ข้อแตกต่าง ในพรหมวิหาร4 ระหว่างปุถุชนกับพระโสดาบัน นั้นคือ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ผู้ธรรมดา, 4 มิถุนายน 2015.

  1. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014




    ไม่ว่าเรื่องดี หรือ เรื่องร้ายมากระทบใจ
    จิตของเราก็ไม่หวั่นไหวตาม
    โดยการวาง อุเบกขา ขวางทางมันไว้
    ไม่ให้มันทะลุเข้ามาในจิตของเราได้

    อย่างนี้เรียกว่า [
    B]การใช้อุเบกขาวางในจิต[/B]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มิถุนายน 2015
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014





    ใช้สติดูมันอย่างเดียว
    ย่อมไม่เกิดผลอะไร


    เราต้องมองให้เห็น ความเกิด และ ความดับ
    หรือ ความดับอย่างเดียว


    ต่อมา ก็ให้เราพิจารณาเนืองๆ ว่า
    ขันธ์ที่มากระทบ มันไม่เที่ยงหนอ
    เพราะมันเกิด เดี่๋ยวก็ดับ
    ดับแล้ว เดี๋ยวก็เกิดใหม่อีก
    ไม่มีขันธ์อันไหน ที่เที่ยงเลยสักอัน
     
  3. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014






    คนธรรมดา ทรงให้ได้แค่ หนึ่งอย่าง
    แต่ทรงได้ทั้งวัน เค้าเรียก
    สุดยอดของคน ตายไปเป็นพรหมเหมือนกัน
     
  4. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    มีสติ คิดไตร่ตรองก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูด
     
  5. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369
    สงสัยว่า ผู้ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว กิเลสมารจะสามารถดลจิตให้คิดปรามาสพระเองโดยควบคุมมันไม่ได้เหมือนกับตอนเป็นคนธรรมดาอยู่อีกไหมครับ เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    การได้เคย ประมาท ปรามาส ล่วงเกิน เบียดเบียน
    ต่อองค์พุทธะ พระมหาพุทธะ
    พระปัจเจกพุทธะ พระมหาปัจเจกพุทธะ
    พระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลาย
    พระอรหันต์ พระมหาอรหันต์ทั้งหลาย
    องค์บรมครูทั้งหลาย หมู่เหล่าคุรุทั้งหลาย
    พระอริยะเจ้าทั้งหลาย
    และองค์คุณทั้งหมดทั้งสิ้น

    ได้เคยประมาท ปรามาส ล่วงเกิน เบียดเบียน ทำร้าย ทำลาย
    กับพระศาสนา กับหมู่สงฆ์ กับนักบวช กับผู้ทรงศีลทรงธรรม
    หรือต่อองค์มหาบารมี ต่อสัญลักษณ์
    รูปเหมือนแห่งองค์คุณทั้งหลาย ต่อสัจธรรมทั้งหลาย
    การทำลายคัมภีร์ สื่อการสอน ที่บันทึกสัจธรรม
    แห่งองค์พุทธะ พระมหาโพธิสัตว์

    การประมาท ปรามาส ล่วงเกิน
    ต่อพระบรมสารีริกธาตุ
    แห่งองค์พุทธะ พระอรหันต์ทั้งหลาย

    การประมาท ปรามาส ล่วงเกิน ต่อรอยพระบาท
    แห่งองค์พุทธะ องค์มหาบารมีทั้งหลาย

    การประมาท ปรามาส ล่วงเกิน เบียดเบียน ทำร้าย ทำลาย
    ต่อพุทธสถาน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สถูปเจดีย์ทั้งหลาย

    ได้เคยประมาท ปรามาส ล่วงเกิน เบียดเบียน
    ต่อองค์คุณบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทั้งหลาย
    จะด้วยความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ก็ตาม
    ด้วยวาจา คำพูดก็ตาม ด้วยกิริยาทางกาย พฤติกรรมทางกาย
    ที่ไม่เหมาะสมก็ตามไม่เหมาะควรก็ตาม มาในยุคหนึ่งสมัยใด

    ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือผู้ปฏิบัตินะครับ มักจะต้องเคยมี
    อยู่ตามข้อความข้างบนไม่ว่าตัวใดตัวหนึ่งอยู่แล้วแบบตั้งใจ
    และไม่ตั้งใจครับ....

    พวกนี้เป็นกระแสจากภายนอกนะครับ บางทีมันไม่ใช่เกิดจาก
    ตัวจิตของเราครับ มันอยู่ข้างๆตัวจิตเราครับ ถ้าจิตเราไม่ละเอียดพอ
    เรามักจะคิดว่ามันมาจากตัวจิตเราครับซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ.
    แต่ถ้าเราได้ปฏิบัติมาบ้าง และมีกำลังสติทางธรรม เราจะมองเห็นและเห็น
    ได้เองว่า จริงๆมันคือกระแสภายนอกที่อยู่ข้างๆตัวจิตเราครับ..
    เอาไว้ลองปฏิบัติดูและจับสังเกตุดูเอาเองในอนาคตนะครับ
    เราจะสังเกตุเห็นกระแสความคิดพวกนี้ได้เอง
    หลักๆก็คือ เค้าจะแหย่ดูว่า เราจะเล่นด้วยหรือเปล่า ถ้าเราเล่นด้วย
    จะเป็นเรื่องที่ไปในทางอกุศล ส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมอัตตาตัวตน
    ให้เราล้วนๆ เรียกว่า เป็นเรื่องทางฝ่ายลบทั้งหมดครับ
    ก็ถือว่าเราเสร็จหรือสอบตกครับ ทำให้เกิดกรรมมาบังวาสนา
    มาบิดบังบุญของเราได้ครับ..และมันจะขวางการปฏิบัติของเรา
    ตลอดจนกระทั่งความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆของเราทั้งหมดครับ
    พวกกระแสแบบนี้ถ้ามีมา ให้เราเฉยๆครับ อย่าไปเล่นด้วย พูดง่ายๆว่า
    อย่าไปคิดตาม อย่าไปวิพากษ์ วิจารณ์ หรือใช้ความเห็นในการตีความ
    พูดง่ายๆว่าไม่ต้องสนใจครับ..
    หน้าที่เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ว่าต้นกำเนิดมาจากไหนครับ หน้าที่เราคือเฉยๆ
    และผลักออกไป หากพลาดพลั้งเคยปรุงแต่งไปแล้ว ก็ให้ทำการขอขมากรรม
    ซะเพื่อที่จะได้ไม่มีกระแสอะไรมาขวางการปฏิบัติให้เข้าถึงได้ยาก
    หรือใช้เวลานานมากในการฝึกแต่ละอย่างครับตลอดจนความเข้าใจทางด้าน
    นามธรรมของเราครับ บางทีมันจะทำให้การดำเนินชีวิตของเราไม่ดีด้วยครับ

    ปล.ลองพิจารณาดูครับ บางอย่างเราก็อาจคาดไม่ถึงครับ
     
  7. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369
    มีข้อข้องใจว่า ผมเคยได้ยินหลวงพ่อและหลวงพี่ลูกหลาน2ท่านกล่าวตรงกันว่า จิตนี้คือเรา ไอ้ที่ไม่ใช่เรานั้นเป็น ขันธ์5 แน่นอนผมเข้าใจตามท่านบอก
     
  8. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369
    แต่มีหลายท่านเหมือนกันเขียนหนังสือบ้าง พูดบ้าง โพสบ้าง ว่าผู้ที่จะบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันได้ต้องเห็นว่าตัวจิตนี้ไม่ใช่เรา เอ้า!สวนทางกันซะ ใครพอจะอธิบายให้ผมเข้าใจความจริงได้บ้าง
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    ไม่ต้องคิดตาม หรือวิเคราะห์ หรือใช้ความเห็นในการตีความครับ
    ในทางปฏิบัติ เราจะฝึกอะไรมาก็ตามนะครับ ไม่ว่ากรรมฐานกองไหนๆ..
    เราดูแค่ว่า ปัจจุบันนี้ จิตเรามันคลายตัว มันโปร่ง
    มันโล่ง ในระหว่างวัน ในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันปกติได้หรือยัง
    เอาซักวันละวินาทีเป็นจุดเริ่มต้นก็พอครับ แล้วค่อยมาคิดมาสงสัย
    เรื่อง โสดาบัน เรื่องระดับโน้น ระดับนี้ก็ได้ครับ.
    หรือว่าจะฝงจะฝึกอะไรดีก็ได้ครับ....ง่ายดี
    เพราะถ้าฝึกอะไรมาก็ตาม จิตมันไม่คลายตัว ไม่โปร่ง ไม่โล่งได้
    มันก็ยังมีอะไรมาเกาะตัวจิตได้อยู่ดีนั่นหละครับ เป้าหมายที่เราฝึก
    กรรมฐานหรืออะไรก็ตาม เราฝึกเพื่อให้ตัวจิต มันไม่มีอะไรมายึดเกาะครับ..
    หรือฝึกให้จิตไม่ไปยึดติดอะไรครับ
    ฉนั้นเริ่มต้นให้ได้ก่อนเป็นวินาทีก็ถือว่ามาถูกทางแล้วครับ..
    ค่อยไปพูดถึงระดับสูงๆที่ท่านไม่มีอะไรมาเกาะตัวจิต หรือไม่มีอะไร
    ที่ตัวจิตท่านไปยึดก็ได้ครับ..เป็นหลักสังเกตุเริ่มต้นครับ
     
  10. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    จิตมันคลายตัว มันโปร่ง มันโล่ง นี่อาการมันเป็นยังไงครับ นึกสภาพไม่ออก แล้วก็ไม่ทราบว่าวันๆหนึ่งมันเป็นอย่างนั้นบ้างรึเปล่าครับ มีข้อสังเกตหรืออาการอย่างไรให้เรารู้ได้ง่ายๆบ้างครับ ขอบคุณครับ (ดูของผมให้ด้วยก็จะกรุณามากครับ)
     
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014




    คนที่สามารถเห็นจิตไม่ใช่เรา
    คือ พระอาคามีเท่านั้น นอกนั้น
    ฝึกเท่าไรก็ไร้ความหวัง
     
  12. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014






    ผู้ที่จะบรรลุโสดาบัน
    เห็นแค่กายนี้ไม่เทียง
    ก็ใช้ได้แล้วครับ
     
  13. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014







    พระโสดาบัน แน่วแน่มั่นคง
    อยู่ในไตรสรณะคมณ์แล้ว
    จะไม่ไปคิดแล้วว่า
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    มีจริง หรือ ไม่มีจริงอีก
    เมื่อไม่คิด ก็หมดโอกาสจะ ปรามาส ได้
     
  14. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014








    จิตคลายตัว จิตโปร่ง จิตโล่ง
    จะสำรวจดูได้ง่ายๆ ครับ
    คือมันคล้ายกับ การหมดกิเลส
    เบาๆ สบายๆ ไม่มีอะไรถ่วงจิต
    เดินไปก็เหมือนจะเหาะได้
    จิตมีปิติ ตลอดเวลา มีสุข
    มีอุเบกขา เรียกง่ายๆว่า
    ผู้ทรงญานนั่นเอง

    หากบรรลุขั้นทรงญานได้มั่ง
    จะสามารถอ่านวิเคราะห์
    หัวข้อธรรมะต่างๆได้ อย่างทะลุปรุโปร่ง
    จะสามารถทำวิปัสสนาได้

    แต่ถ้าหากจิตตก จะอ่านธรรมะไม่รู้เรื่องทันที
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    การที่จะเห็นจิตตัวเองได้นั้น บางคนเกิดมาไม่ต้องฝึกสมาธิอะไรก็เห็นได้ครับ
    อย่างเช่น คนที่นอนๆอยู่แล้ว ก็ลุกขึ้นมา หันไปมองเห็นร่างกายตนเองอีก
    ร่างกายหนึ่งนอนกรนคร๊อกฟี้ๆ อยู่นั้นหละครับ หรือบางคน ก็นอนๆอยู่
    ลอยเหมือนลอยๆขึ้นไปบนเพดานได้ แต่ว่ามองไม่เห็นร่างกาย แต่เหมือน
    กับว่าตัวเองลอยได้...นี่คือลักษณะคนที่จะเห็นจิตตัวเองได้ทั้งนั้น
    ย้ำว่าไม่ต้องฝึกสมาธิอะไรเลยก็เห็นได้ครับ...

    ส่วนคนที่มาฝึกสมาธิขอให้นั่งสมาธิได้ถึงระดับฌาน ๔
    ในระดับที่จิตกับกายแยกกันได้อย่างเด็ดขาดชั่วคราว
    และก็มาฝึกเจริญสติต่อจนสามารถควบคุมจิตให้นิ่งๆ
    อยู่ในร่างกายได้แล้ว ก็สามารถเห็นตัวจิตได้ครับ..
    แต่ยังไม่ได้ประกันว่าจะเป็นบุคคลที่ดี หรือยกได้ว่า
    เป็นระดับโน้นระดับนี่ได้..
    หากว่าตัวจิตยังไม่คลายตัว ไม่โปร่ง ไม่โลง
    จากการเดินปัญญาลดละกิเลสได้ก่อนครับ..
    ส่วนพระอนาคามีนั้นหมาย
    ถึงคนที่สามารถรักษาสภาพจิตให้โล่งโปร่งคลายได้เกือบๆทั้งวัน
    ในสภาวะลืมตาปกติ เรียกได้ว่าน้องๆพระอรหันต์ครับ..เพราะฉนั้น
    โดยมากถ้าใครเป็นแบบนี้ ความสามารถระดับปฏิสัมภิทาญานทาง
    ด้านใดด้านหนึ่ง หรือพวกอภิญญาจิตภายในระดับใช้งานต่างๆ
    ในระดับขั้นระเลียดหรือผ่านการฝึกสมาธิระดับสูงมาก่อน
    หรือท่านที่มาทางอภิญญาจิตภายนอกในกำลังสมาธิ
    ระดับสูงแล้ว ย้ำว่าในสภาวะลืมตาปกติด้วยครับไม่ว่าภายใน
    หรือภายนอก มันจะเป็นเรื่อง
    ธรรมดาถึงธรรมมากๆของบุคคลเหล่านี้ครับ....

    และการที่จะเห็นจิตได้แล้วและไม่ยึดจริงๆ มันพิสูจน์ได้ยากครับ
    พอๆกับการตัดร่างกายนั่นหละครับ..คือบุคคลที่จะไม่ยึดได้ขนาดนี้
    ส่วนมากจะแทบไม่เอาอะไรแล้วครับ แทบว่าไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว
    หรือว่าเหลือน้อยมากๆครับ....ขนาดเราอยู่ในบ้าน
    ฝึกสมาธิในบ้าน ในนิมิตรเรายังกลัวตายเลยครับ หรือบางคน
    ก็ซัดก็งัดเอาทุกอย่างมาป้องกันตัวในนิมิตร ถ้าจะตัดร่างกายได้
    และตัดจิตได้แบบไม่กลัวตายจริงๆ ต้องลองดูในป่าลึกครับ
    ต้องแบบห่มเหลืองในอดีตครับ

    แบบที่ว่า งูตัวใหญ่รัดทั้งตัวก็ไม่สนใจและยอมตาย หรือมีสัตว์จะ
    ทำร้ายชีวิต ทำร้ายร่างกายในป่า ก็ไม่สนอย่างนี้ถึงจะเรียกว่าตัด
    ร่างกายได้จริงๆครับ...อย่างเราๆ มีคนเอาปืนมาจ่อศรีษะเพื่อจะฆ่า
    เราให้ตาย..เราก็หงอๆแล้วครับ หรือเดินๆอยู่ เห็นคนยิงกันตาย
    หรือได้ยินเสียงปืนก็วิ่งหาที่หลบกันเจ้าระหวั่นแล้วครับ
    ..หรือที่ว่าเก่งๆแน่ๆไม่กลัวอะไร
    ลองไปป่าช้า ไปในถ้ำหรือ สถานที่เฮี้ยน ผีดุๆ ดูก็ได้ครับ
    ว่าเรากลัวหรือเปล่า
    ถ้าเราไม่กลัวก็แสดงว่า เราพอตัดร่างกายได้ครับ....

    ส่วนอาการจิตโล่ง โปร่ง และคลาย ในระหว่างวันนั้น คุณ Dowon
    เคยลองสังเกตุตอนที่เราทำบุญหรือรับพรไหมหรือหลังกรวดน้ำ
    หรือหลังอุทิศส่วนกุศลทั่วไปนะครับ..
    เราจะรู้สึกว่าตรงกลางลิ้นปี่เรามันเย็นๆหน่อย
    และในความเย็นนั้นกระแสมันมักจะขึ้นมาทางลำตัวขึ้นไปบนศรีษะ
    บางคนก็จะรูสึกว่าตัวเองขนลุกซู่ทั้งตัว หรือบางจุด.
    แต่ในความรู้สึกเย็นๆนั้น ที่บางคนก็เรียกว่า ปิตินั้น
    มันจะยังมีขอบเขตอยู่ คือ วงของความเย็นมันจะยังไม่กว้างออกจากตัวเรา
    เท่าไร ให้ลองสังเกตุลึกอีกนิด ตัวจิตตรงกลางลิ้นปี่ มันก็จะยังหมุนๆอยู่ได้
    นั่นเองและมันจะหมุนไม่พ้นร่างกายเราด้วยครับ..
    นั่นเพราะตัวจิตเรามันยังเป็นวงกลมอยู่
    มันยังเสวยผลของบุญอยู่
    หรือติดในกองบุญกองกุศลอยู่นั่นเองครับ....
    กิริยาที่จิตโล่ง โปร่ง คลาย อย่างที่คุณ Dowon อยากทราบต่อไปให้สังเกตุ
    กิริยาที่ออกจากจิตแล้วส่งผลต่อร่างกายอย่างไร ตามที่ให้สังเกตุตอนทำบุญเอาไว้
    ก่อนนะครับ แล้วลองเปรียบเทียบ กับ กิริยาที่จิตโล่ง โปร่ง คลาย ก็คือ ตัวจิตมันจะ
    ไร้ขอบเขต ไร้รูปร่าง ไม่มีทิศทาง และออกไปรอบๆตัว พูดง่ายๆว่า มันจะไม่มีขอบ
    และไม่มีขอบจำกัดเหมือนตอนที่เราทำบุญที่ทำให้เราจับได้ว่ามันสุดอยู่ตรง
    เพียงแค่ร่างกายของเรานั่นเองครับ
    .
    เอาง่ายๆถ้าอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไรนะครับ..ให้กำหนดคำว่าอโหสิ ออกจากกลาง
    จิตตัวเองที่ตรงกลางลิ้นปี่ แล้วพูดคำว่าอโหสิๆๆๆๆๆ ลากเสียงยาวๆซัก ๓ ถึง ๔ ครั้ง
    ดันออกจากกลางจิตเราออกมาเลยครับ..
    เราจะรู้สึกว่าตรงกลางลิ้นปี่มันนิ่งๆ เฉยๆก่อน และหลังจากนั้น ให้เราอุทิศส่วนกุศลออกจาก
    กลางจิตในต่ำแหน่งเดียวกัน ซ้ำเข้าไปอีก แล้วลองดูผล และลองสังเกตุกิริยาที่เกิด
    หลังจากอุทิศส่วนกุศลออกจากกลางจิตตัวเองดู แล้วค่อยมาย้อนอ่านภาษา
    สมมุติที่เขียนไว้นี้อีกรอบหนึ่งดูได้ครับ...กิริยาแบบนี้ถ้าสัมผัสได้ นี่หละครับ
    คือ กิริยาที่ไม่ว่าเราจะฝึกกรรมฐานอะไรเราก็ต้องเป็นแบบนี้ให้ได้
    ในสภาวะลืมตาปกติ ย้ำว่าสภาวะลืมตาปกติ โดยที่ไม่ต้องเข้าสมาธิอะไรเลยนะครับ...

    ปล.ลองทำดูก่อนได้ พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง แล้วจะเข้าใจว่าทำไมส่วนตัว
    ถึงพูดว่าให้เริ่มต้นจากหลักวินาที
    ให้มันได้ก่อนๆในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันปกติ
    ก่อนที่จะไปสนใจ ว่าระดับโน้น ระดับนี้เป็นไงครับ..
     
  16. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๓.๑๓

    เอ..ไม่ทราบเหมือนกันแฮะ ว่าเค้าเขียนก่อนหรือหลัง

    หรืออาจจะเป็นแล้ว แต่แกล้งไม่เป็น จะเป็นได้ไม๊น๊า หึหึหึ
    หรือเป็นแบบชั่วคราว อยากเป็นก็เป็น พอเลิก ก็ไม่เป็นน่ะครับ มีไม๊หว่า แบบเนี้ย

    แล้วเหตุใด ถ้าเป็นแล้ว จะใช้วิธีแบบเดิมไม่ได้อีกล่ะครับ
    ก็ในเมื่อมันใช้ได้ผล แก้ปัญหาได้ จัดการกับทุกข์ที่เกิดขึ้นได้
    จะต้องทำให้เรื่องมันยากทำไมน๊า ใช้ของพื้นๆ ก็ได้ผลดีเช่นกัน

    "แมวสีดำหรือขาว ก็จับหนูได้เหมือนกัน" หรือว่า "ฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดฆ่าโค"
    ทำไมจะต้องใช้ของสูงตลอดตลอด ธรรมะเค้าเกิดบนพื้นดินนี่หน่า เนอะ


    กระต่ายป่า แห่งเกาะนาฬิเกร์ / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  17. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๒๓.๒๔

    แหม..เข้าหัวข้อกระทู้เค้าบ้างดีกว่า
    ช่วยอุดหนุน จขกท. เค้าบ้าง ๕๕๕

    เคยอ่านเจอกลอนมนตราบทนึงนะครับ
    เกี่ยวข้องกับพรหมวิหารสี่แบบเต็มๆ เลย
    ขอยกมาให้ถกกันซักนิดละกัน นะ ว่า

    พรหมวิหารสี่ เค้าว่าต้องมีมาเป็นชุดใช่ม๊า
    เพิ่งอ่านเจอจากท่านมาจากดิน
    ซึ่งเอามาจากท่าน ป.อ.ปยุตฺโต อีกทีนึง

    แต่กลอนมนตราที่อ่านเจอนี่นานแล้วนะครับ มันสงกะสัย
    ใครอยากแจมก็เชิญ แต่ท่านนิลกาญน์ห้ามพลาดนะครับ ๕๕๕

    (ชื่อท่านเขียนงี้รึเปล่าครับ อ่านแล้วนึกถึงภูเขาลูกนึง ในเพชรพระอุมาเลยครับ
    ภูเขาที่มีท่านฤษีโกณฑัญญะ เข้าฌานนิ่งอยู่ เก้าสิบเก้าปีแล้ว จำถูกหมดไม๊น๊า)


    พรหมวิหารสี่ มีทั่ว มั่วที่ไหน

    ...พรหมวิหาร ทั้งสี่ มีอยู่ทั่ว
    ไม่ได้มั่ว เชื่อไหม ชั้นได้เห็น
    ซึมจากใจ ใส่มด บนซีเมนส์
    เมื่อวานเห็น เต็มตา หน้ารถเรา

    ...เฮานั่งกิน ฝอยทอง ของที่กรอบ
    พระไม่ชอบ เลยเหลือ เผื่อให้ฉัน
    กินเหลือเศษ เส้นร่วง ก็เลิกกัน
    สายตาหัน เห็นมด บนพื้นปูน

    ...แล้วเมตตา หลั่งไหล ไปสู่มด
    ฝอยทองขด เกลียวเส้น กินเป็นไหม
    คิดแล้วโปรย ลงพื้น อย่างชื่นใจ
    แบ่งปันไป ให้กัน ฉันเมตตา

    ...มดเดินใส่ ปากไซร้ ใช้ขนกลับ
    ลากขยับ ฝอยใหญ่ ไม่ค่อยไหว
    กรุณา ซึมออก บอกซำบาย
    แล้วก้มกาย บี้แบ่ง แท่งเล็กลง

    ...มดไม่งง คงลาก ด้วยปากคีบ
    อย่างเร่งรีบ ลากไหว ใจไม่สน
    มุทิตา ปรากฏ ณ.บัดดล
    ชื่นใจล้น มดลาก ไม่ยากกาย

    ...แต่ทันใด ใครคิด สะกิดนึก
    ลุ้นระทึก นี่ถนน รถแล่นไหล
    อันตราย ต่อมด ล้อบดกาย
    อุเบกขา โผล่ไว ในใจเอย



    พรหมวิหารสี่นั้นน่ะนะ ไม่ได้ใช้แต่เรื่องสูงๆ ใหญ่ๆ
    ใครที่เค้ามี ก็อาจจะนำมาใช้ได้แม้แต่เรื่องเล็กๆ เท่ามดล่ะมั้ง นะ เนอะ หึหึหึ

    เจ้านักรบแสง ที่โม้มานั้น นั่นน่ะนะ เค้าคงมีมันอย่างสมบูรณ์ หรือเปล่าน๊า
    เคยอ่านเจอ แล้วน่าสงสัยจัง จะมีใครกล้าแจมความเห็นตรงๆ ไม๊เนี่ย หึหึหึ
    หรือทั้งเวบ จะมีแต่ท่านนิลกาญน์ท่านเดียว ที่กล้าชน หึหึหึ

    ที่นี่มีอีกไหม คนกล้าๆ น่ะครับ ๕๕๕


    กระต่ายป่า แห่งเกาะนาฬิเกร์ / สุนทรทู่

    .
     
  18. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    พรหมวิหารมีสี่อย่าง
    แต่การทรงเพื่อให้เต็ม
    ต้องใช้ทีละอย่าง


    เช่น พักนี้ อารมณ์ร้อนไปหน่อย
    อยากจะทรง เมตตา
    ก็ให้ภาวนาเมตตาๆๆๆๆๆๆ
    เอาไว้ในจิตตลอดเวลา
    เมื่อมีอะไรทำให้เราร้อน
    ก็เมตตาใส่ทันที


    เมื่อทรงไปสักพักหนึ่ง
    จะรู้สึกได้เอง อารมณ์ไม่ค่อยร้อนเล้ว

    ต่อไปก็ ฝึกทรง กรุณา ดู
    คือเห็นผู้ตกทุกข์ได้ยาก
    ก็ให้คอยความช่วยเหลือเค้า
    ทั้งต่อหน้า และ ลับหลัง
     
  19. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014





    มันก็ไม่เชิงว่า ใช้ไม่ได้
    แต่มันใช้ได้ผล ได้น้อยลงกว่าเดิม
    เหมือนกันว่า เค้าจะรู้ตัวแล้วว่า
    เราแอบทำอะไรเค้า
    เราแอบต่อต้านเค้า
    คราวนี้เค้าจะมาพร้อมยิ่งกว่าเดิม
    จัดเต็มมากกว่าเดิม
    คราวนี้ คนที่เจ็บตัว
    ก็อาจเป็นเราเสียเอง


    นักวิปัสสนาที่ดี
    จะต้องรู้ว่า มารในจิตของเรานั้น
    ตัวไหนมันอ่อนแอ
    แล้วตัวไหนมันแข็งเเรง
    ส่วนมาก ตัวที่แข็งแรงสุดคือ ราคะ


    พอผ่านตัวนี้ได้
    ตัวอื่นแทบไม่ต้องออกแรง
    พอผ่านราคะได้มั่งแล้ว
    จะรู้ว่า เราถึงเวลาพิจารณา อนัตตาแล้ว
    ทุกอย่างล้วนคือ ธรรม หรือ อนุสัย
    ที่ฝังอยู่ในจิต
    มันไม่กำลังมากมาย
    มันจึงฝังตัวไว้ในจิตของเราโดยตรง
    แอบอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมออกมา
    เพราะมันรู้ว่าถ้ามันออกมาเผยตัว
    ต้องโดนเราเล่นงานมันแน่
    มันกลัวจะแพ้เรา มันก็เลยต้องหลบ
    ลงไปในจิตของเรา
    จนเราแยกไม่ออกเลยว่า
    อันไหนคือจิตเรา
    อันไหนคือ อวิชชา
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014






    ตัวผมเอง ไม่ขอกล่าวว่า
    เค้าคือ มด นะครับ
    จะขอเรียกตามความรู้สึกของตัวเองว่า
    เค้าคือ จิต หรือ วิญญาน ดวงหนึ่ง
    มีค่าเท่ากับเราที่เป็นมนุษย์


    ดังนั้น หากว่า จะมีคนใช้พรหมวิหารสี่กับ สัตว์
    ก็ไม่ผิดวิธีแต่อย่างใด
    เพราะเค้าคือ คู่เวรกรรม ของเรา
    หากทำไม่ดีกับเค้า
    ก็ไม่ใช้เค้าที่จะต้องตกนรก
    แต่เป็นตัวเราเองตะหาก
    ที่ต้องตกนรก เพราะทำร้าย สัตว์ร่วมโลก


    ดังนั้น ผู้ที่ฝึกทรงพรหมวิหารสี่ จนเต็มแล้ว
    ต่อไป ก็ให้ฝึก ส่งกระแสจิตความเมตตา
    แผ่ออกไปยังสามโลก หรือ สามภพ
    ให้กับคู่เวรคู่กรรมต่างๆ บรรพบุรุษ
    เทวดาอารักษ์ เจ้ากรรมนายเวร
    ลูกหลานเหลนโหลน
    ต้องฝึกให้บ่อยๆ จะได้กุศลที่ยิ่งใหญ่
    ภพชาติจะหมดลงเรื่อยๆ

     

แชร์หน้านี้

Loading...