พลังงานทดแทน!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Willam, 18 มิถุนายน 2011.

  1. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    สำหรับวันนี้ครับ มาด้วยเรื่องพลังงานทดแทนก่อนนะครับ แล้วค่อยปิดท้ายด้วยเรื่องรีไซเคิลขยะมาผลิตเป็นก๊าซในการหุงต้มครับ

    เรื่องแรกเป็นพลังงานแสงอาทิตย์
    [​IMG]
    ที่มาของโครงการ

    บริษัทEnviroMission เริ่มต้นเมกะโปรเจคนี้ในปี2001 และได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐบาลออสเตรเลีย โดยเริ่มดำเนินการสำรวจหาสถานที่ก่อสร้างตึกยักษ์ สูง1 กิโลเมตร " Solar Tower " มูลค่ากว่า 25,000ล้านบาทเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์แห่งแรกของโลก และได้พบสถานที่ ที่เหมาะสม นั้นคือ Buronga อันสุดแสนทุรกันดาร ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบกว้างใหญ่และแห้งแล้ง จึงเหมาะอย่างยิ่งในการตั้งสถานีรับพลังงานแสงอาทิตย์
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=cLIiGTZxH5s&feature=player_embedded]YouTube - ‪Solar Tower - EnviroMission reduces green house CO2 emission‬‏[/ame]

    หลักเบื้องต้นของเทคโนโลยี Solar Tower

    [​IMG]
    ใช้หลักปรากฎการณ์เรือนกระจกเพื่อผลิตอากาศร้อนจากพื้นราบ และเหนี่ยวนำเอาอากาศร้อนผ่านกังหันปั่นไฟขึ้นสู่ปล่องด้านบน โดยในเวลากลางวันอุณหภูมิอากาศจะสูงถึง 65 องศาเซลเซียส และมีความเร็ว 35 ไมล์/ชม. สาเหตุที่ต้องสร้างให้มีตึกสูงคล้ายปล่องไฟเนื่องจากต้องการสร้างความแตกต่างของอุณหภูมิ ความหนานแน่น และความดันอากาศ จนก่อให้เกิดแรงเหนี่ยวนำมวลอากาศร้อนจำนวนมหาศาล จากพื้นราบผ่านกังหันปั่นไฟที่ติดตั้งไว้โดยรอบจำนวน32ตัว ตัวละ6.25MW ขึ้นสู่ปล่องที่สร้างเป็นตึกสูง1กิโลเมตร และแม้แต่ในเวลากลางคืนระบบยังสามารถปลดปล่อยความร้อนจากภายในเพื่อใช้ปั่นกังหันได้เช่นกัน ส่งผลให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องตลอด24ชม.

    ประโยชน์และข้อได้เปรียบ

    สถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 200MW เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยัง 200,000 ครัวเรือนเทียบเท่าเมืองหลวงของTasmania หรือเมืองGeelong ชานเมืองใหญ่ของนครหลวง Victoria, ออสเตรเลีย ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่า 900,000 ตัน คาร์บอน ไม่ใช้พลังงานฟอสซิลในกระบวนการผลิต

    สถานภาพของโครงการ Solar Tower

    เดิมที คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2549 (2006) แต่ติดปัญหาโรคเลื่อนและแหล่งงบประมาณมหาศาล มากกว่า25,000ล้านบาทที่ยังไม่มีข้อสรุป ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในระยะสุดท้าย และเตรียมดำเนินการออกแบบก่อสร้างในไม่ช้า
    Solar Tower ต้นแบบ
    [​IMG]
    เทคโนโลยีSolar Tower มีมานานหลาย10ปีแล้วนะครับ แต่เป็นเพียงระบบต้นแบบขนาดเล็กๆที่สามารถใช้งานได้จริง มีกำลังผลิต 50kW ถูกสร้างขึ้นและทดสอบที่ Manzanares สเปน.ในปี1982 -1989 โดยโครงการนำร่องนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลสเปนและนักออกแบบชาวเยอรมัน

    [​IMG]
    [​IMG]
    ส่วนอันนี้เป็นโมเดลครับ
    [​IMG]
    ส่วนภาพนี้สร้างขึ้นจริงแล้วๆ ใช้งานได้แล้วครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    ภาพนี้เป็นโครงการสร้างและพัฒนาหอคอยโซล่าเพิ่มครับ

    เดี๋ยวผมจะมาอัพเพิ่มครับ เรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ ภาค 2 ครับ
     
  2. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    รออ่านต่อครับ...
     
  3. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    พลังงานแสงอาทิตย์ ภาค 2

    พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานจากธรรมชาติที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในลักษณะต่างๆ เช่น การทำนาเกลือ การตากผลิตผลทางการเกษตร การเก็บรักษาอาหาร และนำมาใช้ผลิต กระแสไฟฟ้า ซึ่งนิยมทำกันอยู่ 2 วิธี
    1. การใช้กระจกโค้งสะท้อนแสงอาทิตย์ โดยการให้แสงอาทิตย์กระทบกระจกโค้ง แล้วสะท้อนแสงไปรวมกันที่หม้อน้ำเกิดความร้อนประมาณ 500 องศาเซลเซียส ต้มน้ำให้เดือดกลายเป็นไอน้ำไปหมุนกังหัน เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ผลิตกระแสไฟฟ้าออกมา
    [​IMG]
    2. การสร้างเซลล์แสงอาทิตย์หรือเซลล์สุริยะ(solar cell) ซึ่งทำจาก ซิลิคอน ซึ่งเป็นธาตุที่เป็น องค์ประกอบของทราย และ หินมีลักษณะ เป็นทรงกลมหรือทรงสี่เหลี่ยม มีขนาดเล็ก หนาประมาณ 0.3 มม. มีน้ำหนักเบา ติดตั้งและเคลื่อนที่ได้ง่าย เป็นสารกึ่งตัวนำที่สามารถ เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง
    เซลล์สุริยะประกอบด้วยแผ่นซิลิคอน 2แผ่น คือ
    [​IMG] สารกึ่งตัวนำประเภท เอ็น (N-type) และ
    [​IMG] สารกึ่งตัวนำประเภท พี (P-type
    สารกึ่งตัวนำ N-type เกิดจาก ซิลิคอน(Si) เติมสารฟอสฟอรัส (P) ซึ่งนำไฟฟ้าด้วยอิเล็กตรอน ที่มีประจุเป็นลบ
    [​IMG] สารกึ่งตัวนำ P-type เกิดจาก ซิลิคอนเติมสารเจือโบรอน (B) ซึ่งนำไฟฟ้าด้วยโฮล มีประจุเป็น บวก
    เซลล์สุริยะจะเป็นการนำสารทั้ง 2ชนิดมาต่อกันเกิดเป็นหัวต่อP และN ซึ่งด้านบนและด้านล่าง ของเซลล์จะต่อด้วยขั้วไฟฟ้าทำ ด้วยโลหะ
    [​IMG]

    ขั้วไฟฟ้าด้านบนมีรูปร่างคล้ายตะแกรง หรือก้างปลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดคลื่นแสงให้มากขึ้น โดย ไม่ให้แสงสะท้อนกลับ ส่วนด้านล่างของเซลล์จะอาบ ด้วยโลหะเต็มหน้า เมื่อแสงอาทิตย์กระทบด้านบนตัว เซลล์และทะลุไปยังตัวเซลล์ด้านล่างจะเกิดความต่าง ศักย์ไฟฟ้าขึ้นระหว่างแผ่นกึ่งตัวนำทั้งสอง เมื่อต่อขั้ว ไฟฟ้ากับวงจรภายนอกจะมีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นเป็น ไฟฟ้ากระแสตรง แต่ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นมี จำนวนน้อย จึงนำเซลล์สุริยะจำนวนหลายๆเซลล์มา ต่อร่วมกันเป็นแผงทั้งแบบอนุกรมและแบบขนานก็จะ ได้กระแสไฟฟ้าเพียงพอกับการใช้งาน ดังภาพ

    เซลล์สุริยะจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้เฉพาะเวลามีแสง อาทิตย์เท่านั้นจึงจำเป็นต้องนำกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ มาเก็บสะสมไว้ในรูปของแบตเตอรี่ไฟฟ้า เมื่อจะใช้ งานก็ต่อเครื่องไฟฟ้า เข้ากับแบตเตอรี่ไฟฟ้าก็จะใช้ งานได้ทันที
    [​IMG]
    และแล้วก็มาถึงตอนสุดท้ายที่เราจะมากล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ทางตรงกันบ้าง หลังจากที่ได้กล่าวถึงการใช้ประโยชน์ทางอ้อมกันมาแล้วในตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ซึ่งพลังงานแสงอาทิตย์นี้ถือเป็นพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) สามารถนำมาใช้ได้อย่างไม่สิ้นสุดและมีลักษณะกระจายไปถึงผู้ใช้โดยตรง อีกทั้งยังเป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดปราศจากมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและตามปกติมนุษย์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ตามธรรมชาติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เช่น การในการถนอมอาหารในลักษณะของการทำให้แห้งโดยการตากแดด เป็นต้น

    ภาพจาก
    กระทรวงพลังงาน

    เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์จำแนกเป็น 2 รูปแบบ คือ เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตความร้อน

    1. เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า จำแนกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์และระบบผลิตไฟฟ้าด้วยความร้อนแสงอาทิตย์
    1) ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ เป็นกระบวนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยการใช้สารกึ่งตัวนำที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเพื่อปล่อยประจุไฟฟ้า ซึ่งเป็นอนุภาคที่ถูกชาร์จที่ขั้วลบ สารกึ่งตัวนำที่ใช้กันมากที่สุดในเซลล์แสงอาทิตย์ คือ
    ซิลิกอน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่พบโดยทั่วไปในทราย เซลล์แสงอาทิตย์ทุกชิ้นมีสารกึ่งตัวนำดังกล่าว 2 ชั้น ชั้นหนึ่งถูกชาร์จที่ขั้วบวก อีกชั้นหนึ่งถูกชาร์จที่ขั้วลบ เมื่อแสงส่องมายังสารกึ่งตัวนำ สนามไฟฟ้าที่แล่นผ่านส่วนที่ 2 ชั้นนี้ตัดกันทำให้ไฟฟ้าลื่นไหล ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าสลับ ยิ่งแสงส่องแรงมากเท่าใด ไฟฟ้าก็ลื่นไหลมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นระบบเซลล์แสงอาทิตย์จึงไม่ต้องการแสงอาทิตย์ที่สว่างในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังผลิตไฟฟ้าในวันเมฆมากได้ด้วย เนื่องจากผลิตไฟฟ้าได้สัดส่วนกับความหนาแน่นของเมฆ นอกจากนี้วันที่มีเมฆน้อยยังผลิตพลังงานได้สูงขึ้นกว่าวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสปราศจากเมฆ เนื่องจากแสงอาทิตย์สะท้อนมาจากเมฆ การใช้เซลล์แสงอาทิตย์ขนาดเล็กมากให้พลังงานให้กับอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น เครื่องคิดเลขเซลล์แสงอาทิตย์ นอกจากนี้เซลล์แสงอาทิตย์ยังใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ที่ไม่มีสายส่งไฟฟ้าได้อีกด้วย
    2) ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยความร้อนแสงอาทิตย์ เป็นระบบที่ทำการรวมแสงไว้ที่วัตถุรับแสงโดยใช้กระจกหรือวัสดุสะท้อนแสงและหมุนตามดวงอาทิตย์เพื่อสะท้อนแสง และส่งไปยังตัวรับแสงซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานที่มีอุณหภูมิสูง

    ดังนั้นจากการที่กลุ่มเครือข่ายองค์กรชุมชน ตำบลบางขุนไทร จังหวัดเพชรบุรี ได้คิดค้นวิธีทำน้ำมันไบโอดีเซลที่ประหยัดและไม่ทำลายสุขภาพ โดยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนการต้มด้วยแก๊ส ซึ่งใช้เวลาในการทำประมาณ 10 - 14 วัน นั้น (ข่าวจากสำนักข่าวไทย - 15 เมษายน 2552) จึงเป็นการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ในทางตรงนั่นเอง

    [​IMG]
    ระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบผสมผสาน
    ภาพจาก
    กระทรวงพลังงาน (http://www.energy.go.th)

    2. เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตความร้อน แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ เทคโนโลยีอบแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และ เทคโนโลยีการผลิตน้ำร้อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
    1) เทคโนโลยีอบแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
    - การอบแห้งโดยใช้พลังงานเฉพาะจากดวงอาทิตย์ คือ ระบบที่เครื่องอบแห้งทำงานโดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งประกอบด้วยวัสดุโปร่งใส ความร้อนที่ใช้ได้มาจากการดูดกลืนพลังงานแสงอาทิตย์นั่นเอง
    - การอบแห้งระบบความร้อนผสมผสาน คือระบบอบแห้งที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์และยังต้องอาศัยพลังงานในรูปแบบอื่นๆ ด้วย
    2) เทคโนโลยีการผลิตน้ำร้อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
    - การผลิตน้ำร้อนโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากแผงรับความร้อน ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ถังเก็บน้ำร้อน และแผงรับความร้อนแสงอาทิตย์
    - การผลิตน้ำร้อนโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน เป็นการผลิตน้ำร้อนจากแสงอาทิตย์มาผสมผสานกับความร้อนเหลือทิ้งจากการระบายความร้อนจองเครื่องทำความเย็นหรือเครื่องปรับอากาศ

    เทคโนโลยีผลิตความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ สามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภทตามระดับอุณหภูมิ ได้แก่ ระบบผลิตความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่อุณหภูมิสูงกว่า 100 <SUP>0</SUP>C และระบบผลิตความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 100 <SUP>0</SUP>C

    สำหรับรูปแบบการใช้งานเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตความร้อนในประเทศไทยมีการใช้งานในรูปแบบต่างๆ เช่น เครื่องทำน้ำร้อน เครื่องอบแห้ง เป็นต้น
    [​IMG]
    ตู้อบแบบเรือนกระจก
    [​IMG]
    ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีศักยภาพ...แต่ไม่มีอนาคตสำหรับประเทศไทย
    ประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มีชั่วโมงรับแสงในแต่ละวันนาน วันที่มีแสงแดดแต่ละปีก็มาก สภาวะอากาศเช่นเมฆหมอกหรือควันที่จะบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังพื้นดินก็มิได้รุนแรง จึงอาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยของเรานั้นมีศักยภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ นักวิชาการระดับสูงของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน รวมถึงระดับผู้บริหารกรมฯนี้ก็เคยกล่าวยอมรับในประเด็นนี้ไว้ในหลายๆเวทีของการสัมมนาว่าด้วยพลังงานทดแทน มีการแสดง Roadmap แสดงวิสัยทัศน์ เป้าหมายและแนวทางผลักดันของกระทรวงพลังงานภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่การกระทรวงพลังงานในขณะนั้น คือ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เพื่อให้บรรลุผลเป็นขั้นเป็นตอน และได้นำเข้าไปขอความรับรองเป็นมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เป็นยุทธศาสตร์พลังงานทดแทนที่จับต้องได้เป็นกิจลักษณะ ไม่คลุมเครือ
    แยกประเด็นเป็นพลังงานทดแทนสามภาคสำคัญและมีเป้าหมายที่กำหนดจะให้บรรลุคือเพิ่มขึ้นจาก 0.5% ของกำลังผลิตติดตั้งในขณะนั้นเป็น 8.0%ให้ได้ในปี 2554 โดยได้จำแนกแต่ละภาคพลังงานทดแทนที่สำคัญนั้นไว้ชัดเจนอย่างนี้

    ภาคเชื้อเพลิงและขนส่ง
    เชื้อเพลิงชีวภาพ (Bio Fuel) จำนวน 1,570 KTOE (Kilo Ton Oil Equivalent)
    ตั้งเป้ากำลังผลิต Ethanol วันละ 3.0 ล้านลิตรต่อวัน
    Biodiesel วันละ 2.4 ล้านลิตรต่อวัน
    ภาคไฟฟ้า
    ระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ 250 MW (ขณะนั้นมีอยู่ 6MW)
    ระบบผลิตไฟฟ้าจากลม 100 MW (ขณะนั้นมีอยู่ 0.2 MW)
    ระบบผลิตไฟฟ้าจากขยะ (MSW) 100 MW
    ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำขนาดเล็ก 350 MW
    ระบบผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล 1,040 MW (ขณะนั้นมีอยู่ 560 MW)
    ภาคความร้อน
    ทุกเทคโนโลยี่รวมกัน จำนวน 3,910 KTOE (กิโลตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ)
    ทั้งนี้ ได้กำหนดมาตรการสนับสนุนไว้สองมาตรการควบคู่กัน มาตรการหนึ่งเป็นมาตรการภาคบังคับ เรียกว่า RPS ที่ย่อมาจาก Renewable Portfolio Standard ที่จะบังคับให้ผู้ผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงปกติที่จะสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นใหม่จะต้องผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในอัตรา 3-5%(ต่อมาสรุปเป็น 5%) ซึ่งแผนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในช่วงเวลานั้นถึงปี 2554 จำนวน 4 โรงๆละ 700 MW รวม 2,800 MW ก็อยู่ในข่ายที่จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนตามเงื่อนไขนี้จำนวน 140 MW ด้วยเช่นกัน ส่วนอีกมาตรการนั้นเป็นมาตรการจูงใจในการผลิตพลังงานทดแทน เช่น ผลประโยชน์ด้านภาษี เงินกู้ระยะยาวอัตราดอกเบี้ยต่ำ และที่สำคัญก็คือการรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตด้วยพลังงานทดแทนในอัตราพิเศษ (Feed in Tariff)ที่พัฒนามาเป็น เงินเพิ่ม(Adder)สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมาก(VSPP : Very Small Power Producer)ในขณะนี้
    มาตรการสนับสนุนทั้งด้านการบังคับและด้านการจูงใจนั้นล้วนมีต้นแบบมาจากประเทศพัฒนาแล้ว เช่น เยอรมันนี ญี่ปุ่น และสหรัฐอมริกา เป็นต้น ที่เร่งรัดการแสวงหาพลังงานทดแทนมาใช้งาน เป็นการกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวและการยอมรับในเทคโนโลยีพลังงานทดแทนต่างๆโดยกว้างขวางและรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้นเน้นที่จะให้ประชาชน ได้มีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าใช้เองเพื่อแบ่งเบาการผลิตจากระบบปกติที่สร้างมลภาวะให้เกิดโลกร้อน ด้วยการติดตั้งไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านของแต่ละคน เป็นการผลิตไฟฟ้าภาคประชาชนแบบปัจเจกชนอย่างแท้จริง
    ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนชนิดต่างๆ จะสูงกว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในระบบปกติ เพราะเป็นการลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี่ควบคู่กันไป รวมถึงขนาดของตลาดที่ยังไม่กว้างและแพร่หลายจนถึงขนาดการผลิตที่ประหยัดที่สุด (Economy of Scale)อีกด้วย( และอีกอย่างหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามคือต้นทุนจริงหรือค่าใช้จ่ายแฝงหลายๆอย่างที่อาจหลบอยู่เงียบๆไม่มีใครเห็นและไม่บอกใครๆด้วยก็ได้)จึงเป็นความจำเป็นในระยะเริ่มแรกก่อนการเข้าสู่กลไกการตลาดอย่างแท้จริงที่จะต้องได้รับการสนับสนุนเป็นกรณีพิเศษบ้าง
    เพียงเปลี่ยนรัฐมนตรีที่กำกับควบคุมกระทรวงพลังงานจาก นพ.พรหมมินทร์ ไปเป็น คุณวิเศษ จูภิบาล
    ในรัฐบาลเดียวกัน นโยบายด้านพลังงานทดแทนก็เปลี่ยนไปโดยเฉพาะพลังงานทดแทนภาคไฟฟ้า คณะผู้แทนจากกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่เข้าพบได้รับการออกตัวในเรื่อง Roadmapและมาตรการสนับสนุนว่าเป็นเรื่องของอดีตรัฐมนตรีและของข้าราชการประจำเท่านั้น ยิ่งมาถึงขณะนี้ภายใต้บังเหียนของคุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แล้ว พลังงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แทบจะเป็นยาขมหรือของแสลงสำหรับท่านด้วยเหตุผลเดียวที่ว่าแพงเกินไป น่าเสียดายที่ท่านใช้เพียงมิติเดียวในการตัดสินในเรื่องนี้
    เป้าหมายการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ในปี 2554 ลดลงจาก 250 MW เหลือเพียง 45 MWหรือเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่เดิม 32 MW ในขณะนี้เพียง 13 MW ตลอดสี่ปีข้างหน้า(ในขณะที่จัดทำ Road Map มีการติดตั้งระบบแล้ว 6 MW ต่อมารัฐบาล พตท.ทักษิณฯ ได้ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำการติดตั้งไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 120 Wให้กับประชาชนในชนบทห่างไกลนอกเขตสายส่งไฟฟ้า จำนวน 203,000 ครัวเรือน คิดเป็น 24.36 MW และการติดตั้งปลีกย่อยอื่นรวมประมาณ 26 MW) แม้จะดูเป็นจำนวนที่ไม่มากมายอะไร แต่ก็แทบมองไม่เห็นทางที่จะบรรลุเป้าหมายได้เลยเมื่อมองไปถึงมาตรการ ที่จะช่วยขับเคลื่อนที่พบว่ามาตรการภาคบังคับ (RPS) ได้ถูกพับทิ้งไปเรียบร้อยในขณะที่มาตรการสนับสนุนก็แผ่วเต็มทีโดยเฉพาะการรับซื้อไฟฟ้าคืนจากผู้ผลิตรายเล็กมาก (VSPP)ที่แทบไม่มีผู้สนใจเพราะข้อกำหนดในการเชื่อมโยงระบบที่จะรับซื้อไฟฟ้าคืนเฉพาะส่วนที่เกินหรือเหลือจากการใช้งานของผู้ติดตั้งระบบ ซึ่งไม่มีความเป็นไปได้เลยสำหรับบ้านเรือนประชาชนทั่วไป อาคารพาณิชย์ อาคารของรัฐ และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
    โดยขอยกตัวอย่างการติดตั้งแผงเซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าบนหลังคาบ้าน (Solar Roof)ที่ทำกันอยู่อย่างขมักเขม้นและเป็นเป้าหมายหลักในการออกมาตรการทำนองนี้มารองรับในต่างประเทศ และเป็นต้นธารความคิดในการออกมาตรการนี้มาใช้ในประเทศเรา แต่ดัดแปลงจนไม่อาจเป็นไปได้มาขยายให้ดูว่ามาตรการที่ออกมาโดยกระทรวงพลังงานแห่งประเทศไทยนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างไร
    ขอสมมุติที่บ้านเรือนคนชั้นกลางในเมือง(ที่ควรเป็นเป้าหมายหลัก) ขนาดสักสามห้องนอนที่โดยทั่วไปน่าจะใช้ไฟเดือนละไม่น้อยกว่า 1,500 บาทคิดเป็นพลังงานไฟฟ้าประมาณ 500 หน่วย หรือ 500 kWH บ้านของคนเหล่านี้น่าจะมีขนาดกว้างยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 8*12 เมตร(ถือว่าค่อนข้างใหญ่แต่ใช้ไฟน้อย) ซึ่งจะมีพื้นที่หลังคาประมาณ 10*14 เมตร และจะเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของหลังคาเท่านั้นที่จะมีด้านลาดเหมาะสมในการติดตั้งแผงเซลล์ที่จะทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็น คือเพียงประมาณ 5*14 เมตร ที่หากนำแผงเซลล์ขึ้นติดตั้งก็ควรเว้นขอบแต่ละด้านไว้บ้างเพื่อความสวยงามและสะดวก ในการติดตั้งและดูแลภายหลังบ้างก็น่าจะมีพื้นที่เพื่อการติดตั้งจริงราวๆ 4*13 เมตร คือประมาณ 52 ตารางเมตร ซึ่งพื้นที่จำนวนเท่านี้จะติดตั้งแผงเซลล์ชนิดคริสตัลไลน์ได้เพียงประมาณ 6.5 kW(ประมาณ 8 ตรม.ต่อ 1 kW) ที่จะผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ยประมาณ 650 kWH หรือ 650 หน่วยต่อเดือน ส่วนที่จะเหลือขายตามเงื่อนไขการซื้อคืนด้วยมาตรการ Adderซึ่งจะเพิ่มจากค่าไฟฟ้าฐานที่ประมาณ 3.00 บาทอีก 8.00 บาทรวมเป็นประมาณ 11.00 บาทต่อหน่วยนั้นจะมีเพียง 150 หน่วยเท่านั้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายลงทุนอยู่ที่ประมาณ 180,000 – 220,000 บาท/kW(ขึ้นกับชนิดและคุณภาพอุปกรณ์ควบคุมระบบตลอดจนความยากง่ายในการขึ้นติดตั้งบนหลังคาชนิดต่างๆ) แต่ทั้งนี้ราคาจะถูกลงบ้างหากเป็นการติดตั้งโดยใช้แผงเซลล์ชนิด Amorphous ซึ่งอายุการใช้งานยังไม่อาจยืนยันได้ว่าจะนานถึงประมาณ 25 ปีเหมือนกับแผงเซลล์ชนิดคริสตัลไลน์หรือไม่ และไฟฟ้าที่ผลิตได้ต่อตารางเมตรก็จะน้อยกว่าคือเป็นเพียงประมาณ 5/12 ซึ่งจากขนาดหลังคาตัวอย่างนี้ก็จะติดตั้งระบบได้เพียง 2.7 kWและผลิตไฟฟ้าได้เพียงประมาณ 270 หน่วยต่อเดือนซึ่งเมื่อหักหน่วยที่ใช้แล้วจะไม่มีไฟฟ้าเหลือที่จะขายคืนตามมาตรการนี้ได้เลย
    ยิ่งมาเจอกับระยะเวลาที่จะรับซื้อที่กำหนดไว้เพียง 7 ปีแล้ว(ที่รวมเป็นตัวเงินแล้วถูกที่สุดในโลก)ไม่มีโอกาสที่ประชาชนจะช่วยประเทศชาติของตนด้วยการมีส่วนร่วม ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อลดภาระภาครัฐและลดภาวะโลกร้อนนั้นได้เลย เพราะไม่มีโอกาสแม้แต่จะคุ้มทุน

     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ขอ ยก มือ สนับสนุน เต็มที่ อยากให้ นักวิทยาศาสตร์ และ นายทุน อย่ามองเห็นแต่เงิน เห็นแก่ส่วนรวมและโลก เป็นหลัก เมื่อไหร่จะเปลี่ยนมาทำอย่างจริงจังสักทีนะ ในความคิดส่วนตัวผมว่าจริงจริง ความรู้ที่มีในโลกนี้ สามารถ สร้างพลังงานจาก น้ำธรรมดานี่แหละ มาเป็นพลังงานได้ นานแล้ว แต่ไม่ทำ เพราะติด ปัญหา เรื่องเห็นแก่เงินนี่แหละ ดูอย่างสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กในหนังปัจจุบันนี้พวก ซี จี ต่างต่าง ก็ได้อานิสงค์ จากหนัง สตาร์วอร์3ภาค ถ้าไม่มีหนังสตาร์วอร์ ทุกวันนี้ ซีจีคงยังไปไม่ถึงใหนเพราะหนังเอาเงินรายได้มาสร้างบริษัทเอฟเฟค ของ จอ์จ ลูคาส ส่วนพลังงาน ทดแทนยังต้วมเตี้ยมและไม่ค่อยจะไปใหนเลย ทั้ง ไฟฟ้า และน้ำมัน เพราะความโลภ และ ใจดำของกลุ่มมนุษย์บางกลุ่ม นี่แหละ
     
  5. turtohnual

    turtohnual เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +232
    แค่จะเปลี่ยนรถยนต์ใช้น้ำมันมาใช้แก๊สบ้าง
    ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาดและประหยัด
    ทุกวันนี้ผมว่าคนส่วนใหญ่กว่า 80%
    ถ้าเลือกได้ก็ยังไม่อยากทำเลยครับ
    ทำเป็นดัดจริตกลัวแก๊ส ถ้ากลัวจริงๆ
    ก็อย่าใช้แก๊สหุงต้มที่บ้าน หรืออย่านั่งแท็กซี่ซิครับ
    หรือเวลาขับรถบนถนน เจอรถติดแก๊ส
    ก็จอดรถไปนั่งรถไฟฟ้าเลยครับ
     
  6. Angie_04

    Angie_04 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +431
    ขอตบมือดัง ๆ ให้กันคนคิดค้นสิ่งนี้ด้วยใจจริง ;ปรบมือ;aa7 เมื่อไหร่จะสำเร็จน๊อ เราจะได้มีพลังงานบริสุทธิ์ไว้ใช้แทนพลังงานเดิมที่หร่อยหรอลงทุกที
     
  7. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    โดยส่วนตัว ผมคิดว่า การที่คนหันมาใช้แก๊สในรถยนต์มากขึ้น มากขึ้น ก็คงดีในแง่ของการประหยัด แต่จากข่าวล่าสุดที่ลงในไทยรัฐเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวบอกว่า ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยของเรา เหลือให้ใช้ได้อีกเพียง 18 ปีเท่านั้น และหากปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นจากปริมาณเฉลี่ยที่ใช้ในปัจจุบัน ก็อาจเหลือให้ใช้อีกเพียง 15 ปี หลังจากนั้น ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย คงเป็นแค่ตำนานว่าเราเคยมี แล้วหลังจากนั้นล่ะ เราจะใช้อะไรกันดี? ลูกๆหลานๆของเรา คงแอบคิดในใจว่า รุ่นปู่ย่าตายายใช้ก๊าซกันเพลิดเพลินจนหมดอ่าวไทย ไม่เหลือไว้ให้เขาเลย ปัญหาที่อาจตามมาคือ เมื่อก๊าซถูกดูดออกมาใช้จนหมด ไม่รู้ว่าแผ่นดินชั้นหินจะยุบตัวมั๊ย? พาลไปทำให้เกิดสึนามิในอ่าวไทยได้หรือไม่ (ว่าไปนั้น :( )

    ดังนั้นทางที่ดี เราควรลดการใช้รถ ใช้เท่าที่จำเป็นกันดีกว่า ใช้รถขนาดเล็กแบบยุโรป ใช้บริการรถสาธารณะให้มากขึ้น...

    ส่วนพลังงานทางเลือกอื่นๆ เช่น แสงอาทิตย์ ลม ก็คงต้องพัฒนากันต่อไป การใช้ระบบสะท้อนแสงเหมือนที่คุณWillamนำมาบอกเล่า ก็น่าสนใจ แต่หากเป็นแบบเซลล์แสงอาทิตย์ ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันยังทำให้ค่าไฟที่ผลิตได้ต่อหน่วยถูกลงจนเทียบเท่าแหล่งเชื้อเพลิงอื่นๆยังยาก เพราะ ค่าไฟต่อหน่วยยังอยู่ที่ 15-16 บาท ซ้ำยังใช้พื้นที่มากแต่ได้กำลังผลิตออกมานิดเดียว และไม่มีความแน่นอนของพลังงานที่ผลิตได้ แดดดีก็มีไฟ แดดหาย ไฟก็หาย ประมาณนั้น...
     
  8. meephoo

    meephoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ไม่มีวันหมดไปจากโลกเราดอกครับ ก๊าซธรรมชาติมันมีการหมักอยู่ตลอดเวลา ทั้งขยธและเศษพืช/สัตว์ต่าง ๆ เพียงแต่ข่าวออกมาเพื่อ มิให้เราหลตนเองครับ
     
  9. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    ผิดแล้วคุณ ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงอย่างมากสหรัฐได้เสนอว่าต้นทุนแผงโซล่าเซลล์นั้นถูกจนกว่าใช้พลังงานนิวเคลียร์เสียอีกสหรัฐได้ขยายการผลิตเป็น 3000 MW ต้นทุนแค่ 500 ล้านบาทเอง ถ้าเป็นพลังงานนิวเคลียร์ 1 เตา เท่า 1000MW ราคา 1000 ล้านบาท ส่วนที่คุณบอกว่าไม่มีแดดไฟฟ้าก็ไม่มีนั้นผิดแล้วครับSoloar cell ตัวใหม่นั้นถึงแม้จะไม่มีแดดหรือแสงน้อยก็สามารถผลิตไฟฟ้าได้อยู่ครับ แถมแผง Soloar cell ยังหันตามดวงอาทิตย์ เพราะมีเซนเซอร์ตรวจจับแสงเลยหันตามดวงอาทิตย์ได้ ถ้าไม่มีแสงเลย มีฟ้าผ่าหรือฟ้าแลบแสงจากสายฟ้ามากระทบกับแผง soloar cell ก็สามารถผลิตได้ ส่วนที่ของไทยที่ไฟฟ้าต่อหน่วยแพงนั้นเป็นเพราะยังใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่ซึ่งยังล้าหลังอยู่พลังงานแสงอาทิตย์ก็ยังไปไม่ถึงไหนเป็นแค่กระดาษโครงการแต่ยังไม่ลงมือทำโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าถ่ายหินก็ผุดขึ้นเยอะเลย คุณไปชมได้ที่ จ. ระยอง เผากันจนชายหาดเป็นสีดำเป็นเพราะฝนตกมาจากก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ so2 และฝุ่นผงของการเผาไหม้จากถ่ายหินและ ก๊าซ so2 นั้นมีผลทำให้เกิดฝนกรดตกลงมาสู่พื้นดินทำให้เกิดการกัดเซาะของโลหะหรือเหล็กทำให้เกิดสนิมเร็วขึ้น so2 นั้นเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกของเราร้อนขึ้น ขอจบแค่ตอนนี้นะครับเดี๋ยวมาต่อข้อมูลอีก
     
  10. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    ก๊าซธรรมชาติที่สูบตามบ่อนั้นมีหมดครับเพราะก๊าซธรรมชาติ LPG หรือ NGV มีหมดครับเพราะอยู่ชั้นหินภูเขาไฟมันจะสะสมอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลของไดโนเสาร์ย่อมหมดอยู่แล้ว ถ้าเราผลิตเอาเอง เช่น ขี้หมู เศษขยะเปียก และมูลสัตว์ อื่นๆ การหมักจนเกิดก๊าซนั้นซึ่งไม่ใช่ก๊าซธรรมชาตินะครับผมขอขยายความก๊าซธรรมชาตินั้นจะเกิดขึ้นเองโดยมีการทับทมกนเป็นเวลานาน ล้านๆ ปี ถึงจะเกิดเป็นก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ ถ่านหิน หินน้ำมัน ฯลฯ แต่ก๊าซที่มนุษย์ทำขึ้นมานั้นคือ ก๊าซชีวมวล หรือ ก๊าซมีเทน
     
  11. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    เรื่องที่ 2 พลังงานความร้อนใต้พิภพ

    พลังงานความร้อนใต้พิภพคืออะไร
    พลังงานความร้อนใต้พิภพคือ พลังงานธรรมชาติที่เกิดจากความร้อน ที่ถูกกักเก็บอยู่ภายใต้ผิวโลก (Geo = โลก, Thermal = ความร้อน) โดยปกติแล้วอุณหภูมิภายใต้ผิวโลกจะเพิ่มขึ้น ตามความลึก กล่าวคือยิ่งลึกลงไป อุณหภูมิจะยิ่งสูงขึ้น และในบริเวณส่วนล่างของ ชั้นเปลือกโลก (Continental Crust) หรือที่ความลึกประมาณ 25-30 กิโลเมตร อุณหภูมิจะมีค่าอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย ประมาณ 250 ถึง 1,000C ในขณะที่ตรงจุดศูนย์กลางของโลก อุณหภูมิอาจจะสูงถึง 3,500 ถึง 4,500C
    [​IMG]
    พลังงานความร้อนใต้พิภพเกิดขึ้นอย่างไร
    พลังงานความร้อนใต้พิภพ มักพบในบริเวณที่เรียกว่า Hot Spots คือบริเวณที่มีการไหล หรือแผ่กระจาย ของความร้อน จากภายใต้ผิวโลกขึ้นมาสู่ผิวดินมากกว่าปกติ และมีค่าการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตามความลึก (Geothermal Gradient) มากกว่าปกติประมาณ 1.5-5 เท่า เนื่องจากในบริเวณดังกล่าว เปลือกโลกมีการเคลื่อนที่ ทำให้เกิดรอยแตกของชั้นหิน ปกติแล้วขนาดของแนวรอยแตก ที่ผิวดินจะใหญ่และค่อยๆ เล็กลงเมื่อลึกลงไปใต้ผิวดิน และเมื่อมีฝนตกลงมาในบริเวณนั้น ก็จะมีน้ำบางส่วนไหลซึม ลงไปภายใต้ผิวโลก ตามแนวรอยแตกดังกล่าว น้ำนั้น จะไปสะสมตัว และรับความร้อนจากชั้นหิน ที่มีความร้อนจนกระทั่งน้ำกลายเป็นน้ำร้อนและไอน้ำ แล้วจะพยายามแทรกตัว ตามแนวรอยแตกของชั้นหิน ขึ้นมาบนผิวดิน และปรากฏให้เห็นในรูปของบ่อน้ำร้อน, น้ำพุร้อน, ไอน้ำร้อน, บ่อโคลนเดือด เป็นต้น

    ลักษณะของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่พบในโลก
    แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่พบในโลกแบ่งเป็นลักษณะใหญ่ๆ ได้ 3 ลักษณะคือ

    3.1 แหล่งที่เป็นไอน้ำส่วนใหญ่ (Steam Dominated) เป็นแหล่งกักเก็บความร้อนที่ประกอบด้วย ไอน้ำมากกว่า 95% โดยทั่วไปมักจะเป็น แหล่งที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับหินหลอมเหลวร้อนที่อยู่ตื้นๆ อุณหภูมิของไอน้ำร้อนจะสูงกว่า 240C ขึ้นไป แหล่งที่เป็นไอน้ำส่วนใหญ่นี้ จะพบน้อยมากในโลกเรา แต่สามารถนำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากที่สุด เช่น The Geyser Field ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และ Larderello ในประเทศอิตาลี เป็นต้น

    3.2 แหล่งที่เป็นน้ำร้อนส่วนใหญ่ (Hot Water Dominated) เป็นแหล่งกักเก็บสะสมความร้อนที่ประกอบไปด้วย น้ำร้อนเป็นส่วนใหญ่ อุณหภูมิน้ำร้อนจะมีตั้งแต่ 100C ขึ้นไป ระบบนี้จะพบมากที่สุดในโลก เช่นที่ Cerro Prieto ในประเทศเม็กซิโก และ Hatchobaru ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

    <A name=0303>3.3 แหล่งหินร้อนแห้ง (Hot Dry Rock) เป็นแหล่งสะสมความร้อน ที่เป็นหินเนื้อแน่น แต่ไม่มีน้ำร้อนหรือไอน้ำ ไหลหมุนเวียนอยู่ ดังนั้นถ้าจะนำมาใช้จำเป็นต้องอัดน้ำเย็นลงไปทางหลุมเจาะ ให้น้ำได้รับความร้อนจากหินร้อน โดยไหล หมุนเวียนภายในรอยแตกที่กระทำขึ้น จากนั้นก็ทำการสูบน้ำร้อนนี้ ขึ้นมาทางหลุมเจาะอีกหลุมหนึ่ง ซึ่งเจาะลงไป ให้ตัดกับรอยแตกดังกล่าว แหล่งหินร้อนแห้งนี้ กำลังทดลองผลิตไฟฟ้า ที่ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และที่ Oita Prefecture ประเทศญี่ปุ่น

    แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมีอยู่ในเขตใดบ้างในโลก
    แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ จะมีอยู่ในเขตที่เปลือกโลกมีการเคลื่อนที่ เขตที่ภูเขาไฟยังคุกรุ่นอยู่ และบริเวณ ที่มีชั้นของเปลือกโลกบาง จะเห็นได้ว่าบริเวณแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ ที่พบตามบริเวณต่างๆ ของโลกได้แก่ ประเทศที่อยู่ด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศต่างๆ บริเวณเทือกเขาหิมาลัย ประเทศกรีซ ประเทศอิตาลี และประเทศไอซ์แลนด์ เป็นต้น
    [​IMG]
    ภาพของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ

    หลักและวิธีการสำรวจเพื่อพัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพโดยทั่วไป
    โดยที่บริเวณแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ มักจะมีบ่อน้ำร้อน, น้ำพุร้อน, ไอน้ำร้อน, โคลนเดือด และก๊าซ ปรากฏให้เห็น แต่การที่จะนำพลังงานมาใช้ประโยชน์ได้มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของแหล่งกักเก็บ อุณหภูมิ ความดัน และลักษณะของแหล่ง ว่าประกอบไปด้วยน้ำร้อนหรือไอน้ำเป็นส่วนใหญ่ การที่จะทราบว่าแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพอยู่บริเวณไหน ที่ระดับความลึกประมาณเท่าไร และอุณหภูมิที่แหล่งกักเก็บ จำเป็นต้องมีการสำรวจทั้งบนผิวดินและใต้ผิวดิน การใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ระดับอุณหภูมิต่างๆ แตกต่างกัน

    การสำรวจแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพต้องดำเนินการหลายด้านประกอบกันอันได้แก่

    การสำรวจธรณีวิทยา
    การสำรวจธรณีวิทยา คือ การสำรวจเพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางธรณีวิทยาและธรณีวิทยาโครงสร้างกับแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ การสำรวจธรณีวิทยาจะคลุมพื้นที่ประมาณ 50-100 ตารางกิโลเมตร ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพนั้นๆ

    จุดประสงค์ในการสำรวจทางธรณีวิทยานี้ก็เพื่อที่จะทราบ
    [​IMG]ชนิดของชั้นหิน
    [​IMG]การวางตัวและการเรียงลำดับชั้นหิน
    [​IMG]อายุของหิน
    [​IMG]โครงสร้างทางธรณีวิทยาของชั้นหินต่างๆ
    [​IMG]บริเวณที่มีการแปรสภาพของชั้นดิน, หิน อันเนื่องมาจากอิทธิพลทาง ความร้อน

    ทั้งนี้เพื่อจะได้ประเมินชั้นหินที่อาจจะเป็นแหล่งกักเก็บและปิดกั้นแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ

    [​IMG]
    การสำรวจธรณีวิทยา

    การสำรวจธรณีเคมี
    การสำรวจธรณีเคมี คือการสำรวจเพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ของคุณสมบัติทางเคมีของน้ำ ก๊าซ และองค์ประกอบของหินกับแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ โดยการเก็บตัวอย่างน้ำธรรมชาติร้อน ก๊าซ ดิน และหินบริเวณแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ และบริเวณใกล้เคียงแล้วนำมาวิเคราะห์ในห้องทดลองหาส่วนประกอบและคุณสมบัติทางเคมี

    จุดประสงค์ในการสำรวจธรณีเคมีนี้ก็เพื่อที่จะ
    [​IMG]ประเมินอุณหภูมิของแหล่งกักเก็บ โดยคำนวณจากปริมาณแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำร้อน เช่นปริมาณของ Si, Mg และ Cl อัตราส่วนของปริมาณ Na กับ K และ Na, K กับ Ca
    [​IMG]ประเมินลักษณะธรณีวิทยาที่เป็นแหล่งกักเก็บ ตลอดจนการหมุนเวียนของของไหล ในระบบพลังงานความร้อนใต้พิภพ
    [​IMG]หาขอบเขตที่ได้รับอิทธิพลจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ
    [​IMG]หาส่วนประกอบ, คุณสมบัติทางเคมีเพื่อศึกษาการกัดกร่อน, การเกิดตะกรันและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ผลของการสำรวจธรณีเคมีนี้ จะเป็นเครื่องชี้ถึงความเหมาะสมของการพัฒนาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ สำคัญมาก อย่างหนึ่ง

    การสำรวจธรณีฟิสิกส์
    การสำรวจธรณีฟิสิกส์ คือการตรวจสอบคุณสมบัติของชั้นหินใต้ผิวดิน หรือเปลือกโลกในบริเวณที่ทำการสำรวจโดยใช้เครื่องมือวัดบนผิวดิน จากข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อให้ทราบถึงลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาใต้ผิวดิน ในการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพ ผลการสำรวจทางธรณีฟิสิกส์จะสามารถบอกได้ว่าบริเวณใดควรจะเป็นแหล่งกักเก็บพลังงาน ซึ่งผลการสำรวจทางธรณีฟิสิกส์นี้จะนำไปใช้วางแผนสำรวจต่อไป

    จุดประสงค์ของการสำรวจธรณีฟิสิกส์
    [​IMG]เพื่อตรวจสอบผลการสำรวจธรณีวิทยาโดยนำผลที่ได้ไปใช้ในการแก้ปัญหาทางธรณีวิทยา
    [​IMG]เพื่อให้รู้โครงสร้างธรณีวิทยาของแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพ
    [​IMG]เป็นข้อมูลสำหรับวางแผนการเจาะสำรวจ

    การสำรวจธรณีฟิสิกส์ในการหาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ใช้กันโดยทั่วไปมีดังนี้
    [​IMG]การวัดค่าแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravity Survey) เพื่อหาโครงสร้างของชั้นหินใต้ผิวดิน
    [​IMG]การวัดค่าสนามแม่เหล็ก (Magnetic Survey) เพื่อหาโครงสร้าง ของชั้นหินใต้ผิวดิน ขอบเขตของหินอัคนี และ ขอบเขตของชั้นหิน ที่เปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากอิทธิพลทางความร้อน
    [​IMG]การวัดค่าความต้านทานไฟฟ้า (Resistivity Survey) เพื่อหาความหนาของชั้นหิน ตลอดจนโครงสร้าง ของชั้นหิน ที่อาจจะเป็นแหล่งกักเก็บ
    [​IMG]การวัดค่าคลื่นความสั่นสะเทือน (Seismic Survey) เพื่อความหนาของชั้นหินแต่ละชนิด, โครงสร้างของชั้นหิน หรือเปลือกโลก ตลอดจนตำแหน่งของรอยเลื่อน (Fault) และรอยแตก (Fracture) ของชั้นหิน

    การเจาะสำรวจ
    การเจาะสำรวจ คือการเจาะลงไปใต้ผิวดินเพื่อวัดหรือตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากการสำรวจต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การที่จะเจาะลึกแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ต้องการจะวัดและตรวจสอบ การเจาะสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพจะใช้เครื่องเจาะสำรวจเช่นเดียวกับที่ใช้กับงานเจาะสำรวจอื่นๆ เครื่องเจาะนี้ส่วนมากเปลี่ยนหัวเจาะในลักษณะต่างๆ ได้ตามต้องการ

    วัตถุประสงค์ของการเจาะสำรวจก็คือ
    [​IMG]เพื่อตรวจสอบสมมุติฐานต่างๆ ทางธรณีวิทยา
    [​IMG]ตรวจสอบคุณสมบัติทางฟิสิกส์ของชั้นหินทางความลึก
    [​IMG]วัดค่าอัตราการไหลของความร้อน (Heat Flow) และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงตามความลึก (Geothermal Gradient)
    [​IMG]เพื่อหาบริเวณที่คาดว่าจะเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพ
    [​IMG]เพื่อศึกษาคุณสมบัติของแหล่งกักเก็บ
    [​IMG]เพื่อศึกษาคุณสมบัติของของไหล

    การเจาะสำรวจมีอยู่ 2 วิธี
    [​IMG]การเจาะเพื่อเก็บแท่งตัวอย่าง (Core Sample) จะเจาะโดยใช้หัวเจาะสำหรับเก็บตัวอย่างดินและหินที่เรียกว่า Core Bit ซึ่ง Core Bit ก็มีหลายชนิดด้วยกันการจะใช้ชนิดไหนก็ขึ้นกับลักษณะของชั้นดินหรือชั้นหิน
    [​IMG]การเจาะเพื่อเก็บตัวอย่างเศษหินหรือดิน (Cutting Sample) จะเจาะโดยใช้หัวเจาะที่เรียกว่า Rock Bit โดยหัวเจาะนี้จะบดหินหรือดินให้เป็นเศษเล็กๆ ซึ่งหัวเจาะจำพวกนี้ก็มีหลายชนิดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่จะใช้

    ในการเจาะหลุมสำรวจอาจจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง หรือทั้ง 2 วิธีในหลุมเจาะเดียวกันก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ต้องการ สำหรับการเจาะที่จะเก็บแท่งตัวอย่างนั้นโดยปกติแล้วจะใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการเจาะเพื่อเก็บตัวอย่างเศษหินหรือดิน

    การเจาะหลุมผลิต
    หลุมผลิต คือหลุมเจาะที่มีจุดมุ่งหมายที่จะนำน้ำร้อนหรือไอน้ำร้อนจากแหล่งกักเก็บขึ้นมาใช้ประโยชน์ การเจาะหลุมผลิตจะดำเนินการเมื่อการเจาะสำรวจยืนยันว่าแหล่งกักเก็บมีศักยภาพสูงพอที่จะพัฒนาขึ้นมาใช้ได้อย่างคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันนี้แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพได้รับการพัฒนามาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากมาย และอยู่ในระหว่างการพัฒนาก็มีอยู่ในหลายๆ ประเทศด้วยกัน ในปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพของประเทศต่างๆ ในโลกกำลังผลิตรวมกันมากกว่า 5,800 เมกะวัตต์ ในปี ค.ศ.1990 ประเทศที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพได้มากที่สุดคือประเทศสหรัฐอเมริกา รองลงมาได้แก่ประเทศฟิลิปปินส์ และมีอีกหลายๆ ประเทศที่กำลังมีโครงการเพิ่มกำลังผลิตและเริ่มผลิต

    การผลิตกระแสไฟฟ้า
    แหล่งกักเก็บที่มีอุณหภูมิสูงมากๆ ของไหลจะอยู่ในสภาพของไอน้ำร้อนปนกับน้ำร้อน ในกรณีที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 180C และความดันมากกว่า 10 บรรยากาศ สามารถแยกไอน้ำร้อนไปหมุนกังหันผลิตไฟฟ้าได้โดยตรง เช่นเดียวกับ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนทั่วไป ในกรณีที่แหล่งกักเก็บมีอุณหภูมิสูงปานกลางมีปริมาณน้ำร้อนมาก โดยทั่วไปเป็นกรณีที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 180C แล้ว การผลิตกระแสไฟฟ้าจะต้องอาศัย สารทำงาน (Working Fluid) ซึ่งเป็นของเหลวที่มีจุดเดือดต่ำ เช่น Freon, Amonia หรือ Isobutane เป็นตัวรับความร้อนจากน้ำร้อนสารทำงานดังกล่าว และเปลี่ยนสภาพเป็นไอและมีความดันสูงขึ้นจนสามารถหมุนกังหันผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งโรงไฟฟ้าชนิดนี้ เราเรียกว่า โรงไฟฟ้าระบบ 2 วงจร ซึ่งได้มีการพัฒนาขึ้นมาใช้ประโยชน์กันมากขึ้นในปัจจุบัน
    [​IMG]
    โรงงานไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ

    การใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพในแง่เศรษฐศาสตร์
    ข้อมูลการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศต่างๆ เท่าที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า การใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพมีต้นทุนต่ำกว่าใช้ถ่านหินและน้ำมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตไฟฟ้า ด้วยเหตุนี้ประเทศต่างๆ จึงพากันให้ความสนใจต่อการแสวงหาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ประโยชน์ มากขึ้นเรื่อยๆ จากการประเมินค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ พบว่า ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับขนาดของโรงไฟฟ้าที่ติดตั้ง ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กต้นทุนจะสูงกว่าโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น ถ้าติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพขนาด 5 เมกะวัตต์ ต้นทุนจะประมาณ 1.34-1.60 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าขนาด 50 เมกะวัตต์ ต้นทุนจะลดลงเหลือประมาณ 0.64 - 0.77 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเตาแล้ว พบว่าถ้าติดตั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเตาขนาด 75 เมกะวัตต์ ต้นทุนเฉพาะค่าเชื้อเพลิงอย่างเดียวจะประมาณ 1.25 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง จึงเห็นได้ว่าการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพถูกกว่า

    ในการพัฒนาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ผลิตไฟฟ้ามีปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาดังนี้
    [​IMG]การสำรวจแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Exploration) จำเป็นจะต้องใช้นักวิชาการหลายกลุ่ม คือ นักธรณีวิทยา, นักธรณีฟิสิกส์, นักธรณีเคมี, นักอุทกวิทยา ช่วยกันในการวางแผนและกำหนดขั้นตอนในการสำรวจ ดังนั้นจึงต้องเตรียมพร้อมด้านบุคลากรไว้
    [​IMG]ค่าใช้จ่ายในการเจาะ (Drilling Cost) ขึ้นอยู่กับขนาดของแหล่ง จำนวนหลุมที่เจาะ ขนาดของหลุมที่เจาะความลึก ของหลุมเจาะ ลักษณะทางธรณีวิทยาของแหล่ง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะเป็นค่าเครื่องเจาะและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการเจาะ เครื่องป้องกันน้ำร้อนพุ่งขึ้นมาระหว่างการเจาะ (Blow out Preventor) ค่าหัวเจาะ ค่าก้านเจาะ ท่อกรุ ซีเมนต์ผงชนิดพิเศษ โคลนผง ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และหล่อลื่น ค่าวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ ค่าแรงงานของบุคลากร
    [​IMG]ลักษณะและขนาดของหลุมเจาะ (Bore Characteristic) ขึ้นอยู่กับความดันของแหล่งอุณหภูมิ อัตราการไหล พลังงาน ของน้ำร้อนหรือไอน้ำ คุณภาพของน้ำร้อนหรือไอน้ำ ความพรุนและความสามารถในการไหลผ่านได้ของของไหล (Porosity and Permeability)
    [​IMG]การรวบรวมและการส่งพลังงานความร้อนของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Fluid Collection and Transmission) ขึ้นอยู่กับการออกแบบและวางท่อ (Piping) การติดตั้งวาล์ว การติดตั้งระบบ แยกไอน้ำกับน้ำร้อน การติดตั้งเครื่องเก็บเสียง (Silencer) การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมและอุปกรณ์ความปลอดภัย การวางระบบสำหรับ ปล่อยน้ำกลับลงไปใต้ดิน (Re-Injection System)
    [​IMG]ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า (Electricity Potential) จะพิจารณาจากอัตราการไหล อุณหภูมิ ความดัน ค่าความร้อนของ น้ำ/ไอน้ำประสิทธิภาพของการเปลี่ยนพลังงานความร้อนไปเป็นไฟฟ้า ซึ่งจะขึ้นกับการวางท่อ การติดตั้งอุปกรณ์ และ เครื่องแยกน้ำร้อนและไอน้ำ ชนิดและการออกแบบของกังหันและเครื่องควบแน่น ขนาดของโรงไฟฟ้าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ถ้าขนาดใหญ่ต้นทุนต่อกิโลวัตต์ติดตั้งของโรงไฟฟ้าก็จะลดลง ถ้าชนิดของโรงไฟฟ้าไม่ซับซ้อนต้นทุนโรงไฟฟ้าก็จะถูกลง แต่ถ้าซับซ้อนต้นทุนก็จะสูงขึ้น
    [​IMG]ชนิดของโรงไฟฟ้าที่จะใช้ ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความดัน ปริมาณของไอน้ำร้อน และน้ำร้อน ขนาดของแหล่งกักเก็บ ปริมาณแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำร้อน
    [​IMG]อัตราเงินเฟ้อ และอัตราเพิ่มของราคาน้ำมัน ถ้าราคาน้ำมันเพิ่มสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ การนำพลังงานความร้อนใต้พิภพ มาใช้งาน ก็จะมีข้อได้เปรียบแต่ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าก็จะเป็นข้อเสียเปรียบ
    [​IMG]สถานการณ์ของพลังงานในประเทศ (Energy Situation) ถ้าเป็นประเทศนำเข้าพลังงาน การพัฒนาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพก็มีความจำเป็นเพราะจะได้ลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ลดดุลย์การค้าและการชำระเงิน
    [​IMG]ผลพลอยได้จากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal By Product) เช่น การนำน้ำร้อนที่ได้ไปใช้ ในการเกษตร การอบแห้ง หรือใช้ในอุตสาหกรรม นอกจากนี้อาจจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบการพัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพให้คุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์


    <HR>
    การใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพพิจารณาในแง่สิ่งแวดล้อม
    พลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายด้านดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในแง่สิ่งแวดล้อมแล้วก็อาจมีผลกระทบได้ เช่นเดียวกับการใช้พลังงานชนิดอื่น ดังนั้นการนำมาใช้จึงต้องเตรียมศึกษาและป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไว้ด้วย กระนั้นก็ตามเป็นที่น่ายินดีว่าการใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนที่ร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม ผลกระทบที่จะมีก็เป็นเรื่องที่ป้องกันได้ดังที่ทำกันได้ผลแล้วในประเทศต่างๆ มีดังนี้

    [​IMG]หากน้ำจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมีปริมาณแร่ธาตุละลายอยู่ในปริมาณที่สูง การนำมาใช้ก็อาจจะมีผลกระทบต่อระบบบาดาล หรือน้ำบนผิวดินที่ใช้ในการเกษตรหรือใช้อุปโภคบริโภคได้ วิธีการป้องกันคือ ทำให้ปริมาณแร่ธาตุเหล่านั้นตกตะกอน (Ponding and Evaporation) เสียก่อน หรืออัดน้ำที่ผ่านการใช้แล้วนั้นกลับคืนสู่ใต้ผิวดิน (Re-injection) ลงไปอยู่ในชั้นหินที่ปลอดภัย
    [​IMG]อาจมีก๊าซประเภทที่ไม่รวมตัว (Noncondensible Gases) เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟต์และก๊าซอื่นๆ มีปริมาณสูงอยู่ที่แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ ซึ่งหากหายใจเข้าไปอาจทำให้ระบบการหายใจขัดข้องได้ วิธีการป้องกันคือ หากพบว่ามีก๊าซเหล่านี้อยู่จะต้องเปลี่ยนสภาพของก๊าซ ให้เป็นกรดโดยผ่านก๊าซเข้าไปในน้ำ ก็จะได้กรดซัลฟูริดซึ่งกรดนี้สามารถจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย
    [​IMG]เมื่อนำน้ำร้อนไปใช้แล้ว น้ำที่ผ่านระบบออกมาอาจจะยังร้อนอยู่ เพราะมีความร้อนตกค้าง (Waste Heat) ซึ่งหาก ปล่อยออกมาทันทีก็อาจมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมได้ วิธีแก้คือนำน้ำที่ยังร้อนอยู่นี้ไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการอื่นๆ ที่ต้องการใช้น้ำร้อนที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า เช่น ให้ความอบอุ่นภายในบ้านพัก ใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรม เป็นต้น
    [​IMG]อาจเกิดปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดิน (Subsidence) ขึ้นได้ หากมีการสูบน้ำร้อนขึ้นมาใช้ในอัตราที่เร็วกว่าการอัดน้ำเย็นกลับคืนสู่ระบบ วิธีป้องกันคืออัดน้ำร้อนที่ใช้แล้ว (หรือน้ำเย็นก็ได้) ลงไปใต้ดินในปริมาณที่สัมพันธ์กับปริมาณน้ำที่สูบขึ้นมาใช้
    [​IMG]อาจเกิดปัญหาเรื่องเสียงในระยะที่มีการไล่ตะกอนในท่อไอน้ำ ซึ่งก็จะเกิดเฉพาะช่วงที่มีการไล่ตะกอนเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงสั้นๆ
    [​IMG]อาจมีสารพิษที่มีอันตรายละลายอยู่ในน้ำ เช่น สารหนู ปรอท ซึ่งจะแก้ไขได้โดยก่อนที่จะนำน้ำมาใช้จะต้องวิเคราะห์คุณภาพน้ำในแหล่งนั้นเสียก่อนเพื่อความปลอดภัย แต่โดยทั่วไปแล้วมักไม่พบปัญหานี้
     
  12. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    ศักย์ของพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศไทย
    ในประเทศไทยพบแหล่งน้ำพุร้อนกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปถึง 90 แหล่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ของประเทศ (ตารางที่ 1) ซึ่งบริเวณเหล่านี้เป็นบริเวณที่เปลือกโลกได้ผ่านกระบวนการทางธรณีวิทยาที่คล้าย ๆ กันมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศไทยอย่างจริงจัง เพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อไม่นานนี้ และได้เน้นหนักในเฉพาะบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยเท่านั้น ปัจจุบันนี้ได้สามารถพัฒนาแหล่งพลังงานธรรมชาตินี้ขึ้นมา ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้สำเร็จเป็นแหล่งแรกของประเทศไทยแล้ว คือ เป็นแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพฝาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่


    ตารางที่ 1 แสดงแหล่งน้ำพุร้อนในประเทศไทย
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 width="60%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffda5a><CENTER>อันดับที่</CENTER></TD><TD bgColor=#ffaa5a><CENTER>ชื่อแหล่งน้ำพุร้อน</CENTER></TD><TD bgColor=#ffda5a><CENTER>อำเภอ</CENTER></TD><TD bgColor=#ffda5a><CENTER>จังหวัด</CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>1 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งนาดำ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงราย </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>2 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งยางฝาเคียว </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงราย </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>3 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงราย </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>4 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่จัน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่จัน </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงราย </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>5 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งปูเฟือง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่สรวย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงราย </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>6 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>สบโป่ง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เวียงป่าเป้า </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงราย </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>7 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ห้วยทรายขาว </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สันกำแพง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงราย </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>8 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>สันกำแพง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สันกำแพง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>9 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งกุ่ม </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ฝาง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>10 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ฝาง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ฝาง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>11 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ป่าแป๋ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่แตง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>12 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่จอกหลวง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่แตง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>13 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่แท่น </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่แจ่ม </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>14 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>เทพนม </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่แจ่ม </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>15 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งเหม็น </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่แจ่ม </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>16 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ปิงโค้ง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงดาว </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>17 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านโป่ง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>พร้าว </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>18 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>หนองครก </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>พร้าว </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>19 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งเมืองงาม </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่อาย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>20 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านห้วยมะหิน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>พร้าว </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>21 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านห้วยงู </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>พร้าว </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>22 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านประดู่ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>พร้าว </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียงใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>23 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ผาบ่อง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>24 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งกลางปาย </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>25 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งสัก </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ปาย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>26 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งไหม้ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ปาย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>27 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งปะ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ปาย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>28 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>เหมืองแร่ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ปาย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>29 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่นะ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ปาย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>30 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ห้วยเมืองแปง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ปาย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>31 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งแกง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ปาย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>32 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่ฮี้ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ปาย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>33 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่ฮุ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ลาน้อย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>34 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่อุมลองหลวง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่สะเรียง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>35 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>หนองแห้ง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ขุมยวม </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>36 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งจ๊ะจ๋า </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ปาย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ฮ่องสอน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>37 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>เหมืองยูนิเวอร์แชล </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ทา </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ลำพูน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>38 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>เหมืองเทพนิธิ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ทา </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ลำพูน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>39 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>หนองหล่ม </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ลำพูน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>40 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แจ้ซ้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กิ่ง อ.ปาน </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ลำปาง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>41 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านเวียงเหนือ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ห้างฉัตร </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ลำปาง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>42 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านโป่งน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เกาะคา </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ลำปาง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>43 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เสริมงาม </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ลำปาง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>44 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งเหม็น </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ห้างฉัตร </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ลำปาง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>45 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ปันเจน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>วังชิ้น </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แพร่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>46 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่จอก </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>วังชิ้น </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แพร่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>47 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เด่นชัย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แพร่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>48 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่ลู่ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ลอง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แพร่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>49 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านปงใต้ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แพร่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>50 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ห้วยน้ำอุ่น </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สา </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>น่าน </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>51 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่สิน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ศรีสัชนาลัย </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สุโขทัย </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>52 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ห้วยบง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่สอด </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ตาก </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>53 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>แม่ระมาด </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>แม่ระมาด </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ตาก </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>54 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านท่าไม้แดง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กำแพงเพชร </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>55 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เพชรบูรณ์ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>56 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านวังขาม </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ศรีเทพ </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เพชรบูรณ์ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>57 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านพุขาม </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียรบุรี </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เพชรบูรณ์ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>58 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านพุเตย </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เชียรบุรี </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เพชรบูรณ์ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>59 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านสมอทอง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>บ้านไร่ </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>อุทัยธานี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>60 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ท้องช้าง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ไทรโยค </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กาญจนบุรี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>61 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>กุยมั่ง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ทองผาภูมิ </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กาญจนบุรี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>62 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านพุร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ทองผาภูมิ </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กาญจนบุรี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>63 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>สวนผึ้ง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>จอมบึง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ราชบุรี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>64 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>เขาสมโภชณ์ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ชัยบาดาล </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ลพบุรี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>65 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บางพระ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ศรีราชา </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ชลบุรี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>66 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>โป่งน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>โป่งน้ำร้อน </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>จันทบุรี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>67 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>วัดตโปทาราม </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ระนอง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>68 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านทุ่งยอ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ระนอง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>69 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ราชกรูด </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ระนอง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>70 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>เขาน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ระนอง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>71 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ่อน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ไชยา </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สุราษฏร์ธานี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>72 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านเขาน้ำร้อนใน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ไชยา </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สุราษฏร์ธานี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>73 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านวังหิน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>นาสาร </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สุราษฏร์ธานี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>74 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านบ่อน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กาญจนดิษฐ์ </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สุราษฏร์ธานี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>75 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>วัดธารน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ท่าฉาง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สุราษฏร์ธานี </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>76 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านปลายพู่ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กะปง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>พังงา </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>77 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านห้วยคุย </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กระบี่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>78 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านบ่อน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>อ่าวลึก </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กระบี่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>79 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บางผึ้ง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กระบี่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>80 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านควน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>คลองท่อม </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กระบี่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>81 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านวัดกลาง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กระบี่ </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>82 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>เขาชัยสน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เขาชัยสน </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>พัทลุง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>83 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านโล๊ะจังกระ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ตะโหมด </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>พัทลุง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>84 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านนาทุ่งโพธิ์ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กงหรา </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>พัทลุง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>85 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านโตนปาหนัน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ควนกาหลง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สตูล </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>86 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>คลองดุสน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เมือง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สตูล </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>87 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>ตะเนาะแมเราะ </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>เบตง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ยะลา </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>88 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>อุทยานบ่อน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>กันตัง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ตรัง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>89 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ่อน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ปะเหลียน </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ตรัง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>90 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ้านควนแดง </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>สิเกา </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ตรัง </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>91 </CENTER></TD><TD bgColor=#ffd3a9>บ่อน้ำร้อน </TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>ทุ่งสง </CENTER></TD><TD bgColor=#feeeb5><CENTER>นครศรีธรรมราช </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2011
  13. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    สถานภาพและแนวโน้มการพัฒนาใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพ
    สถานภาพและแนวโน้มในต่างประเทศ
    ปัจจุบันการใช้ประโยชน์ที่เด่นชัดจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ คือ การนำมา
    สถานภาพและแนวโน้มในด้านการใช้ประโยชน์โดยตรงในต่างประเทศ
    ปัจจุบันการใช้ประโยชน์โดยตรงจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น โดยนำพลังงานความร้อนมาให้ความอบอุ่นที่อยู่อาศัย สำนักงาน โรงปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนเพื่อสุขภาพบำบัด และการพักผ่อน การใช้ประโยชน์ไปจะมีตั้งแต่ขนาดเล็กโดยการเจาะหลุมในบริเวณเขตบ้านตนเอง เพื่อนำน้ำร้อนขึ้นมาใช้ประโยชน์ไปจนถึงที่มีขนาดใหญ่และเป็นระบบ จึงมีการใช้ประโยชน์ในลักษณะทั้งที่มีการควบคุม และไม่มีการควบคุม ข้อมูลการใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพ แสดงไว้ใน
    ตารางที่ 4 และ ตารางที่ 5


    <CENTER>ตารางที่ 4 การใช้ประโยชน์จากความร้อนโดยตรงจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพของโลกในปี ค.ศ. 2000 (Lund Et Freeston, 2000)
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 width="70%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffaa5a><CENTER>Country</CENTER></TD><TD bgColor=#ffda5a><CENTER>Installed Capacity in 2000 (MWth)</CENTER></TD><TD bgColor=#ffda5a><CENTER>Annual Utilisation (GWh/Year)</CENTER></TD><TD bgColor=#ffda5a><CENTER>Professional Person-Years</CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>1.USA </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>5,366 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>5,640 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>10 </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>2.China </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>2,814 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>8,724 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>- </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>3.Iceland </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>1,469 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>5,603 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>250 </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>4.Turkey </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>820 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>4,377 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>120 </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>5.Switzerland </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>547 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>663 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>58 </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>6.Germany </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>397 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>436 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>- </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>7.Canada </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>378 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>284 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>- </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>8.Sweden </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>377 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>1,147 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>- </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>9.Hungary </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>328 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>785 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>20 </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>10.France </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>326 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>1,360 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>- </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>11.Italy </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>326 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>1,048 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>50 </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>12.New Zealand </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>308 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>1,967 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>200 </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>13.Russia </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>307 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>1,703 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>1,043 </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>+42 Countries with < 300 MWth </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>2,448 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>11,269 </TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>1,612 </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffaa5a>Totals</TD><TD bgColor=#ffda5a align=right>16,211</TD><TD bgColor=#ffda5a align=right>45,0061</TD><TD bgColor=#ffda5a align=right>3,363</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    <CENTER><A name=table05>ตารางที่ 5 ประเภทการใช้ประโยชน์โดยตรงจากพลังงานความร้อนใต้พิภพของโลกในปี คศ. 2000 (Lung & Freeston, 2000)
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 width="80%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffaa5a><CENTER>Category</CENTER></TD><TD bgColor=#ffda5a><CENTER>Capacity (MWth)</CENTER></TD><TD bgColor=#ffda5a><CENTER>Capacity (%)</CENTER></TD><TD bgColor=#ffda5a><CENTER>Utilisation (GWh/year)</CENTER></TD><TD bgColor=#ffda5a><CENTER>Utilisation (%)</CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>Geothermal Heat Pumps</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>6,849</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>42.3</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>6,448</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>14.3</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>Space Heating</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>4,954</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>30.6</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>16,582</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>36.9</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>Bathing and Swimming</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>1,796</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>11.1</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>9,970</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>22.2</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>Greenhouse Heating</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>1,371</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>8.5</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>5,288</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>11.8</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>Aquaculture Pond Heating</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>525</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>3.2</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>2,988</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>6.6</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>Industrial Uses</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>494</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>3.1</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>2,927</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>6.5</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>Cooling and Snow Melting</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>108</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>0.67</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>269</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>0.60</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>Agricultural Drying</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>69</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>0.43</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>265</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>0.59</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd3a9>Others</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>43</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>0.27</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>266</TD><TD bgColor=#feeeb5 align=right>0.59</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffaa5a>Totals</TD><TD bgColor=#ffda5a align=right>16,209</TD><TD bgColor=#ffda5a align=right>100</TD><TD bgColor=#ffda5a align=right>45,003</TD><TD bgColor=#ffda5a align=right>100</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    สถานภาพและแนวโน้มด้านการวิจัยและพัฒนาในต่างประเทศ
    สำหรับงานด้านการวิจัยและพัฒนาที่กำลังอยู่ในความสนใจในต่างประเทศ และจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศ ได้แก่ งานวิจัยและพัฒนาทางด้านระบบหินร้อนแห้ง (Hot Dry Rock) ซึ่งมีหลักการที่สำคัญ คือ การพัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพที่กักเก็บอยู่ในหินอัคนีที่เย็นตัวภายใต้เปลือกโลก หินอัคนีนี้จะยังคงมีความร้อนกักเก็บสะสมตัวอยู่มาก แต่เป็นหินเนื้อแน่นไม่มีรอยแตก และไม่มีน้ำร้อนกักเก็บอยู่ วิธีการนำความร้อนขึ้นมาใช้กระทำโดยการเจาะหลุมลงไปในหินอัคนีนี้จำนวนอย่างน้อย 2 หลุม โดยหลุมที่หนึ่งเป็นหลุมที่เจาะลงไปแล้วอาศัยเทคนิควิธีการที่เหมาะสมให้หินเกิดรอยแตก อาจจะโดยวิธีการระเบิด หรืออัดน้ำที่มีความดันสูงลงไป (Hydraulic Fracturing) จากนั้นอัดน้ำเย็นลงไปซึ่งความร้อนที่มีอยู่ในหินจะทำให้น้ำร้อนขึ้นและไหลหมุนเวียนอยู่ในรอยแตก หลุมที่สองที่เจาะลงไปจะพยายามเจาะให้ตัดแนวรอยแตกที่ทำขึ้นและสูบนำน้ำร้อนขึ้นมาใช้ การวิจัยพัฒนาดังกล่าว ปัจจุบันกำลังดำเนินการอยู่ที่ Fenton, สหรัฐอเมริกา Cornwall, อังกฤษ Urach, เยอรมันนี Sontz-sons-Forest ฝรั่งเศส และที่ Yohedeke, Hijiori, Higachi-Hachimanti ญี่ปุ่น

    การวิจัยและพัฒนาดังกล่าว ถ้าหากประสบผลสำเร็จจะเป็นการเปิดมิติใหม่ของแหล่งพลังงานความร้อนธรรมชาติอันมหาศาลของโลกอนาคตต่อไป

    สถานภาพการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาบุคลากรในต่างประเทศ
    ปัจจุบันการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาบุคลากรทางด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพได้กระทำผ่านหลักสูตรฝึกอบรมที่สนับสนุน โดยองค์การสหประชาชาติ สถาบันที่ให้การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรที่สำคัญใน 4 ประเทศ คือ
    1. Geothermal Institute, University of Auckland, New Zealand
    2. International School of Geothermics, Pisa, Italy
    3. Kyushu International School of Geothermics, Fukuoka, Japan
    4. International School of Geothermics, Reykjavik, Icelamd

    ทั้งสี่หลักสูตรมีนักวิชาการไทยจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้ารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและฝึกอบรมจำนวนแตกต่างกันออกไป

    สถานภาพและแนวโน้มในประเทศ
    ประเทศไทยเริ่มต้นศึกษาการนำพลังงานความร้อนใต้พิภพ ขึ้นมาใช้อย่างจริงจัง เมื่อปี พ.ศ. 2520 อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง อาทิ นักวิชาการที่มีประสบการณ์ จำนวนบุคลากร งบประมาณ และสภาพธรณีวิทยาที่เป็นตัวกำหนดขนาดของแหล่งพลังงาน ทำให้การวิจัย พัฒนาทางด้านนี้ยังไม่สามารถแสดงผลที่เด่นชัด ถึงแม้จะได้มีการพัฒนาแหล่งพลังงานธรรมชาตินี้ขึ้นมาใช้ภายประเทศแล้วก็ตาม

    สถานภาพด้านการผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศ
    ประเทศไทยจัดเป็นประเทศแรกในภูมิภาค ที่นำพลังงานความร้อนใต้พิภพขึ้นมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย ระบบ 2 วงจร (Binary-Cycle) ที่แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพฝาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ โดยได้เริ่มเดินเครื่องเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2532 โรงงานมีขนาดกำลังผลิต 300 กิโลวัตต์ สามารถทดแทนน้ำมันได้ปีละประมาณ 300,000 ลิตร ผลพลอยได้จากโรงงานไฟฟ้า คือ น้ำเพื่อการเกษตร ปีละประมาณ 500,000 ลบ.ม. ซึ่งเป็นน้ำหลังจากนำความร้อนไปใช้ในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า แล้วทำการกักเก็บให้อุณหภูมิลดลง และปล่อยลงทางน้ำสาธารณะเพื่อการเกษตรกรรมต่อไป การทำงานของระบบการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่อำเภอฝาง และการใช้ประโยชน์แบบครบวงจรของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพฝาง

    สถานภาพด้านการใช้ประโยชน์โดยตรงในประเทศ
    ปัจจุบันการใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพ โดยตรงในประเทศยังมีอยู่ในวงจำกัด ส่วนใหญ่แหล่งน้ำพุร้อนจะถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและกายภาพ บำบัด ทั้งนี้เนื่องจากความน่าสนใจของน้ำร้อนในแง่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และความเชื่อที่ว่า น้ำพุร้อน เป็นน้ำแร่ที่สามารถให้ผลในแง่สุขภาพบำบัด การใช้ประโยชน์โดยตรงในแง่ของการใช้ความร้อน เพื่อการอบแห้งผลิตผลเกษตร การทำห้องเย็นเพื่อเก็บผลิตผลการเกษตร การทำความเย็นในอาคาร เหล่านี้ยังไม่มีการใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง และอยู่ระดับของโรงงานต้นแบบ และการวิจัยพัฒนาเท่านั้น

    สถานภาพด้านการวิจัยและพัฒนาในประเทศ
    ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาทางด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในประเทศเน้นหนักทางด้านการนำไปใช้ประโยชน์โดยตรง กล่าวคือ เพื่อใช้โรงอบผลิตผลเกษตร การทำห้องเย็นเพื่อเก็บผลิตผลการเกษตร โครงการการใช้ประโยชน์พลังงานความร้อนใต้พิภพแบบอเนกประสงค์ เป็นโครงการที่จัดได้ว่าเป็นโครงการวิจัยพัฒนาเพื่อการใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพอย่างเต็มรูปแบบ พลังงานความร้อนจะถูกนำมาใช้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิตกระแสไฟฟ้า โรงอบ ห้องเย็น เพื่อเก็บผลิตผลเกษตร การท่องเที่ยวและสุขภาพบำบัด ตลอดจนน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร การวิจัยและพัฒนาที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถเป็นต้นแบบการใช้ประโยชน์จากพลังงานธรรมชาติชนิดนี้ได้อย่างดีในประเทศ

    สำหรับงานวิจัยและพัฒนา เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้เของระบบพลังงานความร้อนใต้พิภพของประเทศ ยังมีข้อจำกัดหลายประการ และยังมีความต้องการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง

    แนวโน้มที่ควรจะเป็นในประเทศไทย
    ประเทศไทยมีแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ ขนาดศักยภาพปานกลางอยู่เป็นจำนวนมาก การใช้ประโยชน์จากพลังงานธรรมชาตินี้ ยังอยู่ในวงจำกัด มีการใช่ประโยชน์โดยชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในระแวกใกล้เคียง เพื่อประโยชน์เล็กน้อย และมีการพยายามพัฒนาพื้นที่เพื่อ เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์ที่ไม่คุ้มค่าและเต็มตามศักยภาพของพลังงานที่มีอยู่ โดยที่แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศมีกระจายอยู่ทั่วไป แนว ทางการพัฒนาในระบบอเนกประสงค์และครบวงจร จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาท้องถิ่น และเป็นการพัฒนาแหล่งพลังงานธรรมชาติอย่างเต็มศั
    กยภาพ
     
  14. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    ราคาต้นทุนที่พูดถึง น่าจะเป็นล้านเหรียญสหรัฐหรือเปล่าครับ? เพราะ 3000 MW ต้นทุนแค่ 500 ล้านบาท น่าจะถูกไป เพราะ หากดูข้อมูลในข้อมูลก่อนหน้านั้นที่ว่า

    "...ส่วนที่จะเหลือขายตามเงื่อนไขการซื้อคืนด้วยมาตรการ Adderซึ่งจะเพิ่มจากค่าไฟฟ้าฐานที่ประมาณ 3.00 บาทอีก 8.00 บาทรวมเป็นประมาณ 11.00 บาทต่อหน่วยนั้นจะมีเพียง 150 หน่วยเท่านั้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายลงทุนอยู่ที่ประมาณ 180,000 – 220,000 บาท/kW(ขึ้นกับชนิดและคุณภาพอุปกรณ์ควบคุมระบบตลอดจนความยากง่ายในการขึ้นติดตั้งบนหลังคาชนิดต่างๆ) แต่ทั้งนี้ราคาจะถูกลงบ้างหากเป็นการติดตั้งโดยใช้แผงเซลล์ชนิด Amorphous ซึ่งอายุการใช้งานยังไม่อาจยืนยันได้ว่าจะนานถึงประมาณ 25 ปีเหมือนกับแผงเซลล์ชนิดคริสตัลไลน์หรือไม่ และไฟฟ้าที่ผลิตได้ต่อตารางเมตรก็จะน้อยกว่าคือเป็นเพียงประมาณ 5/12 ซึ่งจากขนาดหลังคาตัวอย่างนี้ก็จะติดตั้งระบบได้เพียง 2.7 kWและผลิตไฟฟ้าได้เพียงประมาณ 270 หน่วยต่อเดือนซึ่งเมื่อหักหน่วยที่ใช้แล้วจะไม่มีไฟฟ้าเหลือที่จะขายคืนตามมาตรการนี้ได้เลย ..."

    น่าจะเป็นไปได้ ที่ราคาประมาณ 2 แสนบาทต่อ kW เพราะผมเพิ่งไปดู โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่เขื่อนสิรินธร จ. อุบล เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ที่บรรยาย บอกว่า โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์นั้นมีกำลังผลิต 1 MW ลงทุนไปประมาณ 208 ล้านบาทครับ ก็ตกอยู่ที่ประมาณ 2 แสนบาท ต่อ kW

    ส่วนต้นทุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เท่าที่เคยทราบมา น่าจะอยู่ประมาณ 1 แสนล้านบาท ต่อ 1000 MW นะครับ...
     
  15. atzcret

    atzcret สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลคะ >>> เมื่อไหร่จะมาบ้านเราบ้างน๊า
     
  16. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    น่าจะใช่ครับ ล้านดอลลาร์
     
  17. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    เรื่องที่ 3 พลังงานนิวเคลียร์

    พลังงานนิวเคลียร์ เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง ที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ นิวเคลียร์ เป็นคำคุณศัพท์ของคำว่า นิวเคลียส ซึ่งเป็นแก่นกลางของอะตอมธาตุ ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคโปรตอน และนิวตรอน ซึ่งยึดกันได้ด้วยแรงของอนุภาคไพออน
    พลังงานนิวเคลียร์ หมายถึง พลังงานไม่ว่าลักษณะใดๆก็ตาม ซึ่งเกิดจากนิวเคลียสอะตอมโดย
    1. พลังงานนิวเคลียร์แบบฟิซชั่น (Fission) ซึ่งเกิดจากการแตกตัวของนิวเคลียสธาตุหนัก เช่น ยูเรเนียม พลูโทเนียม เมื่อถูกชนด้วยนิวตรอนหรือโฟตอน
    2. พลังงานนิวเคลียร์แบบฟิวชั่น (Fusion) เกิดจากการรวมตัวของนิวเคลียสธาตุเบา เช่น ไฮโดรเจน
    3. พลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี (Radioactivity) ซึ่งให้รังสีต่างๆ ออกมา เช่น อัลฟา เบตา แกมมา และนิวตรอน เป็นต้น
    4. พลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดจากการเร่งอนุภาคที่มีประจุ (Particle Accelerator) เช่น อิเล็กตรอน โปรตอน ดิวทีรอน และอัลฟา เป็นต้น
    พลังงานนิวเคลียร์ บางครั้งใช้แทนกันกับคำว่า พลังงานปรมาณู นอกจากนี้พลังงานนิวเคลียร์ยังครอบคลุมไปถึงพลังงานรังสีเอกซ์ด้วย (พ.ร.บ. พลังงานเพื่อสันติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2508) พลังงานนิวเคลียร์ สามารถปลดปล่อยออกมาเป็นพลังงานหลายรูปแบบ เช่น พลังงานความร้อน รังสีแกมมา อนุภาคเบต้า อนุภาคอัลฟา อนุภาคนิวตรอน เป็นต้น

    ภายหลัง สงครามโลกครั้งที่สอง ที่อุบัติขึ้นในปีพุทธศักราช 2482 และสิ้นสุดลงในปีพุทธศักราช 2488 นั้น ญี่ปุ่นได้รับความเสียหายอย่างมาก จากการที่สหรัฐอเมริกาได้ใช้อาวุธแบบใหม่โจมตีญี่ปุ่น โดยทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกลงที่เมืองฮิโรชิมา ซึ่งเป็นฐานบัญชาการกองทัพบกของญี่ปุ่นทางตอนใต้ ประชาชนชาวญี่ปุ่นในเมืองดังกล่าวได้เสียชีวิตไป 80,000 คน และในจำนวนเท่าๆ กันได้รับบาดเจ็บ ตึกรามบ้านช่องกว่า 60% ได้ถูกทำลายลง ซึ่งรวมทั้งตึกที่ทำการของรัฐบาล ย่านธุรกิจ และย่านที่อยู่อาศัย และในอีกสามวันต่อมา ระเบิดปรมาณูลูกที่สองก็ถูกทิ้งลงที่เมืองนางาซากิ ซึ่งเป็นเมืองท่าชายทะเลมีโรงงานอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ชาวญี่ปุ่นได้เสียชีวิตระหว่าง 35,000 ถึง 40,000 คน และได้รับบาดเจ็บในจำนวนที่ไล่เลี่ยกัน จากความเสียหายอย่างมหันต์ในคราวนั้น ทำให้ญี่ปุ่นต้องยอมเซ็นสัญญาสันติภาพ ซึ่งระบุให้จักรพรรดิและรัฐบาลญี่ปุ่นอยู่ใต้การปกครองของผู้บัญชาการสูงสุดของทหารสัมพันธมิตร
    ในปีพุทธศักราช 2496 ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศริเริ่มดำเนินโครงการ "ปรมาณูเพื่อสันติ" ขึ้น และในอีกสองปีต่อมา สหประชาชาติได้จัดให้มีการประชุมขึ้นที่กรุงเจนีวา มีนักวิทยาศาสตร์กว่า 4,000 คน จาก 73 ชาติ ได้เข้าร่วมประชุมและพิจารณาถึงการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ในทางสันติ เพื่อแสดงให้ชาวโลกทราบว่า พลังงานนิวเคลียร์ที่ใครๆ เห็นว่าเป็นมหันตภัยร้ายแรงสำหรับมนุษย์นั้น อยู่ในวิสัยที่อาจจะควบคุม และนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน และโครงการนี้ได้กระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกก่อตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นในประเทศของตน เพื่อนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ในทางสันติ และช่วยการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ

    ประโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์
    ด้านเกษตรกรรม งานในด้านนี้ที่ประสบความสำเร็จมากคือ การวิจัยด้านการฉายรังสีอาหารโดยใช้รังสีแกมมาช่วยยืดอายุการเก็บของอาหารทั้งพืชผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยจะช่วยยับยั้งการงอกของพืชผัก ชะลอการสุกของผลไม้และช่วยทำลายแมลง พยาธิ หรือจุลินทรีย์ ในอาหารและผลิตผลทางการเกษตร ซึ่งอำนวยประโยชน์ให้ประชาชนได้บริโภคอาหารที่ถูกอนามัยปราศจากเชื้อโรคและพยาธิ ช่วยการถนอมอาหารและเก็บรักษาอาหารและพืชผลไว้บริโภคในช่วงฤดูกาลที่ขาดแคลนลดการนำเข้าจากต่างประเทศและเพิ่มรายได้ของประเทศโดยส่งเสริมการส่งออกของอาหารและผลิตผลการเกษตรจากการฉายรังสี
    นอกจากนี้ยังนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ในงานอื่นอีก เช่น ใช้วิเคราะห์ดินเพื่อการจำแนกพื้นที่เพาะปลูกหรือการใช้เทคนิคทางรังสีเพื่อศึกษาการดูดซึมแร่ธาตุและปุ๋ยโดยต้นไม้และพืชเศรษฐกิจต่างๆ ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือการนำเทคนิคดังกล่าวมาปรับปรุงพันธ์พืช และสัตว์ เป็นต้น
    ด้านการแพทย์ ปัจจุบันมีการนำเทคนิคด้านนิวเคลียร์มาใช้ในทางการแพทย์หลายด้าน เช่น ด้านการตรวจและวินิจฉัย โดยการใช้เทคนิค Radioimmunoassay (RIA) สำหรับตรวจวัดสารที่มีประมาณน้อยในร่างกาย หรือเทคนิคฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าร่างกาย เพื่อหาตำแหน่งของอวัยวะที่เสียหน้าที่ และปัจจุบันสามารถตรวจดูรูปร่างและการทำงานของอวัยวะด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งทันสมัยที่สุด ในด้านการบำบัดรักษาโดยเฉพาะโรคมะเร็งได้มีการใช้สารกัมมันตรังสีร่วมกับการใช้ยาหรือสารเคมีและการผ่าตัด นอกจากนี้ยังมีการใช้รังสีในการทำให้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ปลอดเชื้อ หรือใช้รังสีในการเตรียมวัคซีนและแอนติเจนโดยยังคุณสมบัติของวัคซีนเอาไว้ และใช้รังสีหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดขาวในผลิตภัณฑ์เลือด เพื่อทำให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยในการรับและถ่ายเลือด เป็นต้น
    ด้านอุตสาหกรรม ปัจจัยหลักที่จะทำให้อุตสาหกรรมก้าวหน้าไปได้ในสภาวะเศรษฐกิจของโลก ในขณะนี้ คือ การเพิ่มผลผลิต การควบคุมคุณภาพ และการลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวในปัจจุบันไทยได้นำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาใช้ในการประกอบอุตสาหกรรมต่างๆ มากขึ้น เช่น การผลิตเส้นใยสังเคราะห์สำหรับทอผ้า การผลิตปูนซีเมนต์ ไม้อัดแผ่นเรียบ กระเบื้อง กระดาษ ผลิตภัณฑ์แก้ว เหล็ก หรือโลหะอุตสาหกรรมปิโตรเลียม และปิโตรเคมี การผลิตยางรถยนต์ การผลิตน้ำอัดลม การเปลี่ยนสีอัญมณี การควบคุมคุณภาพในการก่อสร้างถนน เป็นต้น โดยการใช้เทคนิคที่สำคัญคือ การตรวจสอบโดยไม่ทำลาย หรือการใช้รังสีเป็นสารติดตามและใช้เป็นระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
    ด้านการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เช่น การวิเคราะห์ธาตุปริมาณน้อยและสารพิษในสิ่งแวดล้อม การศึกษาอายุของวัตถุโบราณ ศึกษาวัฏจักรหรือวงชีวิตของพืชและสัตว์บางชนิด การศึกษาการเคลื่อนที่ของน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน ศึกษาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ ศึกษาการสะสมการเคลื่อนที่ของตะกอนในเขื่อน แม่น้ำ ลำคลอง และแหล่งน้ำต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการใช้รังสีเพื่อการกำจัดน้ำเสีย การผลิตปุ๋ยธรรมชาติ การพัฒนาที่ดินทางการเกษตร กิจกรรมทางป่าไม้และอุทกวิทยา เป็นต้น

    อันตรายและความเสี่ยง
    การทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารกัมมันตภาพรังสีเป็นเวลานานอาจทำให้เนื้อเยื่อบางส่วนของร่างกายเสียหาย หรือก่อให้เกิดมะเร็งในส่วนต่างๆของร่ายกายได้ อาทิเช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว และยังทำให้ผู้ที่ได้รับมีความผิดปกติทางเซลล์พันธุกรรมเช่น สัตว์เกิดไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีตา ไม่มีสมอง และยังทำลายคนที่ไม่รู้วิธีป้องกันป่วยลง แต่อันตรายจากรังสีในปัจจุบันที่ได้รับมากที่สุดคือ ถ่านไฟฉายแต่จะเป็นรังสีจากโคบอล 60 ซึ่งมีวิธีการคือ อย่าแกะสังกสีออก และใช้แล้วควรทิ้งทันที โดยทั่วไปรังสีที่เจอเป็นอันดับ2คือ รังสีเอกซ์ตามโรงพยาบาลในห้องเอกซ์เรย์ ซึ่งจะมีป้ายเตือนไว้หน้าห้องแล้ว และไม่ควรที่จะเข้าใกล้มากนัก หากพบว่ามีวัตถุที่แผ่รังสี ควรที่จะหลีกไป แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกียวข้อง หากไม่แน่ใจก็ให้สอบถามผู้รู้เช่น ครูโรงเรียนมัธยม หรือเจ้าหน้าที
     
  18. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟิชชันของญี่ปุ่นที่เกิดการระเบิดแต่ไม่ใช่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบพลังงานนิวเคลียร์แบบฟิวชั่น (Fusion)

    ประเภทของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบ่งเป็น 2 ประเภท

    1. นิวเคลียร์ฟิชชัน (อังกฤษ: Nuclear fission) เป็นปฏิกิริยาที่นิวเคลียสของธาตุที่มีขนาดใหญ่อย่างเช่น ยูเรเนียม แตกแยกตัวออกเป็นนิวเคลียสของธาตุที่มี ขนาดเล็ก เช่นแบเรียมและแลนทานัม ปฏิกิริยาฟิซชันจึงเปรียบเสมือนปฏิกิริยาจุดชนวนซึ่งเมื่อเกิดแล้ว ทำให้เกิดปฏิกิริยาอื่น ๆ เกิดตามมาเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ หากขาดการควบคุมจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง เมื่อเปรียบเทียบกับปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันพบว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิซชันจะให้พลังงานน้อยกว่า และผลิตผลที่ได้จะเป็นกัมมันตรังสี
    โดยปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่นิวเคลียสของธาตุขนาดใหญ่แยกตัวเป็นนิวเคลียสของธาตุที่มีขนาดเล็กลง เรียกว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชั่น ซึ่งค่อนข้างจะคุ้นหูสำหรับคนไทยเนื่องจากมีการกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง ในปัจจุบันมีการนำเอาพลังงานนิวเคลียร์จากปฏิกิริยาฟิชชั่นมาใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาประเทศอังกฤษ และประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น แต่การนำเอาปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชั่นมาใช้นั้นมีความเสี่ยงในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงมาก ซึ่งเห็นได้จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่โรงงานไฟฟ้าเชอโนเบิล ที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากมายและยังคงเป็นเรื่องเศร้าใจและน่ากลัวจนถึงทุกวันนี้
    [​IMG]

    ปฏิกิริยานิวเคลียร์

    ปฏิกิริยานิวเคลียร์ คือปฏิกิริยาที่เกิดความเปลี่ยนแปลงกับนิวเคลียสของอะตอม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม หรือลดโปรตอน หรือนิวตรอนในนิวเคลียสของอะตอม เช่น ปฏิกิริยานี้



    <DL><DD><DL><DD>[​IMG]</DD></DL></DD></DL>จะเห็นได้ว่าโซเดียม ได้มีการรับนิวตรอนเข้าไป เมื่อนิวเคลียสเกิดความไม่เสถียร จึงเกิดการคายพลังงานออกมา และพลังงานที่คายออกมานั้น เมื่ออยู่ในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแล้ว มันก็คือรังสีแกมมานั่นเอง
    โดยทั่วไปรังสีแกมมาที่แผ่ออกมาจากนิวเคลียสของอะตอมที่ไม่เสถียรนั้น มักจะมีค่าพลังงานที่แตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดของไอโซโทป ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะประจำไอโซโทปนั้น ๆ
    ปฏิกิริยานิวเคลียร์นั้นมีมากมายหลายรูปแบบ ซึ่งในบรรดารูปแบบทั้งหมดที่เราค้นพบในปัจจุบัน จะมีเพียง 2 รูปแบบที่เราพูดถึงกันบ่อย ๆ นั่นก็คือปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน (Fission) และปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน (Fusion)
    [​IMG]
    ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน

    ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน (Fission Process) เป็นการแตกนิวเคลียสของอะตอมจากอะตอมของธาตุใหญ่ให้กลายเป็นอะตอมของธาตุเล็ก 2 อะตอม ซึ่งในกระบวนการนี้จะให้พลังงานออกมาด้วย เช่น



    <DL><DD><DL><DD>[​IMG]</DD></DL></DD></DL>ซึ่งในปฏิกิริยาที่ยกตัวอย่างนี้ ไอโซโทปของแบเรียม (Ba) และคริปตอน (Kr) ซึ่งไอโซโทปทั้งสองตัวนี้มีนิวตรอนมากกว่าปกติ จึงมีการคายพลังงานออกมาในรูปของรังสีเบตา
    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในตัวอย่างนี้สารผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปฏิกิริยาจะเป็นกากกัมมันตรังสีที่แผ่รังสีเบตา (Beta Ray) แต่ก็ยังมีปฏิกิริยาอื่น ๆ ที่แผ่รังสีชนิดอื่น ๆ รวมไปถึงรังสีแกมมา ตัวอย่างนี้เป็นเพียงการทำให้เห็นภาพว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันจะคายพลังงานออกมา นั่นก็เป็นเพราะโดยทั่วไปเมื่อธาตุที่มีมวลหรือเป็นธาตุหนักขึ้น จำนวนของนิวตรอนก็เริ่มที่จะมากกว่าโปรตอนไปด้วยตามลำดับ ซึ่งเมื่ออะตอมเหล่านี้แตกตัวมาเป็นอะตอมของธาตุที่เล็กกว่า ก็ย่อมทำให้จำนวนนิวตรอนของอะตอมมากกว่าปกติ
    [​IMG]

    [​IMG]

    ภาพโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบฟิซชั่น​

    [​IMG]
    [​IMG]


    [​IMG]
    ภาพนี้คือแท่งยูเรเนียม​
    ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน ในเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น ควบคุมได้โดยใช้แท่งควบคุม ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติพิเศษในการดูดจับอนุภาคนิวตรอน เช่น โบรอนคาร์ไบด์ ทำหน้าที่ควบคุมให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์เพิ่มขึ้นหรือลดลงตามที่ต้องการ โดยการเลื่อนแท่งควบคุมเข้าออกภายในแกนปฏิกรณ์ตามแนวขึ้นลง เพื่อดูดจับอนุภาคนิวตรอนส่วนเกิน
    แบบของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปัจจุบันทั่วโลก ได้นิยมใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 3 แบบ ได้แก่
    1. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบใช้น้ำความดันสูง (Pressurized Water Reactor : PWR) โรงไฟฟ้าชนิดนี้ จะถ่ายเทความร้อนจากแท่งเชื้อเพลิงให้น้ำ จนมีอุณหภูมิสูงประมาณ 320 องศาเซลเซียสภายในถังขนาดใหญ่ จะอัดความดันสูงประมาณ 15 เมกะปาสคาล (Mpa) หรือประมาณ 150 เท่าของความดันบรรยากาศไว้ เพื่อไม่ให้น้ำเดือดกลายเป็นไอ และนำน้ำส่วนนี้ไปถ่ายเทความร้อน ให้แก่น้ำหล่อเย็นอีกระบบหนึ่ง เพื่อให้เกิดการเดือดและกลายเป็นไอน้ำออกมา เป็นการป้องกันไม่ให้น้ำในถังปฏิกรณ์ ซึ่งมีสารรังสีเจือปนอยู่ แพร่กระจายไปยังอุปกรณ์ส่วนอื่นๆ ตลอดจนป้องกันการรั่วของสารกัมมันตรังสีสู่สิ่งแวดล้อม
    [​IMG]
    โรงไฟฟ้าแบบน้ำเดือด (Boiling Water Reactor : BWR) สามารถผลิตไอน้ำได้โดยตรง จากการต้มน้ำภายในถังซึ่งควบคุมความดันภายใน (ประมาณ 7 Mpa) ต่ำกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบแรก (PWR) ดังนั้น ความจำเป็น ในการใช้เครื่องผลิตไอน้ำและแลกเปลี่ยนความร้อน ปั๊ม และอุปกรณ์ช่วยอื่นๆ ก็ลดลง แต่จำเป็นต้องมีการก่อสร้างอาคารป้องกันรังสีไว้ ในระบบอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ของโรงไฟฟ้า เนื่องจากไอน้ำจากถังปฏิกรณ์ จะถูกส่งผ่านไปยังอุปกรณ์เหล่านั้นโดยตรง
    [​IMG]
    โรงไฟฟ้าแบบใช้น้ำมวลหนักความดันสูง (Pressurized Heavy Water Reactor : PHWR) ซึ่งประเทศแคนาดา เป็นผู้พัฒนาขึ้นมา จึงมักเรียกชื่อย่อว่า “CANDU” ซึ่งย่อมาจากคำว่า Canadian Deuterium Uranium มีการทำงานคล้ายคลึงกับ แบบ PWR แต่แตกต่างกันที่มีการจัดแกนปฏิกรณ์ในแนวระนาบ และเป็นการต้มน้ำภายในท่อขนาดเล็กจำนวนมากที่มีเชื้อเพลิงบรรจุอยู่แทนการต้มน้ำภายในถังปฏิกรณ์ขนาดใหญ่ เนื่องจากสามารถผลิตได้ง่ายกว่า การผลิตถังขนาดใหญ่ โดยใช้ “น้ำมวลหนัก” (Heavy Water, D2O) มาเป็นตัวระบายความร้อน จากแกนปฏิกรณ์ นอกจากนี้ ยังมีการแยกระบบใช้น้ำมวลหนัก เป็นตัวหน่วงความเร็ว ของนิวตรอนด้วย เนื่องจากน้ำมวลหนัก มีการดูดกลืนนิวตรอน น้อยกว่าน้ำธรรมดา ทำให้ปฏิกิริยานิวเคลียร์ เกิดขึ้นได้ง่าย จึงสามารถใช้เชื้อเพลิงยูเรเนียม ที่สกัดมาจากธรรมชาติ ซึ่งมียูเรเนียม-235 ประมาณร้อยละ 0.7 ได้ โดยไม่จำเป็น ต้องผ่านกระบวนการปรังปรุง ให้มีความเข้มข้นสูงขึ้น ทำให้ปริมาณผลิตผล จากการแตกตัว (fission product) ที่เกิดในแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้ว มีน้อยกว่าเครื่องปฏิกรณ์ แบบใช้น้ำธรรมดา
    [​IMG]
    ข้อดีและข้อเสียของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ข้อดี
    1. เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่สามารถให้กำลังผลิตสูงกว่า 1,200 เมกะวัตต์
    2. มีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าแข่งขันได้กับโรงไฟฟ้าชนิดอื่น
    3. เป็นโรงไฟฟ้าที่สะอาด ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ
    4. เสริมสร้างความมั่นคงของระบบผลิตไฟฟ้า เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงน้อย ทำให้เสถียรภาพใน การจัดหาเชื้อเพลิง และราคาเชื้อเพลิง มีผลกระทบ ต่อต้นทุนการผลิตเล็กน้อย
    ข้อเสีย
    1. ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง
    2. จำเป็นต้องเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้การดำเนินงาน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
    3. จำเป็นต้องพัฒนา และเตรียมการ เกี่ยวกับการจัดกากกัมมันตรังสี การดำเนินงาน ด้านแผนฉุกเฉินทางรังสี และมาตรการควบคุม ความปลอดภัย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
    4. การยอมรับของประชาชน
    [​IMG]
    [​IMG]
    โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
    ในปี พ.ศ. 2519 รัฐบาลได้อนุมัติ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ขนาด 600 เมกะวัตต์ ที่อ่าวไผ่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แต่ได้มีการคัดค้าน จากประชาชน ทำให้รัฐบาลจัดสินใจ ล้มเลิกโครงการไปในที่สุด นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้ร่วมกับหน่วยงานรัฐบาล เอกชน และ องค์กรต่างๆ จากภายใน และภายนอกประเทศ รวมทั้งผู้จำหน่ายทั่วโลก จัดกิจกรรม ให้ความรู้ ทางเทคโนโลยี โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยผ่านการประชุมวิชาการ การสัมมนา จัดนิทรรศการ และจัดทำสื่อต่างๆ กล่าวได้ว่า ขั้นตอนแรก ได้สร้างความตื่นตัว และความสนใจประชาชน (Public Awareness) ต่อมา ดำเนินการ ขั้นตอนการสร้างความเข้าใจ (Public Understand) เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนสุดท้าย คือ การยอมรับของประชาชน (Public Acceptance) ซึ่งจะมีการ เข้าดำเนินการ ให้เกิดการยอมรับ ในหมู่ประชาชนทั่วไป และชุมชนที่คาดว่า จะเป็นบริเวณที่ตั้ง ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ต่อไป ​


    ประเภทที่ 2 นิวเคลียร์ฟิวชั่น

    ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น (Nuclear fusion) ในทางฟิสิกส์นิวเคลียร์และเคมีนิวเคลียร์ คือกระบวนการที่นิวเคลียสอะตอมหลายตัวมารวมตัวกันกลายเป็นนิวเคลียสอะตอมที่หนักขึ้น และเกิดการปลดปล่อยหรือดูดซับพลังงานในกระบวนการนี้ นิวเคลียสของเหล็กและนิกเกิลมีพลังงานพันธะต่อนิวคลีออนสูงมาก ฟิวชั่นของนิวเคลียสทั้งสองชนิดกับธาตุอื่นที่มีมวลน้อยกว่าเหล็กจะทำให้เกิดการปลดปล่อยพลังงานออกมารุนแรงกว่าที่เหล็กจะดูดซับพลังงานไว้ กระบวนการที่ดำเนินไปในทางกลับกันนี้จะเรียกว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน (Nuclear fission)
    โดยมากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นมักเกิดขึ้นในดาวฤกษ์ มนุษย์อาจสร้างเครื่องมือเพื่อผลิตพลังงานฟิวชั่นขึ้นก็ได้ แต่ยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ มีการค้นพบฟิวชั่นของนิวเคลียสมวลเบา (ไอโซโทปของไฮโดรเจน) โดย มาร์ก โอลิแฟนท์ ในปี ค.ศ. 1932 ส่วนกระบวนการหลักของการเกิดนิวเคลียร์ฟิวชั่นในดาวฤกษ์มีการศึกษาและอธิบายโดย ฮานส์ เบเท่อ (Hans Bethe) ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ทศวรรษนั้น งานวิจัยนิวเคลียร์ฟิวชั่นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารเริ่มต้นในคริสต์ทศวรรษ 1940 โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแมนฮัตตัน แต่กว่าจะสำเร็จก็ล่วงมาถึง ค.ศ. 1952 สำหรับการวิจัยนิวเคลียร์ฟิวชั่นเพื่อประโยชน์ทางพลเรือนเริ่มในคริสต์ทศวรรษ 1950 และยังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

    พลังงานฟิวชั่น (Fusion power) คือพลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น ปฏิกิริยาชนิดนี้เกิดจากการที่นิวเคลียสของอะตอมมวลเบาของธาตุหลอมตัวเข้าด้วยกัน และได้นิวเคลียสที่หนักกว่าเดิมและมีเสถียรภาพมากขึ้น กระบวนการนี้ได้ปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา
    เชื่อกันว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่แผ่ออกไปในระบบสุริยะเกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ชนิดนี้ ซึ่งต้องอาศัยความร้อนที่อุณหภูมิสูงนับล้านองศาเซลเซียส และมาจากการรวมนิวเคลียสของไฮโดรเจน 4 อะตอม ได้เป็นฮีเลียม 1 อะตอม โดยเกิดขึ้นบริเวณผิวรอบนอกของดวงอาทิตย์
    มนุษย์พยายามที่จะสร้างพลังงานนี้โดยการรวมดิวเทอเรียม (deuterium) 2 อะตอมเป็นไฮโดรเจน 1 อะตอม โดยพลังงานต่อมวลของปฏิกิริยานี้มากกว่ากระบวนการฟิชชันมาก อีกทั้งผลิตผลจากปฏิกิริยานี้จะไม่เป็นสารกัมมันตรังสี
    การทดลองที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันคือการทดลองที่ Joint European Torus (JET) ปี ค.ศ. 1997 JET ได้สร้างพลังงานฟิวชั่นขึ้นได้ขนาด 16.1 เมกกะวัตต์ (65% ของพลังงานที่ใส่เข้าไป) โดยที่สามารถรักษาระดับพลังงานฟิวชั่นสูงกว่า 10 เมกกะวัตต์ได้นานกว่า 0.5 วินาที


    เครื่องปฏิกรณ์ นิวเคลียร์ฟิวชัน

    [​IMG]
    International Thermonuclear Experimental Reactor (Iter) เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รัสเซีย จีน และเกาหลีใต้ โดยมีจุดประสงค์ในการออกแบบและสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันภายในสิบ ปีนี้ ด้วยเงินลงทุน 5 พันล้านยูโร Iter จะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในช่วงเวลาหลายสิบปีนี้ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นสะพาน ในการเชื่อมต่อไปยังเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันในเชิงพาณิชย์
    [​IMG]
    ดวงอาทิตย์ส่องแสงได้ อย่างไร
    ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน เป็นแหล่งพลังงานของดวงดาว เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะของเรา โดยมีเครื่องปฏิกรณ์ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันอยู่ที่แกนกลาง แรงกดดันมหาศาล และอุณหภูมิที่สูงถึง 16 ล้านองศาเซลเซียส เป็นภาวะที่ทำให้นิวเคลียสของอะตอมหลอมรวมกันแล้วปลดปล่อยพลังงานออกมา ทุกวินาทีมวลของดวงอาทิตย์ 4 ล้านตันจะเปลี่ยนเป็นพลังงานปลดปล่อยออกมา
    [​IMG]
    ปฏิกิริยาฟิวชันบนโลก
    เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันบนโลก ใช้เชื้อเพลิงเป็นดิวทีเรียม (deuterium) และตริเตียม (tritium) ซึ่งเป็นอะตอมของไฮโดรเจนอีกชนิดหนึ่ง ทำให้อยู่ในสภาวะที่มีอุณหภูมิประมาณ 100 ล้านองศาเซลเซียส จะหลอมรวมกันแล้วให้ฮีเลียมและนิวตรอนพลังงานสูงออกมา โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ จะใช้ความร้อนที่เกิดจากนิวตรอนพลังงานสูงในการปั่นกังหัน (turbine) ของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
    [​IMG]
    Zeta เปิดทางแล้ว
    ในปี 1950 นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคิดว่าเขาสามารถทำให้เกิดสภาวะ Zeta หรือ ปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ที่มีพลังงานที่ป้อนเข้าไปเท่ากับพลังงานที่ปลด ปล่อยออก (Zero Energy Thermonuclear Assembly) แต่เป็นการเข้าใจผิด การควบคุมก๊าซที่อยู่ในภาวะไอออน หรือพลาสมา (plasma) ที่อุณหภูมิสูงหลายล้านองศา ที่ศูนย์กลางของเครื่องมือ ในเวลาต่อมาได้พิสูจน์ว่า ปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้ยากกว่าที่คิดไว้มาก 50 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์คิดว่า ปัญหาเหล่านี้ได้เริ่มคลี่คลายแล้ว
    [​IMG]
    Joint European Torus
    Iter ใช้พื้นฐานของ Jet (Joint European Torus) ซึ่งมีพลาสมาเป็นวงแหวนรูปโดนัท และถูกบีบอัดเข้าด้วยกัน โดยใช้สนามแม่เหล็ก หลังจากการเริ่มทดลองในปี 1983 Jet สามารถทำสถิติ เป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชัน ที่สามารถให้พลังงานออกมา 12.9 เมกกะวัตต์ ในการทดลองเมื่อปี 1997 แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นของ Jet ก็ยังคงใช้พลังงานที่ป้อนเข้าไปมากกว่าพลังงานที่ให้ออกมา
    [​IMG]
    ที่ตั้งในฝรั่งเศส
    หลังจากการประชุมของสมาชิกโครงการ Iter ได้มีการตัดสินเลือกสถานที่ก่อสร้างโครงการ ที่เมือง Cadarache ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ลึกเข้ามาจากเมือง Marseille ที่อยู่ชายฝั่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่ตั้งที่ Cadarache นี้ ได้ดำเนินการโดยคณะกรรมารพลังงานปรมาณูฝรั่งเศส (France’s Atomic Energy Commission) อยู่แล้ว โดยเป็นศูนย์วิจัยฟิวชัน รวมทั้ง Tore Supra ซึ่งเป็นการทดลอง tokamak
    [​IMG]
    เส้นทางอีกยาวไกล
    ไม่มีใครสงสัยในเรื่องความยากของการทำให้ Iter ใช้งานได้ นักวิทยาศาสตร์จะต้องค้นหาวัสดุชนิดใหม่ ที่สามารถคงทนต่ออุณหภูมิสูง และคงทนต่อการถูกยิงด้วยนิวตรอนภายในอุโมงค์ของเครื่องปฏิกรณ์ ซึ่งญี่ปุ่นจะรับหน้าที่ในการทำวิจัยในเรื่องนี้
    [​IMG]
    ความต้องการเร่งด่วน
    ถ้าเครื่องปฏิกรณ์เชิงพาณิชย์สามารถใช้งานได้ จะทำให้เกิดผลตอบแทนที่สูงมาก ภาวะเศรษฐกิจของโลกจะเติบโต ความต้องการในการค้นหาแหล่งพลังงานจะหมดไป เป้าหมายหลักคือ การใช้ระบบพลังงานที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ดังเช่นในเชื้อเพลิงฟอสซิล) ไม่ต้องหาสถานที่เก็บขนาดใหญ่สำหรับกากกัมมันตรังสี (ดังเช่นในเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ฟิชชัน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2011
  19. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    เรื่องที่ 4 พลังงานลม

    [​IMG]
    ลมเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ ความกดดันของบรรยากาศและแรงจากการหมุนของโลก สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเร็วลมและกำลังลม เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าลมเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่มีอยู่ในตัวเอง ซึ่งในบางครั้งแรงที่เกิดจากลมอาจทำให้บ้านเรือนที่อยู่อาศัยพังทลายต้นไม้หักโค่นลง สิ่งของวัตถุต่างๆ ล้มหรือปลิวลอยไปตามลม ฯลฯ
    ในปัจจุบันมนุษย์จึงได้ให้ความสำคัญและนำพลังงานจากลมมาใช้ประโยชน์มากขึ้น เนื่องจากพลังงานลมมีอยู่โดยทั่วไป ไม่ต้องซื้อหา เป็นพลังงานที่สะอาดไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อม และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่รู้จักหมดสิ้น

    พลังงานลม
    กังหันลมแห่งหนึ่งในเยอรมนี สำหรับเปลี่ยนพลังงานลมมาเป็นพลังงานไฟฟ้าพลังงานลม เป็นพลังงานตามธรรมชาติที่เกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ ซึ่งปัจจุบันได้มีการนำเอาพลังงานลมมาใช้ประโยชน์มากขึ้น เนื่องจากพลังงาน ลมไม่จำเป็ฯต้องมีค่าใช้จ่ายในการซื้อหาแต่อย่างเหมือนกับพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ในประเทศไทย บางพื้นที่ยังมีปัญหาในการวิจัยพัฒนานำเอาพลังงานลมมาใช้งานเนื่องจากปริมาณของลมไม่สม่ำเสมอตลอดปี แต่ก็ยังคงมีพื้นที่บางพื้นที่สามารถนำเอาพลังงานลมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น พื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลเป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์ที่ช่วยในการเปลี่ยนจากพลังงานลมออกมาเป็นพลัง งานในรูปอื่น ๆ เช่น พลังงานไฟฟ้า หรือ พลังงานกล ก็ได้แก่ กังหันลม

    [​IMG]

    พลังงานจากกังหันลม
    พลังงานลม จัดเป็นพลังงานหมุนเวียนชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้ไม่มีวันหมด และปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้าก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หลายประเทศทั่วโลกให้ความสนใจในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยเฉพาะในทวีปยุโรป ซึ่งในคอลัมน์ ไขปัญหาฉบับนี้จะขอเสนอในประเทศเดนมาร์ก ซึ่งมีการส่งเสริม และสนับสนุนการใช้กังหันลมผลิตไฟฟ้าอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง
    ทั้งนี้ ประเทศเดนมาร์ก มีการส่งออกเทคโนโลยีกังหันลมและสนับสนุนพลังงานลมมากที่สุดในโลก (คิดเป็นร้อยละ 50 ของการค้ากังหันลมของโลก) โดยมีบริษัท BONUS Energy (Denmark) เป็นผู้ผลิตกังหันลมรายใหญ่ของประเทศ เนื่องจากมีศักยภาพพลังงานลมสูง ปัจจุบันประเทศเดนมาร์กมีกำลังการผลิตจากพลังงานลมสูงถึง 2,500 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นร้อยละ 14 ของกำลังการผลิตติดตั้งของประเทศ และตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมเป็น 5,000 เมกะวัตต์ ภายในปี ค.ศ. 2010
    สำหรับการส่งเสริม และสร้างการมีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เกษตรกรหรือสมาชิกสหกรณ์ สามารถติดตั้งกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ทางการเกษตรของตนเอง และขายไฟเข้าระบบของการไฟฟ้าได้ โดยการไฟฟ้าจะเป็นผู้รับภาระในการเชื่อมโยงระบบ ไฟฟ้าจากกังหันลมเข้ากับสายจำหน่ายของการไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้ภาระการลงทุนของผู้ติดตั้งกังหันลมลดลง
    นอกจากนี้ เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมจะมีต้นทุนที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิล รัฐบาลจึงมีนโยบายในการให้เงินสนับสนุนเพื่อรับประกันราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตฯ สำหรับในช่วง 5 ปีแรก ที่ระดับ 0.6 โครนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (ประมาณ 3.90 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) และ 5 ปีต่อไป ที่ระดับ 0.43 โครนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (ประมาณ 2.80 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) ทั้งนี้สำหรับเงินสนับสนุนในช่วง 5 ปีหลังนี้ จะสะท้อนถึงอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในอัตรา 0.10 โครนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง และอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากถ่านหินและน้ำมันในอัตรา 0.33 โครนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง
    [​IMG]
    ความเร็วลมและกำลังของกังหันลม
    พลังงานที่ผลิตได้จากกังหันลมจะเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่ กับความเร็วลม แต่ความสัมพันธ์นี้ไม่เป็นสัดส่วนโดยตรง ที่ความเร็วลมตํ่า (1 - 3 เมตร/วินาที) กังหันลมจะยังไม่ทำงาน ในช่วงความเร็วลมนี้กังหันลมจะยังไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ ที่ความเร็วลมระหว่าง 2.5 - 5 เมตร/วินาที กังหันลมจะเริ่มทำงานเรียกช่วงนี้ว่า"cut in wind speed" ที่ความเร็วลมช่วงประมาณ 12 - 15 เมตร/วินาที เป็นช่วงที่เรียกว่า "nominal หรือ rate wind speed" ซึ่งเป็นช่วงที่กังหันลมทำงานอยู่บนพิกัดกำลังสูงสุดของตนเอง ค่าความเร็วลมที่แน่นอนขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าต่อพื้นที่หน้าตัดของใบพัดและการออกแบบ ที่จุดตํ่ากว่า nominal คือ "maximum rotor efficiency" (รูปที่ 9) ซึ่งค่านี้ขึ้นอยู่กับ "tip speed ratio" (Siegfried, 1998) ในช่วงความเร็วลมที่สูงกว่า 25 เมตร/วิ นาที กังหันลมจะหยุดทำงาน เนื่องจากความเร็วลมที่สูงเกินไป จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อกลไกของกังหันลมได้
    [​IMG]
    รถยนต์พลังลม หรือ Air Car ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Motor Development International โดยหลักการทำงานพื้นฐานของรถอัดลมดังกล่าวก็คือ ภายในรถจะมีถังไฟเบอร์สามารถอัดลมเข้าไปเก็บไว้ได้ถึง 52 แกลลอน ก่อนที่จะส่งต่อให้กับเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เมื่อเติมลมจนเต็ม (ใช้เวลา 3 นาที) จะสามารถวิ่งได้เป็นระยะทาง 93 ไมล์ หรือประมาณ 150 กิโลเมตรค่ะ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3.26 เหรียญฯ หรือประมาณ 115 บาท ประหยัดดีจังเลยนะคะ แต่ความเร็วของรถยนต์คันนี้ก็สามารถเร่งได้สูงสุด 40 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั่นเอง
    เท่าที่ดูจากคลิปวิดีโอ การอธิบายถึงเทคโนโลยีในการนำลมไปใช้ผลิตพลังงานให้กับเครื่องยนต์ไม่ค่อยมีการพูดถึงรายละเอียดสักเท่าไร ทำให้ดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อถือมากนัก เนื่องจากหลักฟิสิกส์พื้นฐานทีเราเรียนรู้กันมาตั้งแต่สมัยมัธยมก็คือ เมื่อมีการส่งถ่ายพลังงานชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งมันย่อมมีการสูญเสียพลังงานไปบางส่วน ซึ่งในที่นี้เราต้องใช้พลังงานไฟฟ้าไปสร้างพลังงานกล เพื่อบีบอัดอากาศเข้าไปในถัง หลังจากนั้นแปลงพลังงานลมที่เก็บในถังไปขับเคลื่อนเครื่องยนต์เพื่อให้ล้อรถหมุนอีกทีหนึ่ง ไม่รู้ว่า คำตอบที่ได้มันคุ้มค่ากับประสิทธิภาพของรถที่ได้ หรือเปล่า หากเทียบกับการใช้แบตเตอรี่ และไฮโดรเจนที่อันตรายกว่า งานนี้ก็ต้องรอดูกันไป...
    [​IMG]
    เครื่องยนต์พลังงานลม

    TATA มอเตอร์ บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย ประกาศผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานลมในการขับเคลื่อน โดยจะทยอยนำส่งเข้าสู่โชว์รูมในปี พ.ศ. 2552 รถยนต์พลังลม หรือ AirCarนี้ ใช้การปล่อยอากาศจากระบบบีบอัดอากาศด้วยความดันสูง โดยอากาศที่ปล่อยออกมาจะทำหน้าที่หมุนเพลา ทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ โดยการเติมอากาศ สามารถเติมได้ตามสถานีอัดอากาศด้วยราคาไม่แพง

    โดยความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและสามารถวิ่งได้ประมาณ 200 กิโลเมตรต่อการเติมอากาศหนึ่งครั้ง บริษัทผู้ออกแบบรถยนต์พลังลมคันนี้ คือ บริษัท MDI จากประเทศลักเซมเบิร์ก ซึ่งให้สิทธิบัตรแก่ตาต้าในการผลิตรถ
    ยนต์พลังลมในประเทศอินเดีย โมเดลแรกของตาต้า CityCAT ตั้งราคาไว้ประมาณ 400,000บาท โดยตาต้าหวังไว้ว่าจุดเด่นของ CityCAT ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ และราคาไม่ แพง จะทำให้รถพลังลมรุ่นแรกนี้ จะทำยอดขายได้ดีในตลาดอินเดีย

    [​IMG]
    [​IMG]
    คลิปรถพลังงานลม​
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=f4w6aJMNXSk]YouTube - ‪Air Car by Guy Negre on CNN‬&rlm;[/ame]​
     
  20. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    เรื่องที่ 5 พลังงานน้ำ

    พลังงานน้ำ เป็นรูปแบบหนึ่งการสร้างกำลังโดยการอาศัยพลังงานของน้ำที่เคลื่อนที่ ปัจจุบันนี้พลังงานน้ำส่วนมากจะถูกใช้เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้แล้วพลังงานน้ำยังถูกนำไปใช้ในการชลประทาน การสี การทอผ้า และใช้ในโรงเลื่อย พลังงานของมวลน้ำที่เคลื่อนที่ได้ถูกมนุษย์นำมาใช้มานานแล้วนับศตวรรษ โดยได้มีการสร้างกังหันน้ำ (Water Wheel) เพื่อใช้ในการงานต่างๆ ในอินเดีย และชาวโรมันก็ได้มีการประยุกต์ใช้เพื่อใช้ในการโม่แป้งจากเมล็ดพืชต่างๆ ส่วนผู้คนในจีนและตะวันออกไกลก็ได้มีการใช้พลังงานน้ำเพื่อสร้าง Pot Wheel เพื่อใช้ในวิดน้ำเพื่อการชลประทาน โดยในช่วงทศวรรษ 1830 ซึ่งเป็นยุคที่การสร้างคลองเฟื่องฟูถึงขีดสุด ก็ได้มีการประยุกต์เอาพลังงานน้ำมาใช้เพื่อขับเคลื่อนเรือขึ้นและลงจากเขา โดยอาศัยรางรถไฟที่ลาดเอียง (Inclined Plane Railroad : Funicular)โดยตัวอย่างของการประยุกต์ใช้แบบนี้ อยู่ที่คลอง Tyrone ในไอร์แลนด์เหนือ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการประยุกต์ใช้พลังงานน้ำในยุคแรกนั้นเป็นการส่งต่อพลังงานโดยตรง (Direct Mechanical Power Transmission) ทำให้การใช้พลังงานน้ำในยุคนั้นต้องอยู่ใกล้แหล่งพลังงาน เช่น น้ำตก เป็นต้น ปัจจุบันนี้ พลังงานน้ำได้ถูกใช้เพื่อการผลิตไฟฟ้า ทำให้สามารถส่งต่อพลังงานไปใช้ในที่ที่ห่างจากแหล่งน้ำได้
    พลังงานน้ำเกิดจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานศักย์จากความเร่งเนื่องจากแรงดึงดูดของโลก การนำเอาพลังงานน้ำมาใช้ประโยชน์ทำได้โดยให้น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ พลังงานศักย์ของน้ำถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเปลี่ยนนี้คือ กังหันน้ำ (Turbines) น้ำที่มีความเร็วสูงจะผ่านเข้าท่อแล้วให้พลังงานจลน์แก้กังหันน้ำ ซึ่งหมุนขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ในปัจจุบันพลังงานที่ได้จากแหล่งน้ำที่รู้จักกันโดยทั่วไปคือ พลังงานน้ำตก พลังงานน้ำขึ้นน้ำลง พลังงานคลื่น
    1. พลังงานน้ำตก การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำนี้ทำได้โดยอาศัยพลังงานของน้ำตก ออกจากน้ำตามธรรมชาติ หรือน้ำตกที่เกิดจากการดัดแปลงสภาพธรรมชาติ เช่น น้ำตกที่เกิดจากการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ น้ำตกจากทะเลสาบบนเทือกเขาสู่หุบเขา กระแสน้ำในแม่น้ำไหลตกหน้าผา เป็นต้น การสร้างเขื่อนกั้นน้ำและให้น้ำตกไหลผ่านกังหันน้ำซึ่งติดอยู่บนเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากำลังงานน้ำที่ได้จะขึ้นอยู่กับความสูงของน้ำและอัตราการไหลของน้ำที่ปล่อยลงมา ดังนั้นการผลิตพลังงานจากพลังงานนี้จำเป็นต้องมีบริเวณที่เหมาะสมและการสร้างเขื่อนนั้นจะต้องลงทุนอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามจากการสำรวจคาดว่าทั่วโลกสามารถผลิตกำลังไฟฟ้าจากกำลังน้ำมากกว่าพลังงานทดแทนประเภทอื่น
    2. พลังงานน้ำขึ้นน้ำลง มีพื้นฐานมาจากพลังงานศักย์และพลังงานจลน์ของระบบที่ประกอบด้วยดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ จึงจัดเป็นแหล่งพลังงานประเภทใช้แล้วไม่หมดไป สำหรับในการเปลี่ยนพลังงานน้ำขึ้นน้ำลงให้เป็นพลังงานไฟฟ้า คือ เลือกแม่น้ำหรืออ่าวที่มีพื้นที่เก็บน้ำได้มากและพิสัยของน้ำขึ้นน้ำลงมีค่าสูงแล้วสร้างเขื่อนที่ปากแม่น้ำหรือปากอ่าว เพื่อให้เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำขึ้นมา เมื่อน้ำขึ้นจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำ และเมื่อน้ำลงน้ำจะไหลออกจากอ่างเก็บน้ำ การไหลเข้าออกจากอ่างของน้ำต้องควบคุมให้ไหลผ่านกังหันน้ำที่ต่อเชื่อมกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เมื่อกังหันน้ำหมุนก็จะได้ไฟฟ้าออกมาใช้งานหลักการผลิตไฟฟ้าจากน้ำขึ้นน้ำลงมีหลักการเช่นเดียวกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำตก แต่กำลังที่ได้จากพลังงานน้ำขึ้นน้ำลงจะไม่ค่อยสม่ำเสมอเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงขึ้นลงของน้ำ แต่อาจจัดให้มีพื้นที่กักน้ำเป็นสองบริเวณหรือบริเวณพื้นที่เดียว โดยการจัดระบบการไหลของน้ำระหว่างบริเวณบ่อสูงและบ่อต่ำ และกักบริเวณภายนอกในช่วงที่มีการขึ้นลงของน้ำอย่างเหมาะสม จะทำให้กำลังงานพลังงานน้ำขึ้นน้ำลงสม่ำเสมอดีขึ้น
    3. พลังงานคลื่น เป็นการเก็บเกี่ยวเอา พลังงานที่ลม ถ่ายทอดให้กับผิวน้ำในมหาสมุทรเกิดเป็นคลื่นวิ่งเข้าสู่ชายฝั่งและเกาะแก่งต่างๆเครื่องผลิต ไฟฟ้าพลังงานคลื่นจะถูกออกแบบให้ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำบริเวณหน้าอ่าวด้านหน้าที่หันเข้าหา คลื่น การใช้คลื่นเพื่อผลิตไฟฟ้านั้นถ้าจะให้ได้ผลจะต้องอยู่ในโซนที่มียอดคลื่นเฉลี่ยอยู่ที่ 8 เมตร ซึ่งบริเวณนั้นต้องมีแรงลมด้วย แต่จากการวัดความสูงของยอดคลื่นสูงสุดในประเทศไทยที่จังหวัดระนองพบว่า ยอดคลื่นสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 4 เมตรเท่านั้น ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วยเทคโนโลยี การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานคลื่นในปัจจุบันนั้นยังคงไม่สามารถใช้ในบ้านเราให้ผลจริงจังได้

    ประโยชน์ของพลังงานน้ำ
    พลังงานน้ำ มีประโยชน์หลายอย่างในการนำมาใช้ ประโยชน์หลักๆ มีดังนี้
    - พลังงานน้ำเป็นพลังงานหมุนเวียนที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ไม่หมดสิ้น คือเมื่อใช้พลังงานของน้ำส่วนหนึ่งไปแล้วน้ำส่วนนั้นก็จะไหลลงสู่ทะเลและน้ำในทะเลเมื่อได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ก็จะระเหยกลายเป็นไอน้ำ เมื่อไอน้ำรวมตัวเป็นเมฆจะตกลงมาเป็นฝนหมุนเวียนกลับมาทำให้เราสามารถใช้พลังงานน้ำได้ตลอดไปไม่หมดสิ้น

    - เครื่องกลพลังงานน้ำสามารถเริ่มดำเนินการผลิตพลังงานได้ในเวลาอันรวดเร็ว และควบคุมให้ผลิตกำลังงานออกมาได้ใกล้เคียงกับความต้องการ อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงมาก ชิ้นส่วนของเครื่องกลพลังงานน้ำส่วนใหญ่จะมีความคงทน และมีอายุการใช้งานนานกว่าเครื่องจักรกลอย่างอื่น
    - เมื่อนำพลังงานน้ำไปใช้แล้ว น้ำยังคงมีคุณภาพเหมือนเดิมทำให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก เช่น เพื่อการชลประทาน การรักษาระดับน้ำในแม่น้ำให้ไหลลึกพอแก่การเดินเรือ เป็นต้น
    - การสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บและทดน้ำให้สูงขึ้น สามารถช่วยกักน้ำเอาไว้ใช้ในช่วงที่ไม่มีฝนตก ทำให้ได้แหล่งน้ำขนาดใหญ่สามารถใช้เลี้ยงสัตว์น้ำหรือใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ และยังช่วยรักษาระบบนิเวศของแม่น้ำได้โดยการปล่อยน้ำจากเขื่อนเพื่อไล่น้ำโสโครกในแม่น้ำที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังสามารถใช้ไล่น้ำเค็มซึ่งขึ้นมาจากทะเลก็ได้
    แต่พลังงานน้ำมีข้อเสียบางประการ เช่น การพัฒนาแหล่งพลังงานน้ำต้องใช้เงินลงทุนสูง และยังทำให้เสียพื้นที่ของป่าไปบางส่วน นอกจากนี้พลังงานน้ำยังมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น เช่น หน้าแล้งหรือกรณีที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล และมักเกิดปัญหาในเรื่องการจัดหาบุคลากรไปปฏิบัติงาน รวมทั้งการซ่อมแซม บำรุงรักษาสิ่งก่อสร้าง และอุปกรณ์ต่าง ๆ จะไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะสถานที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากชุมชน


    [​IMG]

    โรงไฟฟ้าแบบมีน้ำไหลผ่านตลอดปี(Run-of-river Hydro Plant)

    โรง ไฟฟ้าแบบนี้ไม่มีอ่างเก็บน้ำ โรงไฟฟ้าจะผลิตไฟฟ้าโดยการใช้น้ำที่ไหลตามธรรมชาติของลำน้ำ หากน้ำมีปริมาณมากเกินไปกว่าที่โรงไฟฟ้าจะรับไว้ได้ก็ต้องทิ้งไป ส่วนใหญ่โรงไฟฟ้าแบบนี้จะอาศัยติดตั้งอยู่กับเขื่อนผันน้ำชลประทานซึ่งมีน้ำ ไหลผ่านตลอดปีจากการกำหนดกำลังผลิตติดตั้งมักจะคิดจากอัตราการไหลของน้ำ ประจำปีช่าวต่ำสุดเพื่อที่จะสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้อย่างสม่ำเสมอ ตลอดทั้งปี ตัวอย่างของโรงไฟฟ้าชนิดนี้ได้แก่ โรงไฟฟ้าที่ กฟผ.
    กำลังศึกษาเพื่อก่อสร้างที่เขื่อนผันน้ำเจ้าพระยาจังหวัดชัยนาท และเขื่อนผันน้ำวชิราลงกรณ จังหวัดกาญจนบุรี

    โรงไฟฟ้าแบบมีอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก (Regulating Pond Hydro Plant)
    โรงไฟฟ้าแบบมีอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กที่สามารถบังคับการไหลของน้ำได้ในช่วงสั้นๆ เช่น ประจำวัน หรือประจำสัปดาห์ การผลิตไฟฟ้าจะสามารถควบคุมให้สอดคล้องกับความต้องการได้ดีกว่าโรงไฟฟ้าแบบ(Runofriver)แต่อยู่ในช่วงเวลาที่จำกัดตามขนาดของอ่างเก็บน้ำตัวอย่างของโรงไฟฟ้าประเภทนี้ได้แก่โรงไฟฟ้าเขื่อนท่าทุ่งนาจังหวัดกาญจนบุรีและโรงไฟฟ้าขนาด
    เล็กบ้านสันติจังหวัดยะลา
    โรงไฟฟ้าแบบมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Reservoir Hydro Plant)
    โรงไฟฟ้าแบบนี้มีเขื่อนกั้นน้ำขนาดใหญ่และสูงกั้นขวางลำน้ำไว้ ทำให้เกิดเป็นทะเลสาบใหญ่ ซึ่งสามารถเก็บกักน้ำในฤดูฝนและนำไปใช้ในฤดูแล้งได้ โรงไฟฟ้าแบบนี้นับว่ามีประโยชน์มาก เพราะสามารถควบคุมการใช้น้ำในการผลิตกระแสไฟฟ้า เสริมในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงตลอดปี โรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ส่วนมากในประเทศ
    ไทยจัดอยู่ในโรงไฟฟ้าประเภทนี้​

    โรงไฟฟ้าแบบสูบน้ำกลับ ( Pumped Storage Hydro Plant)
    โรงไฟฟ้าแบบนี้มีเครื่องสูบน้ำที่สามารถสูบน้ำที่ปล่อยจากอ่างเก็บน้ำลงมาแล้ว นำกลับขึ้นไป เก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้อีก ประโยชน์ของโรงไฟฟ้าชนิดนี้เกิดจากการแปลงพลังงานที่เหลือใช้ในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ เช่น เวลา เที่ยงคืนนำไปสะสมไว้ในรูปของการเก็บน้ำในอ่างน้ำเพื่อที่จะสามารถใช้ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้อีกครั้งหนึ่งในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง เช่น เวลาหัวค่ำ ตัวอย่างของโรงไฟฟ้าแบบนี้ ได้แก่ โรงไฟฟ้าเขื่อนศรีนครินทร์ได้หน่วยที่ 4 ซึ่งสามารถ สูบน้ำกลับขึ้น ไปเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ได้

    [​IMG]

    กระบวนทรรศน์ใหม่ในการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า
    การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำมีข้อดีที่เป็นพลังงานที่สะอาด ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศและก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อน แต่มีข้อเสียตรงที่มีผลกระทบทางด้านสังคมที่ค่อนข้างรุนแรง ในกรณีที่ใช้เขื่อนขนาดใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มเหนือเขื่อนเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งอาจเป็นพื้นที่ป่าหรือที่ทำกินของราษฎร ในกรณีของพื้นที่ป่าจะมีผลกระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัยและการอพยพของสัตว์ป่า แต่หากเป็นที่อยู่อาศัยหรือทำกินของมนุษย์ก็จะยิ่งส่งผลที่รุนแรงกว่ามาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการสร้างเขื่อนสามผา(Three Gorges Dam) ในประเทศจีนก่อนถึงปากแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดโลกในปัจจุบัน และคาดว่าจะสำเร็จในอีก 2 ปีหน้านี้ มีราษฎรที่ได้รับผลกระทบถึงหนึ่งล้านครอบครัว มีเมืองต่างๆที่ถูกน้ำท่วมตลอดลุ่มน้ำแยงซีถึง 30 กว่าเมือง รวมถึงแหล่งอารยธรรมโบราณที่ต้องเสียหายจากน้ำท่วมถึง 300 กว่าแห่ง แต่รัฐบาลจีนก็ยังมุ่งมั่นที่จะสร้างขึ้นมาให้ได้ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมสูงลิ่วเพียงใดก็ตาม เพราะประเทศจีนกำลังอยู่ในช่วงที่กำลังหิวพลังงานอย่างที่สุด คาดว่าเมื่อสร้างเสร็จแล้ว เขื่อนดังกล่าวจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 30,000 เมกะวัตต์ หรือเทียบได้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดย่อมถึง 30 โรงทีเดียว สามารถสนองความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถึง 10% ของความต้องการทั้งหมดของประเทศขณะนี้ นักสิ่งแวดล้อมทั่วโลกกำลังจับตาเฝ้าดูว่าท้ายที่สุดแล้วประเทศจีนจะได้รับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในระยะยาวคุ้มค่ากับความเสี่ยงในโครงการวิศวกรรมมหึมานี้หรือไม่ ที่ยิ่งใหญ่พอๆกับการสร้างกำแพงเมืองจีนในยุคโบราณ โดยยินดีแลกกับความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เกิดขึ้นไปแล้ว
    [​IMG]
    สำหรับประเทศไทยการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เช่นที่เกิดขึ้นในประเทศจีนคงเป็นไปได้ยากมาก เพราะปัจจุบันพื้นที่ป่าของประเทศไทยเหลือเพียงแค่ 10% คงไม่อาจปล่อยให้มีน้ำท่วมได้อีก อีกทั้งพื้นที่ที่เหลืออยู่นี้ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในเขตอนุรักษ์ที่เป็นเขตต้นน้ำที่สำคัญ ส่วนพื้นที่ที่เหลืออื่นๆก็ล้วนแล้วมีการนำมาใช้ประโยชน์เป็นที่ทำกินของราษฎรไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น หากมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เกิดขึ้น รัฐบาลและการไฟฟ้าก็คงต้องเหนื่อย เพราะต้องเผชิญกับการต่อต้านจากราษฎรที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงแน่นอน และคงไม่อาจจบลงได้ง่ายๆเหมือนแต่ก่อน เพราะประชาชนมีความตื่นตัวในการป้องกันสิทธิของตนเองมากกว่าในอดีตอีกทั้งรัฐคงไม่สามารถหาที่ทำกินใหม่เพื่อทดแทนให้กับราษฎรได้ ดังที่เคยทำมาก่อน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือกรณีเขื่อนปากมูล ซึ่งเป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าที่ถือว่ามีขนาดค่อนข้างเล็ก มีครอบครัวที่ได้ผลกระทบเพียงห้าพันกว่าครอบครัว แต่ตัวเลขเพียงเท่านี้ ความขัดแย้งระหว่างราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนกับภาครัฐ ก็ยังไม่สามารถคลี่คลายข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นให้เป็นที่พอใจของทุกครอบครัวจนถึงปัจจุบัน

    ปัจจุบัน กลุ่มประเทศในยุโรปตะวันตกและประเทศญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นกลุ่มประเทศที่มีการใช้พลังน้ำผลิตไฟฟ้ามากที่สุดในโลกก็ว่าได้ คือบางประเทศมีการใช้พลังงานน้ำถึง 97% ของศักยภาพพลังงานน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นประเทศเหล่านี้ นอกจากจะเป็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตยแล้ว ยังมีกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมาก การสร้างเขื่อนในแต่ละที่จะต้องทำให้ได้ตามเงื่อนไขและข้อกำหนดต่างๆจำนวนมาก เช่นในประเทศออสเตรียเพียงประเทศเดียวมีข้อกำหนดถึง 400 กว่าข้อต่อการสร้างเขื่อนที่ต้องผ่านการประเมิน มิฉะนั้นแล้วก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างได้ คำถามคือประเทศเหล่านี้เขาทำได้อย่างไร

    [​IMG]

    การที่ประเทศเหล่านี้สามารถสร้างเขื่อนเพื่อใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง เป็นเพราะแนวคิดการสร้างและใช้ประโยชน์จากเขื่อนที่แตกต่างจากของประเทศไทย(และของสหรัฐฯที่ประเทศไทยเอาแบบอย่างมา) นับตั้งแต่ความสำเร็จในการสร้างเขื่อนยักษ์ฮูเวอร์ในสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อต้นศตรรษที่ 20 เป็นต้นมา เขื่อนนี้ได้กลายเป็นแบบอย่างในการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าในประเทศต่างๆทั่วโลกในเวลาต่อมา ประเทศต่างๆมีแนวโน้มความนิยมที่จะสร้างเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเป็นลำดับ จนถึงเขื่อนสามผาดังกล่าวข้างต้น ปกติเขื่อนเหล่านี้จะมีลักษณะเหมือนกันคือ จะสร้างขึ้นระหว่างหุบเขาตรงที่ลำน้ำไหลผ่าน เขื่อนเหล่านี้มีขนาดใหญ่โตมาก สันเขื่อนอาจสูงถึงสามร้อยกว่าเมตร ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกำแพงยักษ์กั้นลำน้ำเอาไว้ ทำให้น้ำค่อยๆเอ่อท่วมบริเวณหน้าเขื่อน ซึ่งกว่าที่น้ำจะเต็มเขื่อนอาจใช้เวลานานกว่า 3-4 ปีขึ้นไป และเมื่อน้ำเต็มเขื่อนบริเวณหน้าเขื่อนก็จะกลายเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ ทำให้น้ำในเขื่อนท่วมพื้นที่ริมน้ำข้างเคียงเป็นบริเวณกว้าง ในขณะที่ผลิตกระแสไฟฟ้าได้เป็นปริมาณมากมายมหาศาล แต่เนื่องจากเขื่อนมีขนาดใหญ่ระดับน้ำเหนือเขื่อนที่ขึ้นสูง ย่อมส่งผลให้มีการท่วมพื้นที่บ้านเรือนราษฎรหรือที่ทำกินที่อยู่บริเวณข้างเคียง ทำให้ต้องมีการอพยพราษฎร รวมทั้งต้องหาที่ทำกินใหม่ให้กับราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ที่ทำกินใหม่นี้ก็ไม่มีใครสามารถประกันได้ว่าจะมีความอุดมสมบูรณ์เท่าเดิมเหมือนกับที่เดิม จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมขึ้นระหว่างผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ การเจรจาเพื่อชดเชยค่าเสียหายก็ใช่ว่าทำได้ง่ายๆ เพราะความไม่ไว้ใจต่อรัฐหรือหน่วยราชการว่าจะทำให้ได้ดีจริง นอกจากนี้ เนื่องจากเขื่อนขนาดใหญ่เหล่านี้มักจะไม่มีประตูน้ำปิดเปิด(ยกเว้นทางระบายน้ำป้องกันน้ำท่วมสันเขื่อน) แต่เป็นกำแพงคอนกรีตที่ขวางลำน้ำไว้เฉยๆ การสัญจรทางน้ำที่เคยใช้กันมาแต่เดิมก็มีปัญหา ถ้าไม่มีการสร้างช่องทางเดินเรือพิเศษไว้แต่ต้น นี่ยังไม่นับปัญหาของการกีดขวางการอพยพขึ้นลงเพื่อวางไข่ตามลำน้ำของปลา และปัญหาทางนิเวศวิทยาทางน้ำอื่นๆ

    จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ประเทศทางยุโรปและประเทศญี่ปุ่น จึงนิยมเลี่ยงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเป็นเขื่อนปิดลำน้ำเพื่อก่อให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ดังกล่าวข้างต้น โดยหันไปสร้างเขื่อนขนาดกลางหรือขนาดเล็กที่เรียกว่า “เขื่อนแบบไหลผ่าน (Run of River)” เขื่อนประเภทนี้จะมีลักษณะเฉพาะคือ ไม่มีการสร้างกำแพงเขื่อนขนาดใหญ่ เพื่อกักน้ำให้ได้ครั้งละมากๆ แต่จะเป็นเขื่อนที่มีสันกำแพงเตี้ยๆที่มีความสูงเพียงไม่กี่สิบเมตร ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้หรือกักเก็บน้ำได้แต่เพียงเล็กน้อย และมักมีประตูเปิดปิดให้น้ำไหลผ่านตัวเขื่อนได้ การปิดประตูเขื่อนก็เพียงเพื่อยกระดับน้ำให้สูงขึ้นจากระดับเดิมเพียงเล็กน้อยเพื่อประโยชน์ในการทดน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมมากกว่าเพื่อประโยชน์ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ด้วยลักษณะดังกล่าวพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมจึงมีน้อย การออกแบบและสร้างเขื่อนจะพยายามให้มีผลกระทบต่อลักษณะการไหลของลำน้ำเดิมให้น้อยที่สุด การผลิตไฟฟ้าจะกระทำเฉพาะช่วงฤดูกาลที่มีน้ำหลากและถือเป็นวัตถุประสงค์รองมากกว่าเป็นวัตถุประสงค์หลัก ดังนั้นลักษณะเขื่อนแบบไหลผ่านนี้จึงเป็นเขื่อนแบบอเนกประสงค์อย่างแท้จริง ขณะที่เขื่อนแบบแรก (ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่นิยมสร้างกันในประเทศไทย) มักจะให้ความสำคัญต่อการผลิตพลังงานเป็นประโยชน์เบื้องต้นมากกว่าอย่างอื่นๆ


    เนื่องจากเขื่อนแบบไหลผ่านนี้ไม่มีอ่างเก็บน้ำ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสการใช้พลังงานของกระแสน้ำ จึงนิยมสร้างเขื่อนแบบนี้จำนวนหลายๆเขื่อนตลอดลำน้ำทุกๆช่วงที่มีความเหมาะสม จึงช่วยให้มีการกระจายโอกาสการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรน้ำอย่างทั่วถึง ช่วยลดความขัดแย้งของกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์กับเสียประโยชน์ให้มีจำนวนน้อยลงได้ทางอ้อม เมื่อเทียบกับเขื่อนแบบแรก


    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขื่อนแบบไหลผ่านจะมีข้อได้เปรียบในเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมดังกล่าวข้างต้น แต่ในแง่ของขีดความสามารถในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำเพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าจะด้อยกว่าเขื่อนแบบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ทั้งการผลิตไฟฟ้าก็ไม่สามารถทำได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยมักสูงกว่าเขื่อนแบบแรก เป็นเหตุให้นักวางแผนพลังงานจำนวนหนึ่งไม่ยอมรับเขื่อนแบบไหลผ่าน เพราะมองว่าทำให้เสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากพลังงานน้ำ และต้นทุนต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตก็สูงกว่าอีกทั้งผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมก็ประเมินเป็นมูลค่าได้ลำบากนอกจากผลกระทบที่เห็นได้โดยตรง (Tangible Costs) จึงทำให้เป็นข้อถกเถียงกันอยู่เสมอระหว่างผู้ที่สนับสนุนการสร้างเขื่อนและต่อต้านการสร้างเขื่อนในสังคมไทย

    กระบวนทรรศน์ในการสร้างเขื่อนแบบไหลผ่านมีมุมมองในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเขื่อนแตกต่างไปจากการสร้างเขื่อนแบบปิดลำน้ำแทบจะตรงกันข้าม กล่าวคือการสร้างเขื่อนแบบไหลผ่านถือว่าการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำเป็นเพียงผลพลอยได้อย่างหนึ่งเท่านั้น แต่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเขื่อนในด้านอื่นๆมีความสำคัญเท่าเทียมกับการผลิตไฟฟ้า เช่น ประโยชน์จากการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการขนส่งทางน้ำ เป็นต้น เนื่องจากเขื่อนชนิดนี้ให้ความสำคัญต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมาก ดังนั้น เขื่อนประเภทนี้ จึงมักจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก เขื่อนขนาดใหญ่ที่สุดก็มีกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ไม่เกิน 300-400 เมกะวัตต์เท่านั้น แต่การสร้างเขื่อนประเภทนี้ จะประกอบด้วยเขื่อนขนาดเล็กหลายๆเขื่อนลดหลั่นกันลงมาตลอดความชันของลำน้ำ
    ปัจจุบันประเทศไทยยังมีศักยภาพพลังงานน้ำที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเพื่อการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 10,622 เมกะวัตต์ เทียบได้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาด 1,000 เมกะวัตต์ถึง 10 โรง แต่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใช้งาน มีหลายสาเหตุ เช่น หลายๆแห่งยังไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ แต่ปัญหาอุปสรรคที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ที่ไม่เป็นที่ยอมรับจากสาธารณชน โดยเฉพาะจากกลุ่มประชาชนที่ได้ผลกระทบจากการสูญเสียที่ทำกินอันเนื่องจากถูกน้ำท่วมหากมีการสร้างเขื่อน

    ฉะนั้น ทางออกประการหนึ่งที่เป็นไปได้สำหรับประเทศไทยในการพัฒนาพลังงานน้ำคือ การปรับเปลี่ยนกระบวนทรรศน์เสียใหม่คือ แทนที่จะมุ่งสร้างเขื่อนที่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ให้ไปสร้างเป็นเขื่อนแบบไหลผ่านที่ไม่มีอ่างเก็บน้ำแทน เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมให้เหลือน้อยที่สุด รวมถึงพิจารณาให้การผลิตไฟฟ้าเป็นเพียงผลพลอยได้ควบคู่กับผลประโยชน์ในด้านอื่นๆแทนที่จะเล็งประโยชน์จากการผลิตไฟฟ้าเป็นด้านหลัก ดังเช่นที่ประเทศทางยุโรปตะวันตกและประเทศญี่ปุ่นได้ดำเนินการมายาวนานร่วมเกือบร้อยปีมาแล้ว
    10 ปีแห่งการก่อสร้างเขื่อนเสี่ยววานและโรงงานไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับชาติของมณฑลยูนนาน

    “เขื่อนเสี่ยววาน(小湾) เป็นเขื่อนที่มีขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดของมณฑลยูนนาน ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำล้านช้างหรือแม่น้ำโขงตอนกลาง(澜沧江中游河段)รัฐบาลจีนและรัฐบาลยูนนานทำการก่อสร้างเขื่อนและโรงงานไฟฟ้าพลังงานน้ำแห่งนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนเป็นหลัก โดยได้ใช้งบประมาณก่อสร้างจำนวนมหาศาล และจะใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 10 ปี

    [​IMG]
    ภาพจำลองของเขื่อนเสี่ยววาน
    ข้อมูลเบื้องต้นของ “โรงงานไฟฟ้าเขื่อนเสี่ยววาน”

    “โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนเสี่ยววาน(小湾电站)เป็น 1 ในโครงการก่อสร้างที่สำคัญของมณฑลยูนนานตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีนฉบับที่ 10 (ปี 2544 – 2548) และเป็นโครงการนำส่งกระแสไฟฟ้าหลักจากภาคตะวันตกสู่ภาคตะวันออกของประเทศจีน อีกทั้งเป็นโครงการก่อสร้างสำคัญของมณฑลยูนนาน ที่แสดงถึงกลยุทธ์การบุกเบิกพัฒนาอย่างมีศักยภาพในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศจีน
    [​IMG]

    (บริเวณด้านหน้าของเขื่อนเสี่ยววาน)
    “โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนเสี่ยววาน(小湾电站)ตั้งอยู่ห่างจากจุดรวมตัวกันของแม่น้ำล้านช้างตอนกลาง(澜沧江中游河段)ซึ่งเป็นชื่อเรียกของแม่น้ำโขงในอาณาเขตของประเทศจีน และสาขาย่อยของแม่น้ำเฮยฮุ่ยเจียง(黑惠江)ลงมาทางใต้ตามแม่น้ำประมาณ 1.5 ก.ม. ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ระหว่างอ.หนานเจี้ยน(南涧县)ของเขตปกครองตนเองชนชาติไป๋ต้าหลี่(大理白族自治州)และอ.เฟิ่งชิ่ง(凤庆县)ของเขตปกครองหลินชัง(临沧)โดยที่ตั้งของโรงงานอยู่ห่างจากนครคุนหมิง 455 ก.ม. และอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเสียงหยุน(祥云转运站)ของเส้นทางรถไฟอ.กว่างทง (เมืองฉู่สง) – เมืองต้าหลี่(广大铁路)ประมาณ 144 ก.ม.

    แผนการก่อสร้างและส่วนประกอบของ “โรงงานไฟฟ้าเขื่อนเสี่ยววาน”

    “โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนเสี่ยววาน(小湾电站) เริ่มดำเนินการก่อสร้างอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2545 และจะก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2555 (ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี) คาดว่าจะใช้งบประมาณการก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 27,732 ล้านหยวน โดยคณะกรรมการวางแผนพัฒนาแห่งชาติจีน และรัฐบาลมณฑลยูนนานได้กำหนดให้ทำการก่อสร้างเขื่อนกันแม่น้ำให้เสร็จสิ้นภายในปี 2548 และจะต้องดำเนินการติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าเครื่องแรกให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2553
    ตามแผนกำหนดการ มณฑลยูนนานจะทำการก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำล้านช้างตอนกลาง – ตอนล่างรวมทั้งหมด 8 ระดับชั้น โดย“เขื่อนเสี่ยววาน” ถือเป็นเขื่อนระดับขั้นที่ 2 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด และมีความสำคัญมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับเขื่อนอื่น ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหลัก นอกจากนี้ การก่อสร้าง “เขื่อนเสี่ยววาน” ยังสามารถช่วยป้องกันอุทกภัย ดินถล่ม รวมทั้งสามารถทำหน้าที่เป็นประตูระบายน้ำ และใช้ประโยชน์ในการขนส่งทางเรือ การประมง และการท่องเที่ยวจากบริเวณอ่างเก็บน้ำได้อีกด้วย
    โครงสร้างหลักของ “โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนเสี่ยววาน(小湾电站)ประกอบด้วย
    1. กำแพงเขื่อนคอนกรีตผสมฝั่งซ้าย – ขวา กำแพงคอนกรีตส่วนกลางเขื่อนรูปโค้งสูง 292 ม. (กำแพงเขื่อนที่สูงที่สุดในโลก) ยอดกำแพงเขื่อนจากซ้ายไปขวามีความยาวเท่ากับ 922.74 ม. และช่องระบายน้ำหลักบริเวณกลางกำแพงเขื่อน 6 ช่อง
    2. ห้องผลิตกระแสไฟฟ้าใต้ดิน (กว้าง 29.5 ม. × ยาว 326 ม. ×สูง 65.6 ม.) บริเวณฝั่งขวาของเขื่อน ซึ่งมีความสูงเท่ากับตึก 30 ชั้น
    3. ช่องทางระบายน้ำ 2 เส้นทางบริเวณฝั่งซ้ายของเขื่อน
    4. อ่างเก็บน้ำบริเวณด้านหลังของกำแพงเขื่อน และเขื่อนกั้นน้ำย่อยอีก 2 ระดับ

    [​IMG]
    สำหรับภายในของตัวโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้านั้น จะทำการติดตั้งเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้ากำลัง 700 เม็กกะวัตต์รวมทั้งหมด 6 เครื่อง (กำลังความจุรวมของเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าเท่ากับ 4,200 เม็กกะวัตต์) โดยหลังจากที่ทำการก่อสร้าง “โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนเสี่ยววาน(小湾电站)เสร็จสิ้นแล้ว จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากถึงปีละ 19,000 ล้านกิโลวัตต์ต่อช.ม. อีกทั้งจะสามารถกักเก็บน้ำบริเวณเขื่อนได้มากถึง 15,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (มีขนาดเท่ากับ 10 เท่าของทะเลสาบเตียนฉือของนครคุนหมิง)
    [​IMG]
    (การก่อสร้างห้องผลิตกระแสไฟฟ้าใต้ดิน)
    [​IMG]

    (เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าหลักกำลัง 700 เม็กกะวัตต์) ​
    คุณประโยชน์ของ “โรงงานไฟฟ้าเขื่อนเสี่ยววาน”
    แม้ว่าการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าจะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยา และประชาชนที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง แต่รัฐบาลมณฑลยูนนานได้คาดการณ์ และเล็งเห็นถึงผลประโยชน์มหาศาลหลังจากที่ “โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนเสี่ยววาน(小湾电站)ได้ก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้
    1. การประหยัดทรัพยากร หลังงจากที่โรงงานไฟฟ้าเขื่อนเสี่ยววานก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว จะสามารถทดแทนการผลิตกะแสไฟฟ้าด้วยทรัพยากรถ่านหินได้ประมาณ 25,240 ล้านกิโลวัตต์ต่อช.ม. คาดว่าจะสามารถประหยัดปริมาณถ่านหินได้มากถึงปีละ 8.6 ล้านตัน อีกทั้งสามารถช่วยลดการปล่อยกากของเสีย น้ำเสีย และมลพิษในอากาศเป็นจำนวนมากได้ด้วย
    2. การป้องกันดินโคลน บริเวณตอนบนของเขื่อนเสี่ยววานจะสามารถกักเก็บ และรองรับดินโคลนที่ยังไม่แข็งตัวได้มากถึงปีละ 48 ล้านตัน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาดินโคลนไหลถล่มไปยังบริเวณโรงงานไฟฟ้าเขื่อนม่านวาน(漫湾电站)และโรงงานไฟฟ้าเขื่อนต้าเฉาซาน(大朝山电站)ของมณฑลยูนนาน
    3. การป้องกันอุทกภัย หลังจากที่เขื่อนเสี่ยววานก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว สามารถลดระดับน้ำขึ้น - ลงในแม่น้ำได้ร้อยละ 12 อีกทั้งสามารถกักเก็บน้ำที่ป้องกันอุทกภัยได้จำนวน 1,318 ล้านลบ.ม.
    4. การขนส่งทางน้ำ ปัจจุบันน่านน้ำบริเวณใกล้เคียงโรงงานไฟฟ้าเขื่อนเสี่ยววาน ยังไม่มีการเดินเรือแต่อย่างใด แต่หลังจากที่เขื่อนก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว บริเวณอ่างเก็บน้ำจะกลายเป็นเส้นทางการเดินเรือขนส่งที่มีระยะทางรวม 178 ก.ม. และบริเวณสาขาย่อยของแม่น้ำเฮยฮุ่ยเจียง(黑惠江)ก็จะกลายเป็นเส้นทางเดินเรือที่มีความยาว 123 ก.ม.
    5. ส่งเสริมศักยภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงงานไฟฟ้าอื่น ๆ หลังจากที่โรงงานไฟฟ้าเขื่อนเสี่ยววานดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างเป็นทางการแล้ว จะช่วยสนับสนุนให้โรงงานไฟฟ้าเขื่อนม่านวาน(漫湾电站)โรงงานไฟฟ้าเขื่อนต้าเฉาซาน(大朝山电站)และโรงงานไฟฟ้าจิ่งหงที่อยู่ถัดลงมาจากเขื่อนเสี่ยววาน สามารถเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 1.1 ล้านกิโลวัตต์ ซึ่งทำให้ปริมาณการผลิตกระแสไฟฟ้าต่อปีเพิ่มขึ้น 2,575 ล้านกิโลวัตต์ต่อ ช.ม.

    เนื่องจากโรงงานไฟฟ้าเขื่อนเสี่ยววานมีเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ที่มีกำลังความสามารถการผลิตกระแสไฟฟ้าใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน ดังนั้น จึงสามารถรองรับปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าของมณฑลยูนนานที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2553 – 2558 อีกทั้งเป็นตัวกลางสำคัญที่จะช่วยส่งเสริม และกระตุ้นการเติบโตของภาคเศรษฐกิจในมณฑลยูนนานตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไปด้วย



    <CENTER>พลังงานจากทะเล </CENTER>

    <DD>”พลัง<WBR>น้ำ” กระแส<WBR>น้ำ<WBR>ไหล<WBR>ได้<WBR>ให้<WBR>พลัง<WBR>งาน<WBR>ที่<WBR>จำ<WBR>เป็น<WBR>แก่<WBR>มนุษย์<WBR>มา<WBR>นาน<WBR>แสน<WBR>นาน<WBR>แล้ว แต่มนุษย์<WBR>ก็<WBR>รู้<WBR>จัก<WBR>เพียง<WBR>การ<WBR>นำ<WBR>เอา<WBR>พลัง<WBR>งาน<WBR>นี้<WBR>มา<WBR>ใช้<WBR>ประ<WBR>โยชน์<WBR>หลาย ๆ อย่าง<WBR>ใน<WBR>ลักษณะ<WBR>ง่าย ๆ เท่า<WBR>นั้น
    <DD>กระทั่ง<WBR>ถึง<WBR>ช่วง<WBR>ปลาย<WBR>คริสต์<WBR>ศต<WBR>วรรษ<WBR>ที่ 19 ต่อกับต้น<WBR>คริสต์สตวรรษ<WBR>ที่ 20 มนุษย์<WBR>จึง<WBR>ได้ พัฒนา<WBR>โรง<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>พลัง<WBR>น้ำ<WBR>ขึ้น<WBR>มา<WBR>ใช้ โรง<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>ดัง<WBR>กล่าว<WBR>สามารถ<WBR>เปลี่ยน<WBR>พลัง<WBR>งาน<WBR>ของ<WBR>น้ำ<WBR>ตก<WBR>ให้<WBR>เป็น กระแส<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>ได้<WBR>โดย<WBR>อาศัยเครื่องยนต์<WBR>กังหัน<WBR>น้ำ<WBR>และเครื่องกำเนิด<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า น้ำ<WBR>ธรรม<WBR>ดา<WBR>นั้น<WBR>ไม่<WBR>อาจ<WBR>จะ<WBR>ผลิต<WBR>พลังงาน<WBR>ได้<WBR> นอก<WBR>เสีย<WBR>จาก<WBR>ว่า<WBR>มัน<WBR>มี<WBR>การ<WBR>ไหล<WBR>จาก<WBR>ที่<WBR>สูง<WBR>ลง<WBR>สู่<WBR>ที่<WBR>ต่ำ นี่<WBR>ก็<WBR>คือ<WBR>เหตุ<WBR>ผล<WBR>ที่<WBR>ว่า ทำไม โรง<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>พลัง<WBR>น้ำ<WBR>ส่วน<WBR>มาก<WBR>จึง<WBR>ตั้ง<WBR>อยู่ใกล้น้ำ<WBR>ตก<WBR>และ<WBR>เขื่อน<WBR>ทั้ง<WBR>ที่<WBR>เกิด<WBR>ขึ้น<WBR>ตาม<WBR>ธรรม<WBR>ชาติ<WBR>และ<WBR><WBR>ที่<WBR>มนุษย์<WBR>สร้างขึ้น<WBR>มา<WBR>ใน<WBR>ปัจจุบัน น้ำ<WBR>ตก<WBR>สำคัญ ๆ ของ<WBR>โลก<WBR>หลาย<WBR>แห่งก็<WBR>ได้<WBR>ใช้<WBR>ประ<WBR>โยชน์<WBR>ใน<WBR>การ<WBR>ผลิต<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>พลัง<WBR>น้ำ<WBR>กันทั้ง<WBR>นั้น
    <DD>แหล่ง<WBR>กำเนิด<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>พลัง<WBR>น้ำ<WBR>อีก<WBR>แหล่ง<WBR>หนึ่ง<WBR>ของ<WBR>โลก<WBR>เรา<WBR>ที่<WBR>ควร<WBR>ทราบก็<WBR>คือ<WBR>มหาสมุทร<WBR>อัน<WBR>กว้าง<WBR>ใหญ่<WBR>ไพศาล ใน<WBR>รอบ 24 ชั่ว<WBR>โมง<WBR>ของแต่<WBR>ละ<WBR>วัน ระดับ<WBR>น้ำ<WBR>ของ<WBR>มหาสมุทร<WBR>จะ<WBR>ขึ้น<WBR>และ<WBR>ลง<WBR>เป็น<WBR>ประจำ<WBR> ซึ่ง<WBR>เป็น<WBR>ปรากฏการณ์<WBR>ธรรม<WBR>ชาติ<WBR>ที่<WBR>เรียก<WBR>ว่า น้ำ<WBR>ขึ้น<WBR>และ<WBR>น้ำ<WBR>ลง<WBR> ประเทศทั่ว<WBR>โลก<WBR>ได้<WBR>ทำ<WBR>โครง<WBR>การ<WBR>ที่<WBR>จะ<WBR>ใช้<WBR>ประ<WBR>โยชน์<WBR>จาก<WBR>สภาวะ<WBR>น้ำ<WBR>ขึ้น<WBR>เต็ม<WBR>ที่<WBR>นี้<WBR>เพื่อ<WBR>นำ<WBR>มา<WBR>ผลิต<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>พลั<WBR><WBR>งน้ำ </DD><DD>[​IMG]</DD><DD>ภาพ<WBR>ร่าง <WBR>สถานี<WBR>พลัง<WBR>น้ำ<WBR>ขึ้น<WBR><WBR>-น้ำ<WBR>ลง กระแส<WBR>น้ำ<WBR>จะ<WBR>ไหล<WBR>เข้า<WBR>สู่<WBR>อ่าง<WBR>เก็บ<WBR>น้ำ<WBR>ใน<WBR>ช่วง<WBR>เวลา<WBR>น้ำ<WBR>ขึ้น เมื่อ<WBR>น้ำ<WBR>ลง กระแส<WBR>น้ำก็จะ<WBR>ไหล<WBR>ย้อน<WBR>กลับ<WBR>มา<WBR>จาก<WBR>อ่าง<WBR>เก็บ<WBR>ที่<WBR>มี<WBR>ระดับ<WBR>สูง<WBR>กว่า<WBR>พลัง<WBR>จาก<WBR>กระแส<WBR>น้ำ<WBR>นี้<WBR>จะ<WBR>ไป<WBR>หมุน<WBR>เครื่อ<WBR>งยนต์<WBR>กังหัน และเครื่องยนต์<WBR>กังหันก็จะ<WBR>ไป<WBR>ปั่นเครื่องกำเนิด<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>เพื่อ<WBR>ผลิต<WBR>กระแส<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>อีก<WBR>ทอด<WBR>หนึ่ง
    <DD>ใน<WBR>ปี ค.ศ<WBR>. 1967 ประเทศ<WBR>ฝรั่งเศส<WBR>ได้<WBR>ประสบ<WBR>ความ<WBR>สำเร็จ<WBR>ใน<WBR>การ<WBR>สร้างเครื่องกำเนิด<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า อาศัย<WBR>พลัง<WBR>กระแส<WBR>น้ำ<WBR>ขึ้น<WBR><WBR>-น้ำ<WBR>ลง<WBR>โดย<WBR>มี<WBR>อ่าง<WBR>เก็บ<WBR>น้ำ เครื่องกังหัน และเครื่องกำเนิด<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>ติด<WBR>ตั้ง<WBR>อยู่กั<WBR>บ เขื่อน<WBR>ขนาด<WBR>ยักษ์ เมื่อ<WBR>น้ำ<WBR>ขึ้น น้ำ<WBR>จาก<WBR>มหาสมุทร<WBR>ก็<WBR>จะ<WBR>ไหล<WBR>เข้า<WBR>ไป<WBR>ใน<WBR>อ่าง<WBR>เก็บ<WBR>น้ำ<WBR>จน<WBR>เต็ม เมื่อ<WBR>กระแส<WBR>น้ำขึ้น<WBR>ถึง<WBR>ขีด<WBR>สูง<WBR>สุด<WBR>ประตู<WBR>ระบาย<WBR>น้ำ<WBR>จะ<WBR>ถูก<WBR>ปิด<WBR> เพื่อ<WBR>เก็บกักน้ำ<WBR>เอา<WBR>ไว้ และจะ<WBR>ไม่<WBR>มี<WBR>การ<WBR>ระบาย<WBR>น้ำ<WBR>ออก<WBR>จากอ่าง<WBR>เก็บ<WBR>น้ำ<WBR>จน<WBR>กว่า<WBR>จะ<WBR>หมด<WBR>สภาวะ<WBR>น้ำ<WBR>ขึ้น<WBR>เสีย<WBR>ก่อน เมื่อ<WBR>ระดับ<WBR>น้ำ<WBR>ใน<WBR>มหาสมุทร<WBR>ลด<WBR>ลง ประตู<WBR>ระบาย<WBR>น้ำ ของ<WBR>อ่าง<WBR>เก็บ<WBR>น้ำ<WBR>จะ<WBR>ถูก<WBR>เปิด น้ำ<WBR>จะ<WBR>ไหล<WBR>จาก<WBR>พื้น<WBR>ที่<WBR>สูง<WBR>ลง<WBR>ไป<WBR>สู่<WBR>ที่<WBR>ต่ำ ทำ<WBR>ให้<WBR>เกิด<WBR>พลัง<WBR>น้ำ<WBR>เหมือนกับพลัง<WBR>น้ำ<WBR>จากน้ำ<WBR>ตก<WBR>ต่าง<WBR>ระดับ<WBR>หลาย<WBR>ชั้น<WBR>กระแส<WBR>น้ำ<WBR>ที่<WBR>ไหล<WBR>พรั่ง<WBR>พรู<WBR>ออก<WBR>ไป<WBR>จะ<WBR>ไป<WBR>หมุนเครื่องกังหัน เครื่องกัง<WBR><WBR>หัน<WBR>ก็<WBR>จะ<WBR>ไปเดินเครื่องกำเนิด<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>ซึ่ง<WBR>ก็<WBR>จะ<WBR>ผลิต<WBR>กระแส<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>ออก<WBR>มา
    <DD>พื้น<WBR>ผิว<WBR>โลก<WBR>ที่<WBR>เรา<WBR>อาศัย<WBR>อยู่<WBR>นี้<WBR>เป็น<WBR>พื้น<WBR>น้ำ<WBR>ถึง 3 ใน 4 ส่วน ดัง<WBR>นั้น<WBR>มนุษย์<WBR>เรา จึง<WBR>หวัง<WBR>ว่า<WBR>ใน<WBR>ไม่<WBR>ช้า<WBR>เรา<WBR>จะ<WBR>สามารถ<WBR>ใช้<WBR>ประ<WBR>โยชน์<WBR>จาก<WBR>พลัง<WBR>งาน<WBR>ปริมาณ<WBR>มหาศาล<WBR>ที่<WBR>เกิด<WBR>จากปรากฏการ<WBR><WBR>ณ<WBR>์ น้ำ<WBR>ขึ้น<WBR><WBR>-น้ำ<WBR>ลง<WBR>นี้<WBR>ได้<WBR>อย่าง<WBR>เต็ม<WBR>ที่ และ<WBR>เมื่อ<WBR>ถึง<WBR>เวลา<WBR>นั้น<WBR>เรา<WBR>อาจ<WBR>จะ<WBR>สามารถ<WBR>ผลิต<WBR>พลัง<WBR>งาน<WBR>ไฟ<WBR>ฟ้า<WBR>ได้<WBR>เพียง<WBR>พอ กับความ<WBR>ต้อง<WBR>การ<WBR>ที่<WBR>เพิ่ม<WBR>ขึ้น<WBR>อย่าง<WBR>ไม่<WBR>หยุด<WBR>ยั้ง<WBR>ของ<WBR>โลก<WBR>เรา<WBR>ก็<WBR>ได้</DD><DD>
    </DD>
    [​IMG]
    ปัญหาของทรัพยากรน้ำ
    <DD>
    ปัญหาสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้น คือ ​
    </DD><DD>
    1. ปัญหาการมีน้ำน้อยเกินไป เกิดการขาดแคลนอันเป็นผลเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ปริมาณน้ำฝนน้อยลง เกิดความแห้งแล้งเสียหายต่อพืชเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ ​
    </DD><DD>
    2. ปัญหาการมีน้ำมากเกินไป เป็นผลมาจากการตัดไม้มากเกินไป ทำให้เกิดน้ำท่วมไหลบ่าในฤดูฝน สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน ​
    </DD><DD>
    3. ปัญหาน้ำเสีย เป็นปัญหาใหม่ในปัจจุบัน สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำเสีย ได้แก่​
    • <DD>
    • น้ำทิ้งจากบ้านเรือน ขยะมูลฝอยและสิ่งปฎิกูลที่ถูกทิ้งสู่แม่น้ำลำคลอง ​
      <DD>
    • น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ​
      </DD><DD>
    • น้ำฝนพัดพาเอาสารพิษที่ตกค้างจากแหล่งเกษตรกรรมลงสู่แม่น้ำลำคลอง ​
      </DD>
    <DL><DD>
    น้ำเสียที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลเสียหายทั้งต่อสุขภาพอนามัย เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ และมนุษย์ ส่งกลิ่นเหม็น รบกวน ทำให้ไม่สามารถนำแหล่งน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ​
    </DD><DD>
    [​IMG]
    </DD><DD>
    [​IMG]
    </DD><DD>
    ผลกระทบของน้ำเสียต่อสิ่งแวดล้อม
    • <DD>
    • เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่น อหิวาตกโรค บิด ท้องเสีย<DD>
    • เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงนำโรคต่าง ๆ</DD><DD>
    • ทำให้เกิดปัญหามลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ</DD><DD>
    • ทำให้เกิดเหตุรำคาญ เช่น กลิ่นเหม็นของน้ำโสโครก</DD><DD>
    • ทำให้เกิดการสูญเสียทัศนียภาพ เกิดสภาพที่ไม่น่าดู เช่น สภาพน้ำที่มีสีดำคล้ำไปด้วยขยะ และสิ่งปฎิกูล</DD><DD>
    • ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เช่น การสูญเสียพันธุ์ปลาบางชนิดจำนวนสัตว์น้ำลดลง</DD><DD>
    • ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในระยะยาว</DD>
    การอนุรักษ์น้ำ<DL><DD>ดังได้กล่าวมาแล้วจะเห็นว่า น้ำมีความสำคัญและมีประโยชน์มหาศาล เราจึงควรช่วยแก้ไขปัญหาน้ำเสียหรือการสูญเสียทรัพยากรน้ำด้วยการอนุรักษ์น้ำ ดังนี้ </DD><DD>1. การใช้น้ำอย่างประหยัด การใช้น้ำอย่างประหยัดนอกจากจะลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้ำลงได้แล้ว ยังทำให้ปริมาณน้ำเสียที่จะทิ้งลงแหล่งน้ำมีปริมาณน้อย และป้องกันการขาดแคลนน้ำได้ด้วย </DD><DD>2. การสงวนน้ำไว้ใช้ ในบางฤดูหรือในสภาวะที่มีน้ำมากเหลือใช้ควรมีการเก็บน้ำไว้ใช้ เช่น การทำบ่อเก็บน้ำ การสร้างโอ่งน้ำ ขุดลอกแหล่งน้ำ รวมทั้งการสร้างอ่างเก็บน้ำ และระบบชลประทาน </DD><DD>3. การพัฒนาแหล่งน้ำ ในบางพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ จำเป็นที่จะต้องหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถมีน้ำไว้ใช้ ทั้งในครัวเรือนและในการเกษตรได้อย่างพอเพียง ปัจจุบันการนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้กำลังแพร่หลายมากขึ้นแต่อาจมีปัญหาเรื่องแผ่นดินทรุด </DD><DD>4. การป้องกันน้ำเสีย การไม่ทิ้งขยะและสิ่งปฎิกูลและสารพิษลงในแหล่งน้ำ น้ำเสียที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบำบัดและขจัดสารพิษก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ </DD><DD>5. การนำน้ำเสียกลับไปใช้ น้ำที่ไม่สามารถใช้ได้ในกิจการอย่างหนึ่งอาจใช้ได้ในอีกกิจการหนึ่ง เช่น น้ำทิ้งจากการล้างภาชนะอาหาร สามารถนำไปรดต้นไม้ได้</DD><DD> </DD></DL>​
    </DD><DD>

    </DD></DL></DD>
     

แชร์หน้านี้

Loading...