ข้อความจากต่างมิติ - การท่องกาลเวลา, การเปลี่ยนแปลงแก้ไขอดีต และธรรมชาติของกาลเวลา

ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ล้ำเลิศ
มาลงชื่อว่ายังติดตามผลงานแปลของคุณชยุตอยู่เสมอค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอให้ทำในสิ่งที่ดีเยี่ยมต่อไปค่ะ
เพื่อช่วยไขกุญแจแห่งแสงสว่าง และขยายกรอบความคิดให้เปิดกว้าง

 

คิดถึงกระทู้นี้...เลยแวะมาดันขึ้นหน่อยหนะครับ


................................................

 

ขอบคุณที่แบ่งปันความรู้ดีๆค่ะ*-*

 

ขอบคุณมากครับที่แบ่งปัน ทำให้รู้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างจริงๆที่น่าเรียนรู้

 

อยากถามซักคำ "เหนื่อยไหมครับ อาชยุต"

 

ไม่รู้ทำไม? ผมชอบเรื่องราวเหล่านี้มากเลยครับ ติดตามมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยจะเข้ามาแจมด้วย
ตามอ่านอย่างเดียว ประมาณนั้น

 

เป็นกำลังใจให้คุณ"ชยุต"นะครับ อย่าสนใจเสียงของบางสิ่งที่ไม่เห็นด้วย
ธรรมชาติของคนน่ะครับ ย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว

 

ต้องระมัดระวัง ให้จงหนัก
การเผยแพร่อะไรที่ไม่ใช่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
มักจะไม่บริสุทธิ์ และส่วนใหญ่ ก็เกี่ยวข้องกับ มิจฉาชีพ
เช่น พวกลัทธิ เสดาะเคราะห์ ล้างบาป
บางลัทธิ ก็อ้างว่า เป็นพุทธบ้าง เจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อกวนอู แร่กายสิทธิ์ต่าง ๆ

การสร้างภาพ หลอกลวง ต้มตุ๋น นักต้นตุ๋น มีความชำนาญมาก
มี นวัตกรรม ในการหลอกลวง ยอดเยี่ยม
ยกตัวอย่าง เช่น
เครื่องตรวจระเบิด GT200 ซึ่ง
หลอกลวงอย่างแนบเนียนมาก
ทหาร ที่ใช้งาน ก็เชื่อโดยสนิทใจ
ตาย พิการ บาดเจ็บ ไปนับร้อย นับพัน เพราะเรื่องหลอกลวง

ใครที่ ชอบเอา เรื่องราว
มาเผยแพร่ด้วยความ รู้เท่าไม่ถึงการ ก็มีสิทธิ์ติด บ่วงกรรม ไปด้วย
คือได้เริ่มสร้าง ปัจจัย โน้มเอียง
ไป ยังสิ่ง ที่ไม่ตรง กับ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้ว

ศาสนาพุทธ และชาวพุทธ ควรเปนผู้นำ ในด้านจิตวิญญาณ ของชาวโลก
ต้อง สอน ฝรั่ง ให้ ตั้งมั่นใน พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ จึงจะสมควร
นี่เป็น จุดแข็ง จุดเดียว ที่ ประเทศไทย มีอยู่ ณ ตอนนี้
เรามาไกล กว่า ฝรั่ง มากมายแล้ว ในเรื่อง จิตวิญญาณ
ไม่ใช่ ฝรั่ง มีอะไร มา ก็ เชื่อ เขาไปหมด.. ถอยหลังกลับ ไปอีก

ถ้าใคร หรือคุณ ชยุต ยังไม่เข้าใจ
ก็ให้เอารูป หลวงตา มหาบัว, หลวงปู่ มั่น, หลวงปู่ครูเทพโลกอุดร ... มาดู
ดูว่า ท่าน ตั้งใจ ทำงาน มากมาย เพี่ยงใด
ที่จะไม่ให้ พวก เรา หลงทาง โง่ งง งาย กลับเรื่อง ฟุ้งซ่าน ไม่มี สาระ

 

(deejai)ขอบคุณค่ะ กำลังหาอ่านพอดี

 

ขอบคุณนะครับ..แต่ไม่เหนื่อยหรอกครับ
และก็ไม่ค่อยหวั่นไหวกับอะไรง่ายๆด้วยหละครับ

มันจะประมาณว่านิสัยใจคอของมนุษย์

"มันไม่มีอะไรที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเราอยู่แล้ว"

เพราะเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง..และก็เคยเป็นอย่างหลายๆคนนี้มาก่อนแล้ว
จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาอยู่หนะครับ

แต่ก่อนโน้น..ใครจะมี ego สูงเท่าผมอีกหละครับ..ผมก็ว่าผมคนหนึ่งหละ
ที่อาจจะติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก (หรือเปล่า?) ก็ว่าได้

คือถ้าลองได้ "ยึด" หรือได้ "เชื่อ" อะไรเข้าไป "เป็นอันดับแรก" แล้ว
อะไรที่มาทีหลัง ที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เคยเชื่อมาก่อนแล้ว
ก็เป็นอัน Reject สถานเดียวครับ

..ไม่มีคำตอบอื่น..ไม่มีการต่อรอง..ไม่มีการประณีประนอม..
และก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้นด้วยครับ..หัวชนฝาอย่างเดียว..แตกเป็นแตก

จนหลายครั้งต่อหลายครั้ง..ที่ข้อเท็จจริงมันปรากฏออกมา..พิสูจน์ออกมา
ให้เห็นว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่าจริงแท้แน่นอน และถูกต้องที่สุดแล้วนั้น

..มันไม่ใช่เลย..หรืออย่างน้อยก็..อย่างอื่นก็ถูกต้องด้วยเช่นกัน..เป็นต้น
ผมจึงค่อยๆอายทั้งคนอื่น และอายตัวเองมากขึ้น
..จนค่อยๆเสียงเบาลงมาหน่อย..อันนี้หมายรวมถึงทุกๆเรื่องนะครับ
ไม่ใช่เฉพาะทางธรรมเท่านั้น

จนมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ผมก็เคยเล่าไว้ในเวปนี้นานมาแล้ว ว่า..
ผมไม่กล้าใช้คำว่า "มีปัญญา" กับตัวเองเลย
เพราะว่าไอ้ที่เคยด่าคนอื่นว่าทำไมไม่รู้จักหัดใช้สติปัญญาคิดดุซะบ้างนั่นหนะ
มันกลับเข้ามาหาตัวเอง..จนหงายหลัง..ครั้งแล้วครั้งเล่า

จนมาได้ตระหนักว่า..

"บางทีเราก็ตัดสิน ชี้ขาด อะไรต่อมิอะไร
เพียงเพราะด้วยข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่ในหัวของเราเอง
ในขณะนั้นๆเท่านั้นเอง"

ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามันมีน้อย มันก็ย่อมจะมีโอกาสนำไปใช้ต่อ
ให้ถูกต้องได้น้อยกว่าที่รู้มากเป็นธรรมดา

และยิ่งไม่ยอมเปิดใจหาข้อมูลข่าวสาร หรือความรู้ใหม่ๆ
มาใส่เพิ่มให้ฐานข้อมูลของตัวเองแล้วด้วย
ก็เรียกได้ว่า "จบข่าว" เลยครับ ก็โง่อยู่อย่างนั้นแหละ
แต่ไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่าโง่..หลงคิดไปแต่ว่าตัวเองฉลาดเหลือเกิน

อันนี้หมายถึงตัวผมเองนะครับ..ผมเคยเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เคยฟังใครเขาซะที่ไหนหละ?

จนมาถึงช่วงหนึ่ง อย่างที่ว่านั่นแหละครับ ว่า..
ไม่กล้าใช้คำว่า "มีปัญญา" กับตัวเองอีกเลย
และรู้จักที่จะหัดใช้คำว่า "อาจจะ" มากขึ้น
คือไม่ฟันธงอะไรง่ายๆอีกต่อไปแล้ว เพราะเจ็บมาจนเข็ดแล้ว
เคยหงายหลัง เพราะข้อมูลเท่าหางอึ่งที่ตัวเอง มีอยู่นั่น
แต่ดันไปเถียงคนอื่นเขา จนคอเป็นเอ็น..หัวชนฝา..มานักต่อหนักแล้ว

ประกอบกับผม "โดนฝึกเดี่ยว" แบบไม่รู้ตัวมาร่วม 11 ปี
ก่อนที่จะมาเริ่มต้นค้นพบ ได้อ่าน ได้แปล
และโพสต์ข้อความจากต่างมิติเหล่านี้ได้

ถ้าใครเป็นแฟนประจำ "โนวาอนาลัย" อย่างเพื่อนๆที่ผมรู้จัก
เช่น คุณเดรด คุณ cosmiccell และ คุณ mead เป็นต้น
ก็อาจจะยังพอจำได้ว่าผมเข้าไปด่าเอาไว้อยู่ยกใหญ่เหมือนกัน

เพราะสิ่งที่โนวาอนาลัยกล่าวไว้ มันไม่มีอยู่ในตำราเล่มไหนของทางพุทธเลย
ผมปฏิบัตสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถือศีล 8 และอื่นๆ
แบบไม่เคยคิดจะทิ้ง มาชั่วชีวิตของผม..จะมาบอกว่า..

"กาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรงไม่มีอยู่จริง" และจะมาบอกว่า
"ทุกๆประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ทุกคน
ไม่มีประสบการณ์ไหนเลยที่เราไม่ได้เป็นผู้เชื้อเชิญมันมาเอง
ด้วยทางใดก็ทางหนึ่ง"

หรือจะมาบอกว่า..

"อารมณ์ ความคิด จินตนาการและความรู้สึกของมนุษย์
นั่นแหละคือผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของมนุษย์ขึ้นมาเอง
รวมถึงโลกทางกายภาพใบนี้ด้วย"

อันนี้ผมรับไม่ได๊..รับไม่ได้ ผมแทบจะตีอกชกหัวตัวเอง
แทบจะนอนไปดิ้นพราดๆ เอากำปั้นทั้งสอง ทุบดินตุบๆด้วยซ้ำไป

pig_cryy2pig_cryy2pig_cryy2

แต่สุดท้าย พออ่านไปมากเข้า มากเข้า มันไม่ได้เป็นอะไรที่ไร้สาระซะทีเดียว
แม้ว่ามันจะใหม่สำหรับเราก็ตาม..มันมีอะไรแฝงอยู่

ประกอบกับ ยิ่งค้นไป ยิ่งอ่านไป ยิ่งแปลไปมากเข้าๆ
ก็มาพบว่า และประจักษ์ว่า

"ประเด็นหลักๆที่รูปธรรมชีวิตต่างมิติทั้งหลาย
รวมถึงโนวาอนาลัยเองด้วย กล่าวไว้ทั้งหมดนั้น
มันตรงกันทั้ง 100% ไม่มีตรงไหนผิดเพี้ยนไปจากกันเลย"

คุณก็คิดดูสิว่า พี่นักเขียน ที่เขียนหนังสือชุดโนวาอนาลัย
ท่านเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ในอเมริกา
และได้รับข้อมูลสื่อสารมาทางความฝัน
เขียนหนังสือชุดนี้มาก่อน ข้อความที่สื่อสารจากต่างมิติ
ที่เผยแพร่โดยชาวต่างชาติทั้งหลาย
ที่มีอยู่ในทั่วทุกมุมโลก แต่ข้อมูลทั้งหมดมันมาตรงกันได้อย่างไร

เป็นไปไม่ได้ที่พี่นักเขียนจะไปลอกคนพวกนั้นมา
เพราะท่านเขียนมาก่อน และเป็นไปไม่ได้ที่พวกนั้น
จะมาลอกของพี่แกไป เพราะพวกเขาคงอ่านภาษาไทยไม่ออก
และหนังสือชุดนี้ ก็วางขายในไทยเป็นที่แรกด้วย

และรวมถึงผมมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า สิ่งที่ผมถูกสอนมานั้น
มันยังไม่สมบูรณ์ เพราะผมพบว่าข้อมูลบางอย่าง
ที่เป็นที่สนใจใคร่รู้ของผม..มันไม่มีคำตอบจากตรงนั้นให้ผม
ผมเลยต้องค้นหาเอาเอง..และก็ "คิดว่า" ได้พบคำตอบบ้างแล้ว

แต่ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริงอย่างไร ผมก็ไม่รู้สึกเดือนร้อนอะไรกับมันเลย
ตอนนี้สภาวะมันเปลี่ยนไป มันไม่ได้มานั่งตัดสินชี้ขาดอะไร ต่ออะไร
ว่าต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้เท่านั้น มากเหมือนก่อนแล้ว

ขอกล่าวย้อนกลับไปในช่วงที่ผมบอกว่าผมไม่กล้าใช้คำว่า
มีสติปัญญากับตัวเองอีกแล้ว อีกหน่อยนะครับ
ตอนนั้นมันมี Key Word อีกคำหนึ่ง
ที่เล่นเทปกลับไปกลับมาให้ผมฟังอยู่ตลอดเวลา
จนผมท่อง และจดจำได้ขึ้นใจ และก็เห็นด้วยอย่างมากด้วย

มันบอกว่า ..

"มนุษย์นี้ช่างโง่เขลานัก แต่ก็ชอบคิดว่าตัวเองฉลาด"

มันบอกอย่างนั้นจริงๆนะครับ ผมไม่ได้ด่าหรือว่าใครนะครับ
เพราะว่าช่วงนั้นผมไม่เคยยอมรับเลยว่าตัวเองหนะโง่

แต่พอเจอคำนี้เข้าบ่อยๆซ้ำๆและหงายหลังเพราะความโง่นั้นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
ก็เลยค่อยก้มหน้ายอมรับ และเปลี่ยนเป็นหยุดฟังคนอื่นบ้าง
ปล่อยให้คนอื่นเขาพูดให้ฟังในสิ่งที่เขารู้บ้าง
เผื่อจะเป็นประโยชน์อะไรกับเราบ้าง
มันก็ไม่ได้เสียหาย หรือเจ็บปวดตรงไหนเลยไม่ใช่เหรอ?

และอีกอย่าง สุดท้ายแล้วครับ คือว่า แม้ว่ามันจะจริงหรือไม่อย่างไรก็ตาม
แต่ถ้าสภาวะภายในของผมเปลี่ยนไปในทางบวก
ผมว่าผม OK อยู่นะ..

และถ้าหากมันจะเป็นข้อความจากฝ่ายมืดหรือพญามารมาดลใจ
ให้ผมเชื่ออย่างนั้น ให้ผมห่างไกลทางพระนิพพานของผม
อย่างที่บางคนอาจจะคิดอยู่ รวมถึงตัวผมเอง ก็เคยสงสัย วนไปวนมา อยู่แบบนั้นเหมือนกัน
มันจะเกิดอะไรขึ้น..

..ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้วว่า..

แหม..ก็ถ้ายังยึดพระรัตนไตย และครูบาอาจารย์อยู่
และพอจะมีคุณธรรมอยู่ในตัวเองบ้างอยู่ จะมานั่งกลัวทำไมอยู่
ยังกับว่าไม่เคยตกนรกมาก่อนอย่างนั้นแหละ (ถ้ามันมีจริง)

เพราะว่าถ้าคนเราเคยเกิดมาแล้วนับภพชาติไม่ถ้วน และรวมถึง
ไหนๆก็รู้สึกว่าตัวเองปราถนาพุทธภูมิอยู่แล้ว
ต้องสร้างบารมีไปนับอีกกี่อสงไขยข้างหน้าก็ยังไม่รู้เลย
จะต้องไปตกนรก-ขึ้นสวรรค์ เกิดเป็นสารพัดอย่าง

ต้องไปตกมันจนครบทุกหลุม ไปขึ้นมันจนครบทุกชั้น
ไปเกิดมันจนครบทุกภพภูมิอยู่แล้ว ถ้ายังไม่ครบก็ต้องเอาให้ครบอยู่แล้ว
ยังจะมีอะไรต้องกลัวอีกหละ??

ถ้ากลัวก็กลับบ้านเก่าไป!! ไม่ต้องมาสะเออะปราถนาพุทธภูมิกับเขาหรอก
เพราะทางสายนี้ไม่ใช่ทางโล่งๆเตียนๆ ให้ค่อยๆเดินทอดน่องแบบสบายๆได้
ไม่ใช่ทางของคนกระจอกงอกง่อย และขี้ขลาดแต่อย่างใด

แล้วคุณคิดว่า..ผมยังจะมีอะไรที่ต้องกลัว หรือต้องแคร์อยู่อีกไหมครับ??

..................................................

 

หุหุ...
ยึดอะไรกันมากมาย ...ใครคิดดีทำดี ก็อนุโมทนา
ใครคิดไม่เหมือนเราก็บ่อยไปปล่อยไป...ขี้เกียจโมโห เดี๋ยวแก่เร็ว...อิอิ ^^
คิดอย่างไร ทำอย่างไร มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ
สุดท้ายตัวผู้คิดผู้ทำนั่นแหละที่รับผลสูงสุด
ปัจจัตตัง...แฮ่...ยกมาซะหน่อย เห็นชอบพูดกันจัง
มันก็คงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน เหมือน DNA ละม้างเนอะ...
เอาเนอะ อะไรที่มันทำให้เกิดสิ่งดีๆ ได้ ทำให้เกิดใจดีๆ ทำให้เกิดกายดีๆ
ก็สนุกกับมันละกันเนอะ...
มีความสุขกับสิ่งที่คิดที่ทำ ที่ทำให้เกิดสิ่งดีๆ นั่นแหละสุดยอดแล้ว

 

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

อิอิ .. พอดีวันก่อนไปดูหนังมาน่ะค่ะ ไปกับครอบครัว พอดีว่าเป็นความคิดของเราคนเดียวที่อยากดูเรื่องนี้ จนลงมติกันแล้ว ว่า คนอื่นเขาไม่ดูด้วยกับเรา แป่ว..
ก็เลยลองเล่นพลังจิต (ฝึกๆเอาไว้เผื่อต้องใช้)สักพัก สำเร็จเขาเปลี่ยนใจยอมดูกันโดยดีค่ะ และไม่ขอคำอธิบายด้วย

เปิดฉากได้โดนใจมาก ตามความรู้สึกและความคิดของเราเลย โลกของเราเล็กนิดเดียวจากนอกโลก แล้วซูมไล่เข้ามาเรื่อยๆ จนเป็นเรื่องราวทั้งเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบ
มีประโยคที่โดนๆอยู่หลายดอก และมันดันจำติดหูซะด้วยซิ
"ความรักของเราไม่เหมือนมนุษย์ มันเป็นความรักที่จะอยู่ตลอดไป "
"เราจำเป็นต้องมีผู้ปกป้องดูแล"
"ดาวที่น่าอยู่ทึ่สุดคือโลก"
ประมาณนี้ค่ะ
ขอบคุณทุกข้อความแปลจากคุณชยุตอีกครั้งค่ะ

 

กระทู้ ถูกขุดด้วยความคึกคัก

มาให้กำลังใจครับ (ยังจำลักษณะข้อความของคุณ ชยุต สมัยก่อนได้ลางๆ หุหุหุ)

 

วันนี้เพิ่งเข้ามาอ่าน

เออออ..เริด อ่ะ *-* แมนมั่กมวากกกกกกกกกกกกกกก

แต่เรื่องปากจัดนี่ อย่าบ่อยนะตัวเธอววววว์....มันจะออกสาวไปนี๊ดดดดสสนุง *-*(ล้อเล่งน้า...อิอิ)

Mother Monster ขอบอกว่า...

YOU ALL WERE BORN THESE YOUR OWN WAY!!!

&

YOU ALL ARE BEAUTIFUL ON YOUR OWN WAY!!!

yeaahhh ยะฮู๊.....*-*


pig_balletpig_balletpig_ballet

 

พอได้อ่านที่คุณชยุตแปลมาก็ถึงกับอึ้ง เพราะช่วยเป็นสิ่งยืนยันว่าความรู้ที่มันรู้ขึ้นมาเอง ในหัวผมไม่ได้บ้า จนต้องเก็บไว้กับตัวคนเดียว เพราะเล่าไปใครก็ต้องว่าบ้าทั้งนั้น คนที่พอจะเล่าให้ฟังได้ก็เฉพาะแค่คนที่สนิทจริงๆ และทำให้ผมเชื่อว่าอีกหลายๆ คนคงจะผ่านประสบการณ์จนถึงระดับที่เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติแบบนี้ได้เองอยู่บ้าง

ขออธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่เราอาจจะข้องใจเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด ดูเหมือนว่าในหลายๆ เรื่องมันจะเป็นการขัดกับสิ่งที่เราชาวพุทธได้เคยศึกษาและรับรู้มา แต่ผมยืนยันได้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสมาถูกต้องอย่างที่สุดเช่นเดิม ที่ยังผิด(ถ้าวัดกันด้วยสมมติ) ก็คือความเข้าใจของเราและของเขา(มนตด.ที่ให้คำอธิบายเหล่านี้) ก็ยังมีส่วนลึกๆ ที่ยังไม่สามารถจะเข้าใจได้อย่างท่อแท้ เทียบเท่ากับพุทธญานของพระพุทธเจ้า ในหลายๆ เรื่อง อย่างเรื่องนี้ เกี่ยวกับกาลเวลา ซึ่งแต่ก่อนผมเองก็เคยเข้าใจว่า กาลเวลาเป็นเส้นตรงเช่นกัน แต่ด้วยความตะหงิดใจอยู่แล้วคิดว่ามันไม่มีอะไรเกินอำนาจของจิตมันจึงเป็นไปได้เสมอ จึงพยายามศึกษาดูและในที่สุดก็พบว่ามันไม่ได้เป็นเส้นตรงอะไรเลย เหมือนกับเรื่องที่แปลนั่นแหละครับ แต่ว่าส่วนที่เพิ่มเติมคือ
การย้อนเวลากลับไปในอดีตของจริง คือประสบการณ์จริงเหมือนอย่างที่เราสัมผัสอยู่นี้ ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้แน่นอนครับ แต่ว่ามีเงื่อนไขนึงคือ สามารถทำให้เป็นจริงได้ด้วยการเข้าไปบิดเบือนโครงสร้างข้อมูลองค์ความรู้หลักได้ครับ ตรงนี้ไม่ว่าจะเข้าถึงได้ด้วยพลังจิตหรือใช้เทคโนโลยีช่วย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือสภาพความจริงที่เราเข้าไปสัมผัสจะเป็นจริงเฉพาะเราเสมอ โลกทุกอย่างที่เราได้ย้อนเวลาไปถึงจะเป็นจริงสัมผัสได้จริง เท่าที่จิตเราจะรับรู้เฉพาะของตนเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงว่าสิ่งที่เราสัมผัสทั้งหมดจะดำเนินเรื่องราวต่อเนื่องไป ดังนั้นเมื่อเราแก้ไขอดีตได้ในความรู้สึกจริงที่ย้อนกลับไปได้นั้น มันจึงมีผลในด้านการบิดเบือนข้อมูลสภาพปัจจุบันและอนาคตไปโดยปริยาย คือเมื่อกลับมาในปัจจุบัน ทุกอย่างก็คงสภาพเดิมเกือบทั้งหมดของเราเว้นแต่สิ่งที่เรากำหนดจิตเข้าไปเปลี่ยน ตรงจุดนั้นถ้าในระดับที่เป็นจริงที่สัมผัสได้ ก็จะคล้ายๆ กับคนที่ได้อภิญญาแล้วใช้ฤทธิ์นั่นแหละครับ(ที่บอกว่าอย่างนี้เพราะขั้นตอนวิธีการดำเนินไปตามธรรมชาติของการใช้อำนาจจิตมันซับซ้อนหลายชั้นการทำงานของกระบวนการมันต้องอธิบายกันหลายต่อ แต่ส่วนที่จะทำให้ผลลัพธ์เป็นจริงมันจะดำเนินผลให้เกิดขึ้นอ้างอิงความแตกต่างได้อย่างที่เราสามารถจะสัมผัสได้ สงสัยได้งงกันอีกแน่ๆ แต่ก็เอาเท่านี้ก่อนนะครับ) ต่างเพียงแต่ว่าวิธีการมันต่างกันด้วยเนื้อหาและกระบวนการ ที่น่าสังเกตคือถ้าเราสามารถย้อนเวลาได้จริง ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสไปเลยให้คนฝึกพลังจิตอภิญญาหรือสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อย้อนกลับไปสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่สักองค์นึงที่ถูกกับอุปนิสัยของเราจะได้ฟังเทศน์และจบกิจเป็นพระอรหันต์กันให้หมดไปเลย (อันนี้คิดเล่นๆ นะครับ) เพราะในความเป็นจริงมันก็ฟ้องอยู่แล้วว่า แม้เราจะเปลี่ยนอดีตได้จริง แต่มันก็ไม่ใช่ของจริง เพราะในเมื่อเหตุการณ์ที่เราจะเปลี่ยน เราได้เผชิญหน้าและได้รับรู้มันแล้ว ย้อนไปได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากทำให้จิตมันติดมันยึดถือเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเอง
อีกส่วนนึงเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า ซึ่งผมเคยเล่าให้หลายๆ คนฟังมานานมากแล้ว เกี่ยวกับพระเจ้า 3 ระดับ ก็ได้เรื่องที่คุณชยุตแปลนี่แหละครับยืนยันว่าสิ่งที่ผมอธิบายมันไม่ได้เกินความจริง
คือตามความรู้ที่ผมรู้มา พระเจ้าทั้งอนันตจักรวาลนี้แบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1 ระดับบุคคลเป็นมนุษย์และเทพเทวดาทั้งหลาย
2 ระดับพระพรหมที่อยู่มานานมากเป็นผู้ดลธรรมชาติให้ก่อตัวสร้างเป็นอะไรต่อมิอะไรขึ้นมา
3 ระดับองค์ความรู้หลัก ระดับนี้เป็นระดับที่ไม่ใช่ดวงจิตอย่างเราๆ ท่านๆ ครับ แต่เป็นนามธรรมเดิมของธรรมชาติแต่เริ่มแรกที่เป็น Processor หลักของระบบที่มีดวงจิตเราทุกๆ ดวงเป็นผู้กำหนดอีกที ซึ่งสภาพที่สะท้อนกลับมานี้จะเป็นลักษณะของจิตดวงนึงที่สามารถจะทำอะไรก็ได้ มีความรู้ในโลกทุกมิติ ทุกเรื่องราว ไม่จำกัด อดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่ข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดคือ พระเจ้าในระดับนี้ไม่สามารถจะสอนองค์ความรู้หรือแสดงความรู้ให้แจ้งจนถึงนิพพานได้ อย่างมากคือตกอยู่ในสภาวะไร้กาลเวลา เช่น อรูปพรหม เป็นต้น(แต่จริงๆ ก็มีเหนือกว่านั้นเหมือนกันแต่ไม่พูดถึงเพราะจะนอกกฎของความรู้ที่เรารู้ๆ กันมา)

มาแชร์ประสบการณ์เฉยๆ นะครับ ไม่ได้เก่งไม่ได้รู้มากอะไร เพราะเรื่องโลกๆ อีกมากมายผมไม่ได้รู้เรื่องกับเขาเลยก็เยอะ เพียงแต่เรื่องราวพวกนี้ผมเคยสนใจอย่างใจจดใจจ่อมาก่อนเลยได้เศษขนมติดขอบปากมาบ้างนิดหน่อย ไม่ถือสากันนะครับถ้าเนื้อเรื่องจะขัดต่อทัศนคติของใคร ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับผม

 

แหล่มมากกกก...เริดมากค่ะ คุณ GenerationXXX

ขอบคุณมากที่มาแชร์กัน...*-*

ดิชั้นคิดว่า...ลักษณะแนวๆนี้แหล่ะ คือ บูรณาการ จริงๆ...*-*

 

เมื่อก่อน อายุตเราเคยเป็นมือวางอันดับ 1 ใน 10 ของกระทู้เลยก็ว่าได้
เรื่องคำถามกระชากวิญญาณ จำได้แม่นครับ อิอิ

พี่นักเขียนฯยังเอ่ยปากชื่นชมและถามถึงคุณชยุตอยู่บ่อยๆเลย ถึงความกล้าหาญชนิดหาตัวจับยากน่ะครับ
สิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ ความสับสนที่ดูเหมือนจะขัดกับข้อธรรมอะไรเหล่านี้
รวมไปถึงการค้านอะไรที่ออกนอกลู่นอกทางแบบหัวชนฝา ที่ยากหาใครเทียมทันในยุคนั้นจริงๆ

นี่ก็เพิ่งไปอ่านพบข้อความเก่าๆของคุณชยุตในกระทู้โนวาฯ ไม่กี่วันก่อน (เมื่อปลายปี 2009 นู้น)
ขอนำมาแปะตรงนี้ เอาไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำของตัวตนในอดีตนะครับ
พอผ่านรอยต่อของ "ความเชื่อ" นั้นมาแล้ว เดี่ยวนี้ดูจะเปลี่ยนไปแบบก้าวกระโดดเลยนะครับ

 

ระลึกความหลังกันยกใหญ่ อิอิอิ

 

ขอบคุณครับ คุณGenerationXXX
แล้วมาแชร์อีกนะครับ
ความคิด การกระทำ เมื่อส่งออกไปแล้ว เรียกกลับคืนมาไม่ได้
แต่สามารถเข้าไปแก้ไขความรู้สึก เติมความรู้ที่มีต่อมันได้ จนมากพอ ที่ภาพเหตุการณ์เดิมๆจะไม่เกิดซ้ำอีก
ผมว่างั้นนะคุณ gen

 

ชอบมุมมองของท่านพี่ GenerationXXX

อ่านแล้วน่าคิดดีเหมียนกัล

คลิ๊กๆๆ

;]