การสอนดูจิตที่เข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงว่าจิตเกิดดับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 5 มิถุนายน 2010.

  1. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านธรรมภูติครับ เรากำลังถกกันเรื่อง อาการของจิตอยู่
    เอากันที่ละประเด็น ให้มันจบที่ละอย่าง แล้วค่อยเริ่มประเด็นใหม่
    รบกวนท่าน อย่าเอาความเห็นของผมไปแตกประเด็นใหม่
    ไม่งันมันไม่จบเสียที่ บางที่มันทำให้สับสน หลงลืมกับคำถามแรกๆ
    ผมกลัวเข้ารกเข้าพงเสียเปล่าๆ

    นี้แค่แสดงความเห็น ถ้าผมเข้าใจผิดหรือท่านไม่เห็นด้วย
    ก็ไม่เป็นไรครับ
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    คุณกำลังสับสนเองอยู่ครับ ผมไม่เคยคิดปะฉะดะเลยนะครับ

    เพียงแต่เห็นว่าอะไรที่ขาดเหตุผล ก็อดที่จะถามไม่ได้เท่านั้นเองครับ

    คุณกำลังดึงออกนอกเรื่องนะครับ เราไม่ได้ขึ้นศาลหรือกำลังโต้วาทีกันนะครับ

    เรากำลังถกธรรมกันอยู่นะครับ แล้วธรรมที่เราถกกันอยู่นั้น

    เรามีพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าเป็นประธานให้เทียบเคียงนะครับ

    ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น เป็นสิทธิส่วนบุคคลห้ามกันไม่ได้อยู่แล้วครับ

    ใครเชื่อในเหตุผลที่ถูกก็รับประโยชน์ไป ส่วนใครไม่เชื่อเค้าก็รับของเค้าอยู่แล้วใช่มั้ยครับ???

    คุณเองไม่ใช่หรือครับที่ตัดสินว่าผมผิดมาแต่ต้นแล้ว อย่าแกล้งลืมสิครับ

    ;aa24
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    คุณพูดเองอยู่แหมบๆว่า อย่าตัดสินผู้อื่น คุณตัดสินผมไปเรียบร้อยแล้วว่า ผมอารมณ์เสียกลับไปแทบทุกครั้ง

    อะไรมาตัดสินหละครับว่า ขณะที่ผมสนทนาทางเนทกับคุณอยู่ ผมกำลังอารมณ์เสียในขณะนั้น อย่าเดาสวดสิครับ

    คุณพูดเองไม่ใช่หรือครับว่า จะรู้ว่าใครโกรธหรืออารมณ์เสียนั้น ให้ดูกันที่การแสดงออกทางร่างกาย

    ผมไปแสดงออกทางร่างกายให้คุณเห็นตอนไหนครับว่า ผมกำลังอารมณ์เสียอยู่ครับ

    คุณว่าคุณยกตัวอย่างมาประกอบ ที่ผมถามคุณไปเรื่องตัวอย่างที่คุณว่า ทำไมไม่มีคำตอบหละครับ???

    เช่นคุณบอกว่าคุณเลิกบุหรี่ได้ยังไง โดยไม่รู้สึกตัวเลย??? มารู้สึกตัวตอนที่ความอยากดับไปใช่มั้ยครับ???

    แล้วก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น คือ ความอยากเกิดขึ้นไม่รู้ ความอยากดับไปรู้ คุณรู้ได้ยังไงว่ามันวนเวียนหละครับ???

    ผมเคยถามว่า "แล้วทำไมคุณจึงเลิกได้หละครับ"???

    อย่าสรุปเองเออเองสิครับ การถามซ้ำซากจำเจ ไม่ใช่เพื่อให้เชื่อนะครับ เป็นเพื่อให้รู้จักยอมรับความจริงบ้างนะครับ

    เมื่อผู้ร้ายที่ทำผิด ติดคุกอยู่นั้น เกือบทุกรายตอบเหมือนกันหมด

    คือเค้า(จิต)ไม่ได้ทำนะ แต่ร่างกายมันทำของมันเองใช่มั้ยครับ???

    คุณเองก็เชื่อแบบนี้อยู่ในหัวไม่ใช่หรือครับ???

    ;aa24
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    เรากำลังสนทนากันเรื่องจิตและอาการของจิตในปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสใช่มั้ยครับ

    แล้วคุณเอาท่านพระอาจารย์องคุลีมาลซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์มาอ้างเพื่ออะไรครับ???

    จิตท่านพระอรหันต์ย่อมไม่ยึดติดอยู่แล้วครับ จึงไม่เกิดไม่ตายไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เข้ามาปรุงแต่ง

    หรือกำลังจะบอกว่าคุณเองก็ไม่ยึดติดเช่นกัน คุณจึงไม่เชื่อเรื่องกรรมหรือครับ??? คุณเป็นพระอรหันต์แล้วหรือ???

    แม้แต่พระพุทธเจ้าซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์กล่าวเอง คุณยังไม่เชื่อว่า ปุถุชนย่อมเป็นไปตามกรรมที่กระทำ(กำหนด)

    ;aa24
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    คุณจำไม่ได้หรือครับ ที่คุณบอกว่า ใจคือสมองจึงนึกคิดต่างๆได้

    แล้วผมถามว่า แล้วทำไมคนตายมีสมองเหมือนกัน ทำไมนึกคิดต่างๆไม่ได้หละครับ???(คำตอบค้างอยู่)

    แล้วคำว่ากายเรา ใช่เราครอบครองหรือถือครองว่า เป็นร่างกายของเราใช่มั้ยครับ???

    เหมือนเจ้าของที่ถือครองที่ดินของตนและใช้สอยอยู่นั้น เมื่อที่ดินถูกยึดคืน(ตาย)ด้วยเหตุอะไรก็ตาม

    จิตของคุณยังจะถือครองอยู่ร่างกายนี้ได้อีกหรือครับ???

    คุณจำได้มั้ยครับว่าคุณเคยพูดอะไรไว้ คำพูดเหล่านั้นกลับมาพันคอคุณเองแล้วนะครับ

    คุณพูดเองไม่ใช่หรือว่า "แต่ในความเห็นผม จิตบังคับจิตหรือสติไม่ได้ครับ บังคับได้แต่กายครับ"

    ผมตอบว่าอย่างไรรู้มั้ยครับ??? ผมขอยกที่ตอบไว้มา เผื่อคุณอาจจะลืมง่ายก็ได้นะครับ

    "คุณกำลังสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า คุณใช้คำว่าจิตบังคับกายได้เท่านั้น ใช่มั้ยครับ???

    ผมถามว่า คุณลองเอานามบังคับกาย(รูป)ไม่ให้ เจ็บไข้ได้ป่วย แก่ชรา เหี่ยวย่น และไม่ต้องตายได้มั้ยครับ???

    คุณกำลังสับสนกับคำว่า บังคับบัญชา กับคำว่า ใช้สอยร่างกายอยู่นะครับ

    เราไม่สามารถบังคับบัญชาให้ กาย(รูป)นี้ไม่ให้ เจ็บไข้ได้ป่วย แก่ชรา เหี่ยวย่น และต้องตายใช่มั้ยครับ???

    แต่เราสามารถบังคับบัญชาให้จิตของเราไม่เป็นทุกข์ไปกับสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ใช่มั้ยครับ"???

    ส่วนร่างกายนั้น ปุถุชนทุกรูปนามย่อมถือครองว่าเป็นกายของเราทั้งสิ้น(ไม่ใช่ของคนอื่น)ใช่มั้ยครับ???

    เราจึงใช่สอยร่างกายของเราได้ ไปใช้สอยร่างกายคนอื่นโดยเค้าไม่เต็มใจไม่ได้ใช่มั้ยครับ???

    แต่เราไม่สามารถบังคับให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่ตายจากไปครับ

    การเข้ามาอาศัยได้นั้น เราต้องมีกรรมสิทธิ์ถือครองสิ่งนั้นอยู่ใช่มั้ยครับ???

    แม้จะเป็นการชั่วคราวก็ตามที เราจึงจะหยิบจับใช้สอยสิ่งนั้นได้ใช่มั้ยครับ???

    ;aa24
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    ผมก็ไม่ได้บอกว่า คุณพูดว่าถือครองเป็นเจ้าของ ผมพูดเองครับ คุณพูดว่าเป็นผู้อาศัยเท่านั้น???

    ผมถึงได้ถามว่า เมื่อเป็นเพียงผู้อาศัย โดยไม่ถือครอง ใครก็มาทำร้ายหรือขับไล่ได้สิครับ???

    แต่คุณกลับตอบว่า วัฏฏะสงสารมาไล่จิตหรือเอาทางโลกหน่อยก็คือโรคภัยไข้เจ็บใช่มั้ยครับ???

    ถ้าร่างกายเป็นบ้าน ก็ต้องบอกว่าบ้านใครบ้านมัน มีเจ้าของที่อาศัยถือครองอยู่ใช่มั้ยครับ???

    แล้วเวลาร่างกายเจ็บไข้ไม่สบาย ต้องกินยารักษาไปเพื่ออะไรครับ??? ในเมื่อเป็นผู้อาศัยเฉยๆ

    ส่วนวัฏฏะสงสารนั้น ไม่ได้มาไล่จิตครับ จิตหลงเข้าไปเองด้วยความเต็มใจ เพราะยึดมั่นถือมั่นนะครับ

    ;aa24
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    อ้าว ก็เพราะคุณไม่ยอมตอบคำถามผม คุณจึงถามกลับมาเช่นนี้ แบบนี้ครับที่เค้าเรียกว่าซ้ำซากจำเจ

    ตอนอารมณ์เกิดก็ไปรู้อยู่ที่อารมณ์ในขณะนั้นเพราะขาดสติไปใช่มั้ยครับ???

    เมื่อขาดสติไปก็ปรุงแต่งอารมณ์ไปต่างๆนานาจนกว่า สติจะคืนมาใช่มั้ยครับ???

    ผมถามว่า เมื่อครู่ที่ขาดสติไปนั้นรู้มั้ยครับ???

    ไอ้จิตผู้รู้ไม่ได้หายไปไหนแต่ไปรู้อยู่ที่อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอยู่ในขณะนั้นครับ

    ถ้าไม่รู้อะไรเลยในขณะนั้น เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นแล้ว คงบอกไม่ได้ใช่มั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น???

    คุณควรถามคำถามเพื่อเข้าถึงคำตอบ ไม่ใช่ถามย้ำๆซ้ำซากนะะครับ

    ผมตอบคุณแล้วนะครับ คุณก็ควรตอบคำถามผมด้วยจึงจะถูกต้องครับ

    ;aa24
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    อันนี้ผมยกให้ก็แล้วกันครับ ในฐานะที่คุณเป็นคนจริงพอสมควร

    ;aa24
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    ถ้าผมไม่มีจิตผู้รู้แล้ว ผมจะพูดได้มากมายก่ายกองขนาดนี้หรือครับ

    ผมพูดอะไรไป ผมก็รู้ พูดผิดไปก็รู้ พูดไปด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ก็รู้ ไม่สมบูรณ์ก็รู้ใช่มั้ยครับ???

    หรือที่คุณสนทนาอยู่กับผมนั้น เพราะคุณไม่มีจิตอยู่ คุณจึงไม่รู้อะไรเลย หรือที่เรียกว่าพูดไม่รู้เรื่อง

    คนเราแม้พูดไม่รู้เรื่องก็ยังรู้เลยว่า เมื่อครู่ที่พูดไปนั้น ไม่รู้เรื่องใช้ไม่ได้

    แม้คนบ้าพูดอะไรเค้ายังรู้เรื่องเลย แต่เราไม่เข้าใจเองต่างหากครับ

    มีรู้อยู่ที่ไหน ย่อมมีจิตอยู่ที่นั้น แม้ช่วงที่ขาดสติไป เมื่อระลึกขึ้นมาได้ก็รู้ว่าที่ขาดสติไปเพราะอะไรใช่มั้ยครับ

    ถ้ามนุษย์เราขาดจิตไป เราย่อมรู้อะไรไม่ได้ใช่มั้ยครับ???

    คนตายไป เพราะจิตออกจากร่าง จึงรู้อะไรไม่ได้ใช่มั้ยครับ???

    ;aa24
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    คุณก็อ้างมาสิครับ ใครจะว่าอะไรคุณได้ ส่วนเชื่อหรือไม่เชื่อก็อีกเรื่องหนึ่งครับ

    แต่คุณต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะคุณเองที่ชอบต่อต้านกล่าวหาคนที่นำมาอ้างเหล่านั้นนะครับ

    ;aa24
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    ในเมื่อคุณเห็นเช่นนี้ว่า "จิตไม่เที่ยงเกิดดับนะครับ"

    แล้วที่คุณพูดว่า "ด้วยเหตุนี้เราเลยต้องหาวิธี ไม่ให้จิตเกิดดับครับ" ขัดกันเองมั้ยครับ???

    ที่จิตเปลี่ยนแปลงได้หนะ มันเปลี่ยนแปลงเองหรืออารมณ์ทำให้เปลี่ยนแปลงครับ???

    ถ้าความอยากเรียกว่าจิตไปซะแล้ว ความไม่อยากเรียกจิตด้วยมั้ยครับ???

    ;aa24
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    อันนี้คำถามค้างเก่า เพิ่งมีเวลาตอบ ช้าหน่อยคงไม่ว่ากันนะครับ

    จิตที่เสวยสุขและทุกข์นั่นแหละอาการของจิต

    เมื่อจิตเสวยสุข จิตก็จะสดชื่นแจ่มใสใช่มั้ยครับ???

    เมื่อจิตเสวยทุกข์ จิตก็จะหงุดหงิดรำคาญ ไม่สดชื่นใช่มั้ยครับ???

    เมื่อจิตมี(เสวย)โทสะ จิตก็จะขุ่นมัว หมองไหม้ใช่มั้ยครับ???

    ถ้าที่ผมพูดนี้ไม่ใช่อาการของจิตแล้ว จะให้เรียกว่าจิตหรือครับ???

    ถ้าเรียกว่าจิตแล้ว ตกลงจิตเป็นอะไรกันแน่ ตัวสุข ตัวทุกข์ ตัวโทสะฯลฯ

    ผมของตอบแบบสั้นๆนะครับ สักกายะคือกาย ทิฐิคือความเห็น

    สักกายทิฐิคือ เห็นกายด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง คือเห็นนามกายที่ซ้อนอยู่ข้างใน

    ดังในสัมมาสมาธิมีกล่าวไว้ พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า เสวยสุขด้วยนามกายคือจิตนั่นเองครับ

    ;aa24
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    คุณไม่รู้สึกว่าพูดแปลกๆไปหรือครับ ปฏิบัติทางร่ากาย แต่ผลที่ได้จิตกลับเป็นผู้รับผลนั้น

    เหมือนคนกำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ดีๆ แต่ไปสะอาดบนหลังคาบ้านยังไงยังงั้นเลยนะครับ

    แล้วใครจะไปเชื่อหละครับ การพูดแบบขาดเหตุผลเช่นนี้

    คำว่าอายตนะภายใน คงหมายถึงใจใช่มั้ยครับ???

    ใจมีรูปร่างด้วยหรือครับ นำมาให้ดูหน่อยสิครับ

    ใจเป็นช่องทางในการรับอารมณ์ของจิตใช่มั้ยครับ??? ไม่มีรูปร่างให้จับต้องได้ใช่มั้ยครับ???

    ;aa24
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    ที่ผมยกมานั้นไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลยนะครับ

    ผมเพียงยกตัวอย่างให้เห็นว่า ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดจากจิตสั่งการไปทั้งสิ้นใช่มั้ยครับ???

    แต่คุณกลับวางหลักเกณฑ์ตายตัวว่า การแสดงออกทางกายแบบนั้นคือความรัก ผมก็ชี้ให้เห็นว่าอาจเป็นความใคร่ก็ได้ใช่มั้ยครับ???

    คุณเคยเกลียดใคร แต่ต้องยกมือไหว้มั้ยครับ??? อย่าบอกนะครับว่าไม่เคย ผมไม่เชื่อ???

    เมื่อจิตไม่ชอบ ไปยกมือไหว้ทำไมครับ??? ทำไมกายไม่แสดงอาการไม่ชอบออกด้วยมาหละครับ???

    คุณพูดเองนะครับว่าอารมณ์เกิดขึ้นที่จิต นั่นแหละครับอาการของจิตที่แสดงออกมาทางกาย

    ซึ่งเราสามารถควบคุม ไม่ให้กายแสดงอาการออกมาก็ได้ใช่มั้ยครับ???

    คุณพูดเองนะครับ เราย่อมรู้ตัวเองดี รู้ที่ไหนครับที่กายหรือที่จิตครับ???

    การที่จิตเกิดอารมณ์หรือปรุงแต่งนั้น เป็นอาการของจิต ที่แสดงออกไปทางกายครับ

    หรือให้กายเป็นผู้เกิดอารมณ์หรือปรุงแต่งอารมณ์เหล่านั้นหละครับ

    ถ้าเป็นแบบนี้คุกมีเท่าไหร่ก็ไม่พอขังคนชั่วหรอกครับ หรือว่าไม่จริงครับ???

    ;aa24
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    ผมยังไม่ได้ออกนอกประเด็นเลยนะครับ

    คุณเองเข้าใจว่า อาการเป็นเรื่องของกาย ส่วนจิตนั้นเป็นเพียงสภาวะที่เกิดขึ้นเท่านั้นใช่มั้ยครับ???

    แล้วสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นเช่น โลภะ โกรธ หลงฯลฯนั้น ล้วนเรียกจิตหมด

    ตกลงจิตเป็นผู้รู้ หรือจิตเป็นตัวโกรธ เป็นโลภะ เป็นตัวหลงครับ

    แบบนี้โลกุตรจิตชั้นพระอรหันต์ก็เป็นแบบนั้นด้วยหรือครับ???

    ถ้ามันจบไม่ได้เพราะไม่ยอมรับความจริง ก็คงไม่มีใครว่าอะไรได้หรอกครับ

    ของแบบนี้เป็นสิทธิส่วนบุคคล บังคับกันให้เชื่อไม่ได้หรอกครับ ใครทำใครได้นะครับ

    รู้ถูก ก็หลุดพ้นได้ครับ ส่วนรู้ผิด ก็ติดกาลเวลาไปอีกนานนะครับ

    ;aa24
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เอามาให้อ่าน อนาคตสูตรที่ ๓


    <DIR>ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา

    เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา

    จักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

    แม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา

    เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา

    ก็จักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

    แม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา

    เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม

    การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๑ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป

    ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น

    </DIR>

    ;aa24
     
  17. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    จิตคุณจะมีกิเลสหรือ ผ่องใส่ด้วยอำนาจสมาธิแค่ไหน จิตปล่อยวาง
    อารมณ์แล้วมันก็ยังทุกข์ เพราะจิตเป็นตัวทุกข์

    นี่ไม่ใช่บังคับนะคุณ เอาธรรมะมาให้ฟัง เพื่อให้คุณกลับมาเป็น "คน"

    หากยังคิดว่า เดินสมาธิแล้วเกิดปัญญาแล้ว ฟังให้ดีๆนะ นั้นยังทุกข์
    จิตยังโง่อยู่ ดังนั้น มาฝึกสติปัฏฐานเจริญปัญญาให้เป็นเสียไวๆนะ

    [music]http://palungjit.org/attachments/a.1027662/[/music]
     
  18. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ท่าน อ.ธรรมภูต ก็ไม่ได้กล่าวอะไรผิดนี่
    ท่าน ก็บอกว่า จิตเป็นผู้รู้ จิตเป็นตัวหลง
    ก็เข้าทำนองเดียวกับจิตเป็นตัวทุกข์

    ตัวคุณนั่นเองแหละควรไปทำสมาธิให้เกิดกับตัวเองก่อน
    ไม่ใช่เอาที่จำมาเล่า....มาอธิบายให้คนอื่นฟังแบบมั่ว มั่ว ซั่ว ซั่ว
    มันน่าอายนะ สมาธิก็ยังไม่เคยเป็น แต่เอามาเล่าได้เป็นคุ้งเป็นแคว
    แถมมาสอนให้คนอื่นเดินปัญญาอีก ทั้งที่ตัวเองยังไม่รู้เรื่อง

    สมาธิคุณยังไม่มี จิตคุณฟุ้งซ่านอยู่ตลอด
    แล้วคุณจะเดินปัญญาได้ยังไง

    เอานะ....เอาพุทโธ ให้ได้ก่อน
    เอาให้จิตสงบด้วยพุทโธก่อนแล้วค่อยว่ากัน

    อันนี้จิตฟุ้งซ่านอยู่
    โพสต์อะไรมามันก็เพ้อเจ้อไปเรื่อยแหละ
    อายคนที่รู้จริง เค้าเฉย ๆ
     
  19. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านธรรมภูติครับ ก่อนที่ผมจะแสดงความเห็นต่อไป ผมขอทำความเข้าใจอีกสักครั้ง
    ถึงแม้ว่า จะรู้อยู่เต็มอกว่าคงจะเป็นการยาก ที่จะให้ท่านเห็นดีและเข้าใจ แต่ยังไรแล้วก็

    ต้องบอกกล่าวกัน เพราะยังมีสมาชิกอื่นเข้ามาอ่าน ท่านเหล่านั้นจะได้เข้าใจด้วย

    คำถามบางคำถามของท่านที่ได้ถามมา ถ้าผมพิจารณาว่าได้ตอบท่านไปแล้ว ผมขอ
    สงวนสิทธิ์ที่จะไม่ตอบอีก หรือบางคำถามที่ท่าน เอาคำตอบหรือความเห็นของผมไป
    แตกประเด็นใหม่อันนี้ก็รวมอยู่ด้วย เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงผมก็ได้อธิบาย เกริ่นนำไว้แต่ต้น

    ฉะนั้นหวังว่าท่านคงเข้าใจกับบทความนี้ ถึงแม้ท่านจะไม่ใส่ใจก็ตามที
     
  20. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านครับผมว่า เราอย่ามาแกล้งตีรวนเล่นคำกันเลยครับ หรือถ้าไม่ได้แกล้ง
    ก็คงไม่เข้าใจถึงวิธีการสนทนาด้วยข้อเขียน

    ขอร้องเลยครับอย่าหยิบยก แค่คำหรือประโยคสั้นๆ มาขยายความให้มันผิดจาก
    จุดประสงค์ของผู้สื่อเลยครับ ก่อนที่ท่านจะลงความเห็นอะไร
    ควรคำนึงถึง สิ่งที่ได้บอกกล่าวไว้ก่อนหน้า มาเป็นประธาน เพื่อพิจารณาสิ่งที่
    ตามมา มันจะได้ เป็นเหตุเป็นผลกันครับ

    ผมสู้อุตสาห์กล่าวนำไว้ว่า ทิฐิเราต่างกัน แทนที่ท่านจะนำเอาหลักการนี้ไป
    พิจารณาในคหของคู่สนทนา แต่ท่านก็ไม่ใส่ใจ นำมาย้อนอีกฝ่ายให้คันให้แสบ
    เล่นๆ แต่มันไม่ได้ผลสำหรับผม เพียงแต่รู้สึกรำคาญที่ต้องมาเสียเวลา
    อธิบายความกันอีก ทั้งๆที่รู้ว่าอธิบายไปก็เปล่าประโยชน์

    ผมจะอธิบายเพิ่มนะครับ คำว่า"ท่านผิดมาแต่ต้น"ความหมายมันคือ
    ผิดไปจากความเห็นของผม ไม่ได้ตัดสินว่าใครผิดใครถูก

    ผมไม่ได้ตัดสินคุณ เป็นการบอกกล่าวเราสู่กันฟัง ผมกำลังกล่าวถึงเรื่องเก่าๆ
    ที่เราเคยสนทนากัน ตัวท่านเป็นผู้สื่อ อารมณ์ภายในก็เป็นของตัวท่าน
    ผมไม่สามารถ ไปรู้ความในใจของท่านได้ เพียงอ่านจากการแสดงออกมัน
    อาจผิดหรือถูก ตัวท่านเองย่อมรู้ดีกว่าใคร ส่วนผมแค่พูดไปตามที่เห็นจาก
    อาการ แล้วท่านต้องเข้าใจไว้ด้วย การแสดงออกทางกาย
    ผู้ที่แสดงออก ต้องการให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าอย่างไร
    เขาก็จะเขาใจไปตามที่ผู้สื่อหรือแสดง

    เรื่องเสแสร้งแกล้งทำมันอีกเรื่องครับ
    ถ้าใจแสดงความจริงใจ อาการทางกายก็แสดงไปตามนั้น เช่นกอด
    แต่ถ้าไม่จริงใจ เช่นชังแต่ต้องการให้อีกฝ่ายเข้าใจว่ารัก ก็จะกอด
    ที่นี้ท่านมาดูนะครับว่า คนที่ชังแล้วไปกอดอีกฝ่าย ความในใจเขาเป็น
    อย่างไร เป็นเพราะใจเขาเสแสร้ง อาการทางกายเลยออกมาแบบนั้นครับ
    ท่านอย่าไปดูที่ ชังแล้วกอดซิครับ นี้มันเสแสร้งแล้วกอดครับ

    ที่บอกว่า"สนทนาทางเนท"จะรู้ได้อย่างไรว่าโกรธ ผมก็พิจารณาเอาจากตัว
    อักษรที่ท่านพิมพ์ว่าสื่อมาอย่างไร ท่านเอานิ้วพิมพ์ไม่ใช่หรือครับ คงไม่ได้
    เอาใจพิมพ์นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...