พระมหาโมคคัลลานะเถระ พบพระพุทธเจ้า ในจักรวาลอื่น

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 9 ตุลาคม 2004.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,013
    ความเป็นมา
    --------------
    เหตุการณ์เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล เมื่อพระมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระน้านางแห่งองค์สมเด็จศรีศากยะมุนึสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระทัย
    ชื่นชมโสมนัสยินดี ได้จัดทำผ้าเนื้อละเอียดมีค่ามาก ด้วยวิริยะอุตสาหะอันยิ่งให_่ ด้วยน้ำพระทัยเจาะจงถวายแด่องค์สมเด็จพระศาสดา แต่เมื่อได้
    นำผ้านั้นมาน้อมถวาย พระองค์ไม่ยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ผันผายหันไปจะถวายแด่องค์อรรคสาวกทั้งสอง แต่ก็ไม่รับเช่นกัน แล้วพระนางก็
    น้อมถวายแด่พระเถรานุเถระพระสงฆ์องค์อรหันต์ทั้งหลาย แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดรับผ้านั้น จวบจนกระทั่งถึงภิกษุใหม่รูปหนึ่ง นามว่า " อชิตะ"
    นั่งอยู่ข้างท้ายปลายแถว
    ในที่สุด ท่านก็รับผ้านั้น สร้างความเสียพระทัยให้แก่พระนางเป็นอันมาก หากแม้ว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงรับ แต่องค์อรรคสาวกทั้งสอง
    ท่านใดท่านหนึ่งรับ ก็คงจะสมพระทัยอยู่ไม่น้อย แต่นี่กระไร พระภิกษุบวชใหม่ ไม่ได้สำเร็จมรรคผลใด ๆ เป็นผู้รับ
    พระบรมศาสดา เพื่อจะเปลื้องความกังขาสงสัยในน้ำพระทัยของสมเด็จพระน้านางแห่งพระองค์ที่ได้เคยฟูมฟักรักษาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว๋วัย
    จึงได้ทรงอธิษฐานบาตรของพระองค์ให้อัตรธานหายไป แล้วได้ตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่าท่านผุ้ใดสามารถหาบาตรของตถาคตเจอบ้าง ก็เห็นแต่
    พระมหาโมคคัลลานะเถระ องค์เดียวที่มีฤทธิ์มาก จึงห่มผ้าเฉลียงบ่าประคองอั_ชีทูลพระชินศรีบรมศาสตา เพื่อออกแสวงหาบาตรใบนั้น

    การหาบาตรของพระมหาโมคคัลลานะเถระ
    ------------------------------------------------
    การออกไปหาบาตรของพระเถระนั้น ได้ใช้มหาฤทธานุภาพเป็นอันมาก หลวงปู่ตื้อ อาจารธมฺโม ได้เล่าในการแสดงพระธรรมเทศนาที่
    วัดอโศการามว่า พระมหาโมคคัลลานะเถระนั้น ต้องใช้ฤทธิ์ของท่านระเบิดวงล้อมแห่งจักรวาลออกไป อาจารย์ นายแพทย์ ตันม่อเซี้ยง ได้เล่าเรื่องนี้
    ไว้ในการบรรยาย"วิชามหายาน" ของท่าน ในสมัยที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่ในชั้นเตรียมศาสนศาสตร์ มหามกุฏราชวิทยาลัย ว่า
    "พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกแก่พระมหาโมคคัลลานะเถระว่า เมื่อท่านออกห่างจากชมพูทวีปไป เมือหันมามองดูชมพูทวีปเห็นเท่าผืนนา
    ของชาวมคธแล้วให้รีบกลับมา หรือไม่หากท่านไปไกลกว่านั้น จนกระทั่งที่สุดเห็นชมพูทวีปเป็นจุดเล็ก ๆ แล้วให้รีบกลับมา"
    เมื่อได้กราลทูลลาพระพุทธองค์แล้ว พระเถระก็ออกเดินทางแสวงหาบาตรไปทั่วสากลภิภพ ไกลออกไปจนพ้นเขตจักรวาล

    แดนสุขาวดีพุทธเกษตร
    --------------------------
    การหาบาตรดำเนินไปทั่วสากลจักรวาล ลุถึงแดนหนึ่งที่เรียกว่า " สุขาวดีพุทธเกษตร" เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุข ในดินแดน
    แห่งนี้มีแต่การศึกษาธรรมะ แม้แต่เสียงนกที่ร้องออกมาก็เป็นธรรมะ ณ ดินแดนแห่งนี้เอง มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งดำรงอยู่ ทรงพระนาามว่า
    " อมิตาภะพุทธเจ้า" ขณะนั้น พระพุทธองค์กำลังประทับอยู่ท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมาก พระวรกายให_่โตมาก พระโมคคัลลานะเถระ
    ได้เหาะเข้ามาในที่ประชุมสงฆ์มีพระรพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้เข้าไปยืนอยู่บนขอบบาตรของพระพุทธเจ้า ( แสดงว่าบาตรให_่โตมาก สามารถขึ้น
    ในยืนอยู่บนขอบบาตรนั้นได้) พร้อมประคองอั_ชุลีถวายความเคารพ เมื่อพระภิกษุทั้งหลายเห็นเช่นนั้น ก็ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
    "นี่คืออะไรหนอ ? รูปร่างเล็ก ๆ "
    พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี่ไม่ใช่อื่นไกลเลย เธอทั้งหลายอย่าได้ประมาท ภิกษุรูปนี้ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งพระสมณ
    โคดมพุทธเจ้าแห่งชมพูทวีป ผู้มีฤทธิ์มาก กำลังแสวงหาบาตรของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นอยู่ แล้วก็หลงเข้าสู่แดนของเรา
    จากนั้น พระมหาโมคคัลลานะเถระได้ทูลถามทางที่จะกลับสู่ชมพูทวีป พระอภิตาภาะพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรโมคคัลลานะ เธอจงไปตาม
    พุทธรัสมีแห่งเรา เมื่อพ้นขอบจักรวาลแห่งนั้น เธอก็จะเห็นพุทธรัสมีแห่งพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้เธอตามพระพุทธรัสมีนั้นไป เธอก็จะ
    สามาถเข้าสู่ชมพูทวีปได้ เหตุการณ์ตอนนี้เองที่คนทั้งหลายกล่าวกันว่า " โมคคัลลาหลงทีป" คือหลงแดน(หาทางกลับไม่ได้)นั่นเอง
    เมื่อได้ฟังพุทธดำรัสแห่งองค์อภิตาภะพุทธเจ้าเช่นนั้นแล้ว พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าก็ได้กราบทูลลาออกจากแดนสุขาวดีพุทธเกษตร
    ตามพระพุทธรัสมีแห่งพระองค์ เมื่อพ้นจากแดนสุขาวดี ก็เห็นพระพุทธรัสมีแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลาย เข้าสู่ชมพูทวีปแล้ว
    เข้าถวายอภิวาทพระบรมศาสดาทูลว่า
    ข้าพระองค์ได้ออกแสวงหาบาตรไปทั่วแดนจักรวาลไม่พบเห็นเลยพระเจ้าข้า เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามพระภิกษุรูปอื่น ๆ ก็ไม่มีผู้ใด
    สามารถหาบาตรพบได้ จนถึงภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่งชื่ออชิตะ ยังไม่ได้บรรลุฌานอภิ__าเหาะเหินเดินอากาศก็ไม่ได้ จึงได้ออกไปยืนพร้อมอธิษฐาน
    ว่าขอให้บาตรของพระพุทธองค์จงปรากฏบนมือของข้าพเจ้าบัดนี้เถิด พลันบาตรของพระพุทธองค์ก็ปรากฏบนมือของท่าน แล้วนำไปถวาย
    พระพุทธองค์ตรัสว่า อชิตะภิกษุรูปนี้ ไม่ใช่พระธรรมดา แต่เป็นหน่อเนื้อพุทธรางกูรบำเพ็_บารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน
    อนาคตพระนามว่า " พระศรีอาริยเมตไตรย" แล้วตรัสปลอบใจแด่สมเด็จพระน้านางประชาบดีโคตมีว่า พระองค์นั้นได้ลาภอันประเสริฐแล้วที่
    ได้ถวายผ้าแด่พระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทำให้พระนางมีพระทัยแช่มชื่นเบิกบาน

    เหตุการณ์ก่อนพระศรีอาริยเมตไตรยอุบัติ
    ----------------------------------------------
    ในคัมภีร์อนาคตวงศ์ อันเป็นคัมภีร์เก่าแก่มีมาก่อนสมัยกรุงสุโขทัย ได้กล่าวว่า วันหนึ่งพระธรรมเสนาบดี ทูลถามพระบรมศาสดา
    ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจริ_ ในภัทรกัป พระอชิตะเถระ จะได้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้าองค์ประเสริฐหรือ? "
    พระบรมศาสดา ตรัสตอบว่าเมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทำบาปแล้ว จุติจากความเป็นมนุษย์ บังเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ จุติจากอัตภาพนั้น
    แล้วท่องเที่ยวไปมาบำเพ็_บารมี ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ย่อมได้นิพพาน
    สัตว์ทั้งหลายอีกพวกหนึ่งทำบุ_แล้วบังเกิดในกามภพทั้ง ๖ พรหมโลก จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปมา บำเพ็_บารมีมีพระพุทธเจ้า
    พระปัจเจกพุทธเจ้า และเป็นพระอรหันต์ จักถึงพระนิพพาน
    จากนั้นพระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เจริ_ พระพุทธเจ้าในอดีต มีมาแล้วหาทึ่สุดมิได้ เราไม่
    อาจกำหนดคำนวณพระพุทธเจ้าได้ ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เจริ_ ในอนาคต พระพุทธเจ้า ๑๐ พระองค์ จักเสด็จอุบัติ"

    ความเสื่อมแห่งโลก
    --------------------
    เมื่อพระสารีบุตรทูลอาราธนาเพื่อให้แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์ จึงตรัสว่า
    ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เจริ_ ขอเธอจงสดับเถิด เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ศาสนาของเราจีงคงอยู่ อธิคม ๕ ยังมีอยู่
    เมื่ออธิคม ๕ ล่วงไปแล้ว คนทั้งหลายมีอายุเสื่อมถอยลงจนถึงอายุ ๑๐ ปี เมื่อใดเด็กชายอายุ ๕ ขวบ กับเด็กห_ิงอายุ ๕ ขวบ จ้กแต่งงานกัน
    เมื่อนั้นสัตถันตรกัป จักเกิดมี คนทั้งหลายฆ่าฟันกันถึงแต่ความตาย

    ความเจริ_แห่งโลก
    ---------------------
    ต่อมา ในบรรดาคนทั้งหล่านั้น พวกที่เป็นบัณทิต แรกทีเดียวได้ฟังข่าวถึงความพินาศนั้น จึงพากันเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในซอกเขา
    เป็นต้น ฯ นอกจากบัณฑิตเหล่านั้น คนที่เหลือจักฆ่ากันและพินาศไป ฯ
    ครั้นล่วง ๗ วันไปแล้ว คนที่เป็นบัณฑิตก็พากันออกมาจากที่หลบซ่อนของตน ๆ ในวันที่ ๗ สวดกอดกันและกันแล้ว ได้พร้อมเพรียง
    กันรักษาศีล เจริ_กรรมฐาน
    ถามว่า " เจริ_กรรมฐาน คืออย่างไร?"
    ตอบว่า " เจริ_กรรมฐาน คือ การพิจารณาว่า" อัตภาพนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่งาม ไม่สะอาด"
    เมื่อคนทั้งหลายกันรักษาศีลเป็นนัตย์ ย่อมเจริ_ด้วยอายุ คนอายุ ๑๐ ขวบ บตรของคนอายุ ๑๐ ขวบ จักมีอายุ ๒๐ ปี บุตรของ
    คนมีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุ ๓๐ ปี บุตรของคนอายุ ๓๐ ปีจักมีอายุ ๔๐ ปี บตรของคนมีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุ ๕๐ ปี ๆ จักมีอายุ ๑๐๐ ปี บุตรของ
    คนมีอายุ ๑๐๐ ปีจักมีอายุ ๑,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ ๑,๐๐๐ ปีจักมีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
    (เพิ่มขึ้นในลักษณะนี้) จนถึงคนเจริ_อายุเป็น ๑ อสงไขย

    อธรรมเพิ่มอายุลด
    --------------------
    ในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่แก่ไม่ตายเลย คนทั้งหลายประมาทแล้ว ย่อมมีอายุเสือมถอยลง คนทั้งหลายมีอายุเสือมถอยจาก
    ๑ อสงไขยลงมาจนถึงมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปีฯ เด็กชายมีอายุ ๕๐๐ ปี เด็กห_ิงอายุ ๕๐๐ ปี จักแต่งงานกันณ ในกาบนั้น ฝนจะตกทุก ๑๐ วัน ๑๕ วันฯ
    แผ่นดินเจริ_ พื้นแผ่นดินในชมพูทวีปราบเรียบเสมอกันดั่งหน้ากลอง พวกผู้ชายในสากลชมพูทวีป มีรูปร่างสวยงามทรงอาภรณ์ ประหนึ่งเทวบุตร
    พวกผู้ห_ิงมีรูปสวยงามประหนึ่งนางเทพอัปสร ชมพูทวีปมั่งคั่งสมบูรณ์

    กำเนิดพระเจ้าจักรพรรดิ์
    --------------------------
    พระองค์ตรัสต่อไปว่า เมืองพาราณสีกลายเป็นนครชื่อเกุมดี ยาว ๑๖ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ที่ประตูเมือง ๔ แห่ง มีต้นกัลปพฤกษ์เกิด
    ๔ ต้น พระนครนั้นมีกำแพง ๗ ชั้น (สร้าง)แล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ
    ครั้งนั้น นฬการเทพบุตร เสวยสิริสมบัติในเทวดา ไป ๆ มา ๆ ในสวรรค์กามาพจร ๖ ชั้น จุติจากสวรรค์นั้นแล้ว อุบัติเป็นพระเจ้าสังขะ
    จักรพรรดิราช ครองสมบัติในกรุงเกตุมดีนครนั้น

    สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ
    -------------------------
    พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิว่า ด้วยราชานุภาพ ปราสาททองแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการที่พระเจ้ามหานาทะประทับ
    ผุดขึ้นจากแม่น้ำคงคา ลอยมาทางอากาศ จักประดิษฐาน ณ ท่ามกลางเกตุมดีนคร มีหมู่นางสนมเกิด ณ ปราสาท ๘๔,๐๐๐ นาง พระราชาทรงมี
    พระโอรส ๑,๐๐๐ พระองค์ พระโอรสองค์ให_่ ทรงพระนามว่า อชิตกุมาร ทรงได้เป็นขุนพลแก้ว พระราชาทรงได้แก้ว ๗ ประการคือ จักรแก้ว
    นางแก้ว แก้วมณี ช้างแก้ว ม้าแก้ว และขุนพลแก้ว
    สระแก้ว เกิดขึ้นที่ใกล้ปราสาท กำแพงแก้วสำเร็จแล้วด้วยทอง ด้วยแก้วไพฑูรย์ ด้วยเงิน น้ำมีกลิ่นหอม เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ ดาดาษ
    ไปด้วยดอกปทุม ๕ ชนิด (คือ ขัวเขียว บัวขาว บัวแดง บัวปทุม บัวปุณฑริก) และถึงพร้อมด้วยดอกโกมุท ๒ ชนิด ณ ที่ใกล้(สระ)ได้มีธงชัยและเศวต
    ฉัตร (สำเร็จ)แล้วด้วยแก้ว
    ในสากลชมพูทวีปจะมีมหานครเกิดขึ้น ๘๔,๐๐๐ เมือง ในมหานครเหล่านั้น จะมีกษัติรย์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ พระราชาอันมี
    พระราชาทั้งปวงแวดล้อมแล้ว เสวยจักรพรรดิสมบัติ ในสกชมพูทวีป ประนึ่งว่าเสวยทิพสมบัติ

    ความอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า
    ---------------------------------
    ปุโรหิตของพระเจ้าจักรพรรดิ ชื่อ สุพรหมพราห์ม เป็นผู้มียศให_่ ไม่มีผู้เสมอเหมือน ภรรยาของปุโรหิตนั้น ชื่อว่า พรหมวดี
    ครั้งนั้น พระเมตไครยโพธิสัตว์อันเหล่าเทวดาอาราธนาแล้ว จุติลงจากดุสิตบุรี ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางพรหมวดีนั้น ท้าวจาตุมหาราช
    คอยรักษาครรภ์ พอครบถ้วนทสมาส พระโพธิสัตว์ ก็ประสูติจากพระครรภ์มารดา
    ในครั้งนั้น สากลชมพูทวีป จะปรากฏนิมิตให_่น้อย ๓๒ ประการ ในจักรวาลทั้งสิ้นมีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไป เพื่อเป็นที่ประทับของ
    พระโพธิสัตว์ มีปราสาทอุบุติ ๓ หลัง คือปราสาทหลังหนึ่งชื่อ สิริวัฒน์ หลังหนึ่งชื่อ สิทธัตถะ อีกหลังหนึ่งชื่อ จันทกะ พระโพธิสัตว์นั้นจะมี
    นางสนม ๑๐๐,๐๐๐ นางคอยบำเรอ พระอัตรมเหสี ประมุขของนางสนมเหล่านั้น จะทรงพระนามว่า จันทมุขี บุตรของพระโพธิสัตว์ จะมีนามว่า
    พรหมวัฒนะกุมาร พระโพธิสัตว์ ทรงมีพระชนมายุ ๘,๐๐๐ ปี

    เสด็จออกบรรพชา
    -------------------
    เสด็จขึ้นรถประหนึ่งวิมาน ไปสู่อุทยาน ทอดพระเนตรเห็นนิมิตรทั้ง ๔ ประการ ทรงบังเกิดพระ_าณมีความสังเวชเป็นอารมณ์
    ทรงพอพระทัยในความเป็นบรรพชิต เสด็จกลับมา ขึ้นสู่ปราสาท ทีงน้อมพระทัยในความเป็นบรรพชิตแล้ว ขณะนั้น ปราสาทแก้วของพระโพธิสัตว์
    ก็ลอยจากปฐพีขึ้นสู่อากาศ ครุวนาดั่งพระยาหงส์ทอง ได้พาพระโพธิสัตว์พร้อมบริวาร ลอยขึ้นสู่อากาศ
    ในกาลครั้งนั้น เหล่าเทวดาในหมื่นจักรวาล ต่างก็พากันเอาดอกไม้มาบูชา พระราชา ๘๔,๐๐๐ พระองค์ ชาวนิคมและชาวชนบท
    ต่างพากันถือเอาของหอมหรือดอกไม้มาบูชา พระยาอสูรราชาคอบรักษาปราสาท พระยานาคราช ก็ถือเอาแก้วมณี พระยาครุ? ก็ถือเอาแก้วประดับคอ
    พระยาคนธรรพ์ ก็เล่นดนตรีและฟ้อนรำบูชาพระโพธิสัตว์
    พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมพระสนทและบริวาร ได้ประทับยืนในสำนักพระโพธิสัตว์ ด้วยพระบรมราชานุภาพและอานุภาพพระมหาสัตว์
    มหาชนทุกหมู่เหล่าปรารถนาความเป็นบรรพชิต เหาะขึ้นไปในอากาศพร้อมกับพระโพธิสัตว์ ในกาลนั้น ท้าวมหาพรหมถือเอาฉัตร ๖๐ โยขน์
    มากางกั้นพระโพธิสัตว์นั้น
    ท้าวสักกะเทวราช ทรงเป่าวิชัยยุตรสังข์ ท้าวสุยาม ทรงถือพัดวาลวิชนีบูชา ท้าวสันดุสิต ทรงถือตาลปัตรแก้วมณีถวาย ปั_จสิขะเทพคนธรรพ์
    ยืนดีดพิณสีเหลืองแก้วไพฑูรย์ ท้าวมหาพรหมทั้ง ๔ มีมือถือพระขรรค์ประทับยืนห้อมล้อมในทิศทั้ง ๔ เหล่าเทวดา มนุษย์ คนธรรพ์ ยักษ์ นาค
    และครุฑ ทั้งมวล ล้วนห้อมล้อมทั้งสองข้าง คือข้างหน้าและข้างหลัง พระโพธิสัตว์ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริโสภาคเห็นปานนั้นแวดล้อม เหาะไปทาง
    อากาศ ก้าวลงสู่ที่ใกล้โพธิมณทล ขณะนั้น ท้าวมหาพรหม ได้อั_เชิ_บริขาร ๘ (คือ ใตรจีวร บาตร มีดโกน เข็ม รัดประตค และผ้ากรองน้ำ)
    ที่สำเร็จด้วยฤทธิ์น้อมเข้าถวายพระโพธิสัตว์นั้น

    พระโพธิสัตว์บรรลุพระสัพพั__ุต_าณ
    -------------------------------------------
    ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ ใช้พระขรรค์แก้วตัดพระเมาลี ซัดทิ้งไปในอากาศ ทรงรับบริขาร ๘ จากหัตถ์ของพรหม ผนวช ทรงลำเพ็_
    เพียรยิ่งให_่ตลอด ๗ วัน บุรุษทั้งมวลล้วนบวชตามพระมหาสัตว์เป็นอันมาก มีต้นกากะทิงเป็นไม้ตรัสรู้ มีต้นสูง ๑๒๐ ศอก มี ๔ กิ่ง
    แต่ละกิ่งยาว ๑๒๐ ศอก จากโคนถึงปลายกิ่ง ๒๔๐ ศอก ทางด้ายขวางและรอบ ๆ มีใบเขียวชอุ่มตลอดกาลเป็นนัตย์
    เวลาเย็น พระโพธิสัตว์เสด็จไปสู่โพธิมณฑล ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ ในปฐมยาม ทรงระลึกถึงบุพเพนิวาส_าณ
    ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุ_าณ ในปัจฉิมยาม ทรงพิจารณาปัจจยาการ ๑๒ ประการ กลับไปกลับมา ทรงบรรลุพระสัพพั__ุต_าน
    ในเวลารุ่งอรุณนั่นเอง ทรงเป็นพระพุทธเจ้า ทรงยังมนุษย์แสนโกฏิให้ดื่มน้ำอมฤต แทวดานับจำนวนไม่ได้จักตรัสรู้ธรรม

    พระวรกาย
    ------------
    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก กว้าง ๒๕ ศอก ทางขวางตั้งแต่ฝ่าพระบาทที่ประดิษฐานจนถึงพระชานุ
    ๒๒ ศอก แต่แต่พระชานุมณฑล จนถึงพระนาภี ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระนาภีจนถึงพระรากขวั_ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระรากขวั_จนถึงพระอุณหิสะ ๒๒ ศอก
    พระหัตถ์ทั้ง ๒ ข้าง ข้างละ ๔๐ ศอก ช่วงพระพาหาทั้ง ๒ ข้าง ข้างละ ๒๕ ศอก พระรากขวั_ข้างหนึ่ง ๆ ข้างละ ๕ ศอก พระองคุลีองค์หนึ่ง ๆ
    องค์ละ ๔ ศอก ฝ่าพระหัตถ์ ๕ ศอก ลำพระศอ ๕ ศอก พระโอษฐ์ด้ายบน ๑๕ ศอก พระโอษฐ์ด้านล้าง ๑๕ ศอก พระชิวหายาว ๑๐ ศอก
    พระนาสิกโด่ง ๗ ศอก พระเนตรทั้ง ๒ ข้าง กว้างข้างละ ๗ ศอก วงพระเนตรทั้ง ๒ ข้าง ๆ ละ ๕ ศอก พระโขนงทั้ง ๒ ข้าง ๆ ละ ๕ ศอก ระหว่างพระโขนง
    ทั้งสอง ๔ ศอกพระกรรณทั้งสองข้าง ๆ ละ ๗ ศอก ส่วนยาว ๕ ศอก เวียนรอบพระอุณหิสะ ๒๕ ศอก พระพุทธองค์ทรงมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
    ประกอบด้วยอนุพยั_ชนะ ๘๐ ประการ

    พระฉัพพัณณรังสี
    -------------------
    พระฉัพพันณรังสี ( คือรัสมีมี ๖ สีคือ สีเขียว เหลือง แดง ขาว สีดอกหงอนไก่ สีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก) ได้พวยพุ่งออกพระวรกายของ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ประหนึ่งว่าสายน้ำไหลออกจากหม้อทองคำ ข่งแสงสว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ แผ่ไปในหมื่นจักรวาล
    ส่องสว่างไสวตลอดกาลเป็นนิตย์
    คนทั้งหลาย จักไม่อาจกำหนดกลางวันและกลางคืนได้ พระพุทธรัสมีจักดำรงอยู่ในโลกชั่วนิรันตรกาล คนทั้งปวงรู้ว่า นี้เป็นยามเย็น
    เป็นเวลาอาทิศอัสดงค์ด้วยเสียงนกร้องในเวลามาสู่รังนอน และด้วยปลายกลีบดอกปทุมและปลายกลีบดอกไม้หุบ
    คนทั้งหลายรู้ว่า นี้เป็นเวลาเช้า เป็นเวลาที่ตะวันทอแสง ด้วยเสียงนกร้องบินไปหากิน และด้วยปลายกลีบดอกปทุมและปลายดอกไม้แย้มบาน
    ลำดับนั้เน ปทุมดอกให_่ ๆ มีกลีบนอก ๓๐ ศอก กลีบใน ๒๕ ศอก เกสร ๒๐ ศอก มีฝักดอก ๑๖ ศอก ละอองเกษรฟุ้งขจรไปในอากาศ
    ชำแรกปฐพีผุดขึ้นรองรับฝ่าพระบาทที่ทรงก้าวย่างไปแล้ว ทุก ๆก้าวแห่งพระบาทของพระองค์
    คนทั้งปวง ไม่ต้องทำไร่ไถนา ไม่ต้องทำมาค้าขาย ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน สมบูรณ์พูนสุข มีพุทธานุสติ(ประจำใจ) บริโภคข้าวสาลีเป็น
    โภชนาหารที่เกิดด้วยพุทธานุภาพ นุ่งห่มเสื้อผ้าอาภรณ์ ดำรงชีพอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมจักรอยู่ เทวดาและมนุษย์ประมาณ
    ๓๐ โกฏิ ได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว

    สรุปพระบารมีทรงบำเพ็_และผลที่ได้รับ
    --------------------------------------------
    พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อริยะเมตไตรย เพราะผลแห่งการถวายศรีษะให้เป็นทาง ทรงมี
    พระวรกายสูง ๘๘ ศอก เพราะผลแห่งการที่พระโลหิตไหลออกจากพระบาทและพระชานุ จึงทรงมีแสงสว่างตลอดคืนและวัน เพราะโลหิตที่ไหล
    ออกจากพระเศียร พระพุทธรัสมีได้มีแล้วตั้งแต่อเวจีนรก จนถึงภวัคคพรหม เพราะผลแห่งหยาดพระโลหิตบนพระเศียร ได้มีแสงสว่างจากพระอุณาโลม
    ไม่มีกำหนด เพราะผลที่เสด็จดำเนิน ๑ สัปดาห์ จึงเกิดต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งแล้ว
    จากนั้น พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า ดูก่อนธรรมเสนาบดีสารับุตร ผู้เจริ_ ชนทั้งหมด ไม่ได้พบเห็นรูปายของเรา ถ้าเขาได้พบพระศาสนา
    ของเขาแล้ว ให้ทาน รักษาศีล เจริ_ภาวนาแล้วไซร้ ผลแห่งกรรมน้น เขาจักอุบัติในสำนักพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า " อริยเมตไตรย" แล
    เรื่องราวของ " พระศรีอริยเมตไตรย " นี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น ในพระไตรปิฏก พระธรรมบท ขุทกนิกาย อันว่าด้วยเรือง
    "อชิตภิกขุ "ตอนพระนางมหาปชาบดีโคตมีถวายผ้า ในภัมภีร์อนาคตวงศ์ ส่วนในมหายาน เกี่ยวกับเรืองพระมหาโมคคัลลานะเถระเหาะหาบาตร
    ไปถึงแดนสุขาวดี พุทธเกษตรแห่งพระอมิตาภะพุทธเจ้า เป็นต้น
     
  2. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    896
    ค่าพลัง:
    +2,177
    ได้ความรู้ใหม่ดี
     
  3. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    ภพภูมิต่างๆ มีมหาศาล เอนกอนันต์ อันนับมิได้จริง
    เฉกเช่น คลื่นความยาว ความถี่ ที่ต่างกัน .01,.001, .0001,.000001,.00000000000000000001.....Infinity
    ความละเอียดInfinity ที่เครื่องมือวิทย์ของมนุษย์ วัดค่ามิได้
    ภพภูมิเอนกอนันต์Infinity ต่างก็ซ้อนทับกัน อยู่นี่เอง แล เอวัง
    (*) (*) (*)
    ศีล สมาธิ ปัญญา ตริตรึก นึก คิด พินิจ พิจารณา เทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2008
  4. ๋Jaynarol

    ๋Jaynarol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +1,367
    ลึกซึ้งมากๆครับ
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ไม่สาธุ เพราะไม่ใช่เรื่องจริง

    คำภีร์มหายาน นั้นมักเอา นามธรรมเปรียบด้วย บุคคลาธิษฐานและชอบแต่งเรื่องราว ในลักษณะแบบเห้งเจีย

    ส่วนคำภีร์โบราณ ก่อนสุโขทัยนั้นต้องพิจารณาก่อน ไม่ใช่อึกอักก็เชื่อกัน

    ขนาดไตรภูมิพระร่วงนั้นยังเพี้ยนเลย

    สิ่งเหล่านี้เขาเรียกว่า เพลี้ยของต้นไม้ พระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนแก่น
     
  6. N o v e m b e r

    N o v e m b e r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +109
    ขัน
    เคยฟังเพลงไมโครไหม หนุ่ย อำพลอ่ะ ชื่อเพลง บ่อนทำลาย เพราะน่ะไปหาฟังสิได้ข้อคิด

    งานจะได้ไม่กร่อย
     
  7. norasatepump

    norasatepump Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +26
    อนุโมทนาสาธุครับ
    ในความเห็นส่วนตัวผมนะครับ
    ผมว่าเรานับถือพระพุทธเจ้าเหมือนกันครับ
    เราเป็นพุทธเหมือนกัน เราทำความดีละความชั่ว เฉกเช่นเดียวกันคับ
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    เชื่อในหลวงปู่ตื้อ แต่ไม่เชื่อในตัวคนที่เล่าต่อกันมา
     
  9. 100ลีลา

    100ลีลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +1,855
  10. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +283
    การหาบาตรของพระมหาโมคคัลลานะเถระ
    ------------------------------------------------
    การออกไปหาบาตรของพระเถระนั้น ได้ใช้มหาฤทธานุภาพเป็นอันมาก หลวงปู่ตื้อ อาจารธมฺโม ได้เล่าในการแสดงพระธรรมเทศนาที่
    วัดอโศการามว่า พระมหาโมคคัลลานะเถระนั้น ต้องใช้ฤทธิ์ของท่านระเบิดวงล้อมแห่งจักรวาลออกไป อาจารย์ นายแพทย์ ตันม่อเซี้ยง ได้เล่าเรื่องนี้
    ไว้ในการบรรยาย"วิชามหายาน" ของท่าน ในสมัยที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่ในชั้นเตรียมศาสนศาสตร์ มหามกุฏราชวิทยาลัย ว่า
    "พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกแก่พระมหาโมคคัลลานะเถระว่า เมื่อท่านออกห่างจากชมพูทวีปไป เมือหันมามองดูชมพูทวีปเห็นเท่าผืนนา
    ของชาวมคธแล้วให้รีบกลับมา หรือไม่หากท่านไปไกลกว่านั้น จนกระทั่งที่สุดเห็นชมพูทวีปเป็นจุดเล็ก ๆ แล้วให้รีบกลับมา"
    เมื่อได้กราลทูลลาพระพุทธองค์แล้ว พระเถระก็ออกเดินทางแสวงหาบาตรไปทั่วสากลภิภพ ไกลออกไปจนพ้นเขตจักรวาล
    ไม่ได้จะมาขัดแย้งกับใครนะครับ แต่กลัวคนเข้าใจผิด ไม่ใช่หลวงปู่ตื้อเล่านะครับ ท่านเล่าแค่ใช้ฤทธิ์ระเบิดจักรวาลออกมา แต่ที่เล่าว่าไปเจอพระอมิตะภะพุทธเจ้าคือ อาจารย์ นายแพทย์ ตันม่อเซี้ยง ครับ
    อนุโมทนา
     
  11. amakig

    amakig Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +69
    เอาเนื้อความมาจากไหนโปรดบอกด้วยคับ
    หรือเีขียนด้วยความเข้าใจด้วยตนเอง
    บอกด้วยคับไม่งั้นคุณโดนว่าแน่ๆคับ
    ถ้าไม่บอกที่มาที่ไป
     
  12. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    จักรวาล นั้นเอนก อนันต์
    อยู่ที่ท่าน จะมี ปัญญา
    พิจารณา ได้เพียงใด
    อยู่ที่ใจ พึ่งตนเอง???
     
  13. RuneChaos

    RuneChaos สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +12
    อันที่จริงเถรวาทเราไม่ได้ปกปิดครับ เพียงแต่ขาดผู้รู้นำมาเผยแผ่อย่างลึกซึ้ง จักรวาลเรามีเป็นอเนกอนันต์ ผู้ได้ฤทธ์ข้ามไปอีกด้านของจักรวาล ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ อีกอย่างแต่ละจักณวาล ก็จะมีพระพุทธเจ้า จุติหรือมียุคของศาสนาท่านอยู่ ตัวอย่างก็ พระสูตรที่เจ้าของกระทู้ นำมาโพสไว้ล่ะครับ ข้อมูลนี้หาไม่ยาก ลองถ้าผู้รู้ในศาสนา ท่านจะบอกที่มาได้ แต่ผมมันอาศัยอ่านมาก แต่ไม่ค่อยจำที่มาได้ จำได้พอคร้าวๆบ้าง แต่ที่กล้ายืนยันคือ อีกมิติจักวาลหนึ่ง มีศาสนาหรือพระพุทธเจ้าอยู่ครับ เพี่ยงแต่ระยะทางมันไกลแสนนนนนนนนนนนไกลมากกกกกกกกผู้มีฤทธ์จึงไปได้ แม้ไปได้ยังถึงกับหาทางกลับแทบไม่เจอ แล้วประสาอะไรกับคนปุถุชนอย่างเราๆท่านๆครับ จริงมั๊ย
     
  14. BATIOHM

    BATIOHM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +114
    จักรวาลในหมื่นโลกธาตุนี้จะต้องมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียงองค์เดียวมิใช่หรือครับ แล้วทำไมถึงมีพระพุทธเจ้าอีกองค์ล่ะครับ (ไม่เข้าใจ)
     
  15. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    อันนี้เอามาจากพระไตรปิฏกโดยตรง


    เรื่องบาตรปุ่มไม้จันทน์
    [๒๙] สมัยต่อมา ปุ่มไม้แก่จันทน์มีราคามาก ได้บังเกิดแก่เศรษฐี
    ชาวเมืองราชคฤห์ จึงราชคหเศรษฐีได้คิดว่า ถ้ากระไรเราจะให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้
    แก่จันทน์นี้ ส่วนที่กลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้ และเราจักให้บาตรเป็นทาน หลัง
    จากนั้น ท่านราชคหเศรษฐีให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นั้น แล้วใส่สาแหลก
    แขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ผูกต่อๆ กันขึ้นไป แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์
    ผู้ใด เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จงปลดบาตรที่เราให้แล้วไปเถิด ฯ

    [๓๐] ขณะนั้น ปูรณะกัสสปเข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐีแล้ว กล่าวว่า
    ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ขอท่านจงให้บาตรแก่
    อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์และ
    มีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด
    ต่อมา ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธกัจจายนะ
    ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านนิครนถ์นาฏบุตร ได้เข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐี
    แล้วกล่าวว่า ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์ และมีฤทธิ์ ขอท่าน
    จงให้บาตรแก่อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระ
    อรหันต์และมีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด ฯ

    เรื่องพระปิณโฑลภารทวาชเถระ
    [๓๑] สมัยต่อมา ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิณโฑลภาร-
    *ทวาชะ ครองอันตรวาสกในเวลาเช้าแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตในเมือง
    ราชคฤห์ อันที่แท้ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์
    แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จึงท่านพระปิณโฑลภาร
    ทวาชะ ได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ไปเถิด ท่านโมคคัลลานะ
    จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน แม้ท่านพระโมคคัลลานะก็กล่าวกะท่าน
    พระปิณโฑลภารทวาชะว่า ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้น
    ของท่าน จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นสู่เวหาส ถือบาตรนั้นเวียนไป
    รอบเมืองราชคฤห์ ๓ รอบ ฯ

    [๓๒] ครั้งนั้น ท่านราชคหเศรษฐีพร้อมกับบุตรภรรยา ยืนอยู่ในเรือน
    ของตน ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวนิมนต์ว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้า
    ภารทวาชะ จงประดิษฐานในเรือนของข้าพเจ้านี้เถิด จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
    ประดิษฐานในเรือนของท่านราชคหเศรษฐี ขณะนั้น ท่านราชคหเศรษฐีรับบาตร
    จากมือของท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ แล้วได้จัดของเคี้ยวมีค่ามาก ถวายท่าน
    พระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะได้รับบาตรนั้นไปสู่พระอาราม
    ชาวบ้านได้ทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของราชคหเศรษฐี
    ไปแล้ว และชาวบ้านเหล่านั้นมีเสียงอึกทึกเกรียวกราว ติดตามพระปิณโฑลภาร-
    *ทวาชะไปข้างหลังๆ พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับเสียงอึกทึกเกรียวกราว ครั้นแล้ว
    ตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ นั่นเสียงอึกทึกเกรียวกราว เรื่องอะไรกัน
    ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตร
    ของท่านราชคหเศรษฐีลงแล้ว พวกชาวบ้านทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
    ปลดบาตรของท่านราชคหเศรษฐีลง จึงพากันติดตามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะมา
    ข้างหลังๆ อย่างอึกทึกเกรียวกราว พระพุทธเจ้าข้า เสียงอึกทึกเกรียวกราวนี้
    คือเสียงนั้น พระพุทธเจ้าข้า ฯ

    [๓๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุ
    เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระปิณโฑลภาร-
    *ทวาชะว่า ภารทวาชะ ข่าวว่า เธอปลดบาตรของราชคหเศรษฐีลง จริงหรือ
    ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ภารทวาชะ การกระทำของเธอนั่น
    ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน
    เธอจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์
    เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับ เพราะ
    เหตุแห่งทรัพย์ซึ่งเป็นดุจซากศพแม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิ-
    *ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตร
    ไม้ซึ่งเป็นดุจซากศพ การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
    ที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่
    พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยา
    หยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ


    อ่านให้ครบถ้วนแล้วใช้ปัญญาตัดสินกันเอาเองครับว่าอะไรคือพุทธ อะไรคือพราหมณ์
     
  16. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ขอบคุณครับ

    ชอบตรงที่ พระพุทธเจ้าไม่ได้มีแค่ องค์นี้ องค์หน้า แต่มีมานานในอดีตกาล จนนับจำนวน นับกาลไม่ได้ และอนาคต อีก
     
  17. jairlinethai

    jairlinethai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,634
    ขออนุญาตและขอโอกาสนะครับ

    ไม่งั้นจะถกกันเลยเถิดโดยไม่มีข้อมูลหลักฐานมาอ้างอิงกัน

    เรื่องพบพระพุทธเจ้าหลายพระองค์นั้น ผมขอแสดงความเห็นว่า "พระพุทธเจ้านั้นมีอยู่หลายพระองค์นับจำนวนไม่ถ้วนก็จริง แต่การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นได้คราวละ 1 พระองค์เท่านั้น" ผมจึงลองไปหาข้อมูลในพระไตรปิฏกพบพระสูตร จึงนำมาอ้างอิงดังนี้

    <O b O< <>

    +++++++++++++++++++++++++++<O< O< p>
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖<O< O< p>
    มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์<O< O< p>
    ๕. พหุธาตุกสูตร (๑๑๕)<O< O< p>
    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=พหุธาตุกสูตร&book=9&bookZ=33<O< O< font>



    …..<O< O< font>
    (๑๐) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ๒ พระองค์ พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียวกัน ไม่ก่อนไม่หลัง<O< Oกัน นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธพระองค์เดียว พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียว นั่นเป็นฐานะที่มีได้
    (๑๑) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ พระเจ้าจักรพรรดิ ๒ องค์ พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียวกัน ไม่ก่อนไม่หลังกันนั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ พระเจ้าจักรพรรดิพระองค์เดียว พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียว นั่นเป็นฐานะที่มีได้ ฯ
    .....

    +++++++++++++++++++++

    <O< O< p>
    "มีอรรถกถาเสริมดังนี้" </O< font>
    <O< font>

    อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ อนุปทวรรค พหุธาตุกสูตร<O< O< p>
    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=234


    พระพุทธเจ้าไม่อุบัติในจักรวาลอื่น



    ไม่มีพระสูตรที่ว่า “ก็ในเขตทั้ง ๓ เหล่านี้ เว้นจักรวาลนี้แล้วพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมเสด็จอุบัติในจักรวาลอื่น” ดังนี้ <O< O< font>


    มีแต่พระสูตรว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เสด็จอุบัติในจักรวาลอื่น. ปิฎก ๓ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก การสังคายนาปิฎก ๓ ครั้ง คือการสังคายนาของพระมหากัสสปเถระ การสังคายนาของพระยศเถระ การสังคายนาของพระโมคคัลลีบุตรเถรแล. ในพุทธพจน์คือ พระไตรปิฎกที่ยกขึ้นสังคายนา ๓ ครั้งเหล่านี้ ไม่มีสูตรว่า “พ้นจักรวาลนี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงบังเกิดขึ้นในจักรวาลอื่นได้” มีแต่ไม่ทรงบังเกิดขึ้น (ในจักรวาลอื่น).
    บทว่า อปุพพํ อจริมํ แปลว่า ไม่ก่อนไม่หลัง. อธิบายว่า ไม่เกิดร่วมกัน คือ เกิดก่อนหรือภายหลัง.
    ก็ในคำนั้นไม่ควรเข้าใจว่า ในกาลก่อนเพียงเท่าที่ทรงถือปฏิสนธิในพระครรถ์พระมารดา จนถึงเวลาที่ประทับนั่งที่โพธิบัลลังก์ ด้วยทรงอธิษฐานว่า เรายังไม่บรรลุพระโพธิญาณจักไม่ลุกขึ้น. เพราะท่านทำการกำหนดเขตไว้ด้วยการยังหมื่นจักรวาลให้หวั่นไหว ใน เพราะการถือปฏิสนธิของพระโพธิสัตว์นั่นแล. เป็นอันห้ามการเสด็จอุบัติของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น.
    ไม่ควรเข้าใจว่าในภายหลังตั้งแต่เสด็จปรินิพพาน จนกระทั่งพระบรมธาตุมีขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดยังประดิษฐานอยู่. เพราะเมื่อพระบรมธาตุยังดำรงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมเป็นอันยังอยู่ทีเดียว. เพราะฉะนั้นในระหว่างเวลาดังกล่าวนี้ ย่อมเป็นอันห้ามการเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นอย่างเด็ดขาด. แต่เมื่อพระบรมธาตุเสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ห้ามการเสด็จอุบัติ<WBR>แห่ง<WBR>พระ<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า<WBR>พระ<WBR>องค์<WBR>อื่น. <O< O< font>


    (มีต่อ..)

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2008
  18. jairlinethai

    jairlinethai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,634
    เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่อุบัติพร้อมกัน

    ก็เพราะเหตุไร จึงไม่อุบัติไม่ก่อนไม่หลังกัน?
    เพราะไม่น่าอัศจรรย์.
    เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นอัจฉริยมนุษย์.

    สมดังที่ตรัสไว้ว่า<SUP>๑-</SUP>
    ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เป็นเอก เมื่ออุบัติขึ้นในโลกย่อมเป็นมนุษย์อัศจรรย์อุบัติขึ้นบุคคลผู้เป็นเอกคือใคร? คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.
    ____________________________
    <SUP>๑-</SUP> องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๑

    ก็ถ้าพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ ๔ พระองค์ ๘ พระองค์หรือ ๑๖ พระองค์เสด็จอุบัติขึ้นร่วมกัน ไม่พึงเป็นผู้น่าอัศจรรย์. เพราะลาภสักการะแม้ของเจดีย์ ๒ องค์ในวิหารเดียวกัน ย่อมไม่เป็นของโอฬาร. แม้ภิกษุทั้งหลายก็ไม่เป็นผู้น่าอัศจรรย์ เพราะมีมาก. แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายพึงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่เสด็จอุบัติ.
    อนึ่ง ที่ไม่เสด็จอุบัติ (พร้อมกัน) เพราะพระธรรมเทศนาของพระองค์ ไม่มีแปลกกัน. ด้วยว่าพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงแสดงธรรมใดต่างโดยสติปัฏฐานเป็นต้น แม้พระพุทธเจ้า<WBR>พระ<WBR>องค์<WBR>อื่น<WBR>เสด็จ<WBR>อุบัติแล้ว ก็พึงทรงแสดงธรรมนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น จึงไม่น่าอัศจรรย์. แต่เมื่อพระพุทธเจ้า<WBR>พระ<WBR>องค์<WBR>เดียวทรงแสดงธรรม แม้เทศนาก็เป็นของอัศจรรย์
    อนึ่ง พระธรรมเทศนาจะเป็นของอัศจรรย์ เพราะไม่มีการขัดแย้งกัน. ก็เมื่อ<WBR>พระ<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า<WBR>เสด็จอุบัติขึ้นหลายพระองค์ สาวกจะพึงวิวาทกันว่า พระ<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า<WBR>ของพวกเราน่าเลื่อมใส พระ<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า<WBR>ของ<WBR>พวก<WBR>เรา<WBR>พระสุรเสียงไพเราะ มีบุญ. เหมือนพวกศิษย์ของอาจารย์หลายคน แม้เพราะเหตุนั้นจึงไม่เสด็จอุบัติขึ้นอย่างนั้น.

    อีกอย่างหนึ่ง เหตุการณ์นี้ พระนาคเสนถูกพระเจ้ามิลินท์ตรัสถาม ได้ขยายความพิสดารไว้แล้ว.
    สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-

    พระยามิลินท์ตรัสถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้านาคเสน ในเรื่องพระพุทธเจ้าหลายพระองค์นั้น แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส คือ ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์เสด็จอุบัติไม่ก่อนไม่หลังกันในโลกธาตุเดียวกันนั้น มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ท่านนาคเสน อนึ่ง เมื่อจะทรงแสดงธรรม พระตถาคตแม้ทุกพระองค์ก็จะทรงแสดงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เมื่อจะตรัสก็จะตรัสอริยสัจ ๔ เมื่อจะให้ศึกษาก็จะทรงให้ศึกษาในสิกขา ๓ และเมื่อจะทรงสั่งสอน ก็จะทรงสั่งสอนการปฏิบัติเพื่อความไม่ประมาท.
    ข้าแต่พระคุณเจ้านาคเสน ถ้าว่า พระพุทธเจ้าแม้ทุกพระองค์มีอุทเทสอย่างเดียวกัน มีกถาอย่างเดียวกัน มีสิกขาบทอย่างเดียวกัน มีอนุสนธิอย่างเดียวกัน เพราะเหตุไร พระตถาคต ๒ พระองค์จึงไม่เสด็จอุบัติในคราวเดียวกัน เพราะการเสด็จอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์เดียว โลกนี้ก็จะเกิดแสงสว่าง ถ้าจะพึงมีพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ โลกนี้ก็จะพึงมีแสงสว่างยิ่งกว่าประมาณ ด้วยพระรัศมีของพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์. และพระตถาคต ๒ พระองค์ เมื่อจะตรัสสอนก็จะตรัสสอนได้ง่าย เมื่อจะทรงอนุสาสน์ก็ทรงอนุสาสน์ได้ง่าย ขอพระคุณเจ้าจงชี้แจงเหตุในข้อนั้น ให้โยมฟังให้หายสงสัยด้วยเถิด.

    พระนาคเสนถวายวิสัชนาว่า มหาบพิตรหมื่นโลก<WBR>ธาตุ<WBR>นี้รอง<WBR>รับพระพุทธเจ้าองค์เดียว รองรับพระคุณของพระตถาคตพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้าพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ จะพึงอุบัติขึ้น. โลก<WBR>ธาตุ<WBR>นี้จะพึงรองรับไม่ได้ จะพึงหวั่นไหวน้อมโน้ม พลิก<WBR>กระจาย<WBR>แตกทำลายไปเข้าถึงการตั้งอยู่ไม่ได้.มหาบพิตร เรือบรรทุกคนได้คนเดียว เมื่อคนผู้เดียวขึ้น เรือนั้นพึงใช้การได้ ถ้าคนที่ ๒ ลงมา เขามีอายุ วรรณ วัย ขนาดผอมอ้วน มีอวัยวะน้อยใหญ่ทุกอย่างเหมือนคนแรกนั้น คนผู้นั้นพึงขึ้นเรือลำนั้น มหาบพิตร เรือลำนั้นจะรับคนแม้ทั้งสองไว้ได้หรือหนอ?
    รับไม่ได้ดอก พระคุณเจ้า เรือลำนั้นจะต้องโคลง น้อมโน้ม คว่ำกระจาย แตกทำลายไป เข้าถึงการลอยลำอยู่ไม่ได้ พึงจมน้ำไปฉันใด
    <O< O< font>

    ฉันนั้นเหมือนกันแล มหาบพิตร หมื่นโลกธาตุนี้รองรับพระพุทธเจ้าได้พระองค์เดียว รองรับพระคุณของพระตถาคตได้พระองค์เดียวเท่านั้น ถ้าว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ พึงอุบัติขึ้น หมื่นโลกธาตุจะพึงรองรับไว้ไม่ได้ พึงหวั่นไหว น้อมโน้ม พลิก<WBR>กระจาย แตก ทำลายไป เข้าถึงความตั้งอยู่ไม่ได้. อีกอย่างหนึ่ง มหาบพิตร เหมือนอย่างว่า คนบริโภคอาหารเต็มที่ จนถึงคอพอแก่ความต้องการ ต่อแต่นั้น เขาจะอิ่ม เต็มที่ โงกง่วงตลอดเวลา เป็นเหมือนท่อนไม้ที่แข็งทื่อ. เขาพึงบริโภคอาหารมีประมาณเท่านั้นอีกครั้ง มหาบพิตร คนผู้นั้นจะพึงมีความสุขหรือหนอ?

    ไม่มีเลย พระคุณเจ้า เขาบริโภคอีกครั้งเดียวก็จะต้องตาย

    ฉันนั้นเหมือนกันแล มหาบพิตร หมื่นโลกธาตุนี้รองรับพระพุทธเจ้า พระองค์เดียว ฯลฯ พึงเข้าถึงการตั้งอยู่ไม่ได้.
    พระคุณเจ้านาคเสน ด้วยการแบกธรรมอันยิ่งไว้ แผ่นดินจะไหวได้อย่างไร?

    ขอถวายพระพร มหาบพิตร ในข้อนี้ (ขออุปมาด้วย) เกวียน ๒ เล่ม (บรรทุก) เต็มด้วยรัตนะจนถึงเสมอปาก จะเอารัตนะจากเกวียนเล่มหนึ่งไป เกลี่ยใส่ในเกวียนอีกเล่มหนึ่ง มหาบพิตร เกวียนเล่มนั้นจะพึงรองรับรัตนะของเกวียนทั้งสองเล่มได้แลหรือ?

    ไม่ได้เลย พระคุณเจ้า แม้ดุมของเกวียนเล่มนั้นก็จะคลอน แม้กำก็จะแตก แม้กงก็จะหลุดตกไป แม้เพลาก็จะหัก.

    ขอถวายพระพร มหาบพิตร เกวียนหักเพราะการ (ที่บรรทุก) รัตนะเกินไปใช่หรือไม่?
    ถูกแล้ว พระคุณเจ้า.

    ขอถวายพระพร มหาบพิตร (ข้อนี้ฉันใด) แผ่นดินก็ฉันนั้นเหมือนกัน หวั่นไหวเพราะภาระคือธรรมอันยิ่ง.

    ขอถวายพระพร มหาบพิตร อีกอย่างหนึ่ง ขอพระองค์จงทรงสดับเหตุการณ์นี้ อันเป็นที่รวมการแสดงพระกำลังของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (และ) เหตุการณ์แม้อย่างอื่นที่น่าสนใจในข้อนั้น ที่เป็นเหตุให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ องค์ไม่อุบัติคราวเดียวกัน มหาบพิตร ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์จะพึงอุบัติในคราวเดียวกันไซร้ ความวิวาทกันจะพึงเกิดแก่บริษัท สาวกจะเกิดเป็น ๒ ฝ่ายว่า พระพุทธเจ้าของพวกท่าน พระพุทธเจ้าของพวกเรา. ขอพระองค์จงสดับเหตุการณ์ข้อแรกนี้ที่เป็นเหตุไม่ให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์อุบัติขึ้นในคราวเดียวกัน. ขอพระองค์จงสดับเหตุการณ์แม้ข้ออื่นยิ่งไปกว่านี้ ที่เป็นเหตุไม่ให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์อุบัติขึ้นในคราวเดียวกัน.

    ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ พึงอุบัติขึ้นในคราวเดียวกันไซร้ คำที่ว่า พระพุทธเจ้าผู้เลิศ ก็จะพึงผิดไป คำที่ว่า พระพุทธเจ้าผู้เจริญที่สุด ที่ว่าพระพุทธเจ้าผู้วิเศษสุด ที่ว่าพระพุทธเจ้าผู้สูงสุด ที่ว่าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีผู้เสมอ ที่ว่าพระพุทธเจ้าหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ที่ว่าพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เปรียบเทียบ. ที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีผู้เทียมทัน ที่ว่าพระพุทธเจ้าหาผู้เปรียบมิได้ พึงเป็นคำผิดไป

    ขอถวายพระพร มหาบพิตร ขอพระองค์จงรับเหตุการณ์แม้นี้แล โดยความหมายอันเป็นเหตุไม่ให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ อุบัติขึ้นในคราวเดียวกัน.
    อีกอย่างหนึ่ง ขอถวายพระพร มหาบพิตร
    ข้อที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นอุบัติขึ้นในโลกนี้ เป็นสภาวปกติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เพราะเหตุไร? เพราะพระคุณของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเหตุการณ์ใหญ่หลวง.

    ขอถวายพระพร มหาบพิตร สิ่งที่เป็นของใหญ่แม้อย่างอื่น ย่อมมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น แผ่นดินใหญ่มีแผ่นดินเดียวเท่านั้น สาครใหญ่มีสาครเดียวเท่านั้น ขุนเขาสิเนรุใหญ่ประเสริฐสุดก็มีลูกเดียวเท่านั้นอากาศใหญ่ (กว้าง) ก็มีแห่งเดียวเท่านั้น. ท้าวสักกะใหญ่ก็มีองค์เดียวเท่านั้น พระพรหมใหญ่ก็มีองค์เดียวเท่านั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ก็มีพระองค์เดียวเท่านั้น ท่านเหล่านั้นอุบัติขึ้นในที่ใด คนเหล่าอื่นย่อมไม่มีโอกาสในที่นั้น เพราะเหตุนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นอุบัติขึ้นในโลก.
    พระคุณเจ้านาคเสนปัญหาพร้อมทั้งเหตุการณ์ (ที่นำมา) เปรียบเทียบ ท่านกล่าวได้ดีมาก.

    ++++++++++++++++++

    (มีต่อ..)<O< p O<>​

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. jairlinethai

    jairlinethai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,634
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
    อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต<O< p O<> ​

    จูฬนีสูตร<O< p O<>
    <FONT face="MS Sans Serif">http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=5985&Z=6056<O< font O<>


    <O< size="3" O[๕๒๐]ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า "อภิภู" ยืนอยู่ในพรหมโลก ให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
    พ. ดูกรอานนท์ นั้นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน ฯ

    ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งที่ ๒ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พ้นแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ
    พ.ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน

    ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ
    พ.ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน

    ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกร<O< font O<>
    อานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลกทำให้พันโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ
    พ.ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่อง พันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ

    อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่งเทศนาที่พระองค์จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ
    พ.ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว


    ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า <O< font>
    พ. ดูกรอานนท์
    จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์
    โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน
    ในโลกพันจักรวาลนั้น
    มีพระจันทร์พันดวง
    มีอาทิตย์พันดวง
    มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง
    มีชมพูทวีปพันหนึ่ง
    มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง
    มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง
    มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง
    มีมหาสมุทรสี่พัน
    มีท้าวมหาราชสี่พัน
    มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง
    มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง
    มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง
    มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง
    มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง
    มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง
    มีพรหมโลกพันหนึ่ง
    ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล

    โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล

    โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล

    ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ

    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ
    พ.ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์<O< font O<>
    มีอานุภาพมากอย่างนี้

    เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้

    เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า
    พ. ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้งพึงเป็นเจ้าจักรพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ<O< p>


    จบอานันทวรรคที่ ๓
    +++++++++++++++++
    จากข้อความในพระสูตรนั้น ผมเลยมาทดลอง วาดแผนผังดู ได้ดังนี้

    แผนผังจักรวาล
    [​IMG]


    แผนผังโลกธาตุอย่างเล็ก
    [​IMG]


    แผนผังโลกธาตุอย่างกลาง
    [​IMG]

    แผนผังโลกธาตุอย่างใหญ่
    [​IMG]

    (มีต่อ..)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2010
  20. jairlinethai

    jairlinethai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,634
    ส่วนเรื่องการถวายผ้าของพระนางมหาปชาบดีโคตมีนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงรับในคราวแรก เพราะหากรับแล้วพระนางฯจะได้อานิสงส์จากปาฏิบุคลิกทานเท่านั้น ด้วยพระคุณของพระนางฯ พระพุทธเจ้าต้องการให้พระนางฯถวายแด่หมู่สงฆ์ เพื่อที่ทานนั้นจะได้อานิสงส์ "สังฆทาน" จึงขอนำพระสูตรมาอ้างอิงดังนี้


    ++++++++++++++++++++
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖<O< p O<>
    มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์<O< p O<>
    ๑๒. ทักขิณาวิภังคสูตร (๑๔๒)<O< p < O>
    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=9161&Z=9310<O< O< font>

    [๗๐๖]ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้<O< p O<>
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารนิโครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท สมัยนั้นแล พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงถือผ้าห่มคู่หนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่คู่นี้ หม่อมฉันกรอด้ายทอเอง ตั้งใจอุทิศพระผู้มีพระภาค ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์โปรดรับผ้าใหม่ทั้งคู่ของหม่อมฉันเถิด ฯ

    <O< p O<>[๗๐๗]เมื่อพระนางกราบทูลแล้วอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า
    ดูกรโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์
    พระนางมหาปชาบดีโคตมี ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่คู่นี้ หม่อมฉันกรอด้าย ทอเองตั้งใจอุทิศพระผู้มีพระภาค ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์ โปรดรับผ้าใหม่ทั้งคู่นี้ของหม่อมฉันเถิด แม้ในครั้งที่ ๒ แม้ในครั้งที่ ๓ แล พระผู้มีพระภาคก็ตรัสกะพระนาง แม้ในครั้งที่ ๒ แม้ในครั้งที่ ๓ ดังนี้ว่า
    ดูกรโคตมีพระนางถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์ ฯ<O< font>

    [๗๐๘]เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้กราบทูล<O< p O<>
    พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค โปรดรับ<O< p O<>ผ้าใหม่ทั้งคู่ ของพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถิด พระนางมหาปชาบดีโคตมี มี
    อุปการะมาก เป็นพระมาตุจฉาผู้ทรงบำรุงเลี้ยง ประทานพระขีรรสแด่พระผู้มีพระภาค เมื่อพระชนนีสวรรคตแล้ว ได้โปรดให้พระผู้มีพระภาคทรงดื่มเต้าพระถัน แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงมีอุปการะมากแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระนางทรงอาศัยพระผู้มีพระภาค จึงทรงถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะได้<O< p O<>
    ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาค จึงทรงงดเว้นจากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จาก<O< p O<>
    กาเมสุมิจฉาจาร จากมุสาวาท จากฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเพราะดื่ม<O< p O<>
    น้ำเมาคือสุราและเมรัยได้ ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาค จึงทรงประกอบด้วยความ<O< p O<>
    เลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทรงประกอบด้วยศีล<O< p O<>
    ที่พระอริยะมุ่งหมายได้ ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาค จึงเป็นผู้หมดความสงสัย<O< p O<>
    ในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาได้ ข้าแต่<O< p O<>
    พระองค์ผู้เจริญ แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงมีพระอุปการะมากแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ฯ<O< p O<>

    [๗๐๙] พ. ถูกแล้วๆ อานนท์ จริงอยู่บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว เป็น
    ผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะได้ เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้
    ตอบแทนต่อบุคคลนี้ด้วยดี เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสามีจิกรรม
    ด้วยเพิ่มให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร บุคคลใด
    อาศัยบุคคลใดแล้ว งดเว้นจากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร จากมุสาวาท จากฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเพราะดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยได้ เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทนต่อบุคคลนี้ด้วยดี เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสามีจิกรรม ด้วยเพิ่มให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะมุ่งหมายได้ เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทนบุคคลนี้ด้วยดี เพียงกราบไหว้ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสามีจิกรรม ด้วยเพิ่มให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว เป็นผู้หมดความสงสัยในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาได้ เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทนบุคคลนี้ด้วยดี เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสามี
    จิกรรม ด้วยเพิ่มให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร ฯ

    [๗๑๐] ดูกรอานนท์ ก็ทักษิณาเป็นปาฏิปุคคลิกมี ๑๔ อย่าง คือ
    ให้ทานในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑ ให้ทานในพระปัจเจกสัมพุทธ นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๒
    ให้ทานในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิก ประการที่ ๓
    ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๔
    ให้ทานแก่พระอนาคามี นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๕
    ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๖
    ให้ทานแก่พระสกทาคามี นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๗
    ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๘
    ให้ทานในพระโสดาบัน นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๙
    ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๐
    ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๑
    ให้ทานในบุคคลผู้มีศีล นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๒
    ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๓
    ให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๔ ฯ

    [๗๑๑] ดูกรอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั้น
    บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า
    ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณาได้พันเท่า
    ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า
    ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า
    ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้จนประมาณไม่ได้
    จะป่วยกล่าวไปไยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้งในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ในพระปัจเจกสัมพุทธ และในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ ฯ

    [๗๑๒] ดูกรอานนท์ ก็ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์มี ๗ อย่าง คือ
    ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์
    ประการที่ ๑
    ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว นี้เป็นทักษิณา
    ที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๒
    ให้ทานในภิกษุสงฆ์ นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๓
    ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๔
    เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้ ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๕
    เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๖
    เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๗ ฯ

    [๗๑๓] ดูกรอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีธรรมลามก คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น ดูกรอานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้นเราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่า
    มีผลมากกว่าทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย ฯ

    [๗๑๔] ดูกรอานนท์ ก็ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณานี้มี ๔ อย่าง ๔ อย่าง
    เป็นไฉน ดูกรอานนท์ ทักษิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก บางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก บางอย่างฝ่ายทายกก็ไม่ บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์ บางอย่างบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก ฯ

    [๗๑๕] ดูกรอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่าย
    ปฏิคาหกอย่างไร ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ ทายกมีศีล มีธรรมงาม ปฏิคาหก
    เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก อย่างนี้แล ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์
    ฝ่ายปฏิคาหก ฯ

    [๗๑๖] ดูกรอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์
    ฝ่ายทายกอย่างไร ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ ทายกเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
    ปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม อย่างนี้แล ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
    ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ฯ

    [๗๑๗] ดูกรอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าฝ่ายทายกก็ไม่บริสุทธิ์ ฝ่ายปฏิคาหก
    ก็ไม่บริสุทธิ์อย่างไร ดูกรอานนท์ในข้อนี้ ทายกก็เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
    ปฏิคาหกก็เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก อย่างนี้แล ทักษิณาชื่อว่าฝ่ายทายกก็ไม่
    บริสุทธิ์ ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์ ฯ

    [๗๑๘] ดูกรอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก และฝ่าย
    ปฏิคาหกอย่างไร ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ ทายกก็เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม ปฏิคาหกก็เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม อย่างนี้แล ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก ฯ ดูกรอานนท์ นี้แล ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ๔ อย่าง ฯ

    [๗๑๙] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว
    ได้ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ต่อไปอีกว่า
    (๑) ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี
    เชื่อกรรมและผลแห่งกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนทุศีล
    ทักษิณาของผู้นั้น ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ฯ
    (๒) ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส
    ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนมีศีล
    ทักษิณาของผู้นั้นชื่อว่า บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ฯ
    (๓) ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส
    ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนทุศีล
    เราไม่กล่าวทานของผู้นั้นว่า มีผลไพบูลย์ ฯ
    (๔) ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรม
    และผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนมีศีล เรากล่าวทาน
    ของผู้นั้นแลว่า มีผลไพบูลย์ ฯ
    (๕) ผู้ใดปราศจากราคะแล้ว ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใส
    ดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในผู้ปราศจาก
    ราคะ ทานของผู้นั้นนั่นแล เลิศกว่าอามิสทานทั้งหลาย


    จบ ทักขิณาวิภังคสูตร ที่ ๑๒<O< p O<>
    จบ วิภังควรรค ที่ ๔<O< p O<>
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++
     

แชร์หน้านี้

Loading...