เรื่องเด่น ทำไมสตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Prophecy, 20 ตุลาคม 2012.

  1. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    182448_166239143423279_100001115837317_320572_8115959_n.jpg

    ปัญหา ทำไมสตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ ทั้งยังยากจนและต่ำศักดิ์อีกด้วย ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคาม (สตรี) บางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ ไม่เป็นผู้ให้ทานคือข้าว น้ำ ยวดยาน ระเบียบ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือการไหว้ การบูชาของผู้อื่น กีดกันตัดรอนผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนันมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใด ๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคนยากจนขัดสนทรัพย์สมบัติและต่ำศักดิ์”


    มหาวรรค จ. อํ. (๑๙๗)
    ตบ. ๒๑ : ๒๗๖ ตท. ๒๑ : ๒๓๓
    ตอ. G.S. II : ๒๑๕-๒๑๖

    http://www.84000.org/true/205.html


    203 ทำไมไม่สวยแต่รวยและสูงศักดิ์

    ปัญหา ทำไมสตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ แต่มีทรัพย์สมบัติมากและมีศักดิ์สูง ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคาม (สตรี) บางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง
    ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียด.... แต่เขาเป็นผู้ให้ทานคือข้าว น้ำ ยวดยาน แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจไม่ริษยาในลาภ สักการะ..... ของผู้อื่น ไม่กีดกันตัดรอน.... ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนั้นมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใด ๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก มีโภคทรัพย์สมบัติและสูงศักดิ์”
    มหาวรรค จ. อํ. (๑๙๗)

    204 ทำไมจึงสวยแต่ยากจนและต่ำศักดิ์

    ปัญหา เพราะเหตุไร สตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปงาม แต่ยากจนขัดสน และต่ำศักดิ์ ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคาม (สตรี) บางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความแค้นใจ แม้ถูกว่าเล็กน้อยก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว แต่เขาเป็นผู้ไม่ให้ทานคือข้าว น้ำ ผ้า..... แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ..... ของผู้อื่น ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้..... ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม..... แต่เป็นคนยากจนขัดสนและต่ำศักดิ์”
    มหาวรรค จ. อํ. (๑๙๗)


    205 ทำไมจึงสวย รวยทรัพย์ สูงศักดิ์

    ปัญหา เพราะเหตุไร สตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปงาม บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ และสูงศักดิ์อีกด้วย ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคาม (สตรี) บางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง... เป็นผู้ให้ทานคือข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบ ของหอม..... แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้ไม่มีใจริษยาในลาภ สักการะ..... ของผู้อื่น ไม่กีดกัน ไม่ตัดรอน... ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนั้น..... กลับมาเกิดในชาติใด ๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม..... ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณดียิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์ฯ”
    มหาวรรค จ. อํ. (๑๙๗)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 เมษายน 2018
  2. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +4,562
    เนี่ย...พวกสวยๆในภพนี้ ต้องฟังไว้...หน้าหงิกหน้างอเมื่อไร จิตมีราคะ โทสะ โมหะเสมอๆ ชาติต่อไปไม่สวยนะเออ...
    พวกไม่สวยก็ต้องฟัง ทำจิตให้สวยโดยเร็ว...ต่อไปจะได้สวยแน่...
    เดี๋ยวนี้ พวก แม่ศรีเรือน พวกนางแก้วในดวงใจ พวกสุดาดอกฟ้า หายากยิ่งนัก
    มีแต่พวกสวยแต่รูป จูบไม่หอมมากมาย
    บางคนเป็นคนเชื้อไทย เชื้อจีน แต่ดันไปย้อมผมให้เป็นฝรัง เป็นเกาหลีญี่ปุ่น(ที่เป็นทาสฝรั่งเหมือนกัน)ตัวเป็นไทย ใจเป็นทาส จิตก็ไม่สวยด้วย
    พวกนี้ชาติหน้า ขี้เหร่ทั้งนั้น ฮา
     
  3. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649

    ....55555อุเบกขา555555......
     
  4. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    น่าเกลียดแต่เร้าใจ ก็มีนะจ้า(ทำบุญด้วยโทสะ)

    โทษของการทำบุญด้วยจิตโกรธ ของนางปัญจปาปา

    ปัญจปาปา (ปัญจะ แปลว่า ห้า ปาปา คือ บาป)
    มี อัปลักษณ์ ๕ แห่งคือ มือ เท้า ปาก นัยน์ตา จมูก บิดเบี้ยว

    เรื่องนี้มาในกุณาลชาดก พระธรรมกถึกทั้งหลายชอบนำมาเทศน์ ชื่อเรื่องว่านางปัญจปาปา ในอดีตกาลนานมาแล้ว ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลก เป็นช่วงว่างจากพระพุทธศาสนา แต่ยุคนั้นยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็คือพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งตรัสรู้ธรรมด้วยตนเองแต่มิได้ออกสั่งสอนประกาศพระศาสนา นับแต่วันที่ท่านบรรลุอรหันต์ด้วยตนเองแล้ว ท่านก็ปลีกวิเวกไปตามชอบใจของท่านจนกว่าท่านจะสิ้นอายุขัยก็จะเข้าสู่นิพพาน ท่านไม่มีภาระที่จะต้องประกาศศาสนาสั่งสอนใครเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    + ยังมีนางกุมารีคนหนึ่งกำลังขยำดินเหนียวฉาบทาฝาเรือนอยู่

    ขณะนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งกุฏิที่ท่านอาศัยมีรูโหว่ท่านจึงออกแสวงหาดินเหนียวไปอุดรูกุฏิของท่าน เมื่อท่านผ่านมาเห็นนางกุมารีนางนี้กำลังขยำดินเหนียวอยู่ ท่านจึงถือบาตรเดินตรงไปหานางกุมารีนั้นเพื่อขอบิณฑบาตดินเหนียวใส่บาตรมาสักก้อน นางกุมารีเห็นดังนั้นก็โกรธคิดว่า"สมณะพวกนี้ตอนเช้าเที่ยวเดินขอข้าวชาวบ้านชาวเมืองกินยังไม่พอ ตัวเรานี้สู้อุตส่าห์ไปขนดินเหนียวหอบหิ้วมานั่งขยำ กว่าจะได้ที่ก็ต้องขยำแทบมืองอเท้างอ สมณะนี้กลับมายืนเฝ้าจะขอดินที่เราขยำดีแล้วไปอีก ช่างไม่รู้จักไปหาเองเอาเสียเลย" คิดดังนี้แล้วก็ค้อนควัก เชิดจมูก ปากบ่นอุบอิบพึมพัม เพื่อจะให้พระปัจเจกพุทธเจ้าล่วงรู้อาการว่านางไม่เต็มใจจะให้ จะได้ไปไปเสีย

    ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีความเมตตาอารี อยากจะโปรดนางกุมารีน้อยให้ได้ทำบุญ จึงแสร้งทำเป็นไม่ทราบอาการของนาง ยืนนิ่งเปิดบาตรรอรับการบริจาคของนางต่อไป นางกุมารีเห็นดังนั้นก็คิดว่า "ชะรอยสมณะองค์นี้ถ้าไม่ได้อะไรคงจะไม่ไปแน่" นางจึงโกรธกระฟัดกระเฟียดปั้นดินได้ก้อนหนึ่งก็โยนใส่บาตรโดยไม่เคารพ พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อได้ดินแล้วท่านก็เดินจากไปเพื่อทำกิจของท่าน


    นางกุมารีนั้นเมื่อตายจากชาตินั้นได้มาเกิดในตระกูลคนจน มีอวัยวะที่บิดเบี้ยว อัปลักษณ์ ๕ แห่งคือ มือ เท้า ปาก นัยน์ตา จมูก จึงมีชื่อเรียกว่านางปัญจปาปา แปลว่าผู้มีบาป ๕ ประการ ถามว่าเหตุใดนางจึงมีอวัยวะบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ ๕ แห่ง ตอบว่าเพราะนางมีความโกรธเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบิณฑบาตดินเหนียว นางคิดว่าเราสู้อุตส่าห์ไปขนดินเหนียวมาขยำแทบมืองอเท้างอ สมณะนี้กลับจะมาขอเอาไปเฉยๆ เพราะเหตุนี้จึงทำให้นางมีมือและเท้างอคดอัปลักษณ์ไม่น่าดู และก็เนื่องจากนางใช้ดวงตาค้อนควัก ใช้จมูกเชิดใส่ ใช้ปากบ่นอุบอิบพึมพำให้พระปัจเจกพุทธเจ้า นางจึงมีดวงตา จมูก และปากบิดเบี้ยวพิกลอัปลักษณ์


    ฉะนั้นนางจึงมีชื่อว่า ปัญจปาปา แต่ว่าด้วยอานิสงส์การถวายดินเหนียวก้อนนั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีผลอันยิ่งใหญ่แก่นาง คือทำให้ร่างกายผิวพรรณของนางนั้นมีความนุ่มเนียนเรียบลื่นน่าสัมผัสเปรียบประดุจสัมผัสอันเป็นทิพย์ของนางฟ้านางสวรรค์ ใครถูกต้องนางจะติดใจไม่สามารถตัดใจจากนางได้
    ด้วยผลบุญที่นางได้ถวายดินเหนียว ทำให้นางได้เป็นอัครมเหสีของพระราชาถึง ๒ พระองค์ คือพระเจ้าพกะ และพระเจ้าทีปาวาริกะ เรื่องราวมีอยู่ว่า การที่นางได้เป็นมเหสีของพระราชาองค์แรกเนื่องจากพระราชาได้ปลอมพระองค์ออกไปตรวจตราบ้านเมืองยามค่ำคืน บังเอิญนางปัญจปาปาวิ่งเล่นได้มาชนพระราชาโดยไม่ตั้งใจ พระราชาก็ติดใจในสัมผัสกายของนางจึงไปสู่ขอต่อพ่อแม่นางและปลอมตัวออกมาสมสู่กับนาง และต่อมายิ่งหลงใหลในสัมผัสของนางมากขึ้น มิอาจตัดใจจึงได้รับนางเข้าวัง

    แต่ต่อมามีผู้อิจฉาใส่ร้ายนางว่าที่นางอัปลักษณ์ดังนี้คงเป็นยักษ์เป็นมารปลอมตัวมา พระราชาเชื่อจึงจับนางใส่เรือลอยน้ำไป นางลอยไปกับเรือจนไปเจอพระราชาองค์ที่ ๒ กำลังประพาสท่องเที่ยว นางจึงร้องบอกว่านางคือมเหสีของพระเจ้าพกะ แล้วนางจึงออกอุบายให้พระราชาองค์ที่ ๒ คือพระเจ้าทีปาวาริกะฉุดนางขึ้นจากเรือ เมื่อมือสัมผัสมือพระเจ้าทีปาวาริกะก็เกิดหลงใหลในสัมผัสของนาง พานางไปแต่งตั้งอยู่ในอัครมเหสี

    ฝ่ายพระเจ้าพกะหวนคิดถึงนางปัญจปาปาจนไม่เป็นอันกินอันนอน ต่อมาได้ข่าวว่านางมาอยู่กับพระเจ้าทีปาวาริกะ จึงยกกองทัพมาหวังจะชิงนางคืน ภายหลังได้ตกลงกันว่าจะแบ่งเวลาที่จะอยู่ร่วมกับนางปัญจปาปา นั่นคือนางปัญจปาปาจะอยู่กับพระราชาองค์ที่ ๑ ช่วงหนึ่ง แล้วจึงย้ายไปอยู่กับพระราชาองค์ที่ ๒ อีกช่วงหนึ่งเวลาเท่าๆ กันเหตุการณ์จึงสงบลง นางปัญจปาปาจึงเป็นอัครมเหสีของพระราชา ๒ เมืองได้ด้วยประการฉะนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p5555.jpg
      p5555.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.3 KB
      เปิดดู:
      283
  5. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ไม่ดีหนึ่ง ดีหนึ่ง
    ไม่มีสิ่งหนึ่ง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ ทั่วหล้าไม่มี ดูดีดี นะจ๊ะๆๆๆ แต่มีกันทุกคน หาดีดี นะจ๊ะ
    เฉพาะตน เป็นของตน มักไม่มองตน เห็นแต่คนอื่น นะจ๊ะนะจ๊ะ
     
  6. เรียนธรรม

    เรียนธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +73
    ทำบุญ ได้ผลชาติหน้า ทำทั้งหน้า ได้ผลชาตินี้ 555
     
  7. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,612
    กำลังเข้าถึงรสพระธรรม พออ่านถึงโพสต์นี้ฮาค่ะ ทำทั้งหน้าก็ต้องได้ผลทั้งหน้าสิคะ แต่กลัวจะเป็นมะเร็งทั้งหน้าด้วยค่ะ

    เวลาทำบุญก็ต้องตั้งใจทำด้วยจิตอันเป็นกุศลและตั้งมั่นจริง ๆ ทั้งสิ่งของที่จะทำบุญหรือถวายพระ ต้องเป็นของดี ไม่เป็นของเน่า ของเสีย ของค้าง ของเหลือ ต้องตั้งใจและตั้งจิตอธิษฐานด้วย ถ้าจะเป็นดอกไม้ของหอมที่จะถวายหรือบูชาก็ต้องเลือกที่งดงามสดใหม่ และมีกลิ่นกำลังดี ไม่หอมจนฉุนเกินไป เดี๋ยวชาติหน้าจะเกิดมาสวยแต่รูปจูบไม่หอมนะคะ
     
  8. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    เออเนาะ... ไปไกลเร็วแฮะ ขายาวก็ได้เปรียบกว่าล่ะ ก้าวทีก็หลายขุมเลย อิอิ ...
    เดินต่อไป ก้าวต่อไปอย่าหยุด คนข้างหลังขาสั้นแต่จะขยันเดิน(ให้ทัน) นะจ๊ะๆ หุหุ
    ........ กระทู้คนสวย/ไม่สวย ....
    สวยก็ดี ไม่สวยก็ดี ในสิ่งที่ดีก็มีไม่ดีอยู่ ในสิ่งไม่ดีก็ยังมีดีอยู่ ...
    สวยให้คนอื่นมาหลง ยังมองเห็นประตูทางออก ตัวเองหลงตัวเอง แม้ทางออกก็มองไม่เห็น
    ...... เจริญในธรรมค่ะ สาธุ.......
     
  9. gushmans

    gushmans เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +151
    เพื่อนผมพูดว่า "ทำบุญได้ชาติหน้า ทำหน้าได้ชาตินี้" ฮาาาาา

    ปล. แนวๆเดียวก็ คห ข้างบน
     
  10. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    "เหตุสมควรโกรธไม่มีในโลก" - พระอาจารย์ มิตซูโอะ
     
  11. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    โกรธใครควรเจริญเมตตาภาวนา ขอให้เขาเป็นสุข พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่าคนมักโกรธมีโทษอย่างไร ไม่มักโกรธมีอานิสงส์อย่างไร
     
  12. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    มาบอกบุญ ตั้งแต่ผมสมัครเป็นสมาชิกผมได้ตั้งกระทู้เผยแพร่ธรรมะมากมาย โดยบ่อยครั้งได้ดึงเนื้อหาจากพระไตรปิฎก หรือเป็นธรรมะจากพระอาจารย์ต่างๆ โพสต์อยู่หลายหมวดเช่น หมวดกรรม หมวดธรรมะ หมวดอภิญญา-สมาธิ
     
  13. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,499
    อนุโมทนา สาธุ ครับ
    ไม่ว่าจะ ชาย หญิงใดก็ตาม ที่เกิดมาโดยกรรมเก่า
    และ มิได้ส่งเสริมให้ดีมาแต่กำเนิด
    เช่น เกิดในตระกูลที่ยากจน มีรูปร่างหน้าตา ขี้ริ้ว ขี้เหร่ฯ
    แต่ถ้าในปัจจุบันชาติ เขาได้กระทำแต่ กรรมดี คือ คิดดี พูดดี ทำดี
    ประพฤติตนดี นิสัยดี มีมนุษย์สัมพันธ์ มีความเพียร มานะอดทน
    และหมั่นแสวงหาความรู้อยู่เสมอแล้ว กรรมดีทั้งหลายเหล่านี้
    ก็จะส่งเสริมให้เขาเป็นคนดี มั่งคั่งสมบูรณ์ มีคนนับหน้าถือตา
    นำมาซึ่งความสุขความเจริญในชีวิตได้เช่นกันครับ

    ทว่า... ผู้ที่มีรูปสวย รวยทรัพย์ ฯ
    หากเมื่อได้กระทำแต่กรรมชั่ว คือ ประพฤติตนไม่ดี มีนิสัยหยาบ
    เช่น กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน เป็นอาจิณ อยู่แต่ในสังคมที่เลวร้าย
    กรรมชั่วเหล่านี้ ก็จะฉุดเขาลงไปสู่ความหายนะได้เช่นกันครับ

    ว่าด้วย ทรัพย์สมบัติอันใด แม้จะมีมากมาย ก่ายกอง
    แต่หากไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักเก็บ ไม่รู้จักแสวงหาเพิ่มเติม
    มีแต่ใช้ไปผลาญไป ในไม่ช้ามันก็จะหมดลง...
    ทั้งนี้ มันก็สุดแท้แต่กรรม ที่ได้กระทำสร้างเหตุกันไว้ นั่นเองครับ
     
  14. ป๋วยเอ็ง

    ป๋วยเอ็ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +201
    อนุโมทนา สาธุ สาธุค่ะ

    กรรมเก่า เป็นอดีตไปแล้ว

    แก้ไขด้วยการทำกรรมใหม่ ที่เป็นปัจจุบันให้ดีที่สุด ดีกว่าค่ะ
     
  15. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>[​IMG]


    วิธีเจริญเมตตา



    1.เราต้องเข้าใจก่อนว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรานั้น สมเหตุสมผลทุกกรณี กรรมเราทำไว้ก่อนทั้งนั้น ความโกรธ ความโลภ ความหลงในจิตใจเป็นต้นเหตุ เราต้องรับผิดชอบ 100 % ด้วยตัวเอง

    2. พยายามเข้าใจ เห็นอกเห็นใจเขาว่า เขาก็กำลังทุกข์เหมือนเราเหมือนกันทุกชีวิต ทุกข์จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผิดหวัง ไม่สมปรารถนาต่างๆ ยิ่งคนที่กำลังด่านินทาเรา เขาทุกข์ก่อนเราอีก สงสารเมตตาเขา ถึงแม้ว่าเขากำลังได้เปรียบ เราเสียเปรียบก็ตาม ไม่ต้องอิจฉาเขา ไม่ต้องน้อยใจอะไรเลย ถ้าเขากำลังได้เปรียบมีความสุขที่ได้มาจากอกุศลกรรม บาปกรรม แล้วไซร้ เปรียบเทียบได้ว่าเขากำลังมีความสุขอยู่ชั้นบน แต่ชั้นล่างไฟกำลังไหม้บ้าน ควรสงสารเขาตั้งแต่บัดนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้ เราไม่ต้องสร้างกรรมสร้างเวรกับใครอีกต่อไป ให้ตั้งอยู่ในความดี ความถูกต้องด้วยกายวาจาใจดีกว่า

    3. เริ่มฝึกเจริญสติ ปัญญา เมื่อกระทบอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ และกำลังจะเกิดอารมณ์ เสียอารมณ์ รีบตั้งสติ หายใจลึกๆ ซ้ำๆ เป็นจังหวะๆ จะเริ่มรู้สึกตัวขึ้น ทำให้ต่อเนื่องกัน ไม่ให้คิดจองเวรคิดอาฆาตพยาบาท คิดบ่น คิดเบียดเบียน ให้ระงับอารมณ์ ถ้าคิดก็คิดสอนใจตัวเอง ให้รู้จักคิดถูก ฝึกสติ ฝึกปัญญาในการแก้ปัญหาอย่างนี้

    4. ฝึกสมาธิเช้าเย็น 10-15 นาที ทำบ่อยๆ ในวันหนึ่ง ตื่นเช้า หลังจากกินอาหารเช้า ในรถ ก่อนทำงาน หลังเลิกงาน ก่อนโทรศัพท์สำคัญ เมื่อเกิดอารมณ์เสีย เป็นต้น ตั้งใจไม่โกรธ รักษาใจระวังใจในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายหน้า ซึ่งเคยทำให้เราโกรธ ทุกข์ อยู่บ่อยๆ ตั้งใจแผ่เมตตา ส่งถึงทุกคนทุกชีวิต ไม่จำกัด ไม่ยกเว้น แม้แต่คนที่เราไม่ชอบ ตั้งใจคิดดี พูดดี ทำดี ในทุกกรณี

    5. เจริญวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ซึ่งเป็นองค์ฌาน 5

    - วิตกในสมาธิ หมายความว่า นึกๆๆ อารมณ์กรรมฐานอย่างเดียว เช่น ความรู้สึกที่ลมสัมผัสที่เกิดขึ้นจากการหายใจเข้าออก พยายามตั้งสติบ่อยๆ นั้นแหละ

    - ถ้าเกิดวิตก ตั้งสติติดต่อกัน ไม่ช้าก็จะเกิดวิจาร วิจารในที่นี้ คือ รู้สึกตัว รู้ว่าหายใจยาว สั้น เบา หนัก ร้อน เย็น เป็นต้น ความรู้สึกตัวนี้เป็นกำลังผูกมัดจิตกับอารมณ์กรรมฐานให้แนบแน่นมากขึ้น แล้วความปีติ สุข ก็จะเกิดตามมา มีความสุขที่สุดในโลก

    - พยายามเจริญสมาธิ จนสัมผัสความสุขในสมาธิบ่อยๆ เมื่อเรารักษาความสุขทางใจได้นั่นแหละ ใจเราจึงจะมีเมตตา เป็นใจเมตตา มีความรัก ความสุข เต็มหัวใจ

    สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข
    ถ้าเข้าใจเรื่องกรรมตามความเป็นจริง ประกอบด้วยปัญญา
    เมตตาก็ถาวร เป็นเมตตาที่แท้จริง

    • เมตตาภาวนา •

    อานิสงส์ของการเจริญเมตตาภาวนา
    1. หลับเป็นสุข
    2. ตื่นเป็นสุข
    3. ไม่ฝันร้าย
    4. อมนุษย์รักใคร่
    5. มนุษย์ทั้งหลายรักใคร่
    6. เทวดาทั้งหลายย่อมคุ้มครอง
    7. ไฟ ศาสตราวุธ ยาพิษ ไม่อาจกล้ำกลาย
    8. ผิวหน้าย่อมผ่องใส
    9. จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิเร็ว
    10. เมื่อตายเป็นผู้ไม่หลง
    11. เมื่อจากโลกนี้ไป ก็ไปบังเกิดในพรหมโลก

    เมื่อเจริญเมตตาภาวนาบ่อยๆ จะมีอานิสงส์ช่วงระงับความโกรธได้
    ให้เจริญเมตตาให้กับตัวเองก่อนโดยอาศัยสติ สมาธิ และปัญญา
    ให้พยายามรักษาใจให้สงบนิ่ง กำหนดรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า สักพักหนึ่ง

    • การแผ่เมตตาให้กับตัวเอง •

    อะหังสุขิโตโหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุข
    ยกขึ้นมาพิจารณาทุกครั้งที่รู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

    ความสุขอยู่ที่ไหน ความสุขไม่ใช่อยู่ที่อารมณ์โกรธ หรือเมื่อเราได้
    โกรธคนอื่น เราโกรธเขา เขาก็เป็นทุกข์เหมือนเรา หรือทุกข์มาก
    กว่าเรานั่นแหละ เขาก็กำลังแก่ กำลังเจ็บไข้ ป่วย กำลังจะตาย
    เหมือนเรานั่นแหละ

    เขาก็กำลังประสบกับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เหมือน
    กับเรา เพราะ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ล้วนแต่เกิดขึ้นแล้วดับไป
    ในที่สุด ไม่แน่นอน ไม่คงอยู่ได้

    ความสุขอยู่ที่การปล่อยวางสิ่งภายนอก และสัญญาอารมณ์ต่างๆ
    ระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ถอนจิต ถอนใจอุปาทาน
    จากอารมณ์โกรธ น้อมเข้ามาๆ ให้จิตพักอาศัยอยู่ที่ลมหายใจ

    เอาลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร
    หายใจเข้ายาวๆ สบายๆ หายใจออกช้าๆ ลึกๆ หน่อย
    หายใจเข้ายาวๆ สบายๆ หายใจออก สบายๆ ภาวนาว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุข หายใจเข้า
    หายใจออก สบายๆ แล้วพิจารณาต่อว่า

    นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไร้ทุกข์
    ความชั่วร้ายของเขา เป็นของเขา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ต้องไปคิด
    ไปเกาะติดยึดมั่นถือมั่น แบกเอาไว้
    ความชั่วของใครก็เป็นของร้อนเป็นทุกข์ทั้งนั้น เราไปยึดติดเมื่อไร
    ก็เดือดร้อน เป็นทุกข์เมื่อนั้น
    ถึงแม้ว่า เขาผิดจริงก็ตาม ผู้มีปัญญา ผู้หวังความสุข ไม่เอามาคิด
    เป็นอารมณ์ ให้ระวังๆ แล้วพิจารณาต่อว่า

    อะเวโรโหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่มีเวร
    ตรวจตราดูความรู้สึกภายในใจตัวเอง หรือสังเกตดูความนึกคิด
    ของเรา ว่ามีเวรหรือไม่
    จองเวรเขา ก็เหมือนจองเวรตัวเอง ทำให้จิตเศร้าหมอง

    “เวรไม่ระงับด้วยการจองเวร เวรระงับด้วยการไม่จองเวร”
    ถ้าเราต้องการความสุข เราต้องเป็นผู้ไม่มีเวร ให้ระงับความรู้สึก
    นึกคิดจองเวรใครๆ ออกไปจากภายในใจของเรา
    ให้อภัย อโหสิกรรมแก่ทุกคน ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
    ชำระความรู้สึก ความนึกคิดจองเวรให้หมดไปๆ เอาลมหายใจเป็น
    กัลยาณมิตร หายใจเข้า หายใจออก สบายๆ แล้วพิจารณาต่อ

    อัพยาปัชโฌโหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
    ตรวจตราภายในใจดูว่า มีความรู้สึกนึกคิดเบียดเบียนใครหรือไม่
    ถ้าเขาคิดอย่างนี้กับเรา พูดอย่างนี้กับเรา ทำอย่างนี้กับเรา
    เราจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเราไม่สบายใจ เราก็ไม่น่าคิดกับเขาอย่างนั้น
    รักษาใจ ไม่ให้หวั่นไหวต่ออารมณ์พอใจ และไม่พอใจที่มากระทบ

    จงสร้างเกาะไว้เป็นที่พึ่งด้วย สติ สัมปชัญญะ ปัญญา สมาธิ
    หิริโอตตัปปะ และขันติ คือความอดทน รวมกันไว้ที่ลมหายใจเข้า
    ลมหายใจออก ไม่ให้เกิดทุกข์ ไม่ให้มีทุกข์ ไม่ให้เบียดเบียนใคร
    ทุกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

    สุขีอัตตานัง ปะริหะรามิ จงรักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด
    ให้ระลึกถึงปีติสุขทุกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เรื่อยๆๆๆ
    รู้เฉพาะปีติสุข หายใจเข้า รู้เฉพาะปีติสุข หายใจออก
    ให้หัวใจของเรานี้เต็มไปด้วยปีติสุข แล้วแผ่ความสุขออกไปๆๆๆ

    การแผ่เมตตานี้ ต้องแผ่เมตตาให้แก่ตัวเองก่อน จนให้เกิดความสุขใจ
    การจะให้เกิดความสุขใจนั้นต้องอาศัย สมาธิ และปัญญาสนับสนุนกัน
    ด้วยอำนาจสมาธิ จิตสามารถยังปีติสุขให้เกิดได้ และต้องใช้ปัญญา
    เห็นโทษของการคิดผิด คิดเบียดเบียน ฯลฯ ให้ระงับความคิด
    เหล่านั้นด้วยสติปัญญาจึงจะเกิดเมตตาได้

    • การแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ •

    สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
    ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงเป็นผู้ถึงความสุข
    เมื่อใจเรามีความสุข มีเมตตา มีความรู้สึกรักใคร่ ปรารถนาดี
    มีความรักที่บริสุทธิ์ ให้แผ่ความรัก ความเมตตาที่บริสุทธิ์กระจาย
    ออกไปจากหัวใจของเราไปยังสรรพสัตว์

    วิธีแผ่เมตตา มี 2 วิธี คือ

    วิธีที่ 1. อาศัยนิมิต วิธีที่ 2. ไม่มีนิมิต

    อาศัยนิมิต เมื่อใจเราเต็มไปด้วยความสุขแล้ว ขณะที่ลมหายใจออก
    ลมหายใจเข้า ให้นึกมโนภาพถึงคนที่เราตั้งใจจะแผ่เมตตาไปให้ไว้เฉพาะ
    หน้าหรือไว้ที่หัวใจ นึกมโนภาพ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส กำลังมีความสุข
    ของเขาและส่งกระแสเมตตาจิตไป ทุกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
    เริ่มต้นจากคนใกล้ชิดตัวเราที่รักกันอยู่ก่อน เช่น พ่อ แม่ ลูก ภรรยา
    เพื่อนรัก เพื่อนร่วมงาน เป็นต้น ต่อไปก็คนที่เป็นกลางๆ ไม่รัก ไม่ชัง
    ค่อยๆ แผ่ไปๆ ทีละคน ทีละกลุ่ม

    ต่อไปก็ถึงคนที่เรากำลังมีปัญหาอยู่กับเขา ตั้งใจ หวังดีต่อเขา
    ปรารถนาดีต่อเขา ขอให้เขาจงมีความสุขเถิด ขอให้ไม่มีเวรซึ่งกัน
    และกันเถิด ขอให้เราอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

    ไม่มีนิมิต เมื่อเราพร้อมแล้ว เรามีปีติและสุข ทุกลมหายใจออก
    ลมหายใจเข้าแล้ว สัพเพสัตตา สุขิตาโหนตุ ขอสัตว์ทั้งหลาย
    ทั้งปวง จงเป็นผู้ถึงความสุข พยายามทำความรู้สึกที่ดี
    ความปรารถนาดี ความรักที่บริสุทธิ์ แผ่ออกไปรอบๆ ตัวเรา
    ทุกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

    พยายามนึกไปกว้างๆ ไกลๆ คลุมไปทั่วโลก ทั่วจักรวาล มีแต่ความ
    สุข ทุกลมหายใจออก - เข้า สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ หายใจออก
    เต็มไปด้วยความสุข หายใจเข้าเต็มไปด้วยความสุข

    กามวิตก พยาบาทวิตก หิงสาวิตก เป็นศัตรูต่อการเกิดเมตตาจิต
    เมื่อใจเรามีเมตตา จิตใจก็จะสงบ มีความสุข ไม่ต้องคิดเรียกร้อง
    ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ ความรัก จากใครอีกต่อไป พ่อแม่
    ไม่รักเรา ลูกหลานไม่รักเรา สามีภรรยาไม่รักเรา ปัญหาเหล่านี้ก็หมดไป
    เพราะหัวใจของเราเต็มไปด้วยความสุขและความรัก เรามีแต่ให้ๆๆๆๆ

    • พรหมวิหาร 4 •

    คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นธรรมประจำใจของผู้ใหญ่
    เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีต่อผู้อื่นและตัวเอง ใครที่
    อดอยากทุกข์ยากลำบาก ด้อยกว่าเรา เราอยากให้เขามีความสุข
    ด้วยการให้ทาน ช่วยเหลือสงเคราะห์เขา เมื่อเขามีความสุขเราก็มี
    ความสุขด้วย แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เช่น หมา แมว กำลังอดๆ
    หิวข้าวอยู่ เราก็ให้อาหาร เขาก็มีความสุขในการกิน เราก็มี
    ความสุข แต่ก็ต้องระวังเหมือนกัน ถ้าเราตามใจลูกหลาน
    เขาอาจพอใจ แต่เสียนิสัยก็เป็นได้ ต้องระวัง

    พรหมวิหาร มี 4 ข้อ แต่ต้องเจริญเมตตาก่อน ไม่มีเมตตา กรุณามีไม่ได้
    ไม่มีกรุณา มุทิตา อุเบกขาก็มีไม่ได้ การเจริญเมตตาง่ายกว่าข้ออื่นทุกข้อ

    กรุณา คือ มีจิตใจสงสาร อยากให้เขาพ้นทุกข์ เป็นจิตที่สูงกว่า
    และยากกว่าเมตตา เป็นความปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ รู้จักผิดถูก
    เมื่อเขาทำผิดต้องชี้แจง แนะนำ สั่งสอน เพื่อให้เขาละความชั่ว
    ความผิด แก้ไขตัวเอง อันนี้เราต้องมีจิตใจกล้าหาญ ถ้าใจดีแต่ใจ
    อ่อนก็ทำไม่ได้ เพราะเราเจตนาดีแต่เขาอาจจะไม่พอใจ อาจจะ
    กระทบกระเทือนใจเขา เขาอาจจะโกรธเรา
    พ่อแม่ที่เมตตารักลูกก็มีแยะ แต่คนที่มีกรุณาก็น้อย เพราะต้องดุ
    ต้องว่า ต้องสอน บางทีก็ต้องลงโทษด้วย นี่เป็นกรุณา

    มุทิตา คือ พลอยยินดีเมื่อเขาได้ดีมีความสุข ทำจิตยากกว่า
    กรุณาอีก เขาได้ดีกว่าเรา เราไม่อิจฉา ยินดีมีความสุขกับเขาด้วย
    เช่น เพื่อนรุ่นเดียวกับเราเรียนเก่งกว่าเรา หล่อกว่าเรา รวยกว่าเรา
    ตำแหน่งก็ได้สูงกว่าเรา ภรรยาของเขาสวยกว่าภรรยาเรา
    เรารู้สึกว่าเขาดีกว่าเรา มีความสุขกว่าเรา อะไรๆ ก็ดีกว่าเราทุกอย่าง
    (จริงๆ แล้วไม่แน่) แต่เรายินดีกับเขาด้วย อันนี้เป็นมุทิตาจิต

    มุทิตาจิตนี้ละเอียด ทำยาก ขนาด พระ ครูบาอาจารย์ ที่มีเมตตา กรุณามาก
    แต่มุทิตาจิตนี้ก็มียาก มุทิตาจิต เป็นจิตที่ไม่อิจฉา สูงกว่ากรุณา และทำยากกว่า

    อุเบกขา วางเฉยนี้ยิ่งยากกว่ามุทิตาจิตอีก อะไรจะเกิด ใครจะ
    นินทาก็ไม่ให้หวั่นไหว รักษาใจเป็นกลาง เฉยๆ ต้องเข้าใจกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ต้องเข้าใจเรื่อง
    เหตุผลและเหตุปัจจัย ต้องมีปัญญา จึงจะเกิดอุเบกขาได้ เช่น
    ลูกติดยาเสพติด พ่อแม่ก็ต้องทำใจอุเบกขา เพราะเราได้ทำดีที่สุดแล้ว

    อุเบกขา ต้องประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา
    จึงจะเป็นอุเบกขาจริงๆ

    [​IMG]

    คัดลอกบางตอนมาจาก
    หนังสือธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก


    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD class=postdetails height=40 vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ::
    http://palungjit.org/threads/การเจริญเมตตาจิต-กับอานิสงส์ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน.366413/<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2012
  16. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    อนุโมทนาค่ะ ทำความดีก็ขอให้มั่นใจ ผลของธรรมทานคืนส่งแก่ผู้ให้ มีประโยชน์แก่ผู้ที่เข้ามาศึกษา ขอแต่อย่านำสิ่งที่บิดเบือนมาลงหลายๆคนยังไม่แตกฉาน (ถ้ารู้คงไม่มาหาความรู้) พระไตรปิฎกเป็นของสูงต้องระมัดระวังหน่อย .... ก็ต้องขอขอบคุณในธรรมทานทั้งหลายค่ะ สาธุ:cool::cool:
     
  17. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    ทำบุญชาตินี้ก็ให้ผลทันทีคับ คือเมื่อนึกถึงบุญที่ได้ทำไป จิตรู้สึกอบอุ่นมีปิติเกิดเสมอ จิตจะจดจำบุญที่ได้ทำ บาปก็เช่นกัน นี่แค่เริ่มต้นนะคับ
    ยิ่งถ้าทำตอนจิตสะอาดไม่มี โลภะโทสะโมหะ ทำบุญด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัย อานิสงฆ์นั้นเยอะมากคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2012
  18. ฟีนิกช์

    ฟีนิกช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +107
    ...............................................................catt23
     
  19. surer

    surer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,318
    พูดยังกะผู้ชายไม่มีขี้เหล่
     
  20. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    สรรพสัตว์ทั้งหลายย่อม อาศัยกรรมเป็นเหตุ แห่งการมาก็ดี การเกิดก็ดี การเจริญขึ้นก็ดี การเสื่อมลงก็ดี การดับไปจากไปก็ดี ล้วนอาศัยกรรมทั้งในอดีต และปัจจุบัน ด้วยกันทั้งสิ้น

    ดั่งคำโบราณว่า บุญนำกรรมแต่ง ครับ เรื่องรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติก็เช่นกัน สิ่งต่างๆที่เราเห็นต่างก็เกิดแต่กรรมด้วยกันทั้งสิ้น บุคคลผู้เกิดมาบกพร่องทางร่างกายก็มีมาก บุคคลผู้เกิดมาพร้อมแล้ว แต่ภายหลังประสพเคราะห์กรรมทำให้บกพร่องทางร่างกายก็เกี่ยวด้วยกรรมทั้งในอดีและปัจจุบัน

    อันนี้ยังไม่กล่าวถึงจิตที่ดีและไม่ดี เพราะว่าความจริงแล้ว คนที่รูปสมบัติไม่ดี ใช่ว่าจิตจะไม่ดีไปด้วย หรือคนที่รูปสมบัติดีแต่จิตใจเลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าหน้าตาก็มี ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยมีเหตุแห่งกรรมและจิตของเขาเหล่านั้นประกอบในการเกิดทั้งสิ้น

    เราทั้งหลายไม่ควรประมาทในกายสังขารเราและเขา พร้อมทั้งเราทั้งหลายก็ไม่ควรประมาทในจิตของเราและเขา ควรมองตนเองก่อนทั้งกายและจิตเพื่อขัดเกลาให้ดีงามยิ่งๆขึ้นต่อไปครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...