เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

++ เรื่องที่สงสัย...จิตวิญญาณ เกิดขึ้นได้อย่างไร! ++

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k_g, 2 พฤษภาคม 2010.

แท็ก: แก้ไข

หน้า 2 ของ 4

tah-trial เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

31 มกราคม 2010

โพสต์:

61

ค่าพลัง:

+107
ผมว่าเป็น ปัญหาที่ยากเกินมนุษย์ จะเข้าใจอะ อาจคงอีกไกลที่จะเข้าใจ
อยากรู้ไว ก็ขยันเข้าไว้ ือ ถ้ารู้แล้วบอกกันด้วยนะ
tah-trial, 7 พฤษภาคม 2010

#21
mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

8 ธันวาคม 2009

โพสต์:

1,009

ค่าพลัง:

+1,524

เรื่องแบบนี้ มันเหมือนกับ จะรีดความจำตอนเป็นทารก อ่ะ

- -*

mib8gdviNz, 8 พฤษภาคม 2010

#22
tee666 สมาชิก

วันที่สมัครสมาชิก:

19 มกราคม 2009

โพสต์:

55

ค่าพลัง:

+14

ชอบเดาอ่ะ

ตอบใหม่ ชัดกว่าเดิมอีกนิด พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้มีว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หรือ 1 2 3 4 หรือผลกรรม เกิดจากเหตุ หรือสิ่งที่เกิดจากอดีตส่งผลถึงปัจจุบัน
เราลองเรียงใหม่นะ มรรค นิโรธ สมุทัย ทุกข์ หรือ 4 3 2 1 หรือเหตุเกิดจาผลกรรม หรือปัจจุบันส่งผลถึงอดีต คง งง สิ
คำตอบ คือ คำถามนี้คือการเรียนรู้ถึงพระนิพพาน การที่จะถึงพระนิพพานได้จึงต้องละ...........โดยแยก ........ตัดโซ่ให้เป็นชิ้นๆๆ โดยเข้าสู่จิตเดิมที่ไม่มีอัตตา กว่าที่จะเข้าถึงจิตเดิมที่ไม่มีอัตตาต้องมีปัญญา ผ่านจิตที่มีอัตตาก่อน ตรงนั้นไงคือคำตอบ ของ การเกิดของจิต เดาอีกนะอย่าเชื่อ

tee666, 13 พฤษภาคม 2010

#23
ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

4 ธันวาคม 2009

โพสต์:

1,580

ค่าพลัง:

+3,291

กรรมภพ,สิ่งที่ทำให้เกิดภพ
การกระทำให้เกิดภพ ในกรรมภพซึ่งเป็นภพแรกมีธรรม
๕ ประการ คือ
๑. โมหะ ได้แก่ อวิชชา (ความไม่รู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง).
๒. การประมวลมา (ความพอใจ) ได้แก่สังขาร (ปรุงแต่ง)
๓. ความใคร่ ได้แก่ตัณหา
๔. การเข้าไปยึดถือ ได้แก่อุปาทาน
๕. เจตนา ได้แก่ภพ เป็นปัจจัยของปฏิสนธิในปัจจุปันนัทธา
(สิ่งที่ถูกสัมผัสในปัจจุบัน)
#ม.อ.๑/๑๒๕

ดอนdon, 13 พฤษภาคม 2010

#24
diowcnx Active Member

วันที่สมัครสมาชิก:

24 มิถุนายน 2008

โพสต์:

16

ค่าพลัง:

+46

คิดเล่นๆ โปรดใช้วิจารณยาน

ก็นั่นแหละครับ อะไรทำให้ จิตเดิมแท้ ที่อยู่ในสภาวะ พระนิพพาน
เกิดสั่นสะทือนขึ้น จิตจึงไม่เสถียร แตกออกมากมาย วิ่งไปตามความปราถนายึดเกาะของ จิตแต่ละดวง ในขณะเดียวกันรูปธรรมก็เกิดเอกภพขึ้นพร้อมๆกัน เพราะจิตหยาบขึ้น จึงเกิดธาตุ ทั้ง 4 ขึ้น ประกอบเป็นดวงดาวต่างๆ เมื่อจิตหยาบขึ้นอีกจึงมาจุติบนดวงดาวต่างๆ โดยเฉพาะโลกมนุษย์

---------------------

ถ้าอย่างนั้น นิพพาน ก็ยังออกจากสังสารวัฏไม่ได้สิครับ เพราะออกไปแล้ว ยังต้องวนกลับเข้ามาอีก ค่อนข้างจะขัดแย้งกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ว่านิพพานเป็นของเที่ยง เข้าถึงแล้วไม่มีทางแปรเปลี่ยนได้อีก ...

ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดมาทำไม ถ้าจิตเริ่มต้นดีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมาวุ่นวายในสงสารวัฏ เห็นได้ชัดว่าจิตเริ่มต้นไม่ใช่สภาวะนิพพาน แบ่งภาคมาจากอะไรหรือเปล่า แล้วแบ่งมาทำไม หรือว่าสิ่งนั้นต้องทำหน้าที่แบ่ง ทำไปเพื่ออะไร

งง

diowcnx, 20 พฤษภาคม 2010

#25
ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

4 ธันวาคม 2009

โพสต์:

1,580

ค่าพลัง:

+3,291

diowcnx said: ↑

คิดเล่นๆ โปรดใช้วิจารณยาน

ก็นั่นแหละครับ อะไรทำให้ จิตเดิมแท้ ที่อยู่ในสภาวะ พระนิพพาน
เกิดสั่นสะทือนขึ้น จิตจึงไม่เสถียร แตกออกมากมาย วิ่งไปตามความปราถนายึดเกาะของ จิตแต่ละดวง ในขณะเดียวกันรูปธรรมก็เกิดเอกภพขึ้นพร้อมๆกัน เพราะจิตหยาบขึ้น จึงเกิดธาตุ ทั้ง 4 ขึ้น ประกอบเป็นดวงดาวต่างๆ เมื่อจิตหยาบขึ้นอีกจึงมาจุติบนดวงดาวต่างๆ โดยเฉพาะโลกมนุษย์

---------------------

ถ้าอย่างนั้น นิพพาน ก็ยังออกจากสังสารวัฏไม่ได้สิครับ เพราะออกไปแล้ว ยังต้องวนกลับเข้ามาอีก ค่อนข้างจะขัดแย้งกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ว่านิพพานเป็นของเที่ยง เข้าถึงแล้วไม่มีทางแปรเปลี่ยนได้อีก ...

ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดมาทำไม ถ้าจิตเริ่มต้นดีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมาวุ่นวายในสงสารวัฏ เห็นได้ชัดว่าจิตเริ่มต้นไม่ใช่สภาวะนิพพาน แบ่งภาคมาจากอะไรหรือเปล่า แล้วแบ่งมาทำไม หรือว่าสิ่งนั้นต้องทำหน้าที่แบ่ง ทำไปเพื่ออะไร

งง
Click to expand...

เข้าใจผิดแล้ว เราไม่ได้มีจิตที่มาจากนิพพาน
ผมเข้าใจประเด็นของคุณที่มองว่าจุดเริ่มต้นอันเป็นเหตุแห่งการเกิดคืออะไร
พระพุทธองค์ท่านกล่าวถึงเพียงแค่การมาของเรา และการปฏิสนธิที่นี่ ไม่ได้กล่าวถึงจุดปฐมบท แต่ก็พิจารณาได้ว่า ก่อนมาของเราเป็นได้สูงสุดแค่พรหม นิพพานมีได้ก็ต่อเมื่อมีพระพุทธเจ้า

ดอนdon, 20 พฤษภาคม 2010

#26
diowcnx Active Member

วันที่สมัครสมาชิก:

24 มิถุนายน 2008

โพสต์:

16

ค่าพลัง:

+46
ยังงงอยู่ครับ ถ้าเป็นดังที่ว่า พระพุทธเจ้าองค์แรกเกิดได้อย่างไรหล่ะครับ ในเมื่อสูงที่สุดเมื่อยังไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นได้แค่พรหม .. แสดงว่า นิพพานต้องเป็นสภาวะที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าสิครับ

อจิณไตยจริงๆ ด้วย .. คิดมากท่าจะไม่ดีครับ ปัญหานี้ ...
diowcnx, 21 พฤษภาคม 2010

#27
ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

4 ธันวาคม 2009

โพสต์:

1,580

ค่าพลัง:

+3,291

diowcnx said: ↑

ยังงงอยู่ครับ ถ้าเป็นดังที่ว่า พระพุทธเจ้าองค์แรกเกิดได้อย่างไรหล่ะครับ ในเมื่อสูงที่สุดเมื่อยังไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นได้แค่พรหม .. แสดงว่า นิพพานต้องเป็นสภาวะที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าสิครับ

อจิณไตยจริงๆ ด้วย .. คิดมากท่าจะไม่ดีครับ ปัญหานี้ ...
Click to expand...

ปัญหาจริงๆคือท่านต้องการรู้เรื่องที่ไม่ได้บัญญัติลงในพระธรรมอันเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุแห่งการดับ
จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อมีพระสัพพัญญูตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อแสดงบุพเพวินาสายให้ได้สดับ
แต่เชื่อได้เลยว่าพระพุทธเจ้าจะไม่เทศนาเรื่องนี้ เพราะเทศน์ไปท่านก็ไม่ได้บรรลุอรหันต์ เป็นเพียงแต่ได้รู้ประดับสมองตามความต้องการ เป็นการมากความวิจิกิจฉา และไม่น่าเสวนา

ดอนdon, 21 พฤษภาคม 2010

#28
tee666 สมาชิก

วันที่สมัครสมาชิก:

19 มกราคม 2009

โพสต์:

55

ค่าพลัง:

+14

ชอบเดาอ่ะ

แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ว่ากันต่อจากเดิม จิตเดิมตอนอุบัติขึ้นมาใหม่ๆ มีองค์ประกอบของจิต แต่ขาดความไม่รู้ไง ดังที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าขาดตัวรู้ จิตเลยดิ้นรน หาความรู้ คือการเกิด การสั่งสมองค์ความรู้ การสร้างบารมี แยกเป็นสองทางโพธิ์สัตว และพระอรหันต์ และอื่นๆๆ........ตามที่รู้นะ
มาว่ากันถึงตัวองค์ของจิต ยกตัวอย่างนะ เช่นมนุษย์ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม และไฟ ขาดตัวใดตัวหนึ่งจะเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ นี่คือพุทธบัญญัติ
ว่าใหม่หุ่นยนต์ มีองค์ประกอบ โครงสร้าง พลังงาน และความรู้ จึงจะเป็นหุ่นยนต์ทีใช้งานได้ นี่คือหลักของวิทยาศาสตร์
สรุปมาว่ากันในเรื่องของจิต มีองค์ประกอบของ 1......2......3......4......ที่มีอยู่ในธรรมชาติเดิมเป็นของสาธารณะ ไม่มีใครสร้างมา ถ้ามีใครสร้างมาต้องถามว่า ใครสร้างคนสร้าง ไม่จบแน่ ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งจะเป็นจิตไม่ได้ พอเกิดเป็นจิตแรกก็ขาดความรู้ เหมือนเด็กเกิดใหม่ แสวงหา ทดลอง ผิด ถูก ความหมายถึงองค์ความรู้ แค่นี้ก่อนเดี๋ยวมีต่อ

tee666, 23 พฤษภาคม 2010

#29
mind stone เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

22 มกราคม 2010

โพสต์:

532

ค่าพลัง:

+1,296

ตามความคิดและการระลึกรู้ของผมน่าจะเป็นแบบนี้นะ...ตัวรู้คือจิตเดิมและธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นมีอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีใครสร้าง จิตคือนาม ธาตุคือรูป เป็นของคู่กันอยู่อย่างนั้นมาช้านาน ธาตุ 4 ที่เป็นรูปนั้นมีสภาวะที่ไม่อยู่นิ่ง มีการหมุนวน กระแทกกัน ผสมกัน จับตัวกันเป็นก้อน ไม่มีที่สิ้นสุด การกระแทก การชน การหมุน ทำให้เกิดพลังงาน นามที่เป็นจิตเดิมนั้น ประภัสสรเพราะว่าไม่เคยถูกอะไรครอบงำมาก่อนเลย...คือสักแต่ว่ารู้...รู้อยู่เฉยๆ...ไม่มีความฉลาดหรือวิชชาแต่อย่างใดเพราะไม่เคยมีประสบการณ์การเรียนรู้มาก่อน...นามนี้แทรกอยู่ในการรวมตัวของธาตุ 4 นั้นแหละ จุดนี้แหละคือจุดเริ่มต้นของ ปฏิจจสมุปบาท ทำให้เกิดสรรพสิ่งขึ้นมาใน จักรวาล หมุนวนไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอนิจจัง เปลี่ยนจากรูปนามที่ไม่มีชีวิต มาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามพืช วิวัฒนาการมาเป็นรูปนามสัตว์... สัตว์ยุกแรกเป็นสัตว์ที่ทำแต่บาปกรรม สัตว์กินสัตว์ ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด...เป็นเรื่องเป็นราวมาจนถึงปัจจุบัน...

mind stone, 24 พฤษภาคม 2010

#30
ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

5 กุมภาพันธ์ 2007

โพสต์:

484

ค่าพลัง:

+729

Proname said: ↑

ตามความคิดและการระลึกรู้ของผมน่าจะเป็นแบบนี้นะ...ตัวรู้คือจิตเดิมและธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นมีอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีใครสร้าง จิตคือนาม ธาตุคือรูป เป็นของคู่กันอยู่อย่างนั้นมาช้านาน ธาตุ 4 ที่เป็นรูปนั้นมีสภาวะที่ไม่อยู่นิ่ง มีการหมุนวน กระแทกกัน ผสมกัน จับตัวกันเป็นก้อน ไม่มีที่สิ้นสุด การกระแทก การชน การหมุน ทำให้เกิดพลังงาน นามที่เป็นจิตเดิมนั้น ประภัสสรเพราะว่าไม่เคยถูกอะไรครอบงำมาก่อนเลย...คือสักแต่ว่ารู้...รู้อยู่เฉยๆ...ไม่มีความฉลาดหรือวิชชาแต่อย่างใดเพราะไม่เคยมีประสบการณ์การเรียนรู้มาก่อน...นามนี้แทรกอยู่ในการรวมตัวของธาตุ 4 นั้นแหละ จุดนี้แหละคือจุดเริ่มต้นของ ปฏิจจสมุปบาท ทำให้เกิดสรรพสิ่งขึ้นมาใน จักรวาล หมุนวนไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอนิจจัง เปลี่ยนจากรูปนามที่ไม่มีชีวิต มาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามพืช วิวัฒนาการมาเป็นรูปนามสัตว์... สัตว์ยุกแรกเป็นสัตว์ที่ทำแต่บาปกรรม สัตว์กินสัตว์ ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด...เป็นเรื่องเป็นราวมาจนถึงปัจจุบัน...
Click to expand...

อืมๆ เป็นแนวคิดที่ดีอีกแนวคิดหนึ่ง

ratercracker, 24 พฤษภาคม 2010

#31
LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มีนาคม 2010

โพสต์:

590

ค่าพลัง:

+925

k_g said: ↑

ร่างกายก็เป็นที่ประจักษ์กันแล้วว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร -o-'
แต่จิต และ วิญญาณ นี่สิ เกิดจากอะไรกันแน่?
แล้วอะไรกันที่เป็นตัวกำหนดให้ชาติแรกที่เราเกิด
เกิดมาอยู่ในภพภูมิไหน มีฐานะอย่างไร?

ขออนุโมธนาด้วยค่ะ ^^
Click to expand...

ข้าน้อยยังไม่แน่ใจว่า คำว่าจิตในกระทู้นี้หมายถึงอะไร คือต้องการคำตอบในระดับใด คือระดับโลกีย์ หรือโลกุตตระ (โปรดแจ้งความประสงค์ให้ชัดเจน ก็จะได้คำตอบทุกอย่าง นะครับ)
 [FONT=&quot]ดังนั้นคำตอบนี้อาจไม่ถูก ตามที่ประสงค์ในกระทู้นี้

ในหลายเว็บ ได้กล่าวถึงเรื่องจิตไว้ ว่า[/FONT]
[FONT=&quot]จิตเกิดขึ้นเนื่องจากผัสสะทั้ง6 [/FONT]
[FONT=&quot]เมื่อไม่มีผัสสะทั้ง6 จิตก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้[/FONT]
[FONT=&quot]เอาละไหนๆก็มีจิตแล้ว สภาวะของจิตที่บอกว่าเป็น วิโมกข์ นิโรธ สุญญตานั่นนะคือไม่ใยดีกับผัสสะ[/FONT]
[FONT=&quot]แล้วก่อนที่จะมีข้อกำหนดอย่างที่ว่า ใครเป็นผู้กำหนดให้มี(ให้มีจิตมารับรู้ แล้วพอมีแล้วใครเป็นผู้กำหนดว่าให้มีสภาวะที่จิตเป็นอย่างโน้นแล้วจะเป็นอย่างนี้)[/FONT][FONT=&quot]หรือว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง[/FONT]
[FONT=&quot]พระองค์ ตรัสว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย[/FONT][FONT=&quot]กายนี้ ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย[/FONT][FONT=&quot] และทั้งไม่ใช่ของบุคคลเหล่าอื่น [/FONT]
[FONT=&quot]ดูก่อนภิกษุทั้งหลายกรรมเก่า (กายนี้) อันเธอทั้งหลาย พึงเห็น (ตรงตามกับที่ตถาคตเห็น) ว่า (กรรมเก่า-กายนี้นั้น) เป็นสิ่งที่(มี) ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น (อภิสังขตะ)[/FONT]
[FONT=&quot](กรรมเก่า -กายนี้) เป็นสิ่งที่ ปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น (อภิสัยเจตยิต)[/FONT]
[FONT=&quot] (กรรมเก่า -กายนี้) เป็นสิ่งที่ มีความรู้สึกต่ออารมณ์ (เวทนีย)[/FONT]
[FONT=&quot]ตกลง ..จิต คือ กรรมเก่า -กายนี้[/FONT]
[FONT=&quot]ทีนี้ยังตรัสต่อไปอีกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกรณีของกายนั้น (กรรมเก่านั้น)[/FONT]
[FONT=&quot]อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว (ได้อบรมกายอบรมจิต ตามระบบที่ตรัสสรรเสริญไว้ ฯลฯ)[/FONT]
[FONT=&quot]ย่อมกระทำไว้ในใจ โดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว[/FONT][FONT=&quot]ดังนี้ ว่าด้วย อาการอย่างนี้ "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้ จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป[/FONT]

[FONT=&quot]ข้อนี้ ได้แก่ สิ่งเหล่านี้ คือ[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี อวิชชา เป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี สังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ (หรือ จิต / ดู คคห 10 ประกอบ)[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี วิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป (นามรูป ที่คือ สัมภเวสี มั๊ง)[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี นามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ (แห่งสัมภเวสี มั๊ง)[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ (สัมภเวสี มี ผัสสะ มั๊ง)[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา (ที่อายตนะแห่งสัมภเวสี มั๊ง)[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี เวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา (สัมภเวสี มีตัณหา)[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี ตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน (สัมภเวสี มี อุปาทาน ที่คือ นันทิ)[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี อุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ (ภาวะของสัมภเวสี เพราะอุปาทานนั่น)[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี ภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ (สัมภเวสี เกิด เป็น ภูตาแห่ง ภพ นั้นๆ ไม่เกิด ๓ ภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ)[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะมี ชาติ เป็นปัจจัย (ไม่ตรัสว่า จึงมี แปลว่า [/FONT][FONT=&quot]อะไรอีก[/FONT]
[FONT=&quot]แต่ตรัสต่อมาเลยว่า ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย "จึงเกิดขึ้นครบถ้วน" ความเกิดขึ้นพร้อม (๑๑ อาการ ๑๒ กระบวนธรรมตามที่ตรัสติดต่อแล้วนั้น [/FONT]
เรื่องสังสารวัฏฏ์ เป็นอะนะมะตัคคะ คือหาคำตอบว่ามีจุดเริ่มต้น และจุดจบยาก จึงไม่จำเป็นที่ต้องรู้นัก
แต่รู้จุดจบของวัฏฏสงสารนี้ประเสริฐนัก
จุดจบของสังสารวัฏฏ์ คือจบที่ไม่มีตัณหา และไม่มีอวิชชา (ถ้าไม่มีสองอย่างนี้ เราคือจิตก็ไม่เกิด เราต้องดูรายละเอียดเพิ่มโดยเฉพาะเรื่องผัสสะ 6 อายตนะ 6 เป็นจุดเกิดของจิต)
(ถ้าไม่มีตัณหาเป็นเชื้อให้เกิดก็เกิดไม่ได้ และเมื่อเกิดก็มีอวิชชาติดมาด้วย เรื่องจึงยุ่งไปใหญ่ แก้ยากไปใหญ่ )ตามหลักปฏิจจะสมุปปะบาท 12นั้น/นี้)
[FONT=&quot]
ทีนี้ตรัสถึงสายดับ[/FONT]
[FONT=&quot]เพราะความ จางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชา นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขารทั้งหลาย ฯลฯ[/FONT]
[FONT=&quot]....ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมมี ด้วย อาการ อย่างนี้[/FONT]
[FONT=&quot]เมื่อปฏิจจสมุปบาทสายดับ คือ..ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมมี ด้วย อาการ อย่างนี้[/FONT]
[FONT=&quot]....วิญญาณ ย่อมดับ ...เพราะ อวิชชาดับ [/FONT]
[FONT=&quot]สังขารดับ วิญญาณ (สัมภเวสี)ดับ......ไม่เกิด คือไม่มีชาติ ของสัมภเวสี [/FONT]
[FONT=&quot]= ไม่มี ภูตา (ไม่ใช่ อุจเฉททิฏฐิด้วย) ...[/FONT]
[FONT=&quot]เมื่อ จิต = วิญญาณ = กิริยาที่รู้แจ้งอารมณ์ = จิตของสัมภเวสี รวมทั้ง จิตของภูตาดับ[/FONT]
[FONT=&quot] เพราะอวิชชาดับด้วยอรหัตตมรรค-ผล[/FONT]
[FONT=&quot]จึงตรัสว่าวิโมกข์แห่งจิต ย่อมมีแก่บุคคลนั้น[/FONT]
[FONT=&quot]ผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้นตัณหา เพราะความ ดับสนิทแห่งวิญญาณ[/FONT]
[FONT=&quot]เหมือนความดับแห่งไฟ ฉะนั้น (ติ อํ ๒๐/๓๐๓/๕๓๐)[/FONT]
[FONT=&quot]ตกลง จิต คืออะไร ..เมื่อพิจารณา ตามพระสูตรนี้ คือ[/FONT][FONT=&quot]กรรมเก่า (กายนี้)[/FONT]
[FONT=&quot]อันเธอทั้งหลาย พึงเห็น (ตรงตามกับที่ตถาคตเห็น) ว่า(กรรมเก่า-กายนี้นั้น) เป็นสิ่งที่(มี) ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น (อภิสังขตะ)[/FONT]
[FONT=&quot](กรรมเก่า -กายนี้) เป็นสิ่งที่ ปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น (อภิสัยเจตยิต)[/FONT]
[FONT=&quot](กรรมเก่า -กายนี้) เป็นสิ่งที่ มีความรู้สึกต่ออารมณ์ (เวทนีย)[/FONT]
[FONT=&quot]ทีนี้ พระอรหันต์ คือ อนัตตาที่พ้นแล้วจากกรรมทั้งปวงคือพ้นจาก กรรมเก่า กายนี้ ..และ กรรมใหม่ ด้วย (เจตนา หรือ สัญเจตนา-ความคิดนึกในอารมณ์ คือกรรม = สังขาร)[/FONT]
[FONT=&quot]ดังนั้น พระอรหันต์ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ – อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ[/FONT][FONT=&quot]จึง = วิโมกข์แห่งจิต ย่อมมีแก่บุคคลนั้น[/FONT]
[FONT=&quot]ผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้นตัณหา เพราะความ ดับสนิทแห่งวิญญาณ[/FONT]
[FONT=&quot]เหมือนความดับแห่งไฟ ฉะนั้น (ติ อํ ๒๐/๓๐๓/๕๓๐)[/FONT]

[FONT=&quot]พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐[/FONT]
[FONT=&quot]สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค[/FONT]

[FONT=&quot]ปริญญาสูตร[/FONT]

[FONT=&quot] [๖๓] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมเพื่อกำหนดรู้อุปาทานทั้งปวงแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังธรรมนั้น[/FONT]
[FONT=&quot]ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเพื่อกำหนดรู้ซึ่งอุปาทานทั้งปวงเป็นไฉน[/FONT]
[FONT=&quot] อาศัยจักษุและรูป เกิดจักษุวิญญาณ รวมธรรม ๓ ประการ เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา[/FONT]
[FONT=&quot]ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในจักษุ ทั้งในรูป ทั้งในจักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส ทั้งในเวทนา เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนด ย่อมหลุดพ้น เธอย่อมทราบชัดว่า อุปาทาน[/FONT]
[FONT=&quot]เรากำหนดรู้แล้วด้วยวิโมกข์[/FONT]
[FONT=&quot] อาศัยหูและเสียง ฯลฯ อาศัยจมูกและกลิ่น ฯลฯ[/FONT]
[FONT=&quot] อาศัยลิ้นและรส ฯลฯ อาศัยกายและโผฏฐัพพะ ฯลฯ อาศัยใจและธรรมารมณ์ จึงเกิดมโนวิญญาณ รวมธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา[/FONT]
[FONT=&quot]ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในใจ ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้งในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส ทั้งในเวทนา เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น[/FONT][FONT=&quot]เธอย่อมทราบชัดว่า อุปาทานเรากำหนดรู้แล้วด้วยวิโมกข์[/FONT]
[FONT=&quot]ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นธรรมเพื่อกำหนดรู้อุปาทานทั้งปวง ฯ[/FONT]
[FONT=&quot]จบสูตรที่ ๘[/FONT]
[FONT=&quot] เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ บรรทัดที่ ๖๙๔ - ๗๑๐. หน้าที่ ๓๑ - ๓๒.[/FONT]
http://www.[FONT=&quot]84000.[/FONT]org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=[FONT=&quot]18[/FONT]&A=[FONT=&quot]694[/FONT]&Z=[FONT=&quot]710[/FONT]&pagebreak=[FONT=&quot]0[/FONT]

[FONT=&quot] ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-[/FONT]http://www.[FONT=&quot]84000.[/FONT]org/tipitaka/attha/attha.php?b=[FONT=&quot]18[/FONT]&i=[FONT=&quot]63[/FONT]

แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กุมภาพันธ์ 2012

LungKO, 13 กุมภาพันธ์ 2012

#32
ศิษย์อิสระ สมาชิกใหม่

วันที่สมัครสมาชิก:

11 กุมภาพันธ์ 2012

โพสต์:

61

ค่าพลัง:

+0

กระทู้นี้ ดีมาก ๆๆ ครับผมก็สงสัยมานาน และ อีกข้อคือสิ่งมีชีวิตในจักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไร

ศิษย์อิสระ, 13 กุมภาพันธ์ 2012

#33
กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

7 มกราคม 2009

โพสต์:

903

ค่าพลัง:

+979

ไม่สามารถนับได้ครับ มันเกิดจากการแตกกระจายและผสมกันไปผสมกันมาในทุกๆเสี้ยววินาที แต่ไม่สำคัญที่จะต้องรู้ เพราะมนุษย์มีหน้าที่ที่จะต้องทำหน้าที่ของตัวเอง และมนุษย์ต้องทำหน้าที่นั้นให้ได้

จิตวิญญาณไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดขึ้นอย่างไร(อย่างที่บอกมันแตกกระจายมันผสมกันตลอดเวลา)

แต่ที่บอกได้คือจิตวิญญาณมีหน้าที่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดและทำให้ได้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

เอามันส์

กุญแจไขปริศนา, 13 กุมภาพันธ์ 2012

#34
LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มีนาคม 2010

โพสต์:

590

ค่าพลัง:

+925

yogibhai2009 said: ↑

ผม ว่า คำถาม นี้น่าสนใจมากครับ...
คำตอบนึง ที่ทำให้เราเริ่มเข้ามาในวัฏสงสารนี้ คือ อวิชชา
แต่ผมรู้สึกว่ากระทู้นี้ต้องการย้อนถามไปไกลกว่านั้น
คือ ดวงจิต ที่เกิด อวิชชา นี้ ขึ้นมา ไอ่ดวงนั้น มันเกิดมาจากไหน
และผมว่า สมมติว่า ดวงจิตนี้ "มีอยู่แล้ว" และจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
จิตเดิมงดงามประภัสสร...
คำถามต่อมาคือ จิตที่งดงามประภัสสรนี้ อยู่ๆ เกิดอวิชชาขึ้นมาได้อย่างไร...
อะไรทำให้มันเกิดอวิชชา จนต้องเข้ามาสู่วัฏสงสารนี้
(แสดงว่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ใน วัฏสงสาร อยู่อย่างประภัสสร ไม่ต้องมาเกิด)
งง มั้ย ครับ 555
Click to expand...

ในภาคปฏิบัติ
อวิชชา เกิดขึ้นจากความไม่มีสติ ไม่มีสัมปะชัญญะ ฯ ใช่หรือไม่ ลองศึกษาดู นะครับ ฯ
ถ้าจิตมีสติ มีสัมปชัญญะ ก็จะเกิดปัญญา ปัญญา คือความรู้ครบวงจร คือรู้ทุกอย่างว่าเป็นของจริงหรือของปลอม คือรู้เรื่องสังขาร หรือจิตดวงนี้ หรือหลายๆ ดวงได้เป็นอย่างดี และปัญญาในที่นี้หมายถึงอธิปัญญา ที่เกิดจาก อธิศีล อธิสมาธิ เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ปัญญาแบบจำได้ คือจิตต้องรู้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ตามหลักธรรมที่เกี่่ยวข้อง คือ [FONT=&quot]สติปัฏฐาน[/FONT]4[FONT=&quot] อิทธิบาท[/FONT]4[FONT=&quot] สัมมัปธาน[/FONT]4[FONT=&quot] อินทรีย์[/FONT]5[FONT=&quot] พละ[/FONT]5[FONT=&quot] โพชฌงค์[/FONT]7[FONT=&quot] อริยมรรค[/FONT]8[FONT=&quot] คือข้อปฏิบัติที่จะทำให้เกิดความเข้าถึง เข้าสู่วิถีแห่งการรู้ความจริงของ กาย หรือสังขาร หรือจิต หรือใจ หรือโลกนี้ ครับ
[/FONT]
เปรียบเหมือนเรามีไฟฟ้า มีแสงสว่าง ความมืดก็หายไป แต่เมื่อใดมีความมืด แต่ไม่มีไฟฟ้าก็ลำบากในการเดินทาง หรือทำกิจที่ต้องทำนั้น ๆ ฯ คือเมื่อมีสติสัมปชัญญะ และปัญญา อวิชชาก็หายไป เมื่อใช้อธิปัญญา ทำลายอวิชชาแล้ว อวิชชาก็ไม่มีอีกต่อไป เพราะไม่มีตัณหาซึ่งเป็นเชื้อ เป็นยางที่ทำให้เกิด คือนิพพานแล้ว ไม่เกิดในภพทั้ง3 อีก เพราะไม่มีกิเลส กรรม วิบาก อีกต่อไป ฯ
เป็นเรื่องที่ละเอียด เราต้องศึกษาให้ครบทุกกระบวนการ จึงจะเข้าใจ แม้จะอยู่ในระดับโลกิยปัญญาก็ยังดี เพราะจะทำให้เราปรับจิตคือตัวเราได้ถูกทาง ไม่หลงผิดอีกต่อไป
ถ้าเราศึกษากระบวนการเกิดและดับในปะฏิจจะสะมุปปะบาท ให้เข้าใจจริง ๆ เราจะได้คำตอบชัดเจน ครับผม
<xml><w:worddocument><w:trackmoves><w:trackformatting></w:trackformatting></w:trackmoves></w:worddocument></xml><xml><w:latentstyles deflockedstate="false" defunhidewhenused="true" defsemihidden="true" defqformat="false" defpriority="99" latentstylecount="267"><w:lsdexception locked="false" priority="0" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Normal"><w:lsdexception locked="false" priority="9" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="heading 1"><w:lsdexception locked="false" priority="9" qformat="true" name="heading 2"><w:lsdexception locked="false" priority="9" qformat="true" name="heading 3"><w:lsdexception locked="false" priority="9" qformat="true" name="heading 4"><w:lsdexception locked="false" priority="9" qformat="true" name="heading 5"><w:lsdexception locked="false" priority="9" qformat="true" name="heading 6"><w:lsdexception locked="false" priority="9" qformat="true" name="heading 7"><w:lsdexception locked="false" priority="9" qformat="true" name="heading 8"><w:lsdexception locked="false" priority="9" qformat="true" name="heading 9"><w:lsdexception locked="false" priority="39" name="toc 1"><w:lsdexception locked="false" priority="39" name="toc 2"><w:lsdexception locked="false" priority="39" name="toc 3"><w:lsdexception locked="false" priority="39" name="toc 4"><w:lsdexception locked="false" priority="39" name="toc 5"><w:lsdexception locked="false" priority="39" name="toc 6"><w:lsdexception locked="false" priority="39" name="toc 7"><w:lsdexception locked="false" priority="39" name="toc 8"><w:lsdexception locked="false" priority="39" name="toc 9"><w:lsdexception locked="false" priority="35" qformat="true" name="caption"><w:lsdexception locked="false" priority="10" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Title"><w:lsdexception locked="false" priority="1" name="Default Paragraph Font"><w:lsdexception locked="false" priority="11" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Subtitle"><w:lsdexception locked="false" priority="22" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Strong"><w:lsdexception locked="false" priority="20" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Emphasis"><w:lsdexception locked="false" priority="59" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Table Grid"><w:lsdexception locked="false" unhidewhenused="false" name="Placeholder Text"><w:lsdexception locked="false" priority="1" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="No Spacing"><w:lsdexception locked="false" priority="60" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Shading"><w:lsdexception locked="false" priority="61" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light List"><w:lsdexception locked="false" priority="62" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Grid"><w:lsdexception locked="false" priority="63" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 1"><w:lsdexception locked="false" priority="64" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 2"><w:lsdexception locked="false" priority="65" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 1"><w:lsdexception locked="false" priority="66" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 2"><w:lsdexception locked="false" priority="67" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 1"><w:lsdexception locked="false" priority="68" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 2"><w:lsdexception locked="false" priority="69" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 3"><w:lsdexception locked="false" priority="70" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Dark List"><w:lsdexception locked="false" priority="71" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Shading"><w:lsdexception locked="false" priority="72" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful List"><w:lsdexception locked="false" priority="73" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Grid"><w:lsdexception locked="false" priority="60" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Shading Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="61" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light List Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="62" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Grid Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="63" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 1 Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="64" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 2 Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="65" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 1 Accent 1"><w:lsdexception locked="false" unhidewhenused="false" name="Revision"><w:lsdexception locked="false" priority="34" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="List Paragraph"><w:lsdexception locked="false" priority="29" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Quote"><w:lsdexception locked="false" priority="30" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Intense Quote"><w:lsdexception locked="false" priority="66" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 2 Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="67" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 1 Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="68" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 2 Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="69" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 3 Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="70" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Dark List Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="71" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Shading Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="72" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful List Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="73" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Grid Accent 1"><w:lsdexception locked="false" priority="60" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Shading Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="61" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light List Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="62" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Grid Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="63" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 1 Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="64" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 2 Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="65" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 1 Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="66" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 2 Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="67" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 1 Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="68" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 2 Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="69" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 3 Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="70" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Dark List Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="71" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Shading Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="72" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful List Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="73" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Grid Accent 2"><w:lsdexception locked="false" priority="60" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Shading Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="61" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light List Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="62" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Grid Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="63" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 1 Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="64" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 2 Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="65" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 1 Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="66" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 2 Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="67" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 1 Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="68" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 2 Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="69" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 3 Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="70" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Dark List Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="71" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Shading Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="72" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful List Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="73" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Grid Accent 3"><w:lsdexception locked="false" priority="60" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Shading Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="61" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light List Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="62" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Grid Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="63" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 1 Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="64" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 2 Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="65" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 1 Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="66" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 2 Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="67" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 1 Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="68" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 2 Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="69" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 3 Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="70" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Dark List Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="71" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Shading Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="72" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful List Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="73" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Grid Accent 4"><w:lsdexception locked="false" priority="60" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Shading Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="61" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light List Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="62" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Grid Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="63" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 1 Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="64" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 2 Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="65" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 1 Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="66" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 2 Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="67" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 1 Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="68" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 2 Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="69" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 3 Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="70" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Dark List Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="71" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Shading Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="72" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful List Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="73" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Grid Accent 5"><w:lsdexception locked="false" priority="60" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Shading Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="61" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light List Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="62" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Light Grid Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="63" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 1 Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="64" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Shading 2 Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="65" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 1 Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="66" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium List 2 Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="67" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 1 Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="68" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 2 Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="69" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Medium Grid 3 Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="70" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Dark List Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="71" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Shading Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="72" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful List Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="73" semihidden="false" unhidewhenused="false" name="Colorful Grid Accent 6"><w:lsdexception locked="false" priority="19" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Subtle Emphasis"><w:lsdexception locked="false" priority="21" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Intense Emphasis"><w:lsdexception locked="false" priority="31" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Subtle Reference"><w:lsdexception locked="false" priority="32" semihidden="false" unhidewhenused="false" qformat="true" name="Intense Reference"></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:lsdexception></w:latentstyles></xml>พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสวัฏฏกถา ก็ตรัสธรรม ๒ อย่าง[FONT=&quot]ทำให้เป็นประธานหรือตรัส อวิชชาเป็นประธาน เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ปุริมา ภิกฺขเว โกฏิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย อิโต ปุพฺเพ อวิชฺชา นาโหสิ[/FONT][FONT=&quot]อถ ปจฺฉา สมภวีติ เอวญฺเจตํ ภิกฺขเว วุจฺจติ อถ จ ปน ปญฺญายติ[/FONT][FONT=&quot]อิทปฺปจฺจยา อวิชฺชา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาไม่ปรากฏ ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี เพราะเหตุนั้น[/FONT][FONT=&quot]เราจึงกล่าวคำนี้ อย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อวิชชามีข้อนี้เป็น[/FONT][FONT=&quot]ปัจจัย จึงปรากฏ* ดังนี้.[/FONT]
[FONT=&quot] อีกอย่างหนึ่ง ตรัส ภวตัณหาเป็นประธาน เหมือนอย่างที่ตรัสว่า[/FONT][FONT=&quot]ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งภวตัณหาไม่ปรากฏ ในกาลก่อนแต่นี้ภวตัณหาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำนี้[/FONT]
* [FONT=&quot]องฺ ทสก. เล่ม ๒๔ ๖๑/๑๒๐[/FONT]

และคำว่า จิตประภัสสร คือจิตที่สะอาดแต่ยังไม่บริสุทธิ์ เพราะยังมีอวิชชาที่เป็นตะกอนนอนก้น หรือที่เรียกว่า อวิชชาสวะ นั้น ติดมาอยู่ เปรียบเหมือนน้ำใส ๆ สะอาด ใช้ดื่ม และทำประโยชน์อื่นๆ ได้ดี
แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษาดูแลให้ดี ก็เกิดเป็นไฟเย็นได้ คือตราบใดที่กิเลสยังไม่ออกฤทธิ์ จะคิดว่าไม่มีกิเลสไม่ได้ เช่นเด็กเกิดใหม่ ๆ จะคิดว่าเด็กนั้นจะเป็นโจรไม่ได้ เพราะในวันข้างหน้าเด็กนั้นอาจเป็นหัวหน้ามหาโจรก็ได้ ฯ วิธีแก้ หรือจะทำให้เด็กเป็นคนดีตลอด ก็ต้องคอยอบรม สั่งสอนในทางดี ก็มีโอกาสเป็นหัวหน้าที่ดีได้ แต่แน่ใจหรือว่าเขาจะไม่เปลี่ยนเป็นโจรในคราบนักบุญ หมายความว่า น้ำกลายเป็นไฟเย็น คือ จิตหลงติดในความสุข ทุกระดับชั้น เพราะไม่พิจารณาว่านั้นไม่ใช่ความสุขจริง เป็นความสุขหลอก ๆ คือยังเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา อยู่ เพราะยังไปไม่ถึงนิพพาน คือตราบใดที่ยังติดในสุขอยู่ ก็เป็นไฟเย็น เป็นสุขแบบสุกไหม้ สุขร้อน ไม่ใช่สุขเย็นคือผาสุก คือสุขเย็นในนิพพาน ฯ จิตที่ยังไม่ถึงนิพพาน เรียกว่า ยังมีอวิชชาทั้งนั้น คือนรก สวรรค์ อินทร์ พรหม เป็นไฟเย็น ที่จิตไปติดอยู่ ไปไหนไม่ได้ เพราะไม่อยากไป เพราะติดสุขในภพนั้น ๆ ฯ
แต่จิตที่เป็นพุทธะ อยู่นอก และอยู่เหนือ ภพทั้งหมดนั้นแล้ว ไม่มีภพอีกต่อไป ฯ
สรุปว่า อวิชชา เกิดจากความขาดสติสัมปชัญญะ และขาดอธิบัญญา ครับผม

 [FONT=&quot]สติปัฏฐาน[/FONT][FONT=&quot]4[/FONT][FONT=&quot] อิทธิบาท[/FONT][FONT=&quot]4[/FONT][FONT=&quot] สัมมัปธาน[/FONT][FONT=&quot]4[/FONT][FONT=&quot] อินทรีย์[/FONT][FONT=&quot]5[/FONT][FONT=&quot] พละ[/FONT][FONT=&quot]5[/FONT][FONT=&quot] โพชฌงค์[/FONT][FONT=&quot]7[/FONT][FONT=&quot] อริยมรรค[/FONT][FONT=&quot]8[/FONT][FONT=&quot] คือข้อปฏิบัติที่จะทำให้เกิดความเข้าถึง [/FONT] [FONT=&quot]หรือเข้าสู่วิถีแห่งการรู้ความจริงของกายหรือใจ หรือมโน หรือโลกนี้ ครับ
ดูรายละเอียด ในพระดำรัสว่า อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ ....ธรรมะชั้นสูงอยู่ที่นั่น..นะครับ
[/FONT]

แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กุมภาพันธ์ 2012

LungKO, 13 กุมภาพันธ์ 2012

#35
LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มีนาคม 2010

โพสต์:

590

ค่าพลัง:

+925

สมใจ แสงทอง said: ↑

อาน(อัน)นี้เอาจริงและ อย่าว่าผมละว่าตอบมาก คำถามมาน(มัน)ตรงพอดี
ผมว่าคนเราเกิดมา ก็ตาย เกิดมาก็ตาย อยู่แบบนี้ คุณลองคิดสิว่า มนุษย์ยิ่งใหญ่แค่ไหน รวยแค่ไหน บารมีเท่าไหน ก็สิ้นสุดแค่ว่า เกิดมาก็ตาย เกิดมาก็ตาย ไอที่เที่ยงแท้น่ะ ผมว่ามีแต่หากานไม่เจอเองเพราะว่ามีกิเลส ความอยากได้ ความอยากรู้อยากเห็น จิตคือตัวท่าน สมมุติท่านมีจิตแน่วแน่ คือจิตที่แท้จริง ท่านไม่ต้องลงนรก ผุดสวรรค์ แต่ท่านจะไป ณ ที่ใดก็ได้ ตอนไหนก็ได้ ท่านก็คงต้องเบื่อบ้างแหละ การทำชั่วง่าย การทำดีก็ง่าย การมีบารมีง่าย การไม่มีบารมีก็ง่าย คนเราบรรลุ แล้วก็ต้องการธรรมดามากที่สุด เพราะธรรมดา อาจจะดีที่สุดก็ได้ เอาง่าย ๆ คุณผู้อ่าน เป็นเทพ ผู้สูงสุด เกิดชาติใดก็ไม่มีไครทำอะไรได้ เกิดหมื่นชาติก็ไม่มีไครทำอะไรได้ แล้วพวกท่านไม่เบื่อบ้างหรือ ผมอยากจะบอกว่า ดวงจิตก็คือ ตัวคุณเองนั้นแหละ แต่เมื่อคุณสงบ (เคย)สังเกตคนที่มีจิตใจสงบบ้างหรือเปล่า ว่าแกร่งกล้าเพียงใด เอาง่าย ๆ คุณลองไปฝึกสมาธิให้จิตแก่กล้า เมื่อฝนตกฟ้าผ่าสนั่นหวั่นไหว คุณก็ไม่ตกใจ เมื่อคุณฝึกไปเรื่อย ๆ สงบ คุณก็จะเข้าถึงจิตของคุณอย่างละเอียด ถึงผมจะบอกว่าจิตที่แท้จริงก็คือคุณนั้นแหละ แต่คุณอย่างถ่องแท้ ต้องเข้าให้ถึง มนุษย์ทุกพาก กิเลสหนา เทพบางภาคกิเลสหนา ไม่มีไครดีไครชั่วเสมอ ทุกอย่างถูกสร้างมาให้เสมอต้นเสมอปลาย เหมือนหญินหยาง แต่ว่าอาจจะมีจุตรงกลางหยินหยางที่เกิดขึ้นมาทำให้มีหยินหยาง

จิตอาจเป็นอากาศธาตุก็ได้ แต่เท่าที่ผมเข้าใจหรือสัมผัส+กับความคิดคือ จิต นั้น เป็นตัวคุณเองนั่นแหละ แต่ว่าจิตนั้น หนากว่าทุกอย่าง บางกว่าทุกอย่าง พูดง่าย ๆ คือความไม่มีตัวตน แต่คุณสามารถสัมผัสได้โดยการมองเห็น นึกคิด จิตเข้าแข็งไปได้หมดทุกที่ พวกคุณหรือไครสงสัยหรือไม่ว่า พวกพระสงค์หรือคนมีญาณ เวลาท่องนรกหรือสวรรค์ เค้าไปทั้งร่างกายหรือไปแค่จิต ร่างกายนี้หมายถึง จิตที่เห็นทั้งกาย หรือ จิตที่มองไม่เห็นตัวเองเลย คือไม่มีตัวตน เอาง่าย ๆ ฝึกอันนี้สิ รูป รส กาย ใจ กลิ่น เสียง คิดซะว่าเป็นเรื่อฝงธรรมดา จิตคุณจะแข็งขึ้น ทุกสิ่งเป็นเรื่องธรรมดา แนะนำแค่นี้แหละ นึกอะไรออกจะมาบอก ขอบคุณครับ
Click to expand...

ตอบได้เยี่ยมยอดมาก ยอมรับจริง ๆ สาธุ สาธุ สาธุ

แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กุมภาพันธ์ 2012

LungKO, 13 กุมภาพันธ์ 2012

#36
pczophie Active Member

วันที่สมัครสมาชิก:

8 มกราคม 2012

โพสต์:

222

ค่าพลัง:

+61

เราว่า เรื่องนี้พระพุทธเจ้าน่าจะเคยบอกไว้แล้ว

แต่เนื่องจากยังไม่เคยมีใครกล่าวถึง (เราก็ไม่ค่อยเก่งพระไตรปิฎกด้วยอ่ะนะ)

ขอตอบแบบ เดาๆ ไม่ต้องเครียดละกันนะคะ ^^ ถือซะว่าเป็นการถามตอบสนุกๆ

---

จิตวิญญาณเกิดขึ้นได้อย่างไร??

ถ้าคนที่นั่งสมาธิและฝึกสติบ่อยๆ คงจะมองเห็นลำดับเหตุการณ์ของการมีอยู่ของสิ่งๆหนึ่ง ว่ามาจากไหน มาได้อย่างไร??

(ซึ่งเราคิดว่า พระพุทธเจ้าท่านมองเห็นนะ >< แต่ก็อย่างที่บอก เนื่องจากไม่มีใครกล่าวถึง ก็เลยจะขอตอบแบบเดาๆไปก่อนละกันนะคะ ^^)

เราคิดว่า.. จิตวิญญาณนี้ มีอยู่ เพราะ มีกิเลส ค่ะ..

อันนี้เราเดาจากการทำงานของ จิต กับ กาย ค่ะ..

ความสามารถของจิต มักจะถูกจำกัดทุกครั้งที่มันอยู่กับกายเนื้อ (แต่แปลกที่ เวลามันอยู่กับกายเนื้อ มันจะมีสติมากกว่าตอนอยู่ในโลกทิพย์) เราได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อให้ได้ฝึกมีสติ เพราะตอนอยู่ในโลกทิพย์ น้อยมากๆที่จะระลึกได้ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไรอยู่

---

ถ้าเรา ถอยหลังไปเรื่อยๆ..

คนเราจะทุกข์มาก เมื่อคิดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา แล้วก็ยิ่งทุกข์เข้าไปอีก ถ้ามีกิเลสตัณหามาก

คนที่ดึงความสามารถของจิตออกมาใช้ได้ ทำให้มีตาทิพย์หูทิพย์ ส่วนมากจะเป็นคนที่ ไม่ค่อยยึดติดกับร่างกายตัวเอง ไม่ค่อยมีกิเลสตัณหา บางคนเกิดเองตามธรรมชาติ บางคนก็เกิดจากการฝึกสติบ่อยๆ(นั่งสมาธิบ่อยๆ)

ดังนั้น หากพิจารณาดีๆแล้ว จิตมาติดอยู่กาย เพราะกิเลส

แล้วถ้าจิตไม่อยู่กับกายล่ะ?? มันอยู่เพื่ออะไร?? แล้วมันมาจากไหน?? (อันนี้ พระพุทธเจ้าน่าจะกล่าวไว้แล้วล่ะค่ะ แต่เนื่องจากยังไม่เคยมีใครพูดถึง เราก็เลยจะขอตอบเดาๆก่อนละกันนะ เอาแบบไม่เครียด)

เวลาที่จิตไม่ได้อยู่กับกายเนื้อแล้ว.. มันจะไปอยู่ตาม ระดับความเข้มของ สติ ค่ะ

คนที่ไม่ค่อยได้ฝึกสติ(ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิ) ส่วนมาก จิตจะไปทำข้อมูลที่อยู่ในจิต(มันมีหลายส่วนนะคะ จิตที่เป็นตัวรู้ เป็นตัวสร้างโลก เป็นตัวเก็บข้อมูล เป็นตัวควบคุมความเป็นไปต่างๆ)

คนที่ไม่มีสติ ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิ ส่วนมากจะไปอยู่ตามข้อมูลประสบการณ์ชีวิตค่ะ เช่น ทำงานโดยตัวควบคุมค่ะ

คือ.. เราไม่ค่อยแม่นหลักธรรมต่างๆ แต่เรามองออกว่า คำว่า "จิต" มันไม่ใช่ตัวเดียว มันมีหลายส่วน มีส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมความเป็นไปต่างๆ(Processor) ทำหน้าที่เก็บข้อมูล(Memeory) ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างโลก(Monitor) ทำหน้าที่เป็นตัวรู้(User)ไว้รับสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง .. ที่เรามองออกหลักๆก็มี 4 อันนี่แหละ ก็คงจะมีย่อยๆอีกแต่เราก็มองออกแค่นี้ (ระดับปัญญาของเรา มองออกแค่นี้อ่ะ --')

คนที่ทำความชั่ว ความเลว และไม่เคยฝึกสติ จิตที่เป็นProcessor มักจะทำให้คนๆนี้ ไปอยู่ในที่ๆไม่สบายค่ะ (คล้ายๆนรกอ่ะ) คนที่ทำความดี จิตใจผ่องใส แต่ไม่ค่อยนั่งสมาธิหรือนั่งอยู่แต่ใจไม่ค่อยสงบ คนพวกนี้จะถูกProcessor ส่งไปในที่ๆดีๆค่ะ(คล้ายๆสวรรค์)

ส่วนคนที่.. ฝึกสติมาอย่างนี้.. มีสติรู้ตัวแทบตลอดเวลา ประมาณว่า เวลานอนก็ไม่ฝัน(โลกความฝันเกิดจากการทำงานของจิตที่ไม่มีสติเต็มร้อยค่ะ)

ดังนั้น คนที่ฝึกจิตมาดี มีสติตลอดเวลา นั่งสมาธิบ่อยๆ คนเหล่านี้ จะไม่ไปนรก ไม่ไปสวรรค์ หลุดพ้นจากการสร้างนรกสร้างสวรรค์ (เราคิดว่า กลุ่มนี้น่าจะคล้ายๆที่เขาเรียกกันว่า พรหม อ่ะ ชั้นพรหม แต่นี่คือเราพูดแบบหยาบๆนะ อาจมีละเอียดกว่านี้ แต่ระดับปัญญาของเรา ก็มองออกแค่นี้อ่ะ)

คนที่มีสติ แต่ยังไม่เกิดปัญญา ก็ยังไม่เป็นอรหันต์ค่ะ เป็นแค่พรหม (จริงๆไม่อยากใช้คำศัพท์ของคนพุทธเลยนะ เพราะกลัวใช้ผิด --') เราจะบอกว่า จิตที่หลุดพ้นจากสวรรค์และนรกแล้ว.. ก็ยังแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ กลุ่มที่หลุดพ้นสวรรค์และนรกแต่ยังไม่เกิดปัญญา(มีแต่สติ แต่ยังไม่เกิดปัญญา) กับกลุ่มที่ มีทั้งสติและปัญญา(หลุดพ้นจากสิ่งลวงตา แล้วก็ยังเข้าใจการทำงานและกลไกต่างๆของสรรพสิ่งด้วย)

----

ทีนี้.. เหตุผลที่เราคิดว่า.. จิตวิญญาณ มีอยู่ เพราะกิเลส

ที่เราเดาคำตอบนี้ .. ก็เป็นเพราะว่า??

คนที่คิดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา จิตก็จะอยู่กับกาย และจะทุกข์มาก

คนที่ปรารถนาสวรรค์ นรก (คนเหล่านี้มีทั้งคนดีและไม่ดี แต่.. ถึงแม้จะเป็นคนดี แต่ก็ยังเป็นคนดีที่มีกิเลสอยู่) จิตที่ปรารถนาสวรรค์ ก็จะได้อยู่ในสวรรค์สมใจ

ส่วนจิตที่ไม่ปรารถสิ่งใด แต่ยังไม่เกิดปัญญา จะยังมีอยู่ มีจิตอยู่ มีตัวตนอยู่ เพียงแต่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมรอบๆตัวได้ (ไปนรกหรือสวรรค์ก็ได้ ไปไหนก็ได้ เพราะไม่ถูก Processor ควบคุม แต่เป็นผู้ควบคุมตัวเองทุกอย่าง)

ส่วน.. จิตที่.. มีสติและปัญญา ไม่ปรารถนาสิ่งใด ไม่ปรารถนานิพพาน ไม่ปรารถนาอรหันต์ ไม่ปรารถนานรก ไม่ปรารถนาสวรรค์ คือ.. หมดสิ้นซึ่งทุกอย่าง.. เราคิดว่า.. นี่คือ.. ไม่มีค่ะ..

แนวคิดของเราก็คือ.. การมีอยู่ของจิต คือ มีกิเลส (มากน้อยต่างกันไป)

การไร้กิเลส จิตก็ไม่มีอยู่ค่ะ.. ทุกอย่างก็.. ว่างเปล่า

เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก: Zophie@^_^@ // MB.old

pczophie, 13 กุมภาพันธ์ 2012

#37
GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

15 มิถุนายน 2005

โพสต์:

561

ค่าพลัง:

+2,162
เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมบางครั้งพระท่านถึงว่าการได้ไปถึงพระนิพพานเหมือนกับการกลับบ้าน ถ้าคิดเล่นในอีกมุมนึงนั่นหมายความว่าเราอาจจะมาจากบ้านเดิมที่เรียกว่าพระนิพพานก็ได้ แต่ก็ติดตรงที่ถ้าอย่างนั้นเราจะมาเกิดทำไมกัน ปัญหาตรงนี้แก้ง่ายๆ โดยความจริงของเราเองในเรื่องของความปรารถนา มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเราปรารถนาสิ่งต่างๆ เพราะต้องการความสุข ความสมดังใจ สิ่งเหล่านี้ปรากฎมีอยู่ในทุกๆ ดวงจิตไม่มียกเว้นว่าจะดีเลิศแค่ไหนหรือชั่วช้าขนาดไหนก็ตาม ต่างก็มีสิ่งนี้เหมือนๆ กัน แสดงว่าต้นกาลเวลาจริงๆ ที่จิตเกิดขึ้นมาจะต้องอยู่ในสภาวะที่อาจจะคล้ายๆ นิพพานก็ได้ คือไร้กาลเวลา ไร้กฎไร้ระบบต่างๆ ไม่มีแม้แต่นามเพื่อจะสืบเนื่องในธาตุธรรมทั้งหลาย ถ้าเป็นแบบนั้น เราเองจะคิดอย่างไร เราเองคงจะอยู่ได้ไม่นานก็คงต้องแสวงหาอะไรสักอย่าง ที่มันมีคุณค่ามากกว่านั้น หรือมากกว่าความว่างเปล่าขนาดนั้น พอจิตเริ่มแสวงหาก็ปรากฎเป็นสิ่งต่างๆ ขึ้นมากขึ้นๆ จนสุดท้ายทุกอย่างก็ปรากฎ แล้วกว่าเราจะรู้ตัวก็เวียนว่ายตายเกิด ในภพชาติต่างๆ จักรวาลต่างๆ ที่ดูเหมือนมันกว้างใหญ่ ไร้ขอบเขต แต่จิตกลับแสวงหาความสุขที่แท้จริงไม่พบ จนสุดท้ายเราก็มานั่งกันอยู่หน้าจอ อ่านกระทู้ที่ชวนให้น่าสงสัยว่าจิตเกิดมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่หลักฐานทุกอย่างก็คือจิตเราเองที่ปรากฎอยู่ตรงนี้ แต่กลับไม่รู้ นี่แหละคือหลักฐานว่าความเป็นดวงจิตของเรามันรู้ไม่ครบจริงๆ ที่เรียกว่าอวิชชา เพราะถ้ารู้ครบเราคงไม่ต้องเกิด แต่ก็อย่างว่าถ้าไม่เกิดมาเรียนรู้แล้วจะเข้าสู่พระนิพพานได้อย่างไร สรุปคือทุกอย่างมันต้องดำเนินไปอย่างนี้แหละถูกของมันแล้ว เพียงแต่เราจะรู้ช้าหรือเร็วต่างกันแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับใจของแต่ละคนที่จะยอมรับความจริงเหล่านี้ได้มากน้อยต่างกัน

มีเมตตาอยู่ในจิต เยือกเย็นเป็นนิจ ชีวิตไม่มีอะไร แค่เล่นไปตามบท จุดจบก็แค่ตาย สุดท้ายก็เสมอแท้จิตเดียวกัน

GenerationXXX, 13 กุมภาพันธ์ 2012

#38
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ
LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มีนาคม 2010

โพสต์:

590

ค่าพลัง:

+925
GenerationXXX said: ↑

เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมบางครั้งพระท่านถึงว่าการได้ไปถึงพระนิพพานเหมือนกับการกลับบ้าน ถ้าคิดเล่นในอีกมุมนึงนั่นหมายความว่าเราอาจจะมาจากบ้านเดิมที่เรียกว่าพระนิพพานก็ได้
Click to expand...

ท่านทั้งหลายครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในสงสารวัฏฏ์ที่ผ่านมา ในสังสารวัฏฏ์ทั้งหลายนั้นพระองค์ไปเกิดมาแล้ว ยกเว้นพรหมชั้นสุทธาวาส (พรหมชั้นนี้มี5ระดับหรือห้องคือ 1.อวิหา 2.อตัปปา 3.สุทัสสา 4.สุทัสสี 5.อกนิฏฐา ) เพราะถ้าพระองค์ไปอยู่ที่นั่น พระองค์ก็จะไม่เสด็จมาอุบัติในโลกมนุษย์อีก (คือถ้าพระองค์ต้องการ พระองค์จะนิพพานที่นั่นก็ได้) แต่พระองค์ไม่ไปอยู่ที่นั่น ฯ

การมาตรัสรู้ของพระองค์ครั้งนี้เพื่อบอกให้ทราบว่า เมื่อนิพพานแล้วจะไม่มีภพหรือชาติอีกต่อไป พระองค์ตรัสไว้ในหลายแห่ง เช่น ในพุทธประวัติตอนประสูตรวันแรก ฯ และในธัมมจักกัปปวัตตนะสูตร ที่ตรัสว่า อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโว...ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพ(ใด ๆ ก็) ไม่มีอีกต่อไป ดังนี้ และที่อื่น ๆ มีอีกหลายแห่งก็ตรัสหเมือนกันนี้ฯ นั่นแสดงว่าพระที่ท่านนิพพานแล้ว ไม่กลับมาเกิดอีก ฯ

พวกเราทั้งหลายนี้ เกิดจากจิตที่สะอาด แต่ยังไม่บริสุทธิ์เพราะมีอวิชชา หรืออาสวะติดมาอยู่ เหมือนน้ำที่ใส ๆ สะอาด ใช้ดื่มได้ และไม่ใช่น้ำที่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าตั้งไว้นาน ๆ ก็เกิดตะกอน เมื่อมีตะกอน ถ้ามีคนไปแตะต้องเข้า ก็เห็นการฟุ้งของตะกอนแน่นอน จะมากหรือน้อยก็ย่อมแตกต่างกันไป ตามคุณภาพของน้ำนั้น ที่เห็นชัดคือสีเขียวที่เป็นตะไคร่น้ำนั่นแหละ เห็นง่าย คือยังมีอวิชชาอยู่ ในนั้น มีอาสวะอยู่ในนั้น จึงยังไม่สะอาด เราต้องกรองน้ำคือตัวเรานี้ด้วย สติปัฏฐาน4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7 และมรรค8 หรือที่เรียกว่าโพธิปักขิยธรรม 37 ประการนั้น เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ของจิตคือเรานี้ ฯ

พวกเราควรศึกษาให้ดี ๆ
อย่าหลงมุมนะครับ

อวิชชาเกิดจากอาสวะทั้งหลาย
 [FONT=&quot]..ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสวัฏฏกถา ย่อมตรัสด้วยศัพท์อันเป็นหัวข้อคืออวิชชา อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ ในกาลก่อนแต่นี้อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำนี้อย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อวิชชามีเพราะข้อนี้เป็นปัจจัย จึงปรากฏ ดังนี้บ้าง.....[/FONT]

 [FONT=&quot]
[/FONT]

แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กุมภาพันธ์ 2012

LungKO, 13 กุมภาพันธ์ 2012

#39
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ
GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

15 มิถุนายน 2005

โพสต์:

561

ค่าพลัง:

+2,162
LungKoZone said: ↑

ท่านทั้งหลายครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในสงสารวัฏฏ์ที่ผ่านมา ในสังสารวัฏฏ์ทั้งหลายนั้นพระองค์ไปเกิดมาแล้ว ยกเว้นพรหมชั้นสุทธาวาส (พรหมชั้นนี้มี5ระดับหรือห้องคือ 1.อวิหา 2.อตัปปา 3.สุทัสสา 4.สุทัสสี 5.อกนิฏฐา ) เพราะถ้าพระองค์ไปอยู่ที่นั่น พระองค์ก็จะไม่เสด็จมาอุบัติในโลกมนุษย์อีก (คือถ้าพระองค์ต้องการ พระองค์จะนิพพานที่นั่นก็ได้) แต่พระองค์ไม่ไปอยู่ที่นั่น ฯ

การมาตรัสรู้ของพระองค์ครั้งนี้เพื่อบอกให้ทราบว่า เมื่อนิพพานแล้วจะไม่มีภพหรือชาติอีกต่อไป พระองค์ตรัสไว้ในหลายแห่ง เช่น ในพุทธประวัติตอนประสูตรวันแรก ฯ และในธัมมจักกัปปวัตตนะสูตร ที่ตรัสว่า อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโว...ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพ(ใด ๆ ก็) ไม่มีอีกต่อไป ดังนี้ และที่อื่น ๆ มีอีกหลายแห่งก็ตรัสหเมือนกันนี้ฯ นั่นแสดงว่าพระที่ท่านนิพพานแล้ว ไม่กลับมาเกิดอีก ฯ

พวกเราทั้งหลายนี้ เกิดจากจิตที่สะอาด แต่ยังไม่บริสุทธิ์เพราะมีอวิชชา หรืออาสวะติดมาอยู่ เหมือนน้ำที่ใส ๆ สะอาด ใช้ดื่มได้ และไม่ใช่น้ำที่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าตั้งไว้นาน ๆ ก็เกิดตะกอน เมื่อมีตะกอน ถ้ามีคนไปแตะต้องเข้า ก็เห็นการฟุ้งของตะกอนแน่นอน จะมากหรือน้อยก็ย่อมแตกต่างกันไป ตามคุณภาพของน้ำนั้น ที่เห็นชัดคือสีเขียวที่เป็นตะไคร่น้ำนั่นแหละ เห็นง่าย คือยังมีอวิชชาอยู่ ในนั้น มีอาสวะอยู่ในนั้น จึงยังไม่สะอาด เราต้องกรองน้ำคือตัวเรานี้ด้วย สติปัฏฐาน4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7 และมรรค8 หรือที่เรียกว่าโพธิปักขิยธรรม 37 ประการนั้น เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ของจิตคือเรานี้ ฯ

พวกเราควรศึกษาให้ดี ๆ
อย่าหลงมุมนะครับ

อวิชชาเกิดจากอาสวะทั้งหลาย
[FONT=&quot]..ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสวัฏฏกถา ย่อมตรัสด้วยศัพท์อันเป็นหัวข้อคืออวิชชา อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ ในกาลก่อนแต่นี้อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำนี้อย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อวิชชามีเพราะข้อนี้เป็นปัจจัย จึงปรากฏ ดังนี้บ้าง.....[/FONT]


Click to expand...

เป็นการคิดอีกมุมนึงไงครับ เพื่อหาคำตอบของคำถามว่าจิตเกิดมาจากไหน อย่างไร ส่วนในสัจจะธรรมความจริงทั้งหลายก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยน เรื่องของอวิชชาใครบ้างไม่มี ก็ถ้าไม่อาศัยอวิชชาจิตจะอยู่เรียนรู้ความจริงเหล่านี้ได้ไหม มันก็ต้องเป็นสิ่งที่ต้องเป็นไปตามนั้นอยู่แล้วจริงไหมครับ ก็แค่ยกมาพูดในแง่ที่ว่าอย่างไรเสียทุกคนก็ต้องเรียนรู้ความจริงกันเอง จนสุดท้ายสรุปได้เองแล้วก็หลุดพ้นด้วยจิตของตนเอง พูดอีกมุมนึงก็เหมือนกับไปเป็นจิตบริสุทธิ์จริงๆ ก่อนที่จะเกิดการปรุงแต่งด้วยกิเลส ตัณหา อุปทาน ซึ่งก็มาจากอวิชชาไม่ใช่เหรอครับที่ทำให้เกิด ก็ถ้าจะพูดให้ชัดก็เพราะจิตแต่เดิมมีอวิชชาอยู่ก่อน จึงต้องมีการเรียนรู้แล้วเปลี่ยนแปลงตัวรู้ของจิตเองให้รู้ความจริงแท้ครบ พอรู้ครบก็เข้าถึงพระนิพพาน

เรื่องของตำราก็ว่าไปตามนั้น ความเป็นจริงอาจจะไม่สามารถอธิบายได้อย่างตำราก็ได้ครับ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงตรัสไว้โดยละเอียดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะครบองค์หมดทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรที่เกินกว่ามนุษย์จะรับรู้และเข้าใจ แม้รู้แล้วเป็นความจริงแต่ไม่เกิดประโยชน์พระองค์ก็ไม่ตรัส เรื่องพวกนี้มีอีกมากครับ ที่เราไม่รู้เช่นพระองค์

มีเมตตาอยู่ในจิต เยือกเย็นเป็นนิจ ชีวิตไม่มีอะไร แค่เล่นไปตามบท จุดจบก็แค่ตาย สุดท้ายก็เสมอแท้จิตเดียวกัน

GenerationXXX, 13 กุมภาพันธ์ 2012

#40
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ

(คุณต้องเข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน เพื่อที่จะโพสต์)

หน้า 2 ของ 4

แชร์หน้านี้

Loading...