อย่าเลยพระพุทธเจ้า อย่าเลยครูอาจารย์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปุณฑ์, 28 มีนาคม 2013.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ส่วนบทของ พระเทวทัต ก็ได้คำว่า

    โอรมตฺตเกน แปลว่า เล็กๆน้อยๆ

    อนฺตรา แปลว่า อยู่ในระหว่าง

    วิเสสคาเมน ก็แปลว่า เข้าถึงความวิเสส ( อย่าลืมนะ คม คามี คาเมน หมายถึง
    ปฏิปทา ยังเป็น การดำเนินอยู่ ยังไม่แล้วเสร็จ ไปแปลว่า บรรลุ นี่ งง ได้สักพัก
    หากไม่แยบคายพิจารณา )

    แล้ว ตรงนี้ก็อย่างว่า มองไม่เห็นคำว่า " เลิก "

    แต่ถ้าเราเอา คุณธรรมของพระเทวทัตมาพิจารณา ก็จะได้ว่า พระเทวทัต
    นั้นอยู่ระหว่างการทำเหตุปัจจัยเป็น " พระปัจเจกพุทธเจ้า "

    คามินีปฏิปทา ของพระเทวทัตคือ การดำเนินไปเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า

    วิเสส จึงต้องหมายถึงเป็น " พระปัจเจกพุทธเจ้า "

    ดังนั้น อสัทธรรม ตรงนี้หมายถึง คุณสมบัติในการเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
    เนี่ยะมันยังครึ่งๆกลางๆ อยู่ และยังสำเร็จได้แค่ส่วนน้อย ยังมีปัจจัยในการ
    เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มากพอ บารมียังน้อย

    แต่ขอโทษ บารมีน้อยเนี่ยะ มุดฟ้า ดำดิน พอได้ก็แล้วกัน

    *****

    อนึ่ง การบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงชี้ว่า ก็นี่ เป็น วาสนา
    ของเขาที่เขาต้องมาสร้างเหตุปัจจัยในการเป็น พระปัจเจกฯ

    ดังนั้น ฟังธรรมนี่ พยายามเอา ธรรมเป็นใหญ่นะ อย่ามุ่งตัวบุคคล

    มุ่งตัวบุคคลนิดเดียว เข้าใจผิด ปรามาส พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่รู้ด้วยนะเอ้า
     
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เผอิญยังไม่เก่งเหมือนท่าน
    ยังต้องพึ่งครู พึ่งรอยเท้าของผู้ไปก่อน
    ว่า ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา ของผู้ที่สูงกว่าทำอย่างไร


    ก็ทำตามอยู่นะ.. พระองค์ท่านก็สอนนักปฏิบัติ ว่าการรู้จักทำเป็นอย่างไร
    ...ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถาม กะภิกษุทั้งหลายที่เป็นเถระ เป็นพหูสูต เป็นผู้รู้หลัก ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ตามกาลอันควรว่าภาษิตนี้เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลายผู้มีอายุนั้น จึงเปิดเผยข้อความที่ยังลี้ลับ ทำข้อความที่ลึกให้ตื้น บรรเทาความสงสัยในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย อันมีอย่างเป็นอเนกแก่ภิกษุนั้น
    คือสอบถามพระวจนะจากคนที่รู้มากกว่า.. ว่าที่ว่าอย่างนี้หมายถึงอะไร ที่ว่าอย่างนั้นหมายถึงอะไร ยังต้องหาครู และต้องปฏิบัติเองด้วย..

    แต่ที่ยุ่ง.. ก็เพราะพวกอ้างความเข้าใจตนนี้นั้น...แล้วอ้างว่าพระวจนะ ถ้าแย้งหมายถึงแย้งพระพุทธเจ้า..
    ...จะทำบูญที่ไหนก็ได้(แม้นบุญจะไม่เท่ากัน) แต่การจะสอบถามธรรมกับใคร ก็ต้องดูว่าท่านนั้นเป็นครูบาอาจารย์ไหม ท่านช่วยเราให้เข้าถึงการปฏิบัติแล้วเกิดปัญญาได้ไหม
     
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เอาอย่างนี้ผมไม่รู้ท่านอื่นทำอย่างไร ผมทำอย่างนี้ท่านจะทำตามหรือไม่ก็แล้วแต่นะ ตื่นเช้าถวายทานด้วการตักบาตรพระเป็นประจำ ถ้าทรัพย์สมบัติมีเพียงพอให้ลูกดหลานเรียนจบ ก็วางตัวออกห่างจากการงานไปอยู่วัดเป็นอุบาสกอุบาสิกา หรือไม่ก็บวชเลยหาที่สับปายะดีๆสักที่ ถ้ายังเป็นฆราวาสทำงานมีเงินก็แบ่งปัญญาติมิตร ที่เหลือกทำบุญในพระศาสนาให้มากเพื่อเป็นการส่งเสริมพระศาสนา และเป็นการทดสอบลดละอัตตาตัวเองว่ามีจิตตระหนี่หรือเปล่า ทำให้มากยิ่งๆขึ้นถ้ามีทรัพย์ ถ้าไม่มทรัพย์ก็ไม่เป็นไรก็บริจาคอย่างอื่น เช่นบริจาคธรรม บริจาคอวัยวะ ฯ หมั่นเล่าเรียนสุตตะเพิ่มเติมโดยศึกษาพุทธวจนอยู่ประจำ ปฎิบัติให้มากถ้าเป็นสัดส่วน 80%เลย(ผมใช้กายคตาสติอยู่กับลมหายใจ ใชบทอธิฐานควาเพียร แล้วเคยทำตัวอย่างไรกับครูอาจารย์กให้ทำเหมือนเดิม ผมทำแบบนี้แหล่ะ ถ้าพอจะไปกราบสังเวชนียสถาน4ตำบลได้สมควรไปให้ไดั เพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวเราเอง อ้อลืมหากัลยาณมิตรดีๆไวสักคนที่เป็นเพื่อนไปไหนด้วยกันจะไดพากันไปคอยสนับสนุนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  4. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ก็เป็น ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา ของคุณไป
    แต่ใครสนใจหรือไม่ ไม่รู้เหมือนกันนะ
     
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ก็บอกได้เท่านีแหล่ะครับ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทีนี้ ถ้าจะ สรุปรวมๆ ของ ธรรมบทที่คุณ สนใจ

    ก็ต้อง สรุปว่า

    อานิสงค์ของการฟังธรรมบ่อยๆ ในกรณีที่ เจริญสติปัฏฐานไม่สำเร็จ
    ( หลงลืม สติ )

    คือ

    พึงหวังได้ว่า

    " จะไปเกิดเป็น เทวดา ได้พบพระพุทธศาสนา "

    แค่นี้แหละ

    ซึ่งก็จะไปเกิดเป็น เทวดา ที่ อยู่ดีๆ ก็ระลึก ธรรมได้
    หรือ ต้องให้คนมาสะกิดก่อนจึงจำได้ หรือ เบิ่งโลก
    ไปๆมาๆ ฟังเขาพูดกันเรื่องความดี ก็ ค่อยมานั่ง นึกได้
    ว่า ความดีของเรานี้หนอเคยมีอะไรบ้าง ....

    ดูรวมๆไปแล้ว

    ก็พิจารณาเอาละกันว่า

    " เกิดเป็นมนุษย์ พบ พระพุทธศาสนา "

    กับ

    " เกิดเป็นเทวดาจุมปุ๊ก (สติเกิดช้ากว่ามนุษย์ ) พบ พระพุทธศาสนา "

    อันไหน ควร ฮานาก้า มากกว่ากัน
     
  7. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด เทวดาเป็นผู้จะต้องจุติจากเทพนิกายเมื่อนั้น
    นิมิตร ๕ ประการ ย่อมปรากฏแก่เทวดานั้น คือ ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง ๑ผ้าย่อมเศร้าหมอง ๑
    เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ ๑ ผิวพรรณเศร้าหมองย่อมปรากฏที่กาย ๑ เทวดาย่อมไม่ยินดีใน
    ทิพอาสน์ของตน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายเทวดาทั้งหลายทราบว่า เทพบุตรนี้จะต้องเคลื่อนจาก
    เทพนิกาย ย่อมพลอยยินดีกะเทพบุตรนั้นด้วยถ้อยคำ ๓ อย่างว่า แน่ะท่านผู้เจริญ ขอท่านจาก
    เทวโลกนี้ไปสู่สุคติ ๑ ครั้นไปสู่สุคติแล้ว ขอจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ๑ ครั้นได้ลาภที่ท่าน
    ได้ดีแล้ว ขอจงเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดี ๑ ฯ
    [๒๖๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามว่าข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นส่วนแห่งการไปสู่สุคติของเทวดาทั้งหลายอะไรเป็นส่วนแห่ง
    ลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว อนึ่ง อะไรเป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย
    พระเจ้าข้า ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์แล เป็นส่วนแห่งการไปสู่
    สุคติของเทวดาทั้งหลาย เทวดาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ย่อมได้ศรัทธาในธรรมวินัยที่พระตถาคต
    ประกาศแล้ว นี้แลเป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว ก็ศรัทธาของเทวดานั้นแล
    มีรากอันหยั่งลงมั่นเเล้ว อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม
    หรือใครๆ ในโลก พึงนำไปไม่ได้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดี
    ของเทวดาทั้งหลาย ฯ
    เมื่อใด เทวดาจะต้องจุติจากเทพนิกายเพราะความสิ้นอายุเมื่อนั้น
    เสียง ๓ อย่างของเทวดาทั้งหลายผู้พลอยยินดีย่อมเปล่งออกไปว่า
    แน่ะท่านผู้เจริญ ท่านจากเทวโลกนี้ไปแล้วจงถึงสุคติ จงถึงความเป็น
    สหายแห่งมนุษย์ทั้งหลายเถิดท่านเป็นมนุษย์แล้ว จงได้ศรัทธาอย่างยิ่ง
    ในพระสัทธรรมศรัทธาของท่านนั้นพึงเป็นคุณชาติตั้งลงมั่น มีมูลเกิด
    แล้วมั่นคงในพระสัทธรรมที่พระตถาคตประกาศดีแล้ว อันใครๆพึงนำไป
    มิได้ตลอดชีพ ท่านจงละกายทุจริต วจีทุจริตมโนทุจริต และอย่า
    กระทำอกุศลกรรมอย่างอื่นที่ประกอบด้วยโทษ กระทำกุศลด้วยกาย
    ด้วยวาจาให้มาก กระทำกุศลด้วยใจหาประมาณมิได้ หาอุปธิมิได้
    แต่นั้นท่านจงกระทำบุญอันให้เกิดสมบัตินั้นให้มาก ด้วยทาน แล้วยัง
    สัตว์แม้เหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในพระสัทธรรม ในพรหมจรรย์ เมื่อใด
    เทวดาพึงรู้แจ้งซึ่งเทวดาผู้จะจุติ เมื่อนั้น ย่อมพลอยยินดีด้วยความ
    อนุเคราะห์นี้ว่า แน่ะเทวดา ท่านจงมาบ่อยๆ ฯ
    จบสูตรที่ ๔
     
  8. Satoranai

    Satoranai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +263
    พูดภาษาไทยแบบนี้ยังงง??
    หลวงตามหาบัวท่านยกว่าตัดทอนไม่ได้หรอก พระพุทธองค์ อริยสาวก พระสุปฏิปันโน เพราะเหมือนต้นไม้ใหญ่ มีกิ่งก้านใบ
    ไม่ใช่หรือครับ สามัญสำนึก ตรรกะในระดับที่ชาวบ้านก็เข้าใจ
    ทำไมเรื่องแค่นี้ ต้องยกพระไตรปิฎกมาเทียบเชียวหรือ??

    คุณจะไม่ นาป่าพง.พุทธวจน.mania เกินไปหรือ

    ถ้าเช่นนั้น เวลาคุณเขียนประโยคพูดกับผู้คนในนี้ คุณต้อง "....ดูกร..." ตลอดเวลาสิ เอ้อ ให้มันได้สิ

    เรื่องจริงที่ง่ายสุดง่ายครับ
    มีผู้ใหญ่ถามผมว่า เอ้อ เรื่องวัดนาป่าพงนี่เป็นยังไง
    ผมบอกว่า "ก็แค่พระมีทิฏฐิ สวดปาติโมกข์๑๕๐ข้อ"
    แค่นั้น ผู้ใหญ่ท่านก็บางอ้อ ไม่ต้องสาธยายอะไรต่อครับ

    เรื่องง่ายๆครับ ผู้มีสามัญสำนึกเข้าใจได้ง่ายที่สุดเลย
    ผมไม่ต้องต่อความว่า
    "แล้วเวลาไปแสดงธรรม ก็จะปฏิเสธที่จะกล่าวถึงอรรถกถา
    ... มิน่าไม่เรียกว่า พระไตรปิฎก เพราะขาดเนื้อหาส่วนนี้นั่นเอง"
    "...คำสอนครูจารย์ ท่านก็ปฏิเสธด้วย
    เค้าหาว่า เป็นคำแต่งใหม่ นอกรีต"

    แต่ถ้ามิจฉาในใจคนไหนแรงไป ตึงไป ก็ต้องปล่อยไปน่ะครับ
     
  9. Satoranai

    Satoranai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +263
    ผมว่าตรรกะเรื่อง
    "พอยกครูบาอาจารย์มาพูด ก็เถียงกันไม่จบว่าใครถูกผิดแน่
    ยกคำของพุทธองค์มานี่แหละ ไม่ต้องเถียงกันเลย"

    มันไม่จริงเลยนะครับ
    ไม่เช่นนั้น กระทู้นี้ไม่ยาวมาถึงนี่แน่นอน
    นี่เถียงกันเลยว่า "พุทธวจน" ที่ท่านยกมานั้น บริสุทธิ์จริงรึเปล่า??
    เพราะ ผู้ที่โปรโมทเรื่องนี้ อ่านบาลีไม่แตกฉานจริงๆ
    "พุทธวจน" ที่ท่านพยายามดันมาตลอด จึงตกหลุมที่ ๑๕๐
     
  10. Satoranai

    Satoranai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +263
    ถามต่อว่า ที่วัดนาป่าพง ปฏิบัติภาวนาอย่างไรครับ
    จับลมหายใจอย่างเดียว ตามพระพุทธองค์ หรือเปล่า??
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ความยึดมั่นถือมั่น ใดๆล้วนเป็นทุกข์ เป็นเสมือนภาชนะที่คว่ำอยู่ไม่สามารถรองรับหรือใส่อะไรเติมอะไรลงไปได้อีก
    หากเปิดใจให้กว้างรู้จักฟังให้มากศึกษาให้มาก เปิดใจให้กว้างดั่งทะเล ท่านย่อมได้รับความรู้จริงและไม่จริงต่างๆมากมาย เหมือนทะเลที่เต็มไปด้วยน้ำทะเล และหากท่านรู้จักฝึกการคิดพิจารณาแบบพระพุทธเจ้าที่ท่านอบรมสั่งสอนไว้ ท่านย่อมแยกแยะธรรมและอธรรมทั้งหลายได้ด้วยปัญญาของท่านครับ สาธุ
     
  12. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เผอิญต้องรีบไป
    แต่ มีความสงสัย คำว่า สาวกภาษิต ในอาณิสูตร (คาใจ)
    ดูเหมือนแปลมาจากคำว่า..สาวกภาสิตา
    แต่ไม่ทราบว่าจะมีนัยยะอะไร อย่างไร มากกว่าที่เห็นไหม
    (..เพราะพระพุทธองค์ทรงสรรเสริญสาวกระดับเลิศที่มีคำสอนที่ดี ถูกหลักการปฏิบัติ)
    เลยไปค้นในอรรถกถา แต่ก็ยังไม่เข้าใจ (ยกไว้ก่อน)
    สงสัย ท่านเล่าปัง จะค้นได้ (วานหน่อย)

    ๗. อาณิสูตร
    [๖๗๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่า
    ทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมา
    โครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก
    มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง
    จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา
    แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มี
    อักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จัก
    ปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ
    ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ
    [๖๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้ว
    อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน
    ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขา
    กล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบ
    ด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่ง
    จิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ

    อรรถกถาอาณีสูตรที่ ๗
    ...
    กลองนั้นได้ชื่อว่า อานกะ เพราะเหมือนเรียกประชาชนมา ด้วยประการฉะนี้.
    บทว่า อญฺญํ อาณึ โอทหึสุ ความว่า ตอกลิ่มอื่นที่สำเร็จด้วยทองและเงินเป็นต้น.
    บทว่า อาณิสงฺฆาโตว อวสิสฺสติ ความว่า เพียงการตอกลิ่มที่สำเร็จด้วยทองเป็นต้นเท่านั้นได้เหลืออยู่. ลำดับนั้น เสียงของกลองนั้นดังไปประมาณ ๑๒ โยชน์ แม้อยู่ภายในม่านก็ยากที่จะได้ยิน.
    บทว่า คมฺภีรา ความว่า ว่าโดยบาลีพระสูตรทั้งหลายที่ลึก เช่นสัลลสูตร.
    บทว่า คมฺภีรตฺถา ความว่า ว่าโดยอรรถ พระสูตรทั้งหลายที่ลึก เช่นมหาเวทัลลสูตร.
    บทว่า โลกุตฺตรา ได้แก่ แสดงอรรถอันเป็นโลกุตตระ.
    บทว่า สุญฺญตปฏิสญฺญุตฺตา ความว่า เหมือนประกอบข้อความที่ประกาศเพียงสุญญตธรรมเท่านั้น.
    บทว่า อุคฺคเหตพฺพํ ปริยาปุณิตพฺพํ ความว่า ที่ควรเล่าเรียนและควรศึกษา
    บทว่า กวิกตา ความว่า อันกวี คือนักปราชญ์รจนาไว้. นอกนั้นเป็นไวพจน์ของบทว่า กวิกตา นั่นเอง.
    บทว่า จิตฺตกฺขรา ได้แก่ มีอักษรวิจิตร. นอกนั้นเป็นไวพจน์ของบทว่า จิตฺตกฺขรา นั่นเอง.
    บทว่า พาหิรกา ได้แก่ มีภายนอกพระศาสนา.
    บทว่า สาวกภาสิตา ความว่า สามเณร ภิกษุหนุ่ม มาตุคามและมหาคหบดีเป็นต้นมีความพอใจ เพราะพระสูตรเหล่านั้นมีอักษรวิจิตรและสมบูรณ์ด้วยการฟัง จักเป็นผู้ปรารถนาประชุมฟังด้วยคิดว่า ผู้นี้เป็นธรรมกถึก.
    บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุนั้น พระสูตรทั้งหลายที่เป็นตถาคตภาษิต เมื่อพวกเราไม่ศึกษา ย่อมอันตรธานไป.

    อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค โอปัมมสังยุตต์ อาณิสูตร จบ.

    อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=16&A=7046&Z=7066
     
  13. Mon Treal

    Mon Treal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +536
    พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ เพื่อการละขาดซึ่งภพ
    สัตว์โลกนี้ เกิดความเดือดร้อนแล้ว มีผัสสะบังหน้า
    ย่อมกล่าวซึ่งโรค (ความเสียดแทง) นั้น โดยความเป็นตัวเป็นตน
    เขาสำคัญสิ่งใด โดยความเป็นประการใด แต่สิ่งนั้นย่อมเป็น (ตามที่เป็นจริง)
    โดยประการอื่นจากที่เขาสำคัญนั้น สัตว์โลกติดข้องอยู่ในภพ ถูกภพบังหน้าแล้ว
    มีภพโดยความเป็นอย่างอื่น (จากที่มันเป็นอยู่จริง) จึงได้เพลิดเพลินยิ่งนักในภพนั้น.
    เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นภัย (ที่เขาไม่รู้จัก) :
    เขากลัวต่อสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์.
    พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ.
    สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด กล่าวความหลุดพ้นจากภพว่ามีได้เพราะภพ ;
    เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น มิใช่ผู้หลุดพ้นจากภพ.
    ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด กล่าวความออกไปได้จากภพว่า มีได้เพราะวิภพ (ไม่มีภพ) :
    เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น ก็ยังสลัดภพออกไปไม่ได้.
    ก็ทุกข์นี้มีขึ้น เพราะอาศัยซึ่งอุปธิทั้งปวง.
    เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทานทั้งปวง ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์จึงไม่มี.
    ท่านจงดูโลกนี้เถิด (จะเห็นว่า) สัตว์ทั้งหลายอัน
    อวิชชา (ความไม่รู้) หนาแน่นบังหนาแล้ว ;
    และว่าสัตว์ผู้ยินดีในภพอันเป็นแล้วนั้น ย่อมไม่เป็นผู้หลุดพ้นไป
    จากภพได้ ก็ภพทั้งหลายเหล่าหนึ่งเหล่าใด อันเป็นไปในที่หรือในเวลาทั้งปวง
    เพื่อความมีแห่งประโยชน์โดยประการทั้งปวง ;
    ภพทั้งหลายทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา.
    เมื่อบุคคลเห็นอยู่ซึ่งข้อนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริงอย่างนี้อยู่ ;
    เขาย่อมละภวตัณหา(ความอยากมีอยากเป็น)ได้
    และไม่เพลิดเพลินวิภวตัณหา(ความไม่อยาก) ด้วย.
    ความดับเพราะความสำรอกไม่เหลือ (แห่งภพทั้งหลาย)
    เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาโดยประการทั้งปวง นั้นคือนิพพาน.
    ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับเย็นสนิทแล้วเพราะไม่มีความยึดมั่น.
    ภิกษุนั้น เป็นผู้ครอบงำมารได้แล้ว ชนะสงครามแล้ว
    ก้าวล่วงภพทั้งหลายทั้งปวงได้แล้วเป็นผู้คงที่ (คือไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป), ดังนี้ แล.
    อุ.ขุ. ๒๕ / ๑๒๑ / ๘๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  14. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เขาเสนอมาประเด็นเกี่ยวกับพุทธวจน ฟังแล้วจะทำอย่างไร ตามสบายเลย ผมยังสบายเลย คุณเปลี่ยนเขาได้มั้ยล่ะ
     
  15. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เขาพร้อมจะเปลี่ยนอยู่แล้วมีอะไรดีๆก็บอกเขาได้ เขานับถือสิ่งที่พระองค์สั่งไว้ เขาคงไม่ยึดกับสิ่งผิดหรอกครับ ไปซิคิดว่าตรวไหนถูกก็ไปบอกเขาถัาคุณหวังดีจริง
     
  16. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ฟังเยอะๆ มีอะไรสงสัยสงคำถามไปถามไดและได้คำตอบ http://watnapp.com/
     
  17. Satoranai

    Satoranai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +263
    ขอคำคอนเฟิร์มดีกว่า

    ทำไมถึงเรียกเป็นพุทธวจนะ ไม่เรียกว่าพระไตรปิฎก
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!! ว่าไปนั่น
    เปิดทางให้แล้ว เก่งขนาดเปิดทางให้เลยเหรอ55+
    คนอะไรอ้างมันแต่พระพุทธพจน์ ฉบับถูกใจจริงๆยิ่งกว่าได้ทอง
    แม้พระพุทธพจน์ฉบับถูกใจจริงๆยิ่งกว่าได้ทองที่ว่า
    พระพุทธองค์ทรงตรัสแค่ว่า เราเป็นเพียงผู้ชี้ทางให้เท่านั้น

    ก็ไม่แปลกใจที่สามารถเปิดทางได้ ก็ของมันง่ายๆ สบายๆ และลัดสั้น
    เพียงท่องๆ จำๆ แล้วนำมาคิด จนความคิดนั้นตกผลึกดีแล้ว(รู้แจ้งแทงตลอด)
    แค่นี้ก็โอ ทางเปิดแล้ว ใกล้ได้คุณวิเศษแล้ว มีสติหลงลืมตอนตายก็พอ
    ใช่เลย ประมาณนั้นเลย ไม่มีมากไป ไม่มีน้อย55+
    แถมยังเปิดทางให้คนอื่นได้อีกด้วย ยังๆไม่พอ ยังเลือกได้อีกต่างหาก
    โอ๊ย!!!เก่งจริงๆ แสดงว่าตนเองรอดแล้ว จึงได้เผื่อแผ่ค่อยเปิดให้คนอื่น(บ๋อยชัดๆ)55+

    อย่าแอบอ้างพระบาลีมันมากจนเกินงามไปเลย แค่ใบไม้กำมือเดียวก็น่าจะพอนะ
    ขนาดในส่วนของใบไม้กำมือเดียว แม้อรรถกถาจารย์ท่าน แต่ละคณะที่ได้รับผิดชอบแปล
    ยังแปลออกไปคนละทางสองทางเลย เมื่อลงกันไม่ได้ก็ได้แต่ลงหมายเหตุไว้เท่านั้น เฮ้อ!!!

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  19. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    มีแต่คำพระพุทธองค์เท่านั้นแหล่ะครับทุกวันนี้ที่ทำให้ มนุษย์ เทวดา พรหมฯที่ได้บรรลุธรรม คำของสาวกไม่มีหรอกครับ สาวกเป็นผู้เิดินตาม กล่าวคำตถาคตเท่านั้น พิจารณาดีๆเถอะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  20. สุรีบุตร

    สุรีบุตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +7
    เคยได้ดูได้ฟังวัดนาป่าพงครั้งหนึ่ง ก็ทำนองว่ายึดพุทธวจนะ นั้นแหละ
    แต่พอเปิดโอกาสให้ผู้ฟังถาม มีท่านหนึ่งถามว่าอะไรคือ "เช่นนั้นเอง"
    พระท่านก็ตอบโดยไม่เห็นจะอิงพพุทธวจนะ อะไรเลย
    ตอบเอง คำตนเอง ไม่ใช่คำตถาคตเหมือนกันแหละ?????
     

แชร์หน้านี้

Loading...