ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ระวัง! ‘เครียด-อ้วน-เสื่อม-ปวด’ 4 สัญญาณก่อเกิดโรคร้าย มีอาการ...อย่าปล่อยไว้
    .
    ยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงในหลากหลายด้าน การมีสุขภาพดี เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดอย่างรวดเร็ว ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ
    .
    การรักษาโรคที่ดีที่สุด คือการป้องกันไม่ให้เกิดโรค หรือรีบจัดการเมื่อเริ่มมีอาการผิดปกติ เป็นแนวโน้มการดูแลสุขภาพสำหรับคนรุ่นใหม่
    .
    ‘ความเครียด ความอ้วน ความเสื่อม ความปวด’ 4 สัญญาณเตือนโรคร้าย ที่หากได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะเป็นการป้องกันไม่ให้การเจ็บป่วยหนักที่จะตามมาได้
    .
    เครียดระดับไหน? ก่อเกิดโรค
    .
    ผู้คนในสังคมปัจจุบันมีความเครียดสูงขึ้น ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน รวมไปถึงวัยสูงอายุ ซึ่งความเครียด คือ การหดตัวของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนของร่างกาย
    .
    ผลของความเครียดนั้น ส่งผลได้ทั้งสุขภาพทางกายและสุขภาพจิตใจ รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงาน สัมพันธภาพต่อครอบครัวและบุคคลแวดล้อม นับว่าความเครียดเป็นภัยต่อชีวิตอย่างยิ่ง
    .
    โรคร้ายแรงที่เป็นผลจากโรคอ้วน
    .
    ความรุนแรงของโรคอ้วนมีตั้งแต่ระดับที่เป็นสัญญาณเตือน ซึ่งสามารถรีบรักษาให้หายได้ ไปจนถึงเกิดโรคร้ายแรงซึ่งยากต่อการรักษาให้หายขาด อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันพอกตับ และมะเร็ง เป็นต้น
    .
    ถึงยังไม่แก่ ต้องเช็กความเสื่อม
    .
    ปัญหาความเสื่อมมีมากมายหลากหลาย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้นที่ประสบปัญหาความเสื่อมของร่างกายตามวัย แต่การใช้ชีวิตก็มีผลทำให้เกิดความเสื่อมได้ ไม่ว่าจะเป็น
    .
    สมองเสื่อม, ปัญหาการมองเห็น, ปัญหาการได้ยิน, ปัญหาการทำงานของตับ ไต,หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง มีความตีบตัน การทำงานของปอดลดลงจากถุงลมโป่งพอง เป็นต้น
    .
    ปวดตามร่างกาย บ่งบอกถึงการเกิดโรค
    .
    ยุคดิจิตอลที่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน พบปัญหาความปวดกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ จากภาวะ office syndrome มากขึ้น ซึ่งหากได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องในการออกกำลังกาย ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ จะลดอาการปวดได้พอสมควร
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1102872?anm=
    .
    .
    #โรคร้าย #สัญญาณเตือนโรคร้าย #officesyndrome #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจHealth

    ttps://m.facebook.com/story.php?story_fbid=749005850598337&id=100064667864722&mibextid=Nif5oz

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    เตือนภัย สาย “โทรมาแล้วไม่พูด” อาจจะโดน “มิจฉาชีพ” อัดเสียงอยู่ เพื่อนำเอาเสียงไปให้ “AI” เลียนเสียง แล้วย้อนโทรมาหาคนใกล้ตัวเพื่อ “หลอกโอนเงิน”
    .
    หลายคนเริ่มได้รับสายที่โทรมาแล้วไม่พูดอะไร ปล่อยให้เราพูดอยู่คนเดียวไปเรื่อย ๆ แล้วก็วางสายไป ซึ่งฟังดูแล้วอาจเป็นเพราะสัญญาณไม่ดี แต่ความจริงแล้วเราอาจกำลังโดนมิจฉาชีพอัดเสียงอยู่ เพื่อนำเสียงของเราไปให้ GenAI แปลงเสียงเพื่อใช้นำไปโทรหาคนสนิทของเรา และหลอกเอาเงินจากคนเหล่านั้น
    .
    ️ใช้ AI เลียนเสียงโทรไปหลอกคนใกล้ชิด
    .
    การใช้ AI สร้างเสียงหรือการปลอมแปลงเสียงของคน นี้เรียกว่า “Voice Clone” (วอยซ์โคลน) เป็นส่วนหนึ่งของการทำ “Deepfake” ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มมิจฉาชีพ วิชัย พละสุพราห์มานิยัณ ผู้บริหารระดับสูงและผู้ก่อตั้ง Pindrop บริษัทรักษาความปลอดภัยข้อมูล สัญชาติอเมริกัน ยอมรับว่าในปีนี้มีการใช้ Deepfake ในการฉ้อโกงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
    .
    ในอดีตการจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ทำงานจะต้องใช้ทักษะในการเขียนโค้ด แต่ปัจจุบันมีโปรแกรมสำเร็จมาให้เพียงแค่ป้อนข้อมูลเข้าไป AI ก็สามารถแสดงผลลัพธ์ให้ได้ทันที แถมเสียงจาก AI มีความสมจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทุกวัน แถมข้อมูลข้อส่วนตัวของลูกค้า เช่น ชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ มีขายอยู่ในตลาดใต้ดินเกลื่อนกลาด
    .
    เมื่อมีชื่อของเหยื่ออยู่ในมือ มิจฉาชีพก็นำรายชื่อไปค้นหาตามโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งผู้คนมักจะโพสต์คลิปตัวเองลงบนโซเชียลมีเดีย ทำให้มีคลังข้อมูลเสียงผู้คนบนโลกอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก
    .
    ยิ่งเป็นเหล่าคนดัง หรือเซเลบที่มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียเยอะ ๆ ยิ่งหาเสียงและวิดีโอของพวกเขาได้ง่าย แต่ถ้าหากคนเหล่านั้นไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดีย ก็ต้อง “ออกแรง” ด้วยการโทรไปตามเบอร์มือถือเพื่อให้ได้ยินเสียงและนำมาป้อนข้อมูลให้ AI เอาไปแปลงเสียง
    .
    หลังจากนั้นมิจฉาชีพจะโทรไปหาคนใกล้ชิดของเจ้าของเสียง โดยอาจสุ่มโทรหาคนที่เป็นเพื่อนในโซเชียลมีเดีย ซึ่งมักจะสร้างสถานการณ์ว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้เงินด่วน เช่น โดนจับเรียกค่าไถ่ ประสบอุบัติเหตุ ติดหนี้ ไม่มีเงินสด ฯลฯ
    .
    ฟังดูก็เป็น “มุกเก่า” ที่เหล่ามิจฉาชีพใช้มาตั้งแต่สมัยไม่มี AI แต่ตอนนี้มันสมจริงกว่าเดิมด้วย Voice Clone ซึ่งหากไม่ตั้งสติดี ๆ ก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องจริงและเผลอโอนเงินให้คนร้ายไปโดยไม่ได้โทรเช็กกับคนที่ถูกแอบอ้างก่อน
    .
    ️ผู้คนตระหนักถึงภัยคุกคามจาก Deepfake
    .
    Pindrop ทำการสำรวจความเห็นของคนในสหรัฐเกี่ยวกับความกังวลที่มีต่อเทคโนโลยี Deepfake และการทำไปใช้ผิดวิธี โดยผลการสำรวจพบว่า 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจาก Deepfake และ Voice Clone
    .
    ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาไปมากเท่าไหร่ ความกังวลใจเกี่ยวกับการนำ Deepfake มาใช้เพื่อฉ้อโกงประชาชนยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น เกือบ 66% ของชาวสหรัฐมีความกังวลกับการใช้ Deepfake และ Voice Clone ในที่ทำงานอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อธุรกิจ ทำลายภาพลักษณ์ของแบรนด์ และอื่น ๆ
    .
    เทคโนโลยี AI สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นเครื่องมือให้มิจฉาชีพได้เช่นกัน เราจึงทำได้แค่ระมัดระวังตัวให้มากขึ้นและหาทางป้องกันตัวเองไม่ให้เป็นเหยื่อ ทางที่ง่ายที่สุดคือไม่รับสายเบอร์แปลก แต่ถ้าจำเป็นต้องรับสาย ควรปล่อยให้อีกฝ่ายพูดก่อน เพื่อป้องกันการถูกอัดเสียง ซึ่งหากได้ยินเสียงแล้วไม่ลื่นไหลเหมือนมนุษย์ ออกเสียงแปร่ง ๆ ก็อาจจะตีความได้ว่ากำลังคุยกับ AI อยู่
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1102894?anm=
    .
    .
    #โทรมาแล้วไม่พูด #มิจฉาชีพ #AI #หลอกโอนเงิน
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจLifestyle #มิจฉาชีพ

    tps://m.facebook.com/story.php?story_fbid=749218520577070&id=100064667864722&mibextid=Nif5oz

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ผลสำรวจพบข้อมูลที่น่าสนใจว่าเอไอ “ChatGPT" มีการใช้น้ำ 500 มิลลิลิตร (ประมาณน้ำดื่มขวดเล็ก 500 มล.) ต่อทุกๆ 10 - 50 พรอมต์คำสั่ง”
    .
    กระแสการตื่นตัวรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์รุ่นใหม่ หรือ Generative AI (เจนเอไอ) กำลังเพิ่มความสงสัยของสาธารณชนมากขึ้นต่อประเด็นสิ่งแวดล้อมที่หลายคนอาจมองข้ามอย่าง “วอเตอร์ฟุตพรินต์” (Water footprint) ว่าภาคเทคโนโลยีมีการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้นจากความไฮป์ของเอไออย่างไร
    .
    วอเตอร์ฟุตพรินต์ คือตัวชี้วัดปริมาณการใช้น้ำทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนกระทั่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค ยิ่งค่าวอเตอร์ฟุตพรินต์น้อยยิ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะหมายถึงการใช้น้ำน้อยและมีการปล่อยน้ำเสียในปริมาณที่น้อยกว่า โดยในเชิงสิ่งแวดล้อมนั้นปริมาณวอเตอร์ฟุตพรินต์ก็เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจไม่แพ้เรื่องคาร์บอน ฟุตพรินต์แต่อย่างใด
    .
    บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น ไมโครซอฟท์และกูเกิล เพิ่งเปิดเผยรายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่าการใช้น้ำของบริษัทกำลังมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นมาก ขณะที่บรรดานักวิจัยต่างระบุตรงกันว่า หนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้ภาคเทคโนโลยีกำลังแย่งกันใช้น้ำในขณะนี้ มาจากการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเจนเอไอ
    .
    เชาลีย์ เรน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์เดล ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาเรื่องความเกี่ยวข้องระหว่างการพัฒนาโมเดลเจนเอไอกับการใช้ทรัพยากรน้ำ เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการศึกษาเจนเอไอของหลายบริษัทซึ่งรวมถึงเอไอเจ้าดังอย่าง ChatGPT ของบริษัท “โอเพ่นเอไอ”
    .
    ผลสำรวจพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า “ChatGPT" มีการใช้น้ำ 500 มิลลิลิตร ต่อทุกๆ 10 - 50 พรอมต์คำสั่ง” (ประมาณน้ำดื่มขวดเล็ก 500 มล.) โดยปริมาณการใช้น้ำยังขึ้นอยู่กับว่าใช้โมเดลเอไอที่ไหนและเมื่อไรอีกด้วย และเป็นที่คาดว่าแชตบอตรุ่นใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพกว่าอย่าง GPT-4 จะยิ่งใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก
    .
    นักวิจัยเตือนว่าหากวอเตอร์ฟุตพรินต์ที่เกี่ยวกับการพัฒนาเจนเอไอยังสูงขึ้นต่อไปโดยไม่ได้รับการแก้ไข สถานการณ์นี้อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้สังคมตั้งคำถามเรื่องการใช้งานเอไออย่างยั่งยืนในอนาคต
    .
    อ่าน: https://www.bangkokbiznews.com/world/1102944?anm=
    .
    #เอไอ #ChatGPT #น้ำดื่ม #วอเตอร์ฟุตพรินต์
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจTech #กรุงเทพธุรกิจGreen

    ttps://m.facebook.com/story.php?story_fbid=749577920541130&id=100064667864722&mibextid=Nif5oz

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    เสียว "ช็อกโกแลต" แพงกระฉูด! ราคา "โกโก้" พุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 5 ทศวรรษ!!!!!
    รู้หรือไม่ --- 70% ของโกโก้โลก ปลูกในทวีปแอฟริกา
    และหลักๆ อยู่ในแค่สองประเทศเท่านั้น ได้แก่ อันดับ 1 ไอวอรี่ โคสต์ และอันดับ 2 กานา
    ปีนี้ ทั้งคู่เผชิญภัยพิบัติ "โรคผลเน่าดำ" Black Pod Rot สุดชีช้ำ ซ้ำถูกขย้ำด้วยปรากฏการณ์ "เอล นิโญ" { แล้งจัดฝั่งเรา แต่ฝนซัดถล่มบ้านเขา } --- ทำให้ปลูกขึ้นได้น้อย และเก็บเกี่ยวได้ช้า

    ไอวอรี่ โคสต์ ผลผลิตตกต่ำที่สุดในรอบ 7 ปี
    กานา ผลผลิตตกต่ำที่สุดในรอบ 13 ปี

    ทำช็อก! ราคาโกโก้ตลาดโลก (ฟิวเจอร์ส ณ ตลาด Chicago Mercantile Exchange อเมริกา) ล่าสุด เหยียบๆ 4,400 ดอลลาร์/ตัน ไล่เลี่ยสถิติสูงสุดตั้งแต่ปี 1977
    ในเวลาปีครึ่ง ราคากระชากโหด 2 เท่า!! (กลางปีที่แล้ว ราคาอยู่แถวๆ 2,200 ดอลลาร์/ตันเอง)

    แล้วยิ่งคริสต์มาส คนยิ่งแห่ซื้อช็อกโกแลต ราคาจะโดดไปถึงไหนต่อไหน

    สงสัยต้องอดใจไม่เลียช็อกโกแลตแล้วปีนี้ ...

    https://www.bloomberg.com/news/feat...nd-ghana-makes-chocolate-expensive-everywhere
    https://www.bloomberg.com/news/arti...a-prices-soar-industry-says?srnd=premium-asia
    FB_IMG_1702297943423.jpg
    จะเห็นว่าในทำเนียบ 5 อันดับแรก มีแค่เอกวาเดอร์จากอเมริกาใต้เท่านั้นที่แทรกมา นอกนั้นเป็นกาฬทวีปหมดครับ

    ttps://www.facebook.com/100059471564207/posts/738647278127651/?mibextid=Nif5oz

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702373718539.jpg

    ปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรลเกยตื้นหลายพันตายปริศนาบนชายหาดทางตอนเหนือของญี่ปุ่น สันนิษฐานเบื้องต้นออกซิเจนในน้ำต่ำ
    .
    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมา สื่อท้องถิ่นญุ่ปุ่นรายงานพบปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรลตายเกยตื้นนับพันตัวยตลอดแนวชายหาดของเมืองฮาโกดาเตะ บนเกาะฮอกไกโด ทางตอนเหนือสุดของญี่ปุ่น
    .
    เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสงสัยและความกังวลใจให้กับชาวบ้านและชาวประมงในพื้นที่เป็นอย่าง เนื่องจากยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดว่าสาเหตุของปรากฎการณ์การณ์ดังกล่าวเกิดจากอะไร ยกเว้นการประกาศห้ามนำปลาที่เกยตื้นตายมาบริโภคหรือเก็บขาย
    .
    เบื้องต้นนักชีววิทยาทางทะเลสรุปความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ปลาในฮาโกดาเตะเกยตื้นตายไว้ 2 กรณีคือหนึ่งปลาเหล่านี้ขาดออกซิเจนในน้ำกำลังว่ายอยู่ในบริเวณน้ำตื้น และสองคือปลาช็อกน้ำเย็นขณะว่ายย้ายถิ่นฐานกระทันหัน
    .
    อย่างไรก็ตามกลุ่มนักวิชาการบางกลุ่มตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการปลาแมคเคอเรลตายเกลื่อนชายหาดนี้ เกิดขึ้นเพียง 3 เดือน หลังจากญี่ปุ่นตัดสินใจให้ปล่อยน้ำบำบัดกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ ลงสู่ทางทะเลเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากกลุ่มชาวประมงในญี่ปุ่นและชาติเพื่อนบ้าน ทั้งจีนและเกาหลีใต้ ว่าอาจจะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อระบบนิเวศ
    .
    ที่มา: Japan mass fish death: did lack of oxygen kill at least 1,000 tonnes of sardines and mackerels at Hokkaido beach?. South China Morning Post

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702374027996.jpg

    เพจมูลนิธิสืบนาคะเสถียรรายงานว่า พบสัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วคือเจ้า “ตุ่นปากยาว” สัตว์จำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีลักษณะตัวเหมือนเม่น จมูกเหมือนตัวกินมด และมีตีนเหมือนตัวตุ่น โดยพวกมันถูกพบอีกครั้งในเทือกเขาไซคล็อปส์ ประเทศอินโดนีเซีย หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างก็ยืนยันกันไปแล้วว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว

    ตุ่นปากยาวมีชื่อภาษาอังกฤษว่า แอตเทนโบโรห์ (Attenborough) มันถูกตั้งชื่อตามนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ เดวิด แอตเทนโบโรห์ (David Attenborough) ผู้เจอมันครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1961

    ในการเจอเจ้าตุ่นปากยาวครั้งนี้ถูกจับภาพไว้ได้จากกล้องติดตามเส้นทางของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด

    นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของนักวิทยาศาสตร์ เนื่องจากพวกเขาใช้เวลาร่วมเดือนในการค้นหาสัตว์ชนิดดังกล่าว โดยติดตั้งกล้องดักถ่ายเอาไว้ถึง 80 ตัว เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่โดยรอบให้ได้มากที่สุด

    จนกระทั่งวันสุดท้ายของการสำรวจ กล้องตัวหนึ่งสามารถจับภาพเจ้าตุ่นปากยาวเอาไว้ได้ โดย เจมส์ เคมป์ตัน (James Kempton) คือผู้พบภาพของเจ้าตุ่นปากยาวตัวหนึ่งกำลังเดินผ่านพงหญ้าในป่าใหญ่ตัดกล้องไป เคมป์ตันกล่าวว่า “สาเหตุที่มันไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ เนื่องจากมันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในกลุ่มโมโนทรีม (monotremes) ซึ่งเป็นกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่วางไข่ โดยมันมีวิวัฒนาการแยกออกมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ มานานกว่า 200 ล้านปีแล้ว”

    แม้การพบเจ้าตุ่นปากยาวนี้อีกครั้งจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เรื่องน่าเศร้าก็มีเช่นกัน โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ IUCN จัดให้ตัวตุ่นปากยาวมีสถานะเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ทว่าประเทศอินโดนีเซียกลับไม่มีกฎหมายคุ้มครองพวกมันอย่างจริงจัง

    “มันคือตัวแทนของความหลากหลายทางชีวภาพบนเทือกเขาไซคล็อปส์ นั่นคือเหตุผลที่เราควรอนุรักษ์พวกมันรวมถึงถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันด้วย อย่าให้ผืนป่าหายไปโดยเด็ดขาด” เคมป์กล่าว

    ภาพจากวิดีโอนี้ ถือเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกที่ยืนยันการมีอยู่ของมันได้นับตั้งแต่ปี 1961 ดังนั้นแล้ว พวกตุ่นปากยาวไม่ได้สูญพันธุ์ไปแล้วแต่อย่างใด มันยังคงหลบซ่อนสายตาพวกเราอยู่ในป่า พวกเรามีหน้าที่ที่จะต้องร่วมกันรักษาถิ่นที่อยู่ของพวกมันเอาไว้ เพื่อให้พวกมันไม่หายไปจากโลกนี้ตลอดกาล

    #igreenstory

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702374112596.jpg

    การประชุม COP28 ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กำลังเจรจากันอย่างเผ็ดร้อน เมื่อประธานการประชุม คือ อัล จาเบอร์ จาก UAE เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่น้ำมันแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อลดโลกร้อน

    การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. และจะจบลงในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ โดยล่าสุดได้มีการหารือถึง "ร่างข้อเสนอที่จะยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล"

    ล่าสุดสุลต่านอัล จาเบอร์ ประธาน Cop28 กล่าวว่า ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าจำเป็นต้องยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อจำกัดอุณหภูมิโลกที่ 1.5°C การเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน “แต่เป็นการนำโลกกลับเข้าไปอยู่ในถ้ำ”

    อ่านต่อ: https://www.igreenstory.co/cop28-president-dismisses-phase-out-of-fossil-fuels/

    #igreenstory

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702374172731.jpg


    “สัตว์เหล่านี้รวมตัวกันเป็นคู่เพื่อสืบพันธุ์ เมื่อพวกมันสัมผัสกับสารเคมี (ที่มากับพลาสติก) พวกมันจะแยกตัวออกจากคู่ของมันและใช้เวลานานกว่ามาก ในการจับคู่ใหม่ หรือบางครั้งก็จับคู่ไม่ได้เลย”

    การศึกษาใหม่พบว่าสารเคมีเจือปนในพลาสติกที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวัน อาจมีส่วนขัดขวางหรือขัดขวางพฤติกรรมการสืบพันธุ์ของกุ้งเต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศในทะเล

    งานการวิจัยส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่ผลกระทบของพลาสติกต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและในน้ำจืดน้ำจืด โดยเน้นไปที่อนุภาคขยะพลาสติกขนาดใหญ่หรือขนาดที่มองเห็นได้ และสัตว์มีกระดูกสันหลัง

    เป็นครั้งแรกที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยพอร์ทสมัธในอังกฤษได้ทำการศึกษาผลกระทบของสารเคมีที่เจือปนในพลาสติก ต่อ Echinogammarus marinus ซึ่งเป็นสัตว์คล้ายกุ้งเต้น พบได้ตามแนวชายฝั่งตั้งแต่นอร์เวย์ไปจนถึงโปรตุเกสตอนใต้

    จากการศึกษาพบว่าสารเคมีที่เจือปนในพลาสติกส่งผลให้ E.marinus มีปัญหาต่อการสร้างคู่เพื่อสืบพันธุ์และจำนวนอสุจิ ซึ่งหากได้รับสารเคมีจากพลาสติกเป็นจำนวนมากจะส่งผลให้การผสมพันธุ์ชะงัก

    สารเคมีในพลาสติกที่ส่งผลกระทบมี 4 ชนิด ได้แก่ n -butyl benzenesulfonamide (NBBS), triphenyl ฟอสเฟต (TPHP) diethylhexyl phthalate (DEHP) และ dibutyl phthalate (DBP)

    DEHP และ DBP พบได้ในเวชภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์อาหารและของเล่น TPHP ส่วนใหญ่จะใช้เป็นสารหน่วงไฟในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ยาทาเล็บ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่ NBBS สามารถพบได้ในไนลอน อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอุปกรณ์ทำอาหาร

    “เราเลือกสารปรุงแต่งทั้ง 4 ชนิดนี้เพราะทั้งหมดล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์” บิเดมิ กรีน-โอโจ กล่าว

    พฤติกรรมการผสมพันธุ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จไม่เพียงส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสายพันธุ์ที่ทดสอบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชากรโดยรวมในระบบนิเวศ

    “สัตว์เหล่านี้รวมตัวกันเป็นคู่เพื่อสืบพันธุ์ เมื่อพวกมันสัมผัสกับสารเคมี พวกมันจะแยกตัวออกจากคู่ของมันและใช้เวลานานกว่ามาก ในการจับคู่ใหม่ หรือบางครั้งก็จับคู่ไม่ได้เลย”

    นักวิจัยกล่าวว่าการศึกษาครั้งล่าสุด ถือว่าเป็นการเปิดมุมมองที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากมลพิษบางชนิดที่เรามองข้าม

    “เราต้องเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับสารเคมีเหล่านี้และผลกระทบต่อพฤติกรรมอย่างไร เช่น การให้อาหาร การต่อสู้หรือการบิน และการสืบพันธุ์ มีความสำคัญต่อชีวิตของสัตว์ และพฤติกรรมที่ผิดปกติใดๆ อาจลดโอกาสรอดชีวิต” กรีน-โอโจกล่าว

    ที่มา
    Evaluation of precopulatory pairing behaviour and male fertility in a marine amphipod exposed to plastic additives. Science Direct
    Dec 4, 2023. ‘Not right now’: Key marine species turned off sex by plastic chemicals. New Atlas
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702374716349.jpg

    #CLIMATE ผู้เชี่ยวชาญเตือน ปี 2024 จะเป็นปีที่ปะการังฟอกขาวตายมากเป็นประวัติการณ์ ผลจากเอลนีโญที่ซ้ำเติมภาวะโลกร้อน สร้างมหาสมุทรที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น จนกลายเป็นความตายครั้งใหญ่จนไม่อาจคาดเดาผลกระทบได้
    .
    ศาสตราจารย์ Ove Hoegh-Guldberg จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้ออกรายงานใหม่ที่เปิดเผยว่าผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศต่อแนวปะการังนั้นเข้าสู่ ‘เขตแดนที่ไม่คุ้นเคย’ แล้ว และอาจกำลังไปถึง ‘จุดเปลี่ยน’ ที่ไม่อาจย้อนกลับได้
    .
    “ความน่าจะเป็นก็คือ ณ ที่ใดที่หนึ่งในอีก 12-24 เดือนข้างหน้า เราจะเห็นปรากฎการณ์เอลนีโญรวมกับอุณหภูมิของน้ำทะเลที่อุ่นขึ้น ซึ่งมีผลกระทบอย่างมาก” ศาสตราจารย์ Ove Hoegh-Guldberg กล่าวในการประชุม COP28 “เราอยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยจริง ๆ ซึ่งเรารู้น้อยมาก และไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร และผมคิดว่าเรากำลังตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ”
    .
    ปัจจุบันมหาสมุทรทั่วโลกต้องพบกับคลื่นความร้อนรุนแรง โดยอุณหภูมิเฉลี่ยบนผิวน้ำนั้นสูงสุดเท่าที่เคยมีมาตั้งแต่ปี 1997 เหตุการณ์นี้ได้สร้างความเครียดให้กับปะการังทั่วโลก มันทำให้ปะการังสูญเสียจุลินทรีย์ที่เกาะอยู่จนกลายเป็นสีขาวซีด เราจึงเรียกว่า ‘ปะการังฟอกขาว’
    .
    เมื่อปะการังฟอกขาว พวกมันก็จะตายลง ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ต้องพึ่งพาปะการังจะได้รับผลกระทบตามมาและสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศ รวมถึงมนุษย์ที่ใช้ปลาในการดำรงชีพจำนวนหลายล้านคนตามแนวชายฝั่ง นักวิทยาศาสตร์ประเมินกันว่าสิ่งนี้ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพในมหาสมุทรลดลงได้ถึง 25%
    .
    แต่ยังไงก็ตาม ศาสตราจารย์ Ove Hoegh-Guldberg ยังคงมีความหวัง และเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกรีบดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน เนื่องจากในบันทึกทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา เมื่อความร้อนหรือความเครียดที่เป็นภัยคุกคามต่อปะการังผ่านไป พวกมันก็สามารถฟื้นฟูตัวเองกลับมาได้
    .
    แต่การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการแก้ไข จะทำให้ปะการังไม่สามารถกลับมาได้จนเกิดความเสียหายขึ้นมาจริง ๆ ทางองค์กรอนุรักษ์กล่าวว่า แนวปะการังเป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่มีความหลากหลายมากที่สุดในโลก เป็นที่อยู่อาศัยของปลามากกว่า 4,000 สปีชีส์ การอนุรักษ์ปะการังจึงมีความสำคัญยิ่งต่อโลก
    .
    “เราจำเป็นต้องตั้งค่าพารามิเตอร์ เราจำเป็นต้องกำหนดวิธีการทำงานของโลก และดำเนินการให้ทันเวลา เพราะเรามีทรัพยากรเราจึงทำได้ แต่เราต้องฉลาดและมีร่วมมือกัน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราได้รับระบบที่จะทำให้โลกเย็นลงชั่วระยะเวลาหนึ่งหรืออย่างน้อยก็ไม่เพิ่มขึ้นสักระยะหนึ่ง” ศาสตราจารย์ Ove Hoegh-Guldberg บอก
    .
    เพื่อไม่ให้ต้องสูญเสียแนวปะการังไปจริง ๆ
    .
    ที่มา
    .
    https://www.science.org/doi/10.1126/science.adk4532
    .
    https://www.theguardian.com/environ...ng-expected-2024-professor-ove-hoegh-guldberg
    .
    https://cosmosmagazine.com/earth/marine-heatwave-threat-to-caribbean-coral/
    .
    Photo : kwiktor/Envato

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    PSX_20231212_165400.jpg

    เริ่มแล้วในไทยและเวียดนาม
    Net Zero Carbon ผนึกกําลัง Spiro Carbon และ BSB
    นาข้าวลดก๊าซเรือนกระจก เพิ่มผลผลิต ขายคาร์บอนเครดิตได้
    .
    รู้หรือไม่ว่า ‘ภาคการเกษตร’ ในไทยทำลายโลกด้วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลำดับที่สอง รองจากภาคพลังงาน นอกจากนี้ทั้งประเทศไทยและเวียดนามเป็นผู้ส่งออกข้าว อันดับต้น ๆ ของโลก มีเกษตรกรรวมกันมากกว่า 10 ล้านครัวเรือน การร่วมมือกันเพื่อลดการปล่อยก๊าซจากภาคการเกษตรจึงเหมาะกับบริบทสังคมไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ผู้นำกว่า 116 ประเทศลงปฏิญญาร่วมกัน
    .
    ทางบริษัทเนทซีโรคาร์บอน จํากัด (Net Zero Carbon Thailand) จึงเล็งเห็นว่าการทำ ‘นาข้าว’ ที่เป็นพืชผลสำคัญที่สุดของประเทศ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
    ด้วยเทคนิคการทำนาแบบ ‘เปียกสลับแห้ง’ ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนเครดิต และ การใช้นาโนซิลิกาแทน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดก๊าซที่เป็นต้นเหตุของภาวะโลกร้อนแล้ว ชาวนายังสามารถมีผลผลิต ที่เพิ่มขึ้น และขายคาร์บอนเครดิตเป็นรายได้เสริมอีกทาง
    .
    ธนนนท์ เตรียมชาญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เนทซีโรคาร์บอน จํากัด (Net Zero Carbon Thailand) ทางบริษัทได้จับมือกับ Spiro Carbon บริษัทที่ดำเนินการเรื่องคาร์บอนเครดิตให้กับชาวนาและเกษตรกรที่ปลูกผลิตผลต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา และ BSB Nanotechnology จากเวียดนาม ผู้คิดค้น นาโนซิลิกา(Nanosilica) จากแกลบ ที่ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตและผลผลิต
    .
    ทั้ง 3 บริษัทจับมือเพื่อผลักดันการเกษตร พร้อมนำเทคโนโลยีที่มีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้
    Spiro Carbon มีเทคโนโลยี Low satellite orbit (ดาวเทียมวงโคจรต่ำ) ควบคู่ไปกับปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถติดตามการทํานาแบบ ‘เปียกสลับแห้ง’ (น้ำแล้งสลับกับน้ำท่วม) การทำนารูปแบบนี้ มีวิจัยจาก IRRI (International Rice Research Institute) รับรองว่าสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวได้ และช่วยลดการปล่อย ‘ก๊าซมีเทน’ ที่มีความอันตรายมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า อีกทั้งความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้มีการตรวจจับคาร์บอนได้อย่างแม่นยำ ทำให้กระบวนการซื้อขายคาร์บอนเครดิตโปร่งใส ไร้กังวลเรื่องการฟอกเขียว(Green Washing) ทางด้านของ BSB Nanotechnology ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์นาโนซิลิกาจากแกลบ ที่สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรแบบอินทรีย์ ป้องกันโรคแมลงศัตรูพืช ช่วยลดการสูญเสียธาตุอาหารในดิน ทำให้สามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมี ที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพของชาวนาได้อีกด้วย
    .
    คุณธนนนท์ เตรียมชาญชัย เสริม สิ่งสำคัญที่จะทำให้โครงการปลูกข้าวลดโลกร้อน ภายใต้ชื่อ “ดินสู่ผืนดิน” สามารถดำเนินงานต่อไปได้นอกจากความร่วมมือของทั้งสามบริษัทข้างต้นแล้ว ยังต้องการ การกระตุ้นจากภาครัฐที่จะทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริง
    .
    “เพราะฉะนั้นผมว่ามันก็มันเป็นโปรเจกต์ที่เหมาะกับคนไทยมาก และคนไทยก็อยู่บนเวทีโลกในการส่งออกข้าวเยอะที่สุดอยู่ ประมาณอันดับ 4 ของโลก รองจากเวียดนามนิดเดียว” คุณธนนนท์กล่าว
    .
    จากการประกาศความร่วมมือ ภายใต้นโยบาย ‘ดินสู่ผืนดิน’ เพื่อสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรจากการขายค่าชดเชยคาร์บอน รวมถึงสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกรด้วยวิธีการเกษตรอินทรีย์ ขณะนี้มีโครงการที่นำร่องในจังหวัดปทุมธานีและได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจริง คาดโครงการเริ่มดําเนินการในปี 2567 นี้
    .
    นับว่าเป็นอนาคตของภาคการเกษตรไทย ที่จะมีส่วนในการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสภาพอากาศที่ปลอดภัยให้กับทุกคน

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702374924139.jpg

    #CLIMATE อยู่ๆก็มีเรื่องราวให้นอนไม่หลับ หมีไซบีเรียออกมาเดินกึ่งหลับกึ่งตื่น หลังจากที่อากาศในไซบีเรียไม่เป็นใจ สูงขึ้นผิดปกติ ทำให้ไม่ได้เข้าจำศีล
    .
    กรมปกป้องสัตว์ป่าของแคว้นอามูร์ ในรัสเซีย เผยว่า อุณภูมิในแคว้นอามูร์ (ส่วนหนึ่งของเขตไซบีเรีย) สูงขึ้น ทำให้เหล่าหมีที่ง่วงนอนจากการจำศีล ออกมาเดินสะลึมสะลือไปทั่ว
    .
    ปกติแล้ว ช่วงฤดูหนาวหรือปลายเดือนตุลาคม หมีในไซบีเรียจะจำศีล เพราะช่วงนั้นอากาศหนาวมาก จนทำให้หมีต้องใช้พลังงานเยอะ แต่กลับไม่มีอาหารหลงเหลือกินเพื่อเติมพลังงานเลย มันเลยต้องนอนตลอดฤดูกาลเพื่อสะสมพลังงานเอาไว้ โดยมันจะเก็บสะสมไว้ไว้บริเวณไขมันต่าง ๆ ของร่างกาย ก่อนถึงฤดูจำศีล พวกมันเลยจะกินอย่างเต็มที่ พอช่วงจำศีลจบลง มันจึงจะค่อยออกมาใช้ชีวิตได้ตามเดิม ซึ่งก็จะเป็นฤดูใบไม้ผลิที่อาหารกลับมาออกดอกออกผลอีกครั้ง
    .
    แต่ทางรัฐบาลของรัสเซียเผยว่า อากาศของเดือนพฤศจิกายนอุ่นขึ้น ทำให้หมีไม่นอนและเดินไปเดินมา โดยหมีที่ไม่ยอมนอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นตัวผู้ ส่วนตัวเมียจะอยู่กับลูก ๆ ในรังของมัน เพื่อทำตามตารางการนอนอย่างเข้มงวด
    .
    ต่างจากสัตว์อื่น ๆ ที่ต้องจำศีลหมีจะตัดสินใจว่าพวกมันจะเข้าจำศีลด้วยการดูปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณอาหารและอุณหภูมิ เคยมีงานวิจัยเผยออกมาว่าหน้าร้อนที่ร้อนขึ้น และหน้าหนาวที่สั้นขึ้นทำให้การนอนของหมีนั้นน้อยลง อุณหภูมิของอากาศที่สูงขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส จะทำให้หมีออกจากรัง 3.5 วันก่อนเวลาปกติ
    .
    อีกปัจจัยอาจจะเป็นเรื่องของที่อยู่อาศัยที่ไม่เหมาะสม Oivind Toien นักสัตววิทยาและผู้ช่วยศาสตราจารย์วิจัยที่สถาบันInstitute of Arctic Biology at the University of Alaska Fairbanks บอกกับ WordsSideKick.com ทางอีเมลว่า “อุณหภูมิที่สูงกว่าจุดเยือกแข็งในสภาพเปียกชื้นและเต็มไปด้วยหิมะ อาจส่งผลให้น้ำละลายเข้าไปในถ้ำได้ (และ) อาจทำให้หมีไม่อยู่ในถ้ำได้”
    .
    การที่หมีออกมาเดินและไม่จำศีลในช่วงเวลาที่อาหารหายากนี้ ก็ทำให้หมีบุกมาในที่ ๆ มนุษย์อยู่เหมือนกัน เมืองในรัสเซียก็เคยประกาศภาวะฉุกเฉิน เนื่องจากหมีขั้วโลกมากกว่า 12 ตัวลงมาหาอาหารในพื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์เช่นกัน
    .
    ที่มา
    https://www.livescience.com/animals...ound-siberia-because-its-too-hot-to-hibernate
    https://www.newsweek.com/half-asleep-bears-are-roaming-around-russia-1850044

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702375069248.jpg

    #CLIMATE ‘ดอกไม้แห่งพระเจ้า’ ของชนเผ่าพื้นเมืองไต้หวันกำลังหายไปเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ดอกไม้สายพันธุ์นี้บานก่อนเวลาปกติถึง 1 เดือน และค่อย ๆ ลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย
    .
    กล้วยไม้สีเหลืองสดใสที่มีชื่อว่า The Dendrobium orchid หรือ golden grass orchid ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ชาวพื้นเมือง Tsou เรียกว่า ‘ดอกไม้แห่งพระเจ้า’ โดยเป็นสายพันธุ์ที่พบไปทั่วไปในไต้หวัน แต่ตอนนี้พวกมันกำลังหายไปอย่างรวดเร็วจากพื้นที่ป่าบนภูเขา และถูกบีบให้ถอยร่นขึ้นไปเพื่อตามหาอากาศเย็น
    .
    ดอกไม้ชนิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประเพณีและวัฒนธรรมของชาวพื้นเมือง Tsou เพื่อใช้ติดต่อพระเจ้าตามความเชื่อทางจิตวิญญาณ “ชนเผ่าของฉันต้องมีดอกไม้เทพเจ้าสำหรับพิธีกรรมของเรา ไม่เช่นนั้นพระเจ้าจะไม่สามารถหาเราเจอได้” Gao Desheng ผู้อาวุโสของชนพื้นเมืองกล่าวกับ BBC
    .
    โดยปกติแล้วดอกไม้สายพันธุ์นี้จะเติบโตได้ดีในฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 12°C จากนั้นก็ จากนั้นก็จะบานได้ตามปกติเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง แต่เนื่องจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อุณหภูมิจึงสูงกว่าปกติโดยอยู่ที่ 14°C และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 16°C ภายในปี 2050
    .
    ภาวะโลกร้อนไม่ได้แค่ส่งผลต่อดอกไม้เท่านั้น แต่ยังทำให้ไต้หวันเจอปัญหาภัยแล้ง และสภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้น ทำให้มีพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม (ยิ่งมหาสมุทรอุ่นขึ้นยิ่งทำให้พายุรุนแรงขึ้น) ซึ่งเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินถล่ม กลับกันเมื่อถึงฤดูแล้งก็แล้งรุนแรงผิดปกติ กระทบต่อพื้นที่อยู่อาศัยของดอกไม้กับชาวเมือง
    .
    ไม่เพียงเท่านั้น หลายคนจำเป็นต้องเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นแทนไผ่เพื่อให้อยู่รอดเช่น กาแฟ ทว่าก็ยังไม่ได้รับผลกระทบอยู่ดี Jui-Chiao Chung หนึ่งในชาวเมืองเล่าว่าครอบครัวของเธอปลูกไผ่มาหลายชั่วอายุคน แต่ความแห้งแล้งอย่างต่อเนื่องทำให้ผลผลิตต้นไผ่ลดลงมากกว่าครึ่ง
    .
    เธอจึงหันไปปลูกกาแฟ แต่เมล็ดกาแฟก็มีสีเข้มขึ้นซึ่งเป็นผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น จนทำให้กาแฟเสียรสชาติและมีผลผลิตน้อยลง แต่ชนพื้นเมือง Tsou ไม่มีวิธีแก้ไข้ปัญหาที่เกิดขึ้น และสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ดอกไม้บานเร็วกว่าเวลาปกติ ซึ่งจะส่งผลต่อผึ้งแน่นอน ฤดูกาลที่คลาดกันอาจทำให้ระบบนิเวศเสียหาย
    .
    การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มที่จะทำให้ชีวิตของดอกไม้ป่ายากขึ้นมาก ซึ่งอาจลดจำนวนแมลงผสมเกสรที่เป็นประโยชน์ และส่งผลเสียต่อความมั่นคงทางอาหาร ท้ายที่สุด มันจะส่งผลกระทบถึงเราที่เป็นมนุษย์
    .
    ที่มา
    .
    https://www.iflscience.com/the-god-...kglwadkUCRx_xzBkxxrBZDAxBPIQgsmKaaC8qiq_9m8mk
    .
    https://www.bbc.com/news/world-asia-67342419
    .
    Photo : ภาพกล้วยไม้สีเหลืองในป่าที่คล้ายกันโดย Renjusplace, CC BY-SA 3.0

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702375275790.jpg

    #CLIMATE ศาลเบลเยี่ยมสั่งรัฐบาล! ให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 55% จากปริาณปี 1990 ให้ได้ภายในปี 2030 พร้อมระบุว่าเป้าหมายด้านสภาพาอากาศของประเทศ ‘ไม่เพียงพอและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน’
    .
    คดีนี้รัฐบาลถูกฟ้องร้องโดยกลุ่มที่ชื่อว่า Klimaatzaak ซึ่งเป็นกลุ่มคนกว่า 58,000 คนที่ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมานานหลายปี จนในที่สุดศาลเบลเยียมได้มีมติตัดสินให้รัฐบาลลดระดับการปล่อยก๊าซลง 55% จากระดับที่ปล่อยในปี 1990 ขณะที่ข้อมูลปัจจุบันชี้ว่าปี 2021 เบลเยียมลดการปล่อยได้เพียง 24% และมีเป้าหมายอยู่ที่ 47% ซึ่งน้อยกว่าคำตัดสินนี้มาก
    .
    Zakia Khattabi รัฐมนตรีกระทรวงสภาพอากาศของรัฐบาลกลางกล่าวในโพสต์บน X ว่า คำตัดสินกับเป้าหมายของคณะกรรมาธิการยุโรปต่อแผนสภาพภูมิอากาศ และแผนพลังงานแห่งชาติของเบลเยียม “ถือเป็นกลไกในการเสริมสร้างให้ความน่าเชื่อถือต่อนโยบายสภาพภูมิอากาศของเรา” (ประมาณไปในทางเดียวกันอยู่แล้ว)
    .
    ยังไงก็ตามนักวิทยาศาสตร์หลายคนเน้นย้ำว่าเป้าหมายใหม่นี้ (55%) ยังคงไม่เพียงพอที่จะบรรลุผลด้านวิกฤตสภาพอากาศ การวิเคราะห์จากสถาบันแกรนแธม (Grantham Institute ; องค์กรด้านสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม) ในเดือนมีนาคมชี้ว่า เบลเยียมต้องลดการปล่อยก๊าซอย่างน้อย 61% ภายในปี 2030
    .
    เพื่อรักษาไม่ให้โลกร้อนเกิน 1.5°C แต่ทาง Zakia Khattabi เองได้กล่าวกับ The Guardian ว่า “ฉันรู้เรื่องนี้ และฉันก็มั่นใจในสิ่งนั้น แต่เราทำงานบนความเป็นจริงทางการเมือง ดังนั้นฉันจะมีความสุขถ้าเราบรรลุเป้าหมายที่ 55%”
    .
    Khattabi อ้างว่ามีเงื่อนไขด้านการเมือง เศรษฐกิจ นโยบาย และอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากให้ต้องจัดการ ดังนั้นเป้าหมาย 61% นั้นจึงเป็นไปได้ยาก สำหรับประเทศอื่น ๆ ต่างก็มีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยเช่นกันอย่าง เนเธอร์แลนด์มีแผนที่จะลดการปล่อยก๊าซลง 49% ภายในสิ้นทศวรรษนี้, ฝรั่งเศส 50%, เยอรมนี 65%, และสหราชอาณาจักรลด 68%
    .
    ยังไงก็ตาม Khattabi เชื่อว่าแรงกดดันจากภาคประชาชนและอุตสาหกรรมจะช่วยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้นบนโลก
    .
    ที่มา
    .
    https://www.theguardian.com/world/2...cuts-as-countrys-climate-targets-insufficient
    .
    https://www.vrt.be/vrtnws/en/2023/1...in-their-case-court-imposes-co2-reduction-ta/
    .
    Photo : SeanPavone/Envato

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702375610967.jpg

    #LIFE ในป่ายูคาลิปตัสที่เก่าแก่ของรัฐ New South Wales ประเทศออสเตรเลีย เป็นที่อยู่อาศัยของโคอาลา สัตว์ประจำชาติของออสเตรเลีย จำนวนมาก และประมาณ 15% ของประชากรโคอาลาที่กำลังลดน้อยลงอยู่นี้กำลังได้กลับมาอยู่ภายใต้การคุ้มครองภายในปี 2025 ทว่า นักอนุรักษ์มองว่า มันอาจสายเกินไป
    .
    เพื่อปกป้องที่อยู่อาศัยของโคอาลา รัฐบาลกลางออสเตรเลียมีแผนที่จะรวมพื้นที่ป่าสาธารณะและอุทยานทั้งหมดให้กลายเป็น Great Koala National Park (GKNP) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของออสเตรเลียที่มีไว้เพื่อปกป้องโคอาลาโดยเฉพาะ โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 1,216 ตารางไมล์ ใหญ่เท่ากับพื้นที่ลอนดอนสองเท่า
    .
    อย่างไรก็ตาม นักสิ่งแวดล้อมและนักอนุรักษ์ทั้งหลายเตือนว่า ต้นไม้ที่เป็นอาหารของโคอาลาอาจไม่มีหลงเหลือให้โคอาลาอยู่ต่อได้จนถึงเวลาที่อุทยานใหม่นี้จะรวบรวมได้ เนื่องจากมีการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่อย่างหนัก นักอนุรักษ์เผยว่า การตัดไม้ในพื้นที่เหล่านี้ใช้เวลานานมากกว่าต้นไม้จะกลับมาฟื้นฟู หรือไม่ก็ไม่กลับมาอีกเลย
    .
    โคอาลาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีกระเป๋าหน้าท้อง ที่พบแห่งเดียวในออสเตรเลีย พวกเขากินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหาร มันตกอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ (endangered) ในรัฐ New South Wales, Queensland และ Australian Capital Territory ในปี 2022 ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการได้เตือนแล้วว่า โคอาลาอาจสูญพันธุ์ไปจาก New South Wales ในปี 2050 หากไม่มีการปกป้องพวกเขาและแหล่งอาศัยอย่างเร่งด่วน
    .
    นักอนุรักษ์ และผู้เชี่ยวชาญหลายคนเลยเรียกร้องให้รัฐบาลแบนการตัดไม้ในพื้นที่ Great Koala National Park (GKNP) ทั้งหมด จนกว่าแผนจะลุล่วง
    .
    ก่อนหน้านี้ รัฐ New South Wales ก็ได้หยุดการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ Great Koala National Park (GKNP) 106 จุด ทว่า 106 นี้คิดเป็นแค่ 5% ของป่าทั้งหมดเท่านั้น

    ที่มา
    https://www.reuters.com/world/asia-...-koala-haven-faces-logging-threat-2023-12-06/

    https://www.theguardian.com/environ...N31br2OElzx7HjejNQsLQEgsGWSE4XKECguvyrVMeUlVY

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702375688219.jpg

    #POLLUTION เรากำลังทำร้าย ‘ร้านขายยาแห่งท้องทะเล’ จากมลพิษ ฟองน้ำทะเลมีคุณสมบัติทางยาจำนวนมาก แต่มนุษย์เสี่ยงที่จะกำจัดพวกมันให้หายไปจากทุกอย่างที่ทิ้งลงมหาสมุทร
    .
    ฟองน้ำทะเล (Sponge) สิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดและดูเหมือนจะไม่มีอะไรโดดเด่น พวกมันถือว่าเป็นสัตว์ที่ไม่รูปร่างเฉพาะ และมีรูปแบบที่หลากหลายมาก แม้จะขาดระบบประสาทที่ซับซ้อน ระบบย่อยอาหาร หรือแม้แต่ระบบไหลเวียนโลหิต
    .
    แต่จริง ๆ พวกมันสร้างสารเคมีต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา การอักเสบ หรือโมเลกุลต้านโรคอื่น ๆ ที่ยังไม่ค้นพบ ทำให้ฟองน้ำได้รับฉายาว่า ‘ร้านขายยาแห่งท้องทะเล’ มีฟองน้ำที่ถูกบันทึกไว้ในรายงานทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 5,000 สปีชีส์ทั่วโลก และเชื่อว่าน่าจะมีอีกจำนวนมากที่ยังไม่ถูกค้นพบ
    .
    น่าเศร้าที่เรากำลังทิ้งขยะลงมหาสมุทรและทำร้านทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่านี้ จนเสี่ยงที่พวกมันจะหายไป ก่อนที่เราจะรู้จักคุณสมบัติทางยาของพวกมันครบถ้วน ประเมินกันว่ามีการค้นพบสารเคมีออกฤทธิ์ทางชีวภาพมากกว่า 200 ชนิดในฟองน้ำทะเลทุกปี และบางส่วนก็พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ทางยา
    .
    “ใต้ทะเลลึกประกอบไปด้วยไมโครไบโอมส่วนใหญ่ของโลก แต่การวิจัยยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ของเรามุ่งเน้นไปที่ไมโครไบโอมบนบก” ดร. Eleanor Best ศัลแพทย์สัตวแพทย์ จากมหาวิทยาลัยบริสตอล กล่าว “ดังนั้นมันจึงมีศักยภาพมหาศาลสำหรับยาปฏิชีวนะชนิดใหม่จากใต้ทะเล”
    .
    ยาที่ได้จากฟองน้ำตัวแรกสุดถูกอนุมัติโดย FDA (องค์การอาหารและยา สหรัฐฯ) ตั้งแต่ปี 1969 โดยเป็นสารที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ‘ไซตาราบีน’ ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของยาที่ช่วยขัดขวางการเพิ่ม DNA ของเซลล์มะเร็งเม็ดลือดขวา และเนื้องอกของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งฆ่ามะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งยังถูกใช้จนถึงทุกวัน
    .
    ต่อมาในปี 1981 นักวิทยาศาสตร์ก็สกัด ‘อะไซโคลเวียร์’ ที่ใช้เป็นสารประกอบต้านไวรัสให้รักษาโรคเริม อีสุกอีใส และงูสวัด จากนั้น FDA ก็นำไปปรับปรุงเพื่อใช้กับยารักษา HIV ตัวแรกของโลก สารเหล่านี้ถูกสกัดมาจากฟองน้ำใต้ทะเล แม้แต่ปัจจุบันก็ยังมีการค้นพบสารใหม่ ๆ โดยล่าสุดก็คือเดือนตุลาคม 2023 ที่ผ่านมา
    .
    “ฟองน้ำทะเลเป็นที่อาศัยของแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่จำนวนมหาศาล เป็นการแข่งขันระหว่างแย่งชิงสารอาหารและการผลิตยาปฏิชีวนะ(ของฟองน้ำ)” ดร. Eleanor Best เสริม แต่การขุดเจาะใต้ทะเลลึกเพื่อหาทรัพยากรธรรมชาติได้ก่อมลพิษ และสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศอย่างมาก
    .
    และนั่นหมายถึงมนุษย์กำลังสูญเสียแหล่งมีค่าทางการแพทย์ที่อาจช่วยชีวิตคนอีกนับล้านคนไปด้วย
    .
    “เรากำลังทำลายความหลากหลายทางชีวภาพอย่างรวดเร็ว” Eric Schmidt ศาสตราจารย์ด้านเคมียาจากมหาวิทยาลัยยูทาห์กล่าว “โดยทั่วไปแล้ว เมื่อคุณตรวจสอบสายพันธุ์ใหม่ก็จะพบโมเลกุลใหม่ที่ยังไม่ทราบศักยภาพ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่เราไม่รู้แม้กระทั่งว่าเรากำลังทำลายอะไรอยู่”
    .
    ที่มา
    .
    https://www.iflscience.com/weird-se...ines-future-but-we-risk-wiping-them-out-71655
    .
    https://www.vox.com/down-to-earth/23921394/deep-sea-mining-sea-sponges-medicine-drugs
    .
    https://www.bristol.ac.uk/blackwell/news/2023/antibiotics-deep-sea-sponges.html
    .
    https://sajs.co.za/article/view/13745
    .
    Photo : NOAA

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702375886130.jpg

    #LIFE ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ นักล่าน้ำผึ้งในแอฟริกาสามารถสื่อสารกับนกเพื่อขอให้ช่วยหาน้ำผึ้ง จากนั้นก็แบ่งกันกินได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย งานวิจัยใหม่บอกเล่าเรื่องราวที่นักวิทยาศาสตร์ต้องทึ่ง
    .
    ในแอฟริกา นักล่าน้ำผึ้งท้องถิ่นสามารถส่งเสียงเรียกนกที่มีชื่อว่า ‘Honeyguide birds’ ซึ่งมีความสามารถในการตามหาน้ำผึ้ง ซึ่งมีอัตราความสำเร็จที่สูงมาก จนทำให้นักวิทยาศาสตร์งุนงงกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นว่า นกรู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์กำลังเรียกพวกมันและจะได้กินอาหารถ้าช่วยเหลือมนุษย์
    .
    เนื่องจากไข่นกสายพันธุ์นี้จะถูกทิ้งไว้กับรังของนกสายพันธุ์อื่น นั่นหมายความว่าลูกที่เกิดมาจะไม่มีพ่อแม่นกคอยสอน ขณะที่ฝ่ายมนุษย์นั้นจะเรียนรู้วิธีสื่อสารจากผู้อาวุโสในเผ่าหรือในหมู่บ้านท้องถิ่น Brian Wood นักมานุษยวิทยาจาก UCLA และ Claire Spottiswoode จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จึงร่วมมือกันเพื่อพยายามไขความลับนี้
    .
    Wood เล่าว่าเขาทึ่งมากกับสายพันธุ์นี้ เมื่อนักล่าน้ำผึ้งส่งเสียงเรียก นก Honeyguide birds จะบินลงมาและส่งเสียงดังราวกับพูดว่า “เฮ้ ฉันอยู่ที่นี่แล้ว และฉันรู้ว่ามีน้ำผึ้งอยู่ที่ไหน ดังนั้นตามฉันมา” Wood อธิบาย
    .
    เมื่อนกนำทางมาถึงต้นไม้ที่พวกมันรู้ว่ามีน้ำผึ้งอยู่ด้านใน นกจะบินเข้าไปเกาะใกล้ ๆ และเงียบไป “นั่นเป็นสัญญาณให้เริ่มมองหาจริง ๆ” Wood เล่า นักล่าจะทำการเจาะต้นไม้เพื่อเอาน้ำผึ้งออกมา มนุษย์จะได้น้ำผึ้งไป และนกจะได้กินขี้ผึ้งและตัวอ่อน Wood และ Spottiswoode เชื่อว่าเคล็ดลับอาจอยู่ที่การส่งเสียง
    .
    พวกเขาจึงทำการบันทึกเสียงสัญญาณจากนักล่าน้ำผึ้งในประเทศเทนซาเนีย และโมซัมบิก จากนั้นก็ลงพื้นที่โดยมีนักล่าน้ำผึ้งเดินตามใกล้ ๆ กับนักวิจัย แต่เล่นเสียงที่บันทึกไว้แทนการให้นักล่าน้ำผึ้งร้องส่งสัญญาณ
    .
    พวกเขาพบว่าโอกาสที่นก Honeyguide birds จะปรากฎตัวนั้นขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในประเทศอะไร หากอยู่ในเทนซาเนีย นกก็จะตอบสนองต่อเสียงของนักล่าน้ำผึ้งจากเทนซาเนีย ซึ่งสำเร็จถึง 82% ส่วนในโมซับบิกก็จะตอบสนองต่อเสียงนักล่าน้ำผึ้งจากโมซับบิกเช่นเดียวกัน ซึ่งสำเร็จที่ 73%
    .
    ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสรุปว่า เสียงที่มาจากมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่นเป็นปัจจัยสำคัญ คนในแต่ละพื้นต่างก็มีเสียงเรียกที่แตกต่างกัน แต่นกเรียนรู้ได้ยังไงนั้นยังคงไม่ชัดเจน แต่ทีมวิจัยสังเกตว่าเมื่อเอาน้ำผึ้งออกมาได้แล้ว จะมีนก Honeyguide birds หลายตัวลงมาร่วมวงรับประทานอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่านกอายุน้อยอาจคอยสังเกตพฤติกรรมนกที่ตัวกว่าแล้วเลียนแบบ
    .
    “นี่เป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมาก ซึ่งสนับสนุนแนวคิดที่ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้” Wood บอก “ดังนั้นเราจึงมีความร่วมมือที่ดี โดยนกแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับตำแหน่งของรังผึ้ง และนักล่าน้ำผึ้งก็แบ่งปันทักษะ ความกล้าหาญ รวมถึงพรสรรค์ที่ยอดเยี่ยมในการเข้าถึงน้ำผึ้งที่อยู่ข้างใน”
    .
    “นกให้ความช่วยเหลือที่สำคัญแก่พวกเขาจริง ๆ” Wood เสริม
    .
    ที่มา
    .
    https://www.science.org/doi/10.1126/science.adh4129
    .
    https://www.cam.ac.uk/stories/human...e findings build on work,on for over a decade.
    .
    https://www.newscientist.com/articl...nd-to-special-calls-from-human-honey-hunters/
    .
    https://www.npr.../sections/goatsan...ide-bird-calls-honey-human-cultural-evolution
    .
    https://www.science.org/content/art...ney-recognize-local-calls-their-human-helpers
    .
    Photo : Claire Spottiswoode

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702376064115.jpg

    #LIFE ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีแต่การสูญเสีย รัฐบาลออสเตรเลียเตรียมกำจัด ‘ม้าป่า’ 14,000 ตัวด้วยการยิงเฮลิคอปเตอร์ รัฐบาลย้ำ การกระทำนี้จะช่วยรักษาสัตว์สายพันธุ์พื้นเมืองในอุทยานแห่งชาติได้
    .
    เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์รุกราน ม้าป่าในออสเตรเลียเหล่านี้ถูกนำเข้ามาโดยผู้ตั้งถิ่นฐานรุ่นแรก ๆ จากยุโรปซึ่งมีประชากรกว่า 400,000 ตัวทั่วประเทศ ขณะที่ในอุทยานแห่งชาติ Kosciuszko ที่เป็นปัญหานี้มีม้าป่าอยู่ราว 17,432 ตัว
    .
    ประเด็นสำคัญคือรัฐบาลต้องการจำกัดให้เหลือจำนวนเพียง 3,000 ตัวภายในเดือนมิถุนายนปี 2027 ซึ่งหมายความว่าต้องมีการกำจัดครั้งใหญ่ราว 14,000 ตัว โดยภาครัฐได้พยายามทำหลายวิธีแล้วไม่ว่าจะเป็นยิงบนภาคพื้นดิน วางยา หรือวางกับดัก แต่ผลที่ได้กลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด
    .
    “ผลจากการสำรวจระบุว่า หากไม่มีการยิงทางอากาศก็เป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลนิวเซาท์เวลส์จะบรรลุเส้นตาย(กำจัดให้เหลือ 3,000 ตัว)ภายในกลางปี 2027” แถลงการณ์ระบุ ทำให้ภาครัฐตัดสินใจใช้การยิงจากเฮลิคอปเตอร์ มันอาจดูโหดร้าย แต่ม้าเหล่านี้คือสายพันธุ์รุกรานที่กำลังคุกคามสัตว์พื้นเมืองใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด
    .
    “สายพันธุ์พื้นเมืองที่ถูกคุกคามกำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และระบบนิเวศทั้งหมดกำลังถูกคุกคาม” Penny Sharpe รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าว “เราจำเป็นต้องดำเนินการ”
    .
    คณะกรรมการทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับหน้าที่ในการศึกษาผลกระทบจากม้าระบุในรายงานเมื่อเดือนพฤษภาคมว่า ม้าป่าดุร้ายเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง 6 ชนิดและพืชที่ใกล้สูญพันธุ์เช่นเดียวกันอย่าง 2 ชนิดต้องหายไป
    .
    ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ทดสอบยิงจากอากาศไปแล้ว 1 ครั้งโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ 2 ลำในการปฏิบัติการ พร้อมกับมีสัตวแพทย์จากหน่วยงานอิสระประจำอยู่แต่ละเครื่องด้วย ม้าถูกยิงไปทั้งหมด 270 ตัว การประเมินจากสัตวแพทย์ชี้ว่า ‘ไม่มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ต่อสวัสดิภาพสัตว์’
    .
    หรือพูดอีกอย่างว่าสัตว์เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว “เวลาเฉลี่ยตั้งแต่การยิ่งไปจนถึงการไร้ความรู้สึกคือ 5 วินาที” รายงานระบุ “ไม่มีม้าตัวใตได้รับบาดเจ็บสาหัส” มันอาจดูโหดร้ายแต่หลายคนก็คิดว่าไม่มีทางเลือก
    .
    “ไม่มีใครชอบเห็นสัตว์ถูกฆ่า แต่ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ เรามีทางเลือกระหว่างลดจำนวนม้าป่าดุร้ายอย่างเร่งด่วน หรือยอมรับการทำลายระบบนิเวศและถิ่นที่อยู่ของเทือกขาแอลป์ที่ละเอียดอ่อน กับเกิดการเสื่อมถอยและการสูญพันธุ์ของสัตว์พื้นเมือง” Jack Gough ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนของ Invasive Species Council กล่าว
    .
    “เราอาจไม่ชอบมัน แต่การคัดเลือกโดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดีเป็นวิธีเดียวที่สามารถลดจำนวนและรักษาอุทยานแห่งชาติกับสัตว์พื้นเมืองของเราที่อาศัยอยู่ที่นั่นได้” เขาเสริม
    .
    ที่มา
    .
    https://www.iflscience.com/14000-fe...ia-as-aerial-shooting-method-reinstated-71894
    .
    https://www.abc.net.au/news/2023-12...-park-brumby-survey-aerial-shooting/103196466
    .
    https://www.theguardian.com/environ...ational-park-as-entire-ecosystem-under-threat
    .
    https://www.abc.net.au/news/2023-10...ild-horses-kosciuszko-national-park/102995732
    .
    Photo : ABC South East NSW/Adriane Reardon

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    FB_IMG_1702376362897.jpg

    สัปดาห์ที่ผ่านมาในโลกออนไลน์จะเห็นว่ามีการออกมาตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นทั้งคัดค้านและสนับสนุนการสร้างกระเช้าขึ้น #ภูกระดึง จำนวนมาก
    .
    #ที่มาที่ไป
    เรื่องนี้มีที่มาที่ไปจากที่เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 66 นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เสนอขออนุมัติงบประมาณ 28 ล้านบาท ในการศึกษาและเขียนแบบก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ในวาระการประชุมการนำเสนอโครงการของแต่ละจังหวัดในการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อนำไปประกอบการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือ EIA ให้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อน
    .
    สาเหตุหลัก ๆ ของการสร้างกระเช้าที่พูดนางพวงเพ็ชรเผยว่าเพราะกระเช้าลอยฟ้าจะสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่และสร้างรายได้เข้าจังหวัดเลยอย่างมาก
    .
    พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยภายหลังว่า ยังไม่ได้มีการพิจารณาอนุมัติงบประมาณการออกแบบกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จ.เลย จำนวน 28 ล้านบาท เพราะยังมีทั้งผู้เห็นต่างและสนับสนุน
    .
    ด้านนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมครม. ไม่มีการหารือประเด็นกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง
    .
    แต่ประเด็นนี้พบว่าจริง ๆ แล้วมีการพูดคุยเมื่อปี 2525 มาก่อน และครม.ก็เคยได้เห็นชอบแล้ว แต่ตอนนั้นมีเสียงคัดค้านและคนไม่เห็นด้วยจำนวนมากเลยพับไป ตอนนี้พอมีการยิบยกขึ้นมาอีกก็เลยมีเสียงจากฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเช่นกัน
    .
    #ฝ่ายที่เห็นด้วย
    #คนในพื้นที่ นายอำเภอภูกระดึงเผยว่า คนในพื้นที่ 99% เห็นด้วยและอยากให้สร้างกระเช้า เพราะจะได้ดึงนักท่องเที่ยวและทำให้เงินสะพักไม่น้อยกว่า 7 หมื่นล้านบาทต่อปี ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวลดลงทุกปี ส่วนปัญหาที่ว่าจะไปแย่งงานคนในพื้นที่ ทำให้ลูกหาบไม่มีอาชีพ นายอำเภอเล่าว่า แท้จริงลูกหาบส่วนใหญ่อายุมากแล้ว และก็เริ่มทำอาชีพลูกหาบไม่ไหวด้วย
    #นักท่องเที่ยวบางส่วน เห็นด้วย เพราะอยากไปหลายครั้งแต่ไม่สามารถไปได้เพราะต้องเดิน มองว่าพอมีกระเช้าก็อาจทำให้สามารถไปสัมผัสความสวยงามของภูกระดึงได้
    #ด้านความสะดวกสบาย กระเช้าอาจช่วยขนของที่จำเป็นขึ้นไปได้ หรือช่วยคนที่เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บได้ด้วย
    .
    #ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย
    #นักท่องเที่ยวบางส่วน ก็มองว่า เสน่ห์ของภูกระดึงคือการเดินขึ้น การที่ครั้งหนึ่งได้พิชิตภูกระดึง อีกอย่าง กระเช้าก็ไม่ได้พาไปจุดที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่หลายคนอยากไปได้ มันต้องเดินทางไปต่ออีก ดังนั้น ในอนาคตอาจจะต้องมีการสร้างถนน สถานที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพิ่มเติมมาอีกหรือเปล่า
    #นักอนุรักษ์ (หรือไม่ต้องถึงขนาดนักอนุรักษ์) มองว่า การที่อนุญาตให้คนขึ้นไปจำนวนละมาก ๆ อาจทำให้ธรรมชาติที่สวยงามด้านบนถูกทำลาย ปริมาณขยะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบนิเวศ และการเป็นอยู่ของสัตว์ป่า บนอุทยานแห่งชาติที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานมรดกอาเซียนแห่งที่ 57 ก็อาจจะได้รับผลกระทบจากจำนวนคนที่มาก ๆ เช่นกัน ภูกระดึงจะกลายเป็น Mass Tourism โดยทันที ดังนั้น ต้องมีการศึกษาผลกระทบให้ดีและควรมีวิธีการจัดการที่เข้มงวดตามมา เช่นเดียวกับการศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสัตว์และสิ่งแวดล้อมขณะสร้างด้วยได้
    .
    เดิมภูกระดึงเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินพิชิตยอดทุกปีในช่วงเดือนตุลาคม-พฤษภาคม เพื่อให้ธรรมชาติฟื้นฟู และมีการจำกัดนักท่องเที่ยวเพียงวันละประมาณ 2,000 คน แต่กระเช้านี้คาดว่าจะสามารถพานักท่องเที่ยวขึ้นไปได้ 4,000 คนต่อวัน

    ที่มา
    https://mgronline.com/travel/detail/9660000110203

    https://www.thaipbs.or.th/news/content/334629

    https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2746338

    https://www.matichon.co.th/politics/news_4316299



    https://www.bangkokbiznews.com/politics/1102073

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    หลายความเชื่อที่บอกว่า 'ไม่ใส่กางเกงใน' จะทำให้เป็นไส้เลื่อน หรือ 'ไส้เลื่อน' จะเป็นเฉพาะผู้ชายเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ความเชื่อเหล่านี้ เป็นความจริงหรือไม่ แล้วไส้เลื่อนเกิดจากสาเหตุอะไร ? มีวิธีการรักษาอย่างไร
    .
    หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า ‘ไส้เลื่อน’ เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น แต่ความจริงแล้วผู้หญิงก็สามารถเป็นไส้เลื่อนได้ โดยเกิดจากความผิดปกติของผนังช่องท้องที่อ่อนแรงตั้งแต่เกิด หรือเกิดจากผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดจนทำให้ผนังช่องท้องบริเวณนั้นอ่อนแอ ในบางกรณีเกิดจากแรงดันที่มากผิดปกติในช่องท้อง เช่น ไอ จาม ยกของหนัก ทำให้ลำไส้หรือกลุ่มไขมันบริเวณนั้น เลื่อนออกมาจากตำแหน่งที่เคยอยู่
    .
    ในตอนเริ่มต้น ผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนจะไม่มีอาการใดๆ แสดงให้เห็นชัดเจน ต้องอาศัยการสังเกตจากลักษณะภายนอกเป็นหลัก หากทิ้งไว้ไม่รีบรักษา จะมีอาการจุก ไปจนถึงรู้สึกแน่นท้อง ปวดแสบปวดร้อน ซึ่งเป็นอาการที่รุนแรงจนต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน
    .
    ผศ.นพ.พงศศิษฏ์ สิงหทัศน์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตศัลยกรรม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในรายการลัดคิวหมอรามาฯ ผ่าน รามาแชนแนล Rama Channel ว่า ไส้เลื่อน คือ ลักษณะของอวัยวะที่เคยอยู่ตำแหน่งหนึ่ง แต่เลื่อนไปอยู่ตำแหน่งหนึ่ง ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ คือ ไส้เลื่อนในช่องท้อง แต่ความจริงมีการเลื่อนของอวัยวะอื่นๆ เช่น สมองที่มีการเลื่อนไปตำแหน่งอื่น
    .
    สำหรับไส้เลื่อนในช่องท้อง เกิดจากลำไส้ ไขมันในช่องท้องเลื่อนออกมาจากตำแหน่งในช่องท้อง ไปอยู่ตำแหน่งอื่น ที่เจอบ่อยที่สุด คือ เลื่อนไปยังบริเวณขาหนีบ หรือเลื่อนไปที่ถุงอัณฑะ รองลงมาที่เจอ คือ ไส้เลื่อนของแผลผ่าตัด เกิดจากการที่เคยผ่าตัด และเกิดการอ่อนแรงของผนังหน้าท้อง ทำให้ไส้ปูนออกมา
    .
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1102995?anm=
    .
    #ไม่ใส่กางเกงใน #ไส้เลื่อน #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจHealth

    ttps://m.facebook.com/story.php?story_fbid=749913273840928&id=100064667864722&mibextid=Nif5oz

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,146
    ค่าพลัง:
    +97,152
    จากผลสำรวจ “เนชั่นโพล” ที่ร่วมกับ “สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา” ระหว่างวันที่ 30 พ.ย.- 4 ธ.ค.2566เป็นการลงพื้นที่สำรวจ 100% พบว่าประชาชนพึงพอใจในผลงาน “รัฐบาลเศรษฐา” ช่วง 3 เดือน อันดับ 1 คือ การลดค่าพลังงาน ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม และน้ำมัน 56.47%
    .
    จึงไม่น่าแปลกที่ทั้งตัวนายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” และ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถึงมีทีท่าไม่พอใจในมติการเรียกเก็บค่าไฟฟ้างวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2567 ที่ 4.68 บาทต่อหน่วย พร้อมชี้แจงผ่านสื่อและโซเชียลมีเดียว่าราคาที่ กกพ. ประกาศนั้น ยังไม่ใช่ราคาสุดท้าย เพราะรัฐบาลมีศักยภาพที่จะกดราคาให้ต่ำลงมาได้อีก
    .
    โดย รมว.พลังงาน รับปากว่าจะกดค่าไฟงวดดังกล่าวที่ระดับ 4.20 บาทตอหน่วย ในขณที่ นายกฯ ย้ำผ่านสื่อว่าสามารถลดลงมาที่ระดับ 4.10 บาทต่อหน่วยได้ไม่ยาก
    .
    ล่าสุด รมว. พลังงานประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2566 ว่า “เตรียมเสนอครม.ตรึงราคาค่าไฟฟ้า 3.99 สำหรับกลุ่มเปราะบาง/ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม 423 ต่อถัง 15 กิโลกรัม”
    .
    รับคะแนนเสียง คะแนนใจ จากประชาชนไปเต็ม ๆ แต่อาจสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับของรัฐบาลด้วยเช่นกัน
    .
    วงในพลังงาน ระบุว่า หากรัฐบาลเรียกเก็บค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 4.20 บาทต่อหน่วย จะทำให้ภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่ กฟผ. แบกรับแทนประชาชนจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 13,950 ล้านบาท
    .
    และหากต้องรับภาระเพิ่มอีก 10 สตางค์ จะทำให้เพิ่มภาระให้กฟผ.อีก 6,000 ล้านบาท เฉลี่ย 1 สตางค์ต่อ 600 ล้านบาท รวมกว่า 19,950 ล้านบาท เสมือนกฟผ. แทบจะไม่ได้รับเงินค้างรับตลอดระยะเวลาวิกฤติโควิดที่ผ่านมาราว 1.3 แสนล้านบาท จากที่เคยปรับลดลงมาเหลือที่ระดับ 95,777 ล้านบาท ก่อนหน้านี้
    .
    อีกทั้ง ที่ผ่านมา กฟผ. กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องรวมกว่า 1.1 แสนล้านบาท หากต้องกู้เงินเพิ่มหนี้ก็จะสูงจนเกินไป กระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) และกระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะของประเทศขยับตัวสูงขึ้นด้วย
    .
    “นโยบายด้านพลังงานถือเป็นอีกนโยบายที่สร้างคะแนนนิยมจากประชาชนได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นต้นทุนของทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ดังนั้น จึงไม่แปลกที่รัฐบาลจะเลือกใช้วิธีที่ให้รัฐวิสาหกิจมาแบกรับภาระตรงนี้ เพราะทำได้แบบเร่งด่วนและทำได้ทันที แม้หลายฝ่ายจะไม่เห็นด้วย และเรียกร้องให้ปรับโครงสร้างพลังงานเพื่อแก้ปัญหาระยะยาว”
    .
    ดูเหมือนว่า นโยบายการปรับโครงสร้างพลังงานไม่ใช่ว่าจะเพิ่งมีการพูดถึง แต่มีมานานหลายรัฐบาล แต่ก็ยังไม่เห็นมีรัฐบาลไหนทำได้อย่างจริงจัง
    .
    ซึ่ง รมว. พลังงาน ก็ได้ออกตัวผ่านโซเชียลมีเดียว่า “ผมศึกษ หาข้อมูล ถกเถียง คิดวิเคราะห์ คืบหน้าไปมาก แต่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะนี่คือการลงมือทำจริง ไม่เพียงแค่พูดแล้วเสกออกมา ขอให้มั่นใจ ผมเอาจริงแน่นอน”
    .
    ไม่เพียงแต่ข้าราชการ นักการเมือง หรือนักวิชาการ ที่จับตามอง ภาคเอกชนเองก็จับตารอดูทิศทางนโยบายภาคพลังงานฉบับใหม่ของ “รมว.พลังงาน” ด้วยเช่นกัน
    .
    #เนชั่นโพล #รัฐบาลเศรษฐา #ลดราคาภาคพลังงาน #หนี้สาธารณะ
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจEconomic #กรุงเทพธุรกิจPolitics

    ttps://m.facebook.com/story.php?story_fbid=750169363815319&id=100064667864722&mibextid=Nif5oz

     

แชร์หน้านี้

Loading...