มีใครเป็นลูกหลานเสด็จปู่พญานาคาธิบดีศรีสุทโธนาคราชบ้างครับ

Discussion in 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' started by วรุณบุตร, Oct 9, 2008.

Thread Status:
Not open for further replies.
  1. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Mar 26, 2009
    Messages:
    1,042
    Ratings:
    +1,715
    คำว่า ศีล แปลว่าอะไร ความหมาย ของศีลในเบื้องต้นท่านก็ให้ไว้หลายอย่าง แต่คำแปลที่ง่ายที่สุด ท่านแปลกันว่า ปกติ ก็เลยมีผู้นำเอาคำว่า ศีล มาอธิบายในความหมายว่า ปกติ คือ คนเราถ้ามีศีล ก็เรียกว่ารักษาปกติ หรือสภาพที่เป็นปกติของตนๆ เช่น เป็นพระเมื่อรักษาศีลของพระก็เรียกว่าเป็นการรักษาสภาพปกติของพระ ถ้าไม่ปฏิบัติตามศีลก็ไม่ใช่อยู่ในสภาพปกติของพระ กลายเป็นประพฤติเหมือนชาวบ้าน เป็นต้น แม้แต่ชาวบ้านทั่วไปก็มีศีลของชาวบ้าน อย่างศีล ๕ ก็แสดงถึงความเป็นอยู่ปกติของคนทั่วไป หมายความว่าตามสภาพปกตินั้น คนเราก็ไม่ฆ่าแกงกัน ไม่เบียดเบียนทำร้ายกัน ไม่ล่วงละเมิดทรัพย์สินกันอย่างนี้ เป็นต้น เรียกว่าเป็นอยู่กันกันตามปกติ แต่เมื่อใดทำอะไรผิดแปลกขึ้นมาโดยละเมิดในสิ่งเล่านี้ มีการเบียดเบียนกันก็แสดงว่ามีอาการไม่ปกติเกิดขึ้น จากการทำไม่ปกติของบุคคลหนึ่ง ก็มีผลทำให้สังคมนี้ไม่ปกติ
    ความปกตินั้นรวมไปถึงการอยู่อย่างสบายๆ มีความสุขซึ่งเป็นภาวะทีสงบ แต่ถ้ามีการละเมิดศีลขึ้นมาก็ไม่เป็นปกติสุข ไม่เรียบร้อย ก็เกิดความวุ่นวายสูญเสียความสงบ แต่ภาวะที่ไม่ปกติอย่างนั้นมันก็เริ่มมาจากจิตใจคน ก่อนที่จะแสดงออกภายนอกไม่ปกติ จิตใจก็ไม่ปกติ ถ้าจิตใจปกติก็อยู่เรื่อยๆ ไปตามธรรมดา ความคิดนึกทำอะไร ก็ดำเนินไปตามเรื่อง ในชีวิตประจำวัน แต่พอเกิดความโลภนั้น เช่น ไปลักของเขา นี้ก็ทำผิดปกติออกมาภายนอก หรือมีความโกรธ จิตใจก็ผิดปกติ เมื่อทำตามจิตใจที่ไม่ปกตินั้น ก็ไปฆ่าฟันเบียดเบียนคนอื่น ทำร้ายเขาก็เกิดความไม่ปกติขึ้นในความประพฤติของตน แล้วขยายความผิดปกติออกไปในหมู่ชนในสังคมเรื่อยไป ท่านก็เลยให้ความหมายของศีลในแง่หนึ่งว่า เป็นความปกติ
    การมีศีลทำให้มนุษย์ได้อยู่กันเป็นปกติ เพราะแต่ละคนๆ ก็รักษาสภาพปกติของตน เมื่ออยู่เป็นปกติ จิตใจเป็นปกติแล้ว ไม่ว่าจะพูดจะทำอะไร จะคิดนึกในสิ่งทั้งหลายก็จะทำได้ราบรื่นดี แต่ถ้าจิตใจไม่ปกติ พูดและทำผิดปกติแล้ว ก็จะเกิดความขัดแย้ง ปั่นป่วนวุ่นวาย จะไปคิดทำการทำงานอะไรที่เป็นไปในทางที่ดีงาม ก็เป็นไปได้ยาก มีแต่จะนำไปสู่ความทุกข์ อันนี้ก็เป็นความหมายหนึ่งของคำว่า ศีล
    นอกจากนั้น ศีลก็แปลว่า ความสำรวม ความระวัง ความสำรวมระวัง ก็คือ การรักษาชีวิต หรือการดำเนินชีวิตของเราให้อยู่ในสภาพปกตินั่นเอง เพราะฉะนั้น ที่ว่าสำรวมหรือระวังนี้ก็มาสัมพันธ์กับเรื่องความเป็นปกติ กล่าวคือ เราควรระวังรักษาตัวของเราไม่ให้ล่วงละเมิด ไม่ให้ทำสิ่งที่เป็นพิษภัย ทำให้เกิดโทษแก่ผู้อื่น และความหมายที่ว่าสำรวมระวังนี้ ก็ไปสัมพันธ์กับความหมายอีกอย่างหนึ่งของศีล กล่าวคือ ถ้าเราดูตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในหลักที่เรียกว่า หัวใจพุทธศาสนา ที่พระมักจะสอนในวันมาฆบูชา ท่านบอกว่า หนึ่ง ไม่ทำชั่วทั้งปวงหรือเว้นจากความชั่ว สอง ทำดี และสาม ทำใจให้บริสุทธิ์ อันนี้เราถือกันมาว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา ข้อที่หนึ่งที่ว่าเว้นชั่วนั่นแหละ ก็คือหลักที่เรียกว่า ศีล ศีลอยู่ในหลักหัวใจพระพุทธศาสนาเป็นข้อที่หนึ่ง เพราะฉะนั้น ความหมายของคำว่า ศีล อย่างหนึ่ง ก็คือ การเว้นจากความชั่ว โดยเฉพาะความชั่วสามัญในโลก ก็คือการเบียดเบียนกันของมนุษย์
    เพราะฉะนั้น ความหมายของศีลเบื้องต้นทีเดียว ก็ได้แก่การเว้นจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ที่ว่าสำรวม ก็คือระวังกาย วาจา ของเราไม่ให้ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่ให้ไปพูดร้ายทำร้าย ถ้าเบียดเบียนทางกาย ทำร้ายชีวิต ก็เรียกว่า ปาณาติบาต เบียดเบียนทางทรัพย์สินก็เรียกว่า อทินนาทาน เบียดเบียนในเรื่องคู่ครองก็เรียกว่า กาเมสุมิจฉาจาร เบียดเบียนด้วยวาจา หรือคำพูดก็เรียกว่า มุสาวาท เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนสติสัมปชัญญะของตนก็คือข้อ สุราเมรัย ทั้งหมดนี้ท่านให้สำรวมระวัง คือ สำรวมระวังที่จะไม่เบียดเบียน ไม่ล่วงละเมิด ความหมายของศีลว่าโดยสาระสำคัญก็นี่แหละ คือการเว้นความชั่วงดเว้นจากการเบียดเบียนกัน ต่อจากนั้นก็จะฝึกให้ประณีตยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ศีลที่เป็นเบื้องต้นทีเดียวนั้น สำหรับมนุษย์ทั่วไปท่านเรียกว่า เป็นมนุษยธรรม ถ้าประพฤติปฏิบัติตามศีล ๕ ก็เรียกว่า มีมนุษยธรรม ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติขั้นต้นของความเป็นมนุษย์ ต่อจากนั้นก็พร้อมที่จะทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อเสริมความเป็นมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ที่ดีงาม ตลอดจนเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจเป็นเทพ เป็นพรหม อย่างที่ท่านเรียกว่า มนุสฺสเทโว ก็ได้ หรือแม้กระทั่งเป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด
    อย่างไรก็ดี ถ้าเทียบกันในระบบชีวิตที่เรามีพระสงฆ์เป็นนักบวชฝ่ายหนึ่ง และคฤหัสถ์ฝ่ายหนึ่ง เราก็เรียกศีล ๕ นี้ว่า เป็นคฤหัสถธรรม หรือธรรมะของคฤหัสถ์ ถ้าคฤหัสถ์มีธรรมะ ได้แก่ ศีลเบื้องต้นนี้ ๕ ข้อ ก็เรียกว่ามีคุณสมบัติของคฤหัสถ์ที่ดี แต่ถ้าเป็นพระสงฆ์ก็ถือว่าศีล ๕ ไม่เพียงพอ ต้องบำเพ็ญศีลให้ยิ่งขึ้นไป ถ้าเป็นพระภิกษุก็ ถือว่ามีศีล ๒๒๗ ถ้าเป็นภิกษุณีก็มี ๓๑๑ ข้อ เพราะฉะนั้น ศีลก็เลยมีเพิ่มเติมนอกเหนือยิ่งขึ้นไปกว่าเพียงศีล ๕ เท่านั้น แต่ศีลที่เพิ่มมากขึ้นไปนั้น โดยมากก็เป็นข้อปฏิบัติเพื่อฝึกฝนตน เช่น ศีล ๘ ของญาติโยมความจริงญาติโยมถือศีล ๕ นี้ก็เพียงพอจะเป็นคฤหัสถ์ที่ดีแล้ว แต่เมื่อต้องการจะปฏิบัติฝึกฝนตนให้ยิ่งขึ้นไป ก็จึงถือศีล ๘ ศีล ๘ นี้ถ้าเรียกตามศัพท์ ท่านจัดเข้าในจำพวกวัตร วัตร คือ ข้อปฏิบัติพิเศษที่เราทำเพื่อจะฝึกฝนตนเองขัดเกลากิเลสของตนเอง เพื่อเตรียมจิตให้พร้อมที่จะบำเพ็ญคุณความดีอื่นๆ ให้มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อมีศีล ๕ แล้ว ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนผู้ต้องการความเจริญในธรรมะก็อาจจะไม่หยุดอยู่แค่ศีล ๕ ก็นำเอาศีล ๘ และศีลที่ยิ่งๆ ขึ้นไปมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เจริญงอกงามในธรรม
    อย่างไรก็ดี ถ้าว่าตามหลักปฏิบัติในทางธรรมแล้ว ท่านบอกว่ามีเพียงศีล ๕ ก็เจริญในสมาธิปัญญาได้สำเร็จเพราะว่าศีล ๕ นั้นเมื่อประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ท่านก็เรียกว่าเป็นอธิศีลเหมือนกัน อธิศีลนั้นเมื่อมีแล้ว ก็ทำให้พร้อมที่จะเจริญในอธิจิต ในอธิปัญญาต่อไป เป็นความก้าวหน้าในการบำเพ็ญไตรสิกขา หมายความว่า ผู้มีศีล ๕ ที่ ประพฤติปฏิบัติถูกต้อง สามารถปฏิบัติบำเพ็ญไตรสิกขาให้บริบูรณ์ จนกระทั้งบรรลุความเป็นอริยบุคคลได้ แต่ผู้ใดต้องการจะขัดเกลาตนเองให้ยิ่งขึ้นไป จะนำเอาศีล ๘ ศีล ๑๐ มารักษา ท่านก็อนุโมทนาด้วย อันนี้ก็เป็นความรู้บางอย่างเกี่ยวกับศีล
    มีข้อที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่ง คือ เรื่องที่อาตมภาพได้บอกไว้ว่า ศีลนั้นมีความหมายอย่างหนึ่งว่า การงดเว้นหรืองดเว้นจากความชั่ว ศัพท์ว่า งดเว้นจากความชั่วนี้ ท่านมีคำบาลีให้อีกศัพท์หนึ่งเรียกว่า วิรัติ หรือวิรติ วิรัติหรือวิรติ นี้แปลว่า ความงดเว้น ท่านสอนให้รู้ว่าการงดเว้นที่เป็นศีลนี้ คนเราจะทำได้ ๓ วิธีด้วยกัน เรียกว่า วิรัติ ๓

    วิรัติ ๓ ก็คือ
    ๑. สัมปัตตวิรัติ งดเว้นเมื่อไปประจวบเข้าเฉพาะหน้า หมายความว่า คนเรานี่บางทีก็งดเว้นความชั่วอย่าง
    ฉับพลันในเมื่อไปประสบเข้ากับสิ่งนั้นเฉพาะหน้า
    ๒. สมาทานวิรัติ งดเว้นเพราะได้สมาทานไว้ คือ เราได้ตั้งใจถือศีล รับศีลไว้ ก็เลยปฏิบัติตามที่ตนสมาทาน
    ๓. สมุจเฉทวิรัติงดเว้นโดยเด็ดขาด
    อันนี้อาตมาภาพจะอธิบายย่อๆ เพื่อจะได้เข้าใจหลักการประพฤติปฏิบัติตามศีลไว้
    ประการที่หนึ่ง สัมปัตตวิรัติ งดเว้นเมื่อไปประจวบเข้าเฉพาะหน้า หมายความว่า เราไปประสบเหตุการณ์
    สถานการณ์ที่จะละเมิดศีลขึ้นมา เช่น เดินไปเห็นของของผู้อื่น ซึ่งโอกาสเปิดเต็มที่ว่าเราจะหยิบเอาได้ ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะตัดสินใจเลือกว่าจะทำอย่างไร ในเวลานั้น ถ้าหากเราได้คิดขึ้นมาพิจารณาว่า โอ้ ! เรานี้เป็นพุทธศาสนิกชนไม่สมควรจะทำความผิดความชั่วอย่างนี้ การล่วงละเมิดกรรมสิทธิ์ผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม แล้วงดเว้นได้ไม่เอาของนั้น หรือแม้แต่พิจารณาว่า เรานี้เป็นคนที่เขาเคารพนับถือ ไม่ควรทำความชั่วอย่างนี้ ก็งดได้เฉพาะหน้าในเวลานั้นโดยเหตุผลที่คิดขึ้นมาในบัดนั้นเอง อย่างนี้ท่านเรียกว่า สัมปัตตวิรัติ งดเว้นในเมื่อไปประสบเหตุการณ์เข้าเฉพาะหน้า
    ประการที่สอง สมาทานวิรัติ เราได้สมาทานศีลไว้ ตั้งใจรับศีลเหมือนกับไปสัญญาหรือปฏิญาณไว้แล้ว เมื่อไปประกอบเหตุการณ์เข้า เช่นตัวอย่างเมื่อกี้นี้ ไปเห็นของที่สามารถจะถือเอามาเป็นของตนได้ แต่มาพิจารณาว่าเราได้สมาทานรับศีลไว้แล้ว เป็นคนถือศีลปฏิญาณบอกกับพระไว้หรือตั้งใจกำหนดใจไว้แล้ว เราก็ไม่ละเมิดศีลไม่ทำความชั่วนั้น อย่างนี้ท่านเรียกว่า สมาทานวิรัติ คืองดเว้นเพราะได้ตั้งใจรับเอาไว้ถือเอาไว้ที่จะปฏิบัติอย่างนั้น
    ประการที่สาม สมุจเฉทวิรัติ งดเว้นโดยเด็ดขาด อันนี้หมายถึงว่า ไม่มีกิเลสในใจ คือ ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงเหลืออยู่ในใจเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่มีกิเลสที่จะเป็นเหตุให้ทำความชั่ว ถ้าอย่างนี้แล้วก็เรียกว่า เป็นไปโดยอัตโนมัติ จะไปประสบเหตุการณ์อะไรก็ตามที่จะทำให้ละเมิดศีล ก็ไม่มีทางละเมิด เพราะไม่มีกิเลสที่จะเป็นเหตุให้ละเมิดหรือให้ทำความชั่วนั้นๆ อย่างนี้ท่านเรียกว่า สมุจเฉทวิรัติ ได้แก่การงดเว้นความชั่วของพระอริยบุคคล โดยเฉพาะพระอรหันต์ เพราะไม่มีกิเลสที่เป็นต้นเหตุของการทำชั่วเหลืออยู่เลย เป็นอันว่าไม่ทำความชั่วโดยสิ้นเชิง
    นี้คือวิรัติ ๓ อย่างที่เป็นความรู้ประกอบ เป็นหนทางในการที่จะถือศีล แต่สำหรับพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปมักจะใช้วิธีสมาทานวิรัติ คืองดเว้นโดยสมาทานไว้อย่างไรก็ตามถึงแม้จะไม่ได้สมาทาน ก็ยังมีสัมปัตตวิรัติ คือใช้เหตุผลพิจารณาถึงภาวะของตนเฉพาะหน้านั้น โดยอาศัยหิริโอตตัปปะ ทำให้ไม่ละเมิดศีลไม่ทำความชั่ว นี้ก็เป็นความรู้บางอย่างที่อาตมภาพนำมากล่าวเกี่ยวกับเรื่องศีล
    อยากจะขอปิดท้าย ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับความสำคัญของศีล พระพุทธเจ้าตรัสว่าศีลนั้นมีความสำคัญเหมือนกับเป็นผืนแผ่นดิน หรือพื้นที่เรายืนเรานั่ง พื้นนั้นมีความสำคัญอย่างไร ท่านบอกว่า คนเรานี้จะทำงานทำการอะไรก็ตาม จะต้องมีพื้นเป็นที่เหยียบยันเสียก่อน ถ้าไม่มีพื้นเป็นที่เหยียบยันแล้วเราก็ไม่สามารถทำงานนั้นได้เลย ท่านบอกว่าศีลก็เปรียบเหมือนพื้นแผ่นดิน หรือพื้นที่เราเหยียบยันนั้น ถ้าพื้นแน่นหนามั่นคง ก็ยิ่งทำงานได้ถนัดและได้ผลดียิ่งขึ้น
    ทีนี้ ถึงแม้มีพื้นมีที่เหยียบแล้ว บางคราวพื้นนั้นก็ไม่มั่นคง ถ้าพื้นคลอนแคลนก็ทำงานไม่สะดวก ทำงานไม่ถนัด งานก็อาจจะสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง เช่น ในการตัดต้นไม้ดังตัวอย่างเมื่อกี้ ถ้าพื้นตรงนั้นไม่มั่นคงเช่นเราเหยียบอยู่บนพื้นกระดานที่ปูไว้ไม่ดี คลอนแคลนโยกไปมาเราอาจจะตัดไม่สำเร็จ หรือถ้ากำลังของเราดีและมีดก็คมมากก็อาจตัดได้ แต่ถ้ามีดเกิดไม่คมกำลังของเราก็ไม่ดีก็ไม่มีทางตัดได้สำเร็จ ทั้งหมดนี้ก็สัมพันธ์กัน ถ้าจะเปรียบให้ชัด พื้นดินนั้นก็เหมือนกับศีล กำลังที่ตัดเหมือนสมาธิ ส่วนมีดที่คมเหมือนกับปัญญา ถ้ามีศีลมั่นคงแล้วก็จะเป็นเหตุช่วยให้สมาธิที่เป็นกำลังของเราดีขึ้น แม้เราจะกำลังไม่แข็งแรงเท่าไรแต่พื้นที่มั่นคงนั้นแหละช่วยเราได้ และมีดคือปัญญานั้นแม้จะไม่คมนักก็ยังใช้งานได้สำเร็จ แต่ถ้าศีลของเราไม่มันคงคลอนแคลน เราจะต้องอาศัยปัญญาที่เป็นมีดอันคมกริบและกำลังคือสมาธิที่เข้มแข็งมาก
    อย่างไรก็ตาม เป็นอันว่าศีลเป็นหลักสำคัญในเบื้องต้น เป็นพื้นที่เหยียบยันที่จะทำงานให้สำเร็จ เพราะฉะนั้น
    ท่านจึงสอนให้พุทธศาสนิกชนเห็นความสำคัญของศีลแล้วพยายามที่จะเจริญศีลขึ้นมา รักษาศีลให้เป็นปกติให้เป็นพื้นที่มั่นคงอยู่ในชีวิตจิตใจ ศีลนั้นเป็นพื้นฐานที่มั่นคงในจิตใจของตนเองด้วยในทางสังคมด้วย เมื่ออยู่ภายในใจของตนเอง จิตใจของตนเองก็สงบเยือกเย็น ไม่กระวนกระวาย จะบำเพ็ญสมาธิก็ทำได้สะดวกขึ้น จะคิดนึกอะไรเพื่อเจริญปัญญาก็ทำได้สะดวกปลอดโปร่ง
    ทีนี้ เมื่อแสดงออกมาในภายนอกก็เกิดคุณค่าของศีลในระดับสังคม กล่าวคือ ถ้าคนเราไม่เบียดเบียนกันสังคมมีความเป็นปกติสุข ก็เรียกว่าสังคมนั้นมีความมั่นคงคนจะทำงานทำการทำธุรกิจอะไรก็ทำได้สะดวก แต่ถ้าสังคมนี้มีการเบียดเบียนกันมาก เราจะเห็นว่าแม้จะไปไหนมาไหนก็หวาดระแวงกลัวภัยอันตราย เพราะฉะนั้นจะดำเนินธุรกิจ หรือทำอะไรก็ไม่สะดวกไปทุกอย่างกิจกรรม บางอย่างก็ต้องเว้น เช่น จะไปไหนค่ำคืนก็ไปไม่ได้ หรือจะไปในสถานที่บางแห่งก็ไปไม่ได้ การงานของมนุษย์ก็ติดขัดไม่เป็นไปโดยสะดวก ในระดับสังคมก็ดีในระดับจิตใจก็ดี ศีลก็มีความสำคัญอย่างที่กล่าวมานี้
    เพราะฉะนั้น จึงต้องสร้างศีลไว้เป็นพื้นฐานอันมั่นคงในจิตใจและในสังคม แล้วก็จะทำให้เกิดความพร้อมที่จะดำเนินก้าวหน้าไปในกิจการงานทั้งที่เรียกว่าทางโลกและทางธรรม ทั้งในทางสังคมและในจิตใจของแต่ละคน ศีลมีความสำคัญและอานิสงส์ดังกล่าวมานี้ โดยเฉพาะก็เป็นพื้นฐานที่จะก้าวต่อไปในสมาธิและปัญญา ส่วนเรื่องสมาธิและปัญญาเป็นอย่างไร อาตมภาพคงจะมีโอกาสกล่าวต่อไปในเบื้องหน้า
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 5
    • List
  2. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Mar 26, 2009
    Messages:
    1,042
    Ratings:
    +1,715
    พี่สาวคนสวย..คิดถึงจัง...ทัมรัยอยู่ ...ว่าแต่ว่าบ้านเราเดี๋ยวนี้มีแขกเข้ามาเที๋ยวกันเยอะเลยเนอะ...พี่สาวตั้งใจจะไปที่คำชโนดให้ได้เลยเนอะ..เอ้าเอาจัยช่วย
    ส่วนยาอายุ...วัฒนะ น้องคงจะรอม่ายไหวแย้วละคับ งานนี้คงจะต้องแอบโขมยฝักเคล็ดวิชาคัมภีร์มรกตของพี่ยาใจไปก่อนละกัน55
    สวัสดีสมาชิกใหม่ทุกคนนะคับ...ยินดีต้อนรับ *-*
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List
  3. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Feb 21, 2009
    Messages:
    1,939
    Ratings:
    +4,568
    ตอนนี้ยอดผู้เยี่ยมชมกระทู้เรา 962 แล้วนะคะ ^^

    เจริญในธรรมทุกท่านจ้าา

    **สวัสดีตอนเที่ยงชาวกระทู้นะคะ


    อย่าลืมทานข้าวกันนะคะ

    [​IMG]
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List
  4. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Jan 13, 2009
    Messages:
    788
    Ratings:
    +2,107
    ในสัปดาห์ใหม่นี้ ผมคงจะได้โพสข้อความน้อยลง เพราะติดสอบครับ :cool::cool: ชีวิตเด็กมหาลัย ฮ่าๆๆๆ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
  5. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Feb 21, 2009
    Messages:
    1,939
    Ratings:
    +4,568
    ปู่คำคะนิงกับการเผชิญพญานาค

    ถ้ำมืด- ถ้ำพญานาค<o></o>
    หลวงปู่คำคะนิงเคยรับฟังเรื่อง ถ้ำมืด ซึ่งอยู่ใกล้กับฝั่งภูปังฝั่งไทย เขตโขงเจียม และอยู่เลย อ.บ้านด่านขึ้นไปทางเหนือ มีชาวบ้านและพระธุดงค์กล่าวถึงถ้ำมืดแห่งนี้ว่า เป็นที่อยู่ของชาวลับแลหรือชาวบังบด ภายในถ้ำมีเหล็กไหลกายสิทธิ์ซึ่งเป็นสมบัติที่ชาวบังบดหวงแหนยิ่ง แต่ถ้าใครมีวาสนาบารมีเข้าไปในถ้ำมืด ชาวบังบดจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมกับมอบแก้วแหวนเงินทองของมีค่าให้ หรือไม่ก็จะมอบพระพุทธรูปทองคำให้กลับออกมาบูชากราบไหว้<o></o>
    นอกจากเรื่องพิสดารพันลึกดังกล่าวแล้ว ภายในถ้ำมืดยังมีช่องทางลงไปสู่นครเร้นลับใต้บาดาล อันเป็นเมืองของพญานาคซึ่งอยู่ใต้แม่น้ำโขง เมืองพญานาคเหล่านี้เล่าลือกล่าวขานกันว่าเป็นเมืองใหญ่โตมโหฬาร มีสมบัติล้ำค่ามากมาย
    เรื่องเมืองใต้บาดาลของพญานาค เรื่องอุโมงค์ใต้พิภพ ตลอดจนเรื่องสมบัติล้ำค่าต่างๆนั้น มิใช่เป็นเรื่องเล่าขานอีกต่อไป เพราะได้มีพระธุดงค์กัมมัฏฐานมีฌานหลายรูปนั่งทางในดูแล้วยืนยันตรงกันว่ามีจริงๆ<o></o>
    เหตุนี้ได้มีคนโลภหลายกลุ่มปรารถนาอยากได้ทรัพย์สมบัติตลอดจนวัตถุโบราณล้ำค่า ได้พากันเข้าไปในถ้ำมืด เมื่อลงไปในถ้ำมืดแล้วกลับไม่พบเห็นช่องอุโมงค์อะไรเลยนอกจากผนังถ้ำตันทุกด้าน ภายในถ้ำไม่มีวี่แววของเหล็กไหล หรือสิ่งของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว พวกที่ลงไปในถ้ำมืดจึงต้องกลับขึ้นมาด้วยความผิดหวัง
    มีคนโลภกลุ่มหนึ่งพากันบุกเข้าไปในถ้ำมืดเพื่อหวังจะพบสมบัติมีค่าบ้าง เข้าไปในถ้ำแล้วก็เจอกับทางตันไม่มีของให้หยิบฉวยมาเป็นของตน คนกลุ่มนี้จึงเกิดความไม่พอใจอย่างแรงกล่าวโทษนินทาพระธุดงค์กัมมัฏฐานว่าโกหกหลอกลวง โดยไม่สำนึกถึงตัวเองบ้างว่า ที่พวกตนตะเกียกตะกายลงมาในถ้ำมืดนี้ก็เพราะความละโมบโลภมากโดยแท้<o></o>
    ทันใดนั้นอาถรรพ์ของถ้ำมืดก็สำแดงฤทธิ์ให้ปรากฏทันที โดยจู่ๆ กลุ่มคนโลภนับสิบคนกลับมองไม่เห็นคนอื่นๆ เห็นแต่ตัวเองคนเดียวทั้งๆที่แต่ละคนต่างถือคบไฟสว่างไสว<o></o>
    ยิ่งไปกว่านั้นก็มองไม่เห็นทางออกจากถ้ำซึ่งตอนเข้ามาเข้ามาง่ายดายมาก ทุกคนต่างตื่นตระหนกแทบสิ้นสติ ต่างกู่ก้องร้องตะโกนหากัน คนกลุ่มนี้โดนขังไม่มีข้าว น้ำกิน หิวน้ำทนไม่ไหวถึงขั้นต้องดื่มปัสสาวะตนเอง จนถึงวันที่ ๑๖ จึงได้ออกมาจากถ้ำมืดได้ แต่ละคนแทบคลานออกมาไม่ไหว และเข็ดหลาบอาถรรพ์ถ้ำมืดไปจนวันตายทีเดียว<o></o>
    หลวงปู่คำคะนิงสดับตรับฟังเรื่องการเล่าขาน เกี่ยวกับถ้ำมืดแห่งนี้ด้วยความวางเฉย เพราะท่านไม่ต้องการเหล็กไหลกายสิทธิ์ใดๆเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์แล้วบรรลุมรรคผลนิพพานได้เลย จะมีคำเล่าลือที่ทำให้หลวงปู่คำคะนิงสนใจบ้างก็คือ มีชาวบ้านเคยพบงูใหญ่ขนาดเท่าลำตาลเลื้อยออกมาจากถ้ำแล้วหายเข้าไปในป่า ทำให้คนซึ่งบังเอิญไปเห็นเข้าก็ อกสั่นขวัญผวาไปนานวันทีเดียว หลวงปู่เชื่อว่างูยักษ์ที่ชาวบ้านพบเห็นคือพญานาคมากกว่างูธรรมดา


    <o></o>
     
    Last edited: Dec 20, 2009
    • ถูกใจ ถูกใจ x 3
    • List
  6. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Feb 21, 2009
    Messages:
    1,939
    Ratings:
    +4,568
    วันหนึ่ง...<o></o>
    อาจารย์คำดี บ้านแก่งยาง พาชาวบ้านจังหวัดศรีสะเกษมาหาหลวงปู่คำคะนิงถึง ๒ คันรถ จุดประสงค์ของพระอาจารย์คำดีต้องการจะไปถ้ำมืดเพื่อค้นหาพระพุทธรูปโบราณในถ้ำ จะได้อาราธนาไปกราบไหว้บูชา สำหรับชาวบ้านกลุ่มใหญ่มุ่งหมายอยากได้เหล็กไหลกายสิทธิ์ในถ้ำมืดเป็นสำคัญ<o></o>
    ในกลุ่มชาวบ้านทั้งหมดนั้น มีฆราวาสที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์แก่กล้าอยู่หลายคน และฆราวาสพวกนี้แหละที่จะเข้าไปตัดเหล็กไหล พระอาจารย์คำดีและญาติโยมซึ่งเป็นผู้ติดตาม ไม่กล้าบุกรุกเข้าไปในถ้ำมืดเพียงลำพัง เนื่องจากหวาดเกรงอาถรรพ์ของถ้ำตลอดจนภัยอันตรายอันเร้นลับ ที่อาจทำให้ดับดิ้นสิ้นชีวิตเอาง่ายๆ พระอาจารย์คำดีและญาติโยมชาวศรีสะเกษจึงมานมัสการหลวงปู่คำคะนิง อ้อนวอนขอร้องให้ท่านไปด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าหลวงปู่คำคะนิงช่วยคุ้มครองอันตรายได้ หลวงปู่คำคะนิงไม่อยากขัดศรัทธารวมทั้งสนใจเรื่องงูยักษ์อยู่แล้วจึงตกลงร่วมทางไปด้วย<o></o>
    เมื่อทั้งหมดเดินทางมาถึงหน้าถ้ำมืด ชาวบ้านที่ไม่มีวิชาอาคมไม่กล้าเข้าไปในถ้ำ<o></o>
    ตกลงกันว่าจะรอคอยอยู่หน้าถ้ำ <o></o>
    หลวงปู่คำคะนิง พระอาจารย์คำดีและพวกโยมเข้าไปถ้ำมืดโดยใช้คบไฟเป็นแสงส่องทาง เพราะภายในถ้ำปกคลุมด้วยความมืด ภายในถ้ำมีขนาดกว้างใหญ่มากแทบจะบรรจุคนได้นับหมื่น<o></o>
    ปู่คำคะนิงเดินสำรวจรอบๆบริเวณ พบว่ามีธารน้ำใสไหลรอดจากใต้ภูเขาผ่านถ้ำ ด้านหนึ่งมีบาตรโบราณเก่าๆ บรรจุพระเครื่องแตกหักชำรุดอยู่เต็มบาตร ใกล้ๆกันมีซากผ้าไตรผุๆซุกอยู่แสดงว่าอาจมีการมาแก้บนผีสางเทวดาก็เป็นได้ หลวงปู่คำคะนิงใช้คบไฟสำรวจผนังทุกด้าน ไม่เห็นมีช่องทางใดๆที่เจาะทะลุไปสู่ภายในและลึกล้ำไปกว่าถ้ำด้านหน้านี้อีก ดังนั้นถ้ำนี้จึงเป็นถ้ำตัน ส่วนพระอาจารย์คำดีและญาติโยมไม่พบร่องรอยเหล็กไหลใดๆ ฆราวาสผู้มีวิชาอาคมทางไสยเวท จึงทำพิธีเซ่นสรวงสักการะเจ้าเขาเจ้าถ้ำ ขอพระพุทธรูปโบราณและเหล็กไหลเพื่อนำไปบูชา โดยหลวงปู่คำคะนิงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพิธีนั้นแต่หลวงปู่แยกออกมาอีกมุมหนึ่งนั่งเจริญฌานสมาธิ เพื่อตรวจสอบบางสิ่งที่ตาเนื้อไม่เห็น แต่สามารถเห็นได้ด้วยตาใน<o></o>
    นิมิตที่ปรากฏแก่หลวงปู่คำคะนิง เห็นผนังถ้ำด้านหนึ่งใสกระจ่างคล้ายกระจก เบื้องหลังผนังถ้ำนั้นมีบ่อกว้างขนาดใหญ่พอสมควร ในบ่อหินมีก้อนหินอีกก้อนหนึ่งจมน้ำอยู่รูปร้างคล้ายจระเข้โผล่ส่วนหัวขึ้นมา เสียงในนิมิตบอกว่าให้ก้าวข้ามหรือลอดใต้จระเข้หินแล้วจะพบประตูลับแลเข้าสู่ถ้ำภายใน<o></o>
    หลวงปู่คำคะนิงรู้เช่นนั้นก็ถอนจิตออกจากสมาธิ แล้วลุกขึ้นเดินไปสำรวจดูผนังถ้ำด้านที่เห็นในนิมิต คราวนี้หลวงปู่มองเห็นหินย้อยลงมาเป็นซอกหลืบเล็กๆ เมื่อยอบตัวลงนั่งยองๆดู ก็เห็นโพรงเล็กๆ ขนาดคนคลานลอดไปได้ อยู่หลังหลืบหิน ภายในโพรงนั้นมืดมิด หลวงปู่ไม่รู้เหมือนกันว่าโพรงนี้จะตันหรือเปล่า และอาจเป็นที่อยู่อาศัยของงูยักษ์ก็ได้<o></o>
     
    Last edited: Dec 20, 2009
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List
  7. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Feb 21, 2009
    Messages:
    1,939
    Ratings:
    +4,568
    แต่ที่น่าพิศวงก็คือ หลวงปู่คำคะนิงได้สำรวจตรงผนังถ้ำนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนมาแล้วในตอนแรกกลับมองไม่เห็นหินย้อย เมื่ออกจากฌานแล้วจึงเห็น<o></o>
    ขณะเดียวกันทางฝ่ายฆราวาสก็ได้เข้าฌานทุกคน ตอนนี้ต่างลุกขึ้นมายืนเป็นกลุ่มรวมทั้งพระอาจารย์คำดีด้วย เมื่อหลวงปู่เดินไปถึงกลุ่ม จึงบอกให้รู้ว่าได้พบโพรงที่จะลอดเข้าไปในถ้ำ ขอให้ทุกคนเตรียมตัวไปด้วยกัน แทนที่คนกลุ่มนั้นจะดีใจกลับแสดงอาการหวาดกลัว หนึ่งในกลุ่มบอกว่าในนิมิตเห็นงูยักษ์ตัวมหึมาเหมือนๆกัน ไม่กล้าเข้าไปแล้วจะรออยู่ปากถ้ำแทน<o></o>
    หลวงปู่คำคะนิงชวนพระอาจารย์คำดีไปด้วยกัน พระอาจารย์คำดีปฏิเสธ ยอมรับว่ากลัวมาก<o></o>
    หลวงปู่จึงสั่งให้ทุกคนไปรออยู่นอกถ้ำเพราะอาจเจอกับสิ่งลึกลับทำให้ตกใจจนวิ่งไปตกเหวได้ ทุกคนจึงรีบออกไปเหลือปู่คำคะนิงในถ้ำเพียงรูปเดียว หลวงปู่คำคะนิงตระหนักแก่ใจว่า การจะมุดลอดเข้าไปในโพรงแคบๆนั้นอันตรายมากเพราะโพรงดังกล่าวไม่รู้จะไปสิ้นสุดที่ไหนยากจะคาดเดาได้ ก่อนจะคลานลอดเข้าไปในโพรง หลวงปู่คำคะนิงได้กำหนดจิตแน่วแน่ แล้วเปล่งเสียงอธิษฐานว่า สาธุนโม อันว่านมัสการแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นสรณะที่พึ่งสูงสุด อาตมภาพจักขออนุญาตเข้าไปในถ้ำสถานอันลึกลับแห่งนี้ ขอปวงเทพยเจ้าทั้งหลาย อันมีเจ้าป่า<o></o>
    เจ้าเขา เจ้าถ้ำ ตลอดจนยักษ์ คนธรรพ์ แลพญานาคทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ ณ ถ้ำสถานแห่งนี้ จะได้รับทราบและเปิดทางสะดวกให้แก่อาตมภาพด้วยเถิด อาตมภาพประสงค์จะชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นบุญวาสนา บุญหูบุญตา ถ้าหากมีจริงก็ขอให้สมดังปรารถนา มิได้หวังทรัพย์สิน สิ่งใดๆ”<o></o>
    อธิษฐานด้วยจิตบริสุทธิ์แล้ว หลวงปู่คำคะนิงก็ได้ล้วงเอาเทียนขนาดใหญ่ในย่ามซึ่งเตรียมมาหลายห่อ จุดเทียนแล้วก้มตัวลง มุดคลานผ่านเข้าไปในช่องอุโมงค์แคบๆนั้น เข้าไปได้ประมาณ ๒๐๐ วาก็ทะลุออกมายังถ้ำอีกถ้ำหนึ่ง มีเพดานสูงแต่มีความกว้างประมาณ ๕ วาเท่านั้น มีหินสีขาวหม่นหยาดย้อยลงมาจากเพดานถ้ำ ประหนึ่งม่านระย้า ส่วนพื้นถ้ำมีตะพักหินเหมือนเป็นบันไดที่ธรรมชาติสร้างขึ้นซ้อนเป็นชั้นๆขึ้นไปบนตะพักเป็นแอ่งน้ำใสแจ๋วเต็มเปี่ยมถึงขอบบนสุด กลางแอ่งน้ำมีหินรูปร่างเหมือนจระเข้ขนาดใหญ่นอนขวางจมน้ำปริ่มๆ เบื้องหลังจระเข้หินมีปากอุโมงค์ตรงผนังถ้ำด้านหลังสุด อุโมงค์ช่องนี้มีขนาดกว้างพอจะมุดลอดผ่านเข้าไปได้ และภายในอุโมงค์นั้นมืดมิด หลวงปู่คำคะนิงเห็นสภาพภายในถ้ำนี้ตรงกันกับในนิมิตทุกประการทำให้ท่านมั่นใจว่า การเข้าไปในถ้ำมืดส่วนลึกเข้าไปอีก คงได้พบกับสิ่งอัศจรรย์ตามที่ต้องการเข้ามาดูชมอย่างแน่นอน <o></o>
    หลวงปู่คำคะนิงเดินขึ้นบันได้ตะพักหินไปถึงขอบแอ่งน้ำแล้วก้าวลงไป น้ำในแอ่งลึกขนาดเอว หลวงปู่ไปถึงจระเข้หินจึงปีนป่ายหมายจะข้ามหลังมันเข้าไปในอุโมงค์ แต่จระเข้หินได้ยกตัวพรวดขึ้นมาปิดบังปากอุโมงค์เอาไว้อย่างไม่น่าเป็นไปได้<o></o>
    หลวงปู่จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า อาตมภาพขอเข้าไปดูเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใดเลย”<o></o>
    แปลกเหลือเชื่อ ทันที่ที่หลวงปู่กล่าวจบ จระเข้ได้จมวูบลงไปใต้น้ำ เป็นการแสดงว่าเข้าไปได้ หลวงปู่จึงข้ามหลังจระเข้มุดเข้าไปในอุโมงค์ โดยอาศัยแสงเทียนนำทาง <o></o>
    ช่องอุโมงค์ที่หลวงปู่เข้าไปนั้น ลาดต่ำลงไปประมาณ ๓๐ วา ก็ทะลุสู่คูหาถ้ำกว้างใหญ่ เพดานถ้ำมีลักษณะโค้งสูง วิจิตรตระการตาด้วยหินย้อย น้อยใหญ่หลากสี หลวงปู่คำคะนิงพาตัวออกมาพ้นช่องอุโมงค์สู่พื้นถ้ำ แล้วมิทันได้พิจารณาสภาพของถ้ำโดยละเอียด ก็พลันยืนตะลึงไปชั่ววูบกับสิ่งที่ได้เห็นนั่นก็คือพญางูยักษ์ตามที่ชาวบ้านเล่า และเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งในนิมิต พญางูตัวนั้นขดลำตัวขนาดโคนต้นตาลใหญ่หรือลำตัวใหญ่ประมาณถัง ๒๐๐ลิตร ความยาวนั้นยากเกินจะประมาณได้<o></o>
    ถ้าเป็นคนธรรมดาเห็นคงจะเป็นลมล้มพับแน่ๆ แต่หลวงปู่คำคะนิงไม่กลัวแต่ก็ขนลุกซู่ หลวงปู่รีบกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก ภาวนาพุทโธไว้ในใจเรื่อยๆ เมื่อกำหนดจิตภาวนาพุทโธแล้ว หลวงปู่คำคะนิงได้บอกแก่พญางูดังๆว่า อาตมาถือสัจจะที่เข้ามาในนี้ มาเพื่อขอดูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองของท่าน ถ้ามีอะไรก็ขอดูขอชมให้เป็นบุญตาเท่านั้น เมื่อหลวงปู่คำคะนิงกล่าวจบ พญางูใหญ่ซึ่งชูคอจ้องมองพระภิกษุผู้บุกรุกเข้ามา ประหนึ่งเข้าใจในจิตเจตนาอันบริสุทธิ์ของหลวงปู่ส่วนหัวอันชูร่าก็ค่อยๆลดลง แล้วงูยักษ์ก็ผงกหัวขึ้นลงเป็นสัญญาณให้หลวงปู่ตามไป หลวงปู่ก็ตามไปเรื่อยๆ หลวงปู่จำได้ว่าเส้นทางนี้มุ่งสู่ทางทิศตะวันออก อันเป็นทิศทางสู่แม่น้ำโขง อุโมงค์นี้ยาวมาก หลวงปู่ใช้เทียนหมดไปหลายเล่มและเดินจนรู้สึกเหนื่อยแต่เมื่อหลวงปู่พักเหนื่อย งูยักษ์ก็จะทำหัวขึ้นลงให้ตามไปอีก ท่านใช้เวลาเดินเต็มๆ ๑ วัน เมื่อเดินไปถึงถ้ำกว้างใหญ่อีกถ้ำหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายท้องพระโรงพระราชามีความสวยงามมาก ถึงตอนนี้เทียนหลวงปู่ก็ดับบ่งบอกว่าไม่มีออกซิเจนสำหรับหายใจ ท่านจึงรีบกำหนดจิตว่า อาตมภาพต้องการเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น อย่าเพิ่งตายเดี๋ยวนี้เลย อธิษฐานจบ ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกก็หายเป็นปลิดทิ้ง ความเหนื่อยล้ากลายเป็นกระปรี้กระเปร่า งูยักษ์จึงผงกหัวให้เดินทางต่อ เลยจากถ้ำใหญ่ออกไป หลวงปู่คำคะนิง<o></o>
    บรรลุสู่ถ้ำกว้างใหญ่ หลวงปู่ก็พบสิ่งมหัศจรรย์คือเพดานถ้ำเหนือศีรษะกว้างยาวประมาณ ๒๐ วา เป็นหินใสเหมือนกระจก เหนือเพดานถ้ำใสนั้น คือสายน้ำไหลเอื่อย หลวงปู่รู้สึกด้วยจิตตัวเองว่านั่นคือถ้ำพญานาคใต้แม่น้ำโขงนั่นเอง งูยักษ์พาหลวงปู่คำคะนิงไปชมเมืองบาดาลเป็นเวลา ๓ วันโดยมีเส้นทางเป็นอุโมงค์และถ้ำมากมาย ซึ่งเชื่อมติดต่อกันทั้งหมด ภายในถ้ำคูหาต่างๆนั้น เรืองรองด้วยประกายอัญมณีหลากสีงดงามแพรวพราวสุดจะพรรณนาได้ ตลอดเวลา ๓ วัน ๓ คืนที่หลวงปู่ได้ไปเมืองพญานาคนั้นได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่างและเมื่อเดินทางกลับหลวงปู่ก็ไม่ได้หยิบฉวยอะไรออกมาตามสัจจะที่ได้ตั้งไว้ โดยเมื่อท่านกลับมาถึงถ้ำมืดทางเข้าอีกครั้งท่านก็พบอาจารย์คำดีและฆราวาสที่รออยู่ถึง ๓ วัน ๓ คืน<o></o>
    นี่คือประสบการณ์มหัศจรรย์ของหลวงปู่คำคะนิง จุลมณีแห่งสำนักสงฆ์ถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ผู้มรณภาพไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ เวลา ๑๑.๑๓ น.<o>

    **ไฟล์ที่แนบเป็นงานที่ครูให้พิมพ์ส่ง(เรื่องอะไรก็ได้ หยีเลือกเรื่องพญานาค) ว่าจะลงนานแล้วเพิ่งคิดออก ^^รวมเรื่องต่างๆเกี่ยวกับพญานาคไว้ อยากอ่านก็จิ้มได้เลยค่ะ
    </o>
     

    Attached Files:

    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List
  8. รัตนภูมินทร์

    รัตนภูมินทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Feb 5, 2009
    Messages:
    219
    Ratings:
    +319
    แต่ละท่านล้วนมีข้อมูลเยอะกันดีจังนะคับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List
  9. คาฮิลเอลซา

    คาฮิลเอลซา เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Nov 5, 2009
    Messages:
    76
    Ratings:
    +1,316
    องค์จ้าวหล้า ศรีสัตตนาคาบาดาล

    ขอถามคุณ สิงหนวัติหรือคุณวรุณบุตร หรือ คุณไหนๆ ก็ได้ ค่ะ
    ท่านเป็น ลูกครึ่งกึ่งมนุษย์กึ่งพญานาค พระนัดดา ของพญาสนธินาคราชและองค์นางพญานาคิณีภาวนา ใช่ไหม อ่านเจอว่าท่านมีเสด็จแม่เป็นนางพญานาคี ผู้เป็นพระธิดาของพญานาคราชสนธิ และ พระบิดาทรงเป็นมนุษย์ ตามกฎนาคาที่เคยอ่านเจอ
    พบว่าถ้า บุตรที่เกิดจาก นางนาคี กับมนุษย์ จะต้องอยู่ที่เมืองมนุษย์เป็นที่รังเกียจสำหรับเมืองพญานาค แต่สำหรับ บุตรที่เกิดจากพญานาคและพระมารดามนุษย์นี่ ได้อภิสิทธิ์ เพราะถือเชื้อสายพระบิดาเป็นใหญ่ อยู่เมืองบาดาล
    ได้อ่าน คำถอดความ ของคุณชนารัญ ร้านบูชา พญานาค ท่าเสด็จหนองคาย
    องค์เจ้าหล้า ได้ให้ข้อคิดดีๆคำคมๆไว้เป็นประโยชน์มาก แถมบางที่ท่านก็มีคำเหน็บแนม มนุษย์อุจจาระเหม็น ได้ แสบๆ คันๆ (แกมฮาด้วยเวลาอ่าน )
    ไม่ทราบว่าคุณมีถ้อยคำขององค์จ้าวหล้า ของคุณชนารัญ ไหม เพราะ มันมีคำถอดความต่อ เรื่องความสุข ที่หาไม่ได้ อะไรสักอย่างนี้แหละ แต่จนใจจริง ว่าจะไปหาที่ไหน ได้มาแค่ เอกสาร ปึกเดียว ถอดความไม่ครบ ครั้นจะไปท่าเสด็จ หนองคาย ก็ยังไม่มีเวลา เพราะอยู่ กรุงเทพฯ ไปมาๆ กับนครศรีธรรมราช
    วานท่านผู้รู้ช่วยวิสัชณาที จะเป็นพระคุณสุดๆ คงไม่รบกวนจนเกินเหตุ
    ปล. หมายเหตุ องค์จ้าวหล้า ศรีสัตตนาคาบาดาล เป็นลูกครึ่งมนุษย์พญานาค อยู่ ห้วยวังฮู พระนัดดาของ พญาสนธินาคราช และ องค์นางพญาภาวนานาคิณี ซึ่ง พิกัดในตำแหน่ง ลองจิจูดและ ละติจูด บนโลก อยู่ ใกล้ ซอย จอมมณี ๗ ถนนแก้ววรวุฒิ
    [​IMG] surprise.jpg
     

    Attached Files:

    Last edited: Dec 20, 2009
    • ถูกใจ ถูกใจ x 3
    • List
  10. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Jan 9, 2009
    Messages:
    233
    Ratings:
    +289
    มาเฝ้าบ้านยามราตรี คร้าฟ โย่วๆ มันเงียบมันเย็นดีจัง สักพักค่อยไปนอนละกัล
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List
  11. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Jan 13, 2009
    Messages:
    788
    Ratings:
    +2,107
    ผมมาเฝ้าต่อ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
  12. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Jan 9, 2009
    Messages:
    233
    Ratings:
    +289
    นอนดึกจัง ระวังกลายร่างเห็นหลินปิงนะ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
  13. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Jan 9, 2009
    Messages:
    233
    Ratings:
    +289
    ไปนอนก่องนะ คร้าฟ ปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแระ
     
  14. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Oct 28, 2009
    Messages:
    1,367
    Ratings:
    +2,126
    กลับมาแย้วครับ คิดถึงจางเลยครับทุกคน
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
  15. วรุณบุตร

    วรุณบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    May 15, 2008
    Messages:
    926
    Ratings:
    +1,018
    กลับมาจากวัดถ้ำดงเข จังหวัดชัยภูมิแล้วครับ มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ก่อนไปคณะเราก็ไปนครสวรรค์ไปถวายปัจจัยและเครื่องไทยทานร่วมถวายหลวงพ่อมั่น และ หลวงพ่อไผ่ เลี้ยงพระ 900 รูปและในงานมีพิธีเททองหล่อรูปเหมือนเสด็จเตี่ย และหลวงพ่อเดิม จากนั้นก็วิ่งตรงมายังวัดถ้ำดงเข มาถึงเราก็ทำความสะอาดถ้ำเพื่อเตรียมติดอัญมณีองค์พระ และ เตรียมพิธีบวงสรวง ยกฉัตรองค์พระ ถวายระฆัง ฆ้อง และกลอง (แต่เหมือนคณะเราจะหมกมุ่นกับการทำอาหารกันมาก เหมือนไปกินข้าวป่ากันเลย) ตกเย็นก็มานั่งสนทนากับหลวงพี่จาตุรน ท่านเป็นพระที่มีภูมิรู้เรื่องการปฎิบัติดีมากและเรื่องพระเครื่อง และเรื่องอาถรรย์ต่าง ๆ ดึกมาสักหน่อยท่านก็บอกให้ออกมาดูดาวข้างนอก มาดูวิว เหมือนโฆษณาของ ททท เลยที่เบิร์ด พาดูหมู่ดาวทั้งหลายนะสวยดี เนื่องด้วยคณะเรามากันถึงที่นี้แล้วก็ควรจะฝึกภาวนากันเพราะเป็นสถานที่ที่สงัดนัก ก็เลือกนั่งบริเวรบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์กับลูกศิษย์หลวงพี่ (สัมผัสได้ว่าเค้ามีจิตญาณของพระนาคาอยู่) จิตก็นิ่งดีสบายดีสงบดี สักพักก็ได้ยินเสียงแม่พิชญ์ปั่นธาตุอยู่ ไอ้ตัวเราก็ได้สวดมนต์ออกมาเสียงดังมาก (ไม่ค่อยได้สวดมนต์เสียงดังเต็มเสียงขนาดนี้มาก่อน ) รู้แล้ววันนี้มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นแน่สักพักหัวหน้าคณะเรา ก็เดินรอบสระ แล้วมาหยุดอยู่หลังเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ (ปกติเวลาจิตเค้าดิ่งลึกสู่สมาธิจะเป็นแบบนี้) ท่านผู้ที่รอคณะเรา และผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ได้ผ่านญาณมาคุยกับพวกเรา (โดยเฉพาะกับตัวเองรู้ตั้งแต่มาครั้งแรกแล้วว่าที่นี้มีความสัมพันธ์กับเรายังไง) ก่อนอื่นเราก็สวดมนต์บูชาสมเด็จปู่พญาศรีสุทโธนาคราชจ้าวก่อนและได้สนทนากับท่านเรื่องที่คณะเรามาบูรณะถ้ำ และ เรื่องบวงสรวงและ เรื่องอื่น ๆ อีกมาก(จำไม่ได้หละ ) ท่านมาให้กำลังใจเราและมาโมทนาและยินดีกับการมาของคณะเราในการทำบุญครั้งนี้และอยากให้มาอีกและได้ขอให้ท่านช่วยปั่นธาตุและช่วยสอนสมาธิให้ ท่านก็ช่วยพอสักพักที่ท่านจะไปท่านบอกว่า เด็ก ๆ (ในที่นี้หมายถึงนาคน้อยและญาติ ๆ เราทั้งหลายจะมาทักทาย) อยากให้ลงไปหาในถ้ำ ตอนแรกก็คิดอยู่แล้วว่าคืนนี้จะลงถ้ำ แต่ก็มีเพื่อน ๆ หลายคนลงไปด้วยเราก็สวดมนต์ และอุทิศส่วงกุศลให้เค้าแล้วก็ขึ้นมาพักผ่อนก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว พอนอนไปสักประมาณ ตีสอง ก็มีสายลมเย็นคณะใหญ่คณะนึงมาจากถ้ำไอ้เราก็รู้และทักทายบ้างแต่ว่าเหนื่อยมากแล้วก็ขอนอนเอาแรงไว้บวงสรวงพรุ่งนี้หละกัน พอตอนเช้าจัดเครื่องบวงสรวงเสร็จเนื่องจากคณะเราเป็นคณะบุญเรื่องงานพิธีการบางอย่างเรายังไม่คล่องอาจมีของไม่ครบ บางอย่างแต่ก็ด้วยจิตศรัทธาเป็นหลักที่พวกเรามีเหมือนกัน ท่านก็ผ่านญาณหัวหน้าคณะมาขอบใจ และ อวยพร (มาไม่นานเหมือนเมื่อคืน) บ่อนำข้างหลังถ้ำ (ที่เป็นทางขึ้นลง ของท่าน ๆ ทั้งหลาย) ก็มีเสียงแวกว่ายในบ่อ เราก็มีการตีฆ้อง กลองระฆังให้ท่านทั้งหลายมาโมทนาและทำการยกฉัตร เพื่อนที่มาด้วยได้บอกว่าปู่เรามาเป็นประธานและ ท่านท้าวเวสสุวรรณท่านได้ให้เทพบริวาร 2 องค์ (ยักษ์) มาช่วยดูแลสถานที่นี้ เสร็จพิธีบวงสรวงเราก็บูรณะองค์พระ และเปลี่ยนรูปภาพพระมหากษัติย์ไทยทั้งหลาย มีพระนเรศ(เมื่อก่อนสถานที่นี้เป็นทางเดินทัพของพระองค์ไปปราบพระยาละแวกที่เขมร) พระเจ้าตากสิน นพรัชการรัตนโกสินทร์ ในหลวง และ พระราชินี และสมเด็จย่า และทำการยกฉัตร และประดับอัญมณีองค์พระ เสร็จแล้วหลวงพี่จาตุรน ก็สวดสมโภชและให้พรคณะเรา เสร็จแล้วก็กราบนมัสการลาท่าน ๆ แล้วก็เดินทางกลับ
     
    Last edited: Dec 22, 2009
    • ถูกใจ ถูกใจ x 3
    • List
  16. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Oct 28, 2009
    Messages:
    1,367
    Ratings:
    +2,126
    คิดถึงจางเลยทุกคน เมื่อเข้าเน็ตไม่ได้ครับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
  17. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Mar 26, 2009
    Messages:
    1,042
    Ratings:
    +1,715
    ;k06ตอนเด็กตาเคยสอน และภรรยาของท่าน คุณยาย คอยเสริม .. ท่านบอกว่าเราสามารถหยิบและยกธรรมชาติรอบตัวขึ้นพิจารณา สุดแท้แต่ว่าเราจะมองสิ่งไหนให้กลายเป็นธรรมะ ก้อนหิน ดิน ต้นไม้ ไม่เว้นต้นหญ้า!
    หากแต่เรารู้จักมองและหยิบยกขึ้นมาพิจารณา...ทว่าการมองสิ่งเหล่านี้ต้องมองให้เห็นถึงแก่นแท้..ใช่มิผิดต้องมองให้ถึงธาตุ นักวิทยาศาสตร์บอกสสารไม่สูญหาย สสารเป็นพลังงาน จริง! หากเรามองและแยกให้ละเอียดจะเห็น..
    ทุกอย่างเป็นพลังงาน เมื่อก่อนนักวิทยาศาสตร์บอกธาตุที่เล็กกว่าคือ อะตอม จริงเพราะวิทยาศาสตร์ไปได้ไกลแค่นั้น..แต่เดี๋ยวนี้มิใช่ สสารที่เล็กกว่า อะตอม คือ ควาร์ก เห็นมั้ย ทุกคนเชื่อวิทยาศาสตร์ เชื่อเพราะมันพิสูจห์ได้..แต่มนุษย์ค้านพระพุทธเจ้า ทั้งที่พระองค์ทรงเป็นทั้งปราญช์และศาสดาเอกของโลก เรื่องเหล่านี้พระองค์ทรงรู้และได้กล่าวไว้ก่อนแล้วทั้งสิ้น..พระไตรปิฏกมีลองหา..!
    ตาเคยถามว่าต้นไม้มีชีวิตไหม เราตอบไม่มี..ตาขำเสมองด้วยสายตาเอ็นดู ..มนุษย์มักเชื่อแต่สิ่งที่ตาเห็น ส่วนที่ไม่เห็นมายา หลอกลวงไม่จริง หากแต่ไม่พยายามศึกษาให้เข้าใจ หากต้นไม้ไม่มีชีวิตทำไมมันถึงสามารถหยั่งรากลงไปในดินเพื่อหาน้ำได้ ทำไมมันถึงสังเคราะห์แสงได้ และทำไมต้นไม้บางต้นถึงกินแมลง (ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง) ฮึ! ทางพระท่านเรียกว่าเจตจำนงค์ ถามว่าทำไมมะม่วงปลูกออกมามิเป็นมะนาว มะพร้าวปลูกออกมามิเป็นมะปราง ใช่ เพราะเจตจำนงค์ มนุษย์เรียก DNA ถามว่าเป็นไปได้ยังงัย ลองค้นดูในพระไตรปิฏกมี เกี่ยวกับเปรตที่ทำกรรมหนักกับพระสงฆ์ (ไม่แน่ใจว่าเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้ารึเปล่า ผลกรรมะ
    ต้องมาเกิดเป็นก้อนหิน หากจะพ้นคำสาปได้ต้องได้รับการอุทิศและปกโปรดจากพระพุทธเจ้าตั้งห้าพระองค์
    ลองหาอ่านดู ในพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้ .. ธรรมชาติอยู่ด้วยพลังงานและเจตจำนงค์ เทวะและเดวะก็เฉกเดียวกัน ละม้ายแต่มิคล้าย หากแต่เพราะจิตวิญญาณที่เหนือกว่า เทวะและเดวะอยู่ด้วยบุญบารมี..เหนือกว่านั้นเดวะอยู่ด้วยหน้าที่;aa28;aa27
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
  18. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Mar 26, 2009
    Messages:
    1,042
    Ratings:
    +1,715
    เบนซ์เองก็ไม่เคยจะได้ยินเรื่องของพระนางเลยอะคับ..โอ๊ะโอ๋ตกสำรวจสำมโนประชากรนาคราชได้งัยหว้า อ้อ! ลืมลูกครึ่ง หาอ่านได้จากหนังเรื่องรัยอะคับน่าสนจัยจัง...*-* อยากรู้ว่าพระองค์ท่านทรงบ่นถึงมนุษย์ว่ายังงัย..55
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
  19. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Jul 1, 2009
    Messages:
    3,481
    Ratings:
    +14,350
    เพิ่งมาคับ ป่วยซะหลายวัน

    น้องเทียน เพชรเองแหละ พอเพชรมาน้องเทียนก็หายไป คลาดกันไปคลาดกันมา อิอิ
    พี่อุ้มก๊าบ มาแว้วอะก๊าบ คิดถุงน้า
    และทักทายทุกๆท่านในกาทู้ดั่วค๊าบ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
  20. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Jul 3, 2008
    Messages:
    4,904
    Ratings:
    +14,100
    น้อมกราบโมทนาบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลที่คุณวรุณบุตร และชาวคณะได้ทำไปแล้วด้วยนะค่ะ น่าอิ่มอกอิ่มใจแทนค่ะ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
Thread Status:
Not open for further replies.

Share This Page

Loading...