้น เกิดอย่างไร ดับอย่างไร มีอาการอย่างไร นั้นก้เพราะ
    ทุก สุข อทุขสุข นั้น เป็นเวทนาที่เกิดขึ้น สัยญานั้นเป้นตัวจดจำบันทึกสิ่งเหล่านี้ประกอบกับ กิเลส อันอวิชา นั้น เป้นเหตุปัจจัย ทำไห้เกิดความะยานอยากต้องการในสุข สันยานั้น ปันทึกจดจำความต้องการนี้ และ เกิดร่วมกันในจิต ที่มีสังขารปรุงตาม ดดยที่วิยญานทำหน้าที่รู้ จึงเกิดดี เกิดชั่ว เกิดถูก เกิด ไม่ถูก ขึ้น ตัวที่กำหนดนัน ก้คือ ตัวสันยานี้ ที่จำว่าอย่างนี้ ดี อย่างนี้ไม่ดี จริงแล้วๆก้เป็นเพราะ อวิชาเป็นปัจจัย ไห้เราเกิดความ พอใจและไม่พอใจ จึงเกิดสุขเกิดทุข เกิด อทุกสุข ต่างๆๆนาๆๆ
    ผู้ที่ยังไม่มีปันยาเห็นเท่าทันก้ยังแสวงหา สุข หนี ทุขอยู่ร่ำไป เพราะไม่เข้าใจความจริงที่ว่า สิ่งเหล่านี้เกิดเพราะอวิชาเป็นปัจจัยไห้อยากไห้พอใจไห้ไม่พอใจ จึงทำไห้เกิดทุขคือภาวะที่ทนไม่ได้ เพราะทุกสิ่งนั้นเป็นอนิจัง เป็นอนัตตา ตั้งอยุ่ไม่ได้ หากปัญญาเกิดเป็นดั่งแสงส่องไห้เห็นว่า

    ไม่ว่าจะสุข หรือ ทุก หรือไม่สุขไม่ทุข ทุกสิ่งล้วนเกืดตามอวิชาที่ส่งผล หากเราไม่เดือดร้อนตามไป สุข ตามไปทุข ตามไป อสุขทุก จิตก้ไม่ถูกชักจูง จิตก้ปราศจากเครื่องรัดตรึง จิตก้หลุดพ้น
    ปัยญาในขั้นนี้นักดุจิตแรกๆๆยังไม่เห้นก้จะเข้าใจผิด ยึดเอาว่า ไม่เอาทุขเอาแต่สุขเอาแน่นิ่ง เพราะยังหาทางออกจากสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้
    ปัยญา ในไตรลักษยังไม่เกิด เรื่องเหล่านี้พุดไปก้เข้าใจไม่ได้เท่าเห็นด้วยปัยญาของคนๆๆนั้น จึงเป้นปัตตัตตัง
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500

    แต่ปัญหามันก็เกิดอีกนั่นแหละครับว่ารู้ด้วยปัญญาแบบไหน จึงเรียกว่ารู้ชัด ช่างมันเถอะครับ เป็นเพราะผมสงสารตนเองที่ มองมานานพิจารณามานานบางทีมันท้อจน จิตใจไหวหวั่น วอกแวก ไม่เป็นธรรมที่เคยรู้จัก แล้วย้อนถามไปถึงคำถามที่ผมค้างไว้จะพอเชื่อมโยงกันได้ไหมครับ เมื่อจิตใจน้อมไป เห็นไตรลักษณ์ อย่างเต็มตาแล้ว คือพร้อมจะพิจารณาต่อ พอปะติดปะต่อ ความสัมพันธ์ได้ ยังไงครับ
     
  11. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ปัยญาที่ดูจิต นั้นที่เกิดขึ้นแสดงไห้เราเห้นถึงเหตุและปัจจัยนั้นแตกต่างและทำกิจต่างกัน ปัยญาหนึ่งๆเกิดขึ้นพร้อมจิตเกิดขึ้นพร้มกันจนเป็นสิ่งเดียวกัน อุปมา

    ไฟไหม้ฟาง เราเอาน้ำดับ ไฟดับแล้วแต่ยังคงเหลือเถ้าถ่านของฟาง

    ไฟนั้นคือกิเลส ฟางนั้นคือจิต น้ำนั้นคือปันยา เมื่อกิเลสที่อยู่กับจิตถุกปัยญา ดับแล้ว ปันยาจบกิจ ก้เหลือสันยาจดจำไว้ไห้เราเห็นเป็น เถ่าถ่าน

    ไฟดับแล้วเราต้องใช้น้ำอีกไหม จิตเป็นเท่าถ่านแล้วเรายังใช้จิตเดิมไหม แต่เรามี สันยาไห้เห็น อันเป็นเถ้าถ่าน

    ปัยญานั้นหากเกิดเท่าทันทุกขนะจิตอันนี้แหละที่เป็นปัจจุบันขนะ กำจัดความหลงอันเป็นอวิชาไปได้ เราจึงไม่ติดในอดีตและอนาคต จึงไม่มีเหตุและปัจจัยสืบต่อ จึงดับ

    ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
    (การดับไปแห่งทุกข์)
    อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ
    เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
    เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
    เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
    เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
    เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
    เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
    เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
    เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
    เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
    เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
    เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
    จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้น ว่าดังนี้:
     
  12. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ครับปัยญานั้นมีอาการส่องไห้เห็นและไม่ได้เป็นอัตตาดั่งเช่นเดียวกับจิตเพียงแต่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป หากแต่เรามองเห็น หรือมีปัญญาในขั้นที่จะส่องถึง
    อาสวะกิเลสนั้นแหละ จึงจะสามารถ ดับ ไฟ อันเป็นต้นตอไปได้

    กำเอาแต่อารมระดับพระอรหันมาพูดเราก้ยังไม่ได้มันก้ยังไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดี
     
  13. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เมื่อจิตโยนิโสมนสิการแล้วจะถูกกั้นด้วยนิกันติ จะทำอย่างไรหรอคับ ก้ไห้ดูจิต ฝึกสติปัฐฐานนี้แหละคับมันจะเห็นขึ้นเรื่อยๆๆ เห็นในที่นี้คือ ปัญญาจะเกิดเรื่อยๆๆ เข้าใจเรื่องกำลังใจไหมคับ บารมี
     
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อ๋อเป็นความหมายของมิลินท์ปัญหาในข้อนั้น ที่ผมไม่มองเวทนาเพราะว่าเวทนามันประกอบด้วยสิ่งสองสิ่งนั้นเป็นหลัก สุข หรือ พอใจ กับ ทุกข์หรือไม่พอใจ ซึ่งมันเป็นผลต่อเนื่องของสัญญานั้นๆหลังเกิดการปรุงแต่ง ด้วย สังขารทั้งหลายครับ
     
  15. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ครับทั้งหมดนี้ที่ผมพูดก้อาจผิดด้วย ความเห็นผิดที่อาจมีในตัวเพราะญญาผมก้ยังไม่สามารถกำจัดอาวสะไปได้ ก้ขอให้ใช้กาลมสูตร ในการโยนิโส แทน
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แต่ทั้งหมดนี่ก็คือว่ายังไง เริ่มต้นก็ต้องน้อมใจไปก่อน จะทำโดยสมถหรือวิปัสสนา ผลที่ได้จะต้องเหมือนกันใช่ไหมครับ แต่ทำไมกลับรู้สึกว่า อารมณ์ของพระอริยะบุคคล คล้ายคลึงกันแต่ต่างกันที่ความละเอียด ความประณีต อะไรอย่างนั้นแต่กระผมจะไม่กล่าวถึงเพราะถือเป็นของสูงเกินตัว ดังนั้นก็เอาแค่มองเห็นและคงอยู่ซึ่งความเป็น ไตรลักษณ์นั้นไว้ได้ก็พอ อย่างนี้ได้ใช่ไหมครับ ได้อานิสงค์เหมือนกันใช่ไหมครับ
    ขอบพระคุณครับ
     
  17. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะ คุณเก่ง
    ถามนิดหนึ่งหากต้องเดินทางในทะเลทรายน่ะ มีของอยู่ สองอย่าง
    ที่ต้องเลือก แต่มีข้อแม้ต้องเลือก เพียงอย่างเดียว
    คุณเก่ง จะเลือกระหว่าง ขวดน้ำขวดเล็ก ๆ กับ เกลือห่อเล็ก ๆ จะเลือกอะไร
    ที่จะประทังให้ถึงเป้าหมายสุดท้ายของการข้ามทะเลทราย
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    คัดบางส่วนมาจากเรื่อง
    อยู่ที่ใจ โดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
    วัดถ้ำกองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู


    ฝนไปฝนไป อาศัยวิริยะ ความพากเพียร อาศัยฉันทะ ความพอใจ
    จะเพียรฝึกฝนจิตของเราให้เลื่อมประภัสสร ฝนไปฝนไป
    ผลที่สุดก็เป็นจิตบริสุทธิ์ หมดมลทิน มีแต่ธาตุรู้อันบริสุทธิ์


    เป็นธาตุอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง จิตบริสุทธิ์แล้วจะไปทางไหนก็ได้ ไม่มีความเดือดร้อน
    เพราะเป็นแก้วอันบริสุทธิ์แล้ว บ่มีอันหยังมาเกิดแล้ว
    จิตแหละเป็นตัวนำทุกข์มาให้
    ครั้นฝึกฝนดีแล้ว นำความสุขมาให้ อยู่ในโลกนี้ก็มีสุข ความทุกข์ไม่มี


    อันนี้มันเป็นธรรมดาของอัตภาพของสภาวะ มันเป็นเองของมัน
    ถึงมันจะทุกข์ปานใด มันก็ไม่มีความเดือดร้อน หวาดเสียวต่อความทุกข์
    มันจะตายก็ไม่มีความอัศจรรย์ มันนี่จึงรู้เท่าสังขาร รู้เท่าสังขารจิตก็ไม่หวั่นไหว


    จิตไม่มีโศก ไม่มีเศร้าอาลัย จิตมีกิเลสเครื่องมลทินก็ปัดออกแล้ว
    จิตอันนี้เป็นจิตบริสุทธิ์ จิตสูง เพราะมันขาดจากการยึดการถือ
    เรามาหาความสุขใส่ตนไม่ใช่หรือ ต้องการความสุขเท่านั้นแล้ว
    จึงพ้นจากความสะดุ้งหวาดเสียว


    ;aa24 อย่าทำตัวเก่งเกินพ่อแม่ครูบาอาจารย์
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    คัดลอกบางส่วนจากเรื่อง
    อยู่ที่ใจ โดย หลวงปู่ขาว อนาลโย

    วัดถ้ำกองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

    ครั้นใจไม่ยึดไม่ถือแล้ว มันจะรู้จักการตาย รู้จักความตาย รู้จักมันดี

    ถ้าใจไม่ยึด มันจะมีทุกขเวทนามาจากไหน ไม่มี
    ดับเวทนา ดับสัญญาได้อยู่
    ดับสังขารความปรุงได้อยู่
    ดับวิญญาณความรู้ทางทวารทั้ง ๖ ได้อยู่


    ของใครของมันจะมีตนมีตัว มันไม่มีตนมีตัว
    แต่ว่ามันจำมันหมายว่าเจ็บนั่นเจ็บนี่เวทนาก็พร้อมกันเกิดขึ้น
    มันไม่มีตัวมีตน มันก็ดับไปอีก ดับก็จิตมันสงบนั่นแหละ


    ครั้นจิตมันสงบแท้ ๆ ไม่มีคนหยังจะมาเจ็บอยู่นี่
    จึงว่าให้อบรมจิตนั่นแหละ จิตสงบแล้วไม่มีผู้ใดเจ็บ คนบ่มี บ่อนตัวไม่มี


    แล้วก็ไม่มีอะไรเจ็บแล้ว ครั้นบ่มีคนแล้ว เป็นหยังจะมาจำหมายนั่นอยู่
    บัญญัติอยู่ก็รู้ว่าไม่มีคน บัญญัติทางตา หู จมูก ลิ้น ก็บ่มี บ่มีคน มันว่างม๊ดละ
    ไม่มีอุปาทานแล้ว วางเสียก็มีความสุขนั่นแหละ จิตสงบ ให้ฝึกหัดจิต


    ;aa24 อย่าทำตัวเก่งเกินพ่อแม่ครูบาอาจารย์<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    คัดลอกบางส่วนจากเรื่อง
    อยู่ที่ใจ โดย หลวงปู่ขาว อนาลโย

    วัดถ้ำกองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

    จิตของเราทั้งหลายก็ดี มันเกลือกกลั้วอยู่กับอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง
    มันเอาอารมณ์เข้ามาห้อมล้อมมัน จิตมันจึงเศร้าหมอง แต่แสงมันก็มีอยู่นั่นแหละ


    อาศัยมาชำระมัน เราฝึกมาชำระจิตนั่นแหละทุกวัน ให้มันผ่องใส
    จิตเราต้องชำระให้มันบริสุทธิ์
    ไม่มีอะไรมาปะปนมันแล้ว


    อันนั้นละจิตบริสุทธิ์ จิตผุดผ่อง ผ่องใส จิตตัง ทันตะ สุขาวหัง

    ครั้นผู้อบรม ฟอกจิตของตน สั่งสอนจิตของตน
    มีสติสัมปชัญญะ ระวังจิตอยู่ทุกเมื่อ
    ประคองจิตให้อยู่ในความดี
    หมั่นขยันทำความเพียร ชำระจิต
    ยกบาปทั้งหลายเหล่านี้ออกจากดวงจิตอยู่ทุกวัน

    ;aa24 อย่าทำตัวเก่งเกินพ่อแม่ครูบาอาจารย์<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...