สมเด็จพ่อท่านเขียวหรงบล ปลุกเสกเหรียญรุ่นแรกครูบาเที่ยงธรรมเหรียญรุ่นแรกลพ.เที่ยงเขากระโดง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,489
    ค่าพลัง:
    +21,422
    FB_IMG_1754405817065.jpg หลวงพ่อสีหมอก เป็นหนึ่งในพระเกจิสายตะวันออกที่มีชื่อเสียงมากๆนสมัยก่อนปี 2520 หลวงพ่อสีหมอก เป็นพระที่มีพลังจิตกล้าแข็ง เคยมีคนเห็นท่านปลุกเสกวัตถุมงคลจนตัวลอยมาแล้ว นอกจากนี้ท่านยังเก่งเรื่องทำนายทายทัก ดูเหตุการณ์ล่วงหน้า โดยการนั่งทางใน มีพวกข้าราชการระดับสูง พ่อค้า ดาราหนังชื่อดังในอดีตหลายคนเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อสีหมอก โดยเฉพาะ มิตร ชัยบัญชา พระเอกหนังยอดนิยมในอดีต ลวงพ่อสีหมอก เคยทำนายว่าจะมีเคราะห์หนักและเตือนให้ระวังตัว ก่อนที่จะตกเฮลิคอปเตอร์ในฉากสุดท้ายของหนังอินทรีทอง เมื่อปี 2513 หลวงพ่อสีหมอก ได้รับนิมนต์เข้าพิธีปลุกเสกพระในสมัยก่อนมากมายร่วมกับพระเกจิดังในอดีตเช่น หลวงปู่โต๊ะ หลวงปู่ทิม เป็นต้น เนื่องจากหลวงพ่อสีหมอก สร้างวัตถุมงคลน้อยมากๆ มีไม่กี่รุ่น
    ประวัติ หลวง พ่อสีหมอก สถานะเดิมชื่อ สีหมอก เที่ยงตรงเป็นบุตร นายสอน นางเอี่ยม เที่ยงตรง เกิดเมื่อ วันอังคารที่ ๖ มกราคม ๒๔๔๔ ณ บ้านตำบลคลอง ๑๙ จังหวัด ฉะเชิงเทรา อาชีพทำนา มีพี่น้องจำนวน ๓ คน เมื่ออายุครบบวช ๒๐ ปี ได้เข้าอุปสมบทตามประเพณี ๑ พรรษา แล้วลาสิกขามาประกอบอาชีพทำเนา จนกระทั่งอายุได้ ๕๐ ปี เริ่มเบื่อหน่ายในเพศฆราวาส จึงตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้ง สาเหตุที่อุปสมบทเป็นครั้งที่ ๒ นี้เพราะท่านได้พบกับหลวงพ้อโอภาสี ได้สนทนาธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้อุปสมบทแล้วเดินทางไปศึกษาธรรม และวิชาต่างๆจากหลวงพ่อโอภาสีอยู่เป็นประจำ ในปีพ.ศ.๒๔๙๗ ท่านได้เดินทางมาจำพรรษา ณ วัดเขาวังตะโก อ.เมือง จ.ชลบุรี ท่านได้ทำงานด้วยเผยแพร่และพัฒนาวัดเขาวังตะโกเจริญรุ่งเรืองในหลาย ๆ ด้าน ด้วยบุญบารมีของท่าน ท่านได้สร้างเรือสำเภาตั้งตระหง่านอยู่ ณ ยอดเขาวังตะโก เป็นสำเภาแก้ว สำเภาทอง นำสัตว์ลอยล่องข้ามพ้นถึงฝั่งข้ามด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้เดินทางไปประเทศอินเดียถึง ๔ ครั้ง เพื่อศึกษาความเจริญ และความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย เปรียบเทียบให้ชาวพุทธในเมืองไทยได้รู้ได้เห็นเป็นตัวอย่าง หลวงพ่อสีหมอก ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่เผยแพร่พระพุทธศาสนา ยังให้ประชาชนชาวพุทธเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจำนวนมาก ตลอดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตท่านได้มรณภาพลงเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๒ รวม สิริอายุได้ ๙๙ ปี พรรษา ๔๙
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญและพระผงรูปเหมือน

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250805_215545.jpg IMG_20250805_215606.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2025 at 22:01
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,489
    ค่าพลัง:
    +21,422
    พระครูพิชิตธีรคุณ ( หลวงปู่ธีร์ สุวณฺโณ ) วัดจันทราวาส อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์
    นามเดิมชื่อ ธีร์ โสดรัมย์ เมื่ออายุ 20 ปี ได้อุปสมบท ณ วัดศุภโสภณ อ. ลำปลายมาศ พรรษา 3 หลวงปู่ได้อกธุดงค์แสวงหาอาจารย์เพื่อศึกษาวิทยาคม และวิปัสสนากรรมฐาน เท่าที่ทราบ
    ประวัติครูบาอาจารย์ของท่านมีดังนี้ ท่านแรกคือ
    หลวง พ่อศิลา จนิทโชโต วัดโนนลี่ จ.สุรินทร์ ซึ่งท่านเป็นศิษย์เอกของสำเร็จลุนแห่งนครจำปาสัก หลวงปู่ธีร์เพียงรูปเดียวเท่านั้นที่ทำได้ หลวงพ่อศิลาเอ่ยปากชมว่าท่านมีพลังจิตสุงมาก ได้อยู่ศึกษาวิปัสสนสกรรมฐานและวิทยาคมตลอดทั้งวิชารักษาโรคต่างๆอยู่ 1 ปี
    จากนั้นจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อจาก หลวง ปู่คำมี พุทธสาโร วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกับหลวงพ่อศิลาจนจบในสายวิชา
    จากนั้นได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ หลวง พ่อสอน วัดเสิงสาง หลวงพ่อปุ๊ก วัดพุทรา หลวงพ่อใหญ่ วัดระเว ทั้งสามรูปเป็นครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากใน จ.นครราชสีมาในขณะนั้น โดยเฉพาะ หลวงพ่อปุ๊ก ซึ่งเล่ากันว่าท่านมีวิชารักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ชงัดนัก และในปัจจุบัน หลวงปู่ธีร์ก็ยังนำวิชาเหล่านี้มาใช้ช่วยเหลือไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์ อยู่มิได้ขาด
    ครูบาอาจารย์อีกท่านคือ หลวงพ่อหนู เกศโร วัดบึงอาจารย์ ท่านเป็นศิษย์ท่านว่า อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ท่านเป็นศิษย์ที่ อาจารย์ฟ้อน ไว้วางใจมาก ถึงขนาดให้เป็นคนจัดการเรื่องศพท่าน แต่หลวงพ่อหนูก็มามรณภาพเสียก่อน ที่จะเผาศพ อาจารย์ฟ้อน ซึ่งต่อมาหลวงพ่อหนู ได้ไปนิมิตให้หลวงปู่ธีร์มาจัดการเรื่องเผาศพอาจารย์ฟ้อน ท่านจึงจัดพิธีเผาศพท่าน อ.ฟ้อน ในปี 2539 โดยหลวงปู่ธีร์และคณะศิษย์เจออุปสรรคมากมายแต่ทุกอย่างก็สำเร็จด้วยดี
    หลวงปู่ธีร์ ท่านเป็นผู้รู้ทั้งในด้านกรรฐานและวิปัสสนากรรมฐานตลอดทั้งวิทยาคมต่างๆ เป็นผู้ที่ใช้การทำงานเป็นฝึกกรรฐาน และไม่ฉันอาหารเป็นเวลานานหลายๆวันโดยใช้ชีวิตปกติไดเหมือนคนที่ได้รับ ประทานอาหารทุกวันเมื่อลูกศิษย์ขอร้องให้ท่านฉันอาหารบ้าง ท่านก็จะบอกเพียงแต่ว่า มันไม่หิว มันไม่อยาก ฉันไม่ลง ลูกศิษย์ที่ดูแลท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไรการไม่ฉันอาหารท่านนี้ท่านปฎิบัต ิของท่านเป็นประจำ ตั้งแต่สมัยเมื่อประมาณ พ.ศ.2515 เรื่อยมา ในสมัยนั้นท่านมักจะเข้าไปปฎิบัติในโบสถ์เป็นประจำ โดยฉัดแต่น้ำมนต์ที่ท่านทำเอง ท่านไม่พูด ไม่ฉันอาหาร 5 วันบ้าง 7-15 วันบ้าง บางปีปฎิบัติถึง 3 ครั้งก็มี เมื่อปี พ.ศ.2526 ท่านไม่ฉันอาหารนานถึง 33 วัน จนลูกศิษย์ต้องใช้บันไดปีนชึ้นไปบนหลังคาโบสถ์ เพื่อนำตัวท่านออกมา
    ครั้งล่าสุดท่านไม่ฉันอาหารแต่พูดสนทนาธรรมคอยช่วยเหลือศิษย์ญาติโยมปกติ ตั้งแต่ประมาณเดือน มิถุนายน ปี พ.ศ. 2551 ท่านไม่ฉันอาหารนาน ถึง "3เดือน12วัน" เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจว่าท่านทรงสังขารร่ายกายได้ด้วยอะไร ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือท่านก็ยังดูแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ที่เห็นท่านฉันอยู่บ้างก็คือน้ำข้าวที่ชาวบ้านนำมาถวาย
    และอีกเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟังคือ หลวงปู่สรวงได้มาหาท่านที่วัด มาถึงก็ไหว้หลวงปู่ธีร์แลัวก็เขียนยันต์ที่อังสะท่านจนเต็มไปหมดแต่หลวงปู่ ไม่บอกว่าสนทนาเรื่องอะไรบ้าง ก่อนกลับยังได้นำจีวรของหลวงปู่ธีร์กลับไปด้วย
    อีกท่านคือปู่โทน หลำแพร แห่งตาคลี จ.นครสวรรค์ ได้นำผ้าไตรจีวรมาถวาย และยังได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วยหลวงปู่ธีร์ท่านเก็บรูปไว้บนกุฎิ ปู่โทนนั้นท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทพโลกอุดรและท่านยังเก่งในด้านวิปัสสนา กรรมฐาน คาถาอาคมและยาแผนโบราณ เป็นผู้ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรได้พาไปเที่ยวชมป่าหิมพานต์มาแล้ว เป็นที่น่าแปลกคือเมื่อสองท่านที่มาเยี่ยมมาหาท่านเมื่อกลับไปแล้วไม่นาน ทั้งสองก็ละสังขารจากไป คงเหมือนการสั่งลา ประวัติวัตรปฎิบัติ ปฏิปทาหลวงปู่ธีร์นั้นมีมากมายแต่ในที่นี้จะขอกล่าวแต่เพียงเท่านี้
    หลวงปู่ธีร์ ท่านได้จัดพิธีบูชาครูทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับครูบาอาจารย์ของท่าน ทุกปีโดยจะจัดงานช่วง กลางเดือน เมษายนของทุกปี และท่านจะแจกทานให้แก่ผู้ยากจน คนพิการโดยให้มารับที่ของบริจาคได้ที่วัด ทุกวันอุโบสถ 15 ค่ำของทุกเดือน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญรุ่นแรกสภาพไม่สวยกะไหล่ทอง
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250806_035407.jpg IMG_20250806_035438.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,489
    ค่าพลัง:
    +21,422
    1754463300175.jpg
    ประสบการณ์..หลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม ต.ท่าฉลอม จ.สมุทรสาคร
    พระเทพสาครมุนี หลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม สมุทรสาคร
    สมัยหนึ่งช่วงที่ชีวิตยังตกระกำลำบากมากๆ ผมชอบไปไหว้พระตามวัดวาอารามต่างๆ วัดสุทธิวาตวราราม หรือวัดช่องลม ต.ท่าฉลอม สมุทรสาคร วัดที่อดีตพระเทพสาครมุนี หลวงปู่แก้ว ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสและจำพรรษาในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เป็นวัดที่ผมชอบไปมากๆ เนื่องจากบริเวณวัดเงียบสงบร่มรื่นมากๆ ผู้คนเป็นมิตรไม่ต้องระวังตัวเหมือนทุกวันนี้ ที่ชอบมากที่สุดคือด้านที่อยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีน จะเห็นทะเลปากอ่าวไทย ลมทะเลพัดมาชื่นใจลมพัดแรงสุดๆ มาแทบไม่ขาดสาย สมกับชื่อ..วัดช่องลม อย่างแท้จริง
    วันหนึ่ง..ผมนั่งรถไฟจากสถานีวงเวียนใหญ่ไปลงที่สุดทางรถไฟที่มหาชัย จากนั้นนั่งเรือข้ามฝากไปที่ฝั่งท่าฉลอม เพื่อเดินเท้าไปยังวัดช่องลม..ระยะทางเดินจากท่าเรือไปวัดน่าจะประมาณ 300 เมตร มีรถสามล้อถีบ รถมอเตอร์ไซค์วิ่งให้บริการในราคามิตรภาพ แต่..ในครั้งนั้นผม 3 คน พ่อแม่ลูกไม่มีเงินพอที่จะเป็นค่ารถสามล้อถีบไปยังวัดได้ เพราะต้องเก็บเงินไว้เป็นค่าข้าวค่ารถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้าน จึงต้องเดินเท้าสถานเดียว ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ แดดร้อนจัดมากๆเนื่องจากเป็นที่โล่งจึงต้องเดินตากแดดไปแทบตลอดทาง ข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้ทาน เนื่องจากจะไปทานแถววัด
    เดินไปได้ระยะหนึ่งมองเห็นหลังคาวัดช่องลมอยู่ลิบๆ ด้วยความที่เดินตากแดดร้อนจัดมาตลอดทาง และความน้อยใจที่ไม่มีเงินเป็นค่ารถสามล้อถีบหรือรถมอเตอร์ไซค์ให้มาส่งที่วัดได้จึงได้บ่นถึงหลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม ออกมาเสียงดังๆว่า หลวงพ่อครับทำไมต้องมาตั้งวัดเสียไกลอย่างนี้ ผมจะมาไหว้หลวงพ่อสักทีลำบากเหลือเกิน วัดก็อยู่ไกลแดดก็ร้อนจัด (จริงๆวัดอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือท่าฉลอม น่าจะประมาณ 200 ~ 300 เมตร โดยประมาณ แต่ความที่ผมร้อนแดด หิวข้าว เงินไม่ค่อยมี เลยไปพาลบ่นกับหลวงพ่อแก้วน่ะครับ)
    สุดจะทนแล้ว..วันนั้นอากาศร้อนจัดคอแห้งมาก แวะร้านค้าข้างทางเพื่อซื้อน้ำกินหน่อย อ้าวหวยรัฐบาลกำลังออกรางวัลที่หนึ่งอยู่พอดีขอยืนฟังสักหน่อย เวรกรรมไอ้ย่ามแดงรางวัลที่หนึ่งออกเลขอะไรจำไม่ได้ แต่จำได้แม่นยำมากว่าลงท้ายด้วเลข " 00 " เผลอบ่นเสียงดังในร้านค้าว่า หวยระยำมันออกอย่างนี้ใครมันจะไปซื้อถูก แฟนผมเข้ามากระซิบข้างๆว่า แต่ข้าถูกว่ะข้าซื้อสามตัวบนเลข 200 ถูกสามตัวตรงๆ แต่ก็ได้ไม่กี่พันบาทหรอกครับ เพราะต้องแบ่งเงินจากเงินที่มีอยู่น้อยนิดไปซื้อจึงซื้อได้ไม่มากนัก ขณะที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ได้คุยกับแฟน แฟนบอกว่าตอนเดินไปวัดในครั้งนั้นซึ่งนานมาแล้ว ได้บอกหลวงพ่อในในว่า หลวงพ่อแดดร้อนเหลือเกิน ให้ลูกถูกหวยด้วยเถิด ถ้าลูกมีโชคมีลาภ ถูกหวย..ลูกจะกลับมาไหว้หลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง
    จากเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่แก้ว หรือหลวงปู่แก้วท่านรำคาญเสียงบ่นเสียงคร่ำครวญของผม เลยเวทนาเมตตาให้ทุนมาต่อชีวิตที่ใกล้จะอดตายแล้ว หรือว่าจะเป็นความบังเอิญทางสถิติตัวเลข อย่างไรไม่ทราบได้ การณ์ต่างๆจึงลงตัวกลมกลืนกันได้อย่างพอเหมาะพอดี ถูกเรื่องถูกเวลาถูกสถานที่กันได้อย่างพอดิบพอดี สำหรับผมมีเพียงคำตอบเดียวคือ..
    ด้วยความเมตตากรุณาปราณีอย่างสุดประมาณ ของพระเดชพระคุณพระเทพสาครมุนี หรือ..หลวงปู่แก้ว วัดช่องลม จังหวัดสมุทรสาคร ที่มีต่อครอบครัวผุ้ยากไร้ของข้าพเจ้า สาธุ สาธุ สาธุ ฯ
    ปล.ลืมบอกไปว่า..เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครับ
    Cr. พระพุทธคุณคุ้มครอง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ยกชุด ๓ เหรียญ เหรียญพัดยศเล็กให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    (ปิดรายการ)
    IMG_20250806_133826.jpg IMG_20250806_133855.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2025 at 17:50
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,489
    ค่าพลัง:
    +21,422
    1754476151254.jpg 1754476031088.jpg 1754476034691.jpg 1754475887883.jpg 1754475927956.jpg 1754475936813.jpg 1754475940194.jpg 1754475943585.jpg 1754475959105.jpg
    หลวงปู่เขียว อินฺทมุนี วัดหรงบน เทพเจ้าแห่งปากพนัง แม้แต่ไฟที่มีความร้อนกว่า 1,000 องค์ศา ยังไม่สามารถกล้ำกรายแม้แต่จีวรสรีระสังขารของท่านได้
    สมเด็จรุ่นแรกวัดชลอ บางกรวย นนทบุรี (พ่อท่านเขียว วัดหรงบน หลวงปู่โต๊ะ หลวงพ่อแพ ปลุกเสก) วัดชลอ ถนนบางกรวย-ไทรน้อย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี วัดนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของนนทบุรี มีสัญลักษณ์ที่โดดเด่นคือโบสถ์เรือหงส์ในวัดใหญ่โตสวยงาม ในอดีตวัดนี้มีอดีตเจ้าอาวาสเป็นพระเกจิที่มีชื่อเสียงดังตั้งแต่อายุพรรษาไม่มาก ชาวบ้านมักจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อวัดชลอหรือพระครูนนทปัญญาวิมล (สุเทพ) ท่านเกิดที่นครศรีธรรมราช เป็นชาวปากพนัง ซึ่งหลวงพ่อวัดชลอให้ความนับถือหลวงปู่เขียว วัดหรงบน ทุกครั้งที่มีงานพุทธาภิเษกในวัดชลอ ท่านจะนิมนต์หลวงปู่เขียว มาร่วมปลุกเสกทุกครั้ง สมเด็จวัดชลอ รุ่นแรก นนทบุรี ปี ๒๕๑๕ สภาพสวย สมเด็จวัดชลอรุ่นแรกเนื้อหาจะแก่น้ำมัน เนื้อหาออกสีน้ำตาลแก่น้ำมันปลุกเสกโดยคณาจารย์ 108 รูปเช่นหลวงปู่เขียว วัดหรงบน หลวงปู่โต๊ะ เป็นต้น สมเด็จรุ่นแรกวัดชลอจะมีส่วนผสมสมเด็จวัดระฆัง สมเด็จวัดบางขุนพรหม สมเด็จวัดเฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังผสมด้วยสรรพว่านของพรานป่า และรากไม้ป้องกันภัยและบอกเหตุเตือน เมื่อจะเกิดภัยอันตรายจะบอกเตือนให้ทราบ ก่อนเดินทางหากมีกลิ่นหอม จะเดินทางโดยสวัสดิภาพ หากมีกลิ่นคล้ายซากสัตว์ตายขอให้ระงับการเดินทางไว้ก่อนสัก 10-20 นาที จึงค่อยเดินทางหรือจะหลีกออกจากบริเวณนั้นเสียจะปลอดภัย กำหนดจิตภาวนามีคุณทางเมตตากันคุณไสย ก่อนออกเดินทางให้ภาวนา" อิติ สุคะโต อะระหัง พุทโธ นะโม พุทธายะ พุทโธ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา พระธรรมเมตตา สัมมาสัมพุทโธ นะโม พุทธายะ วันนี้วันดี พระพุทธเรืองศรี เดินทางไปดีมาดี สวัสดีลาโภ นะโม พุทธายะ" “ เมื่อใจมีศรัทธา ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นเสมอ “
    ยันต์ด้านหลัง อ่านว่า ออ รัก ยอ รือ เป็นคาถามหานิยมสายใต้องค์นี้ มองเห็นไม่ค่อยชัด ด้านหลัง แต่ด้านหน้า สวยสมบูรณ์ เนื้อ หามวลสารเก่า ลึก ตามอายุ ๕๐ กว่าปี
    ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี
    ชาติภูมิ หลวงปู่เขียวได้ถือกำเนิดในตระกูลชาวนาที่บ้านหนองยาว ต.ไสหมาก อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ในวันอาทิตย์ เดือนยี่ ปีมะเมีย พ.ศ.๒๔๒๔ บิดาชื่อนายปลอด มารดาชื่อนางแป้น มีพี่น้องด้วยกันสี่คนเป็นชายสองคนหญิงสองคน หลวงปู่เขียวเป็นพี่ชายคนโต น้องชายชื่อนายพลับ น้องสาวชื่อนางเอียด และนางปาน น้องชายและน้องสาวของท่านได้เสียชีวิตไปก่อนท่าน (นามสกุลไม่มีเพราะสมัยหลวงปู่เขียวก่อนอุปสมบทยังไม่ประกาศใช้นามสกุลซึ่งนามสกุลประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๖)
    บรรพชา อุปสมบท คุณยายแหวดอยู่ที่บ้านสะพานชะเมาตำบลท่าเรืออำเภอเมืองจังหวัดนครศรีฯซึ่งเป็นลูกยกของหลวงปู่เขียวได้เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่เขียวเมื่อสมัยเป็นหนุ่มแรกรุ่นท่านเป็นคนชอบศิลปะหนังตะลุงมโนรา ท่านอยากเป็นนายหนังตลุงหรือมโนราจึงได้ติดตามไปกับนายหนังตลุงและมโนราหลังจากเสร็จหน้านาแล้วหายไปทีละนานๆ แต่ว่าคุณย่าของหลวงปู่เขียวชรามากแล้ว จึงอยากให้หลานมาบวชให้ โดยคูณย่าของหลวงปู่เขียวได้ถักรัดประคตไว้ให้ท่าน คุณย่าของหลวงปู่เขียวจึงให้คนไปตามหลวงปู่เขียว เมื่อหลวงปู่เขียวทราบว่าคุณย่าตามหาให้กลับไปบวช จึงได้เดินทางกลับไปยังบ้านหนองยาว แต่ตอนนั้นหลวงปู่เขียวอายุแค่๑๘ปียังไม่ครบ๒๐ปีบริบูรณ์ จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ก่อนเป็นเวลา๒ปี เมื่ออายุได้๒๐ปีบริบูรณ์ หลวงปู่เขียวจึงได้อุปสมบทตรงกับ พ.ศ.๒๔๔๔ ตรงกับปีฉลู ซึ่งเรื่องพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่เขียวนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด ได้สอบถามตาร่วง สุขศีล ปัจจุบันอายุ๑๐๒ปีแล้ว ซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับวัดหรงบนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ได้เล่าไห้ฟังว่าหลวงปู่เขียวได้นั่งเรือไปอุปสมบทที่ปากพนังฝั่งตะวันออก ซึ่งประจวบกับที่วัดแจ้ง ต.บ้านเพิง อ.ปากพนัง จ.นครศรีฯ มีพระอุปัชฌาย์อยู่รูปหนึ่งที่ชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่าพระอุปัชฌาย์เฒ่า ชื่อว่าพ่อท่านนุ่น สิริมุนี ซึ่งชาวบ้านแถบวัดแจ้งเล่ากันว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระเกจิอำเภอปากพนังหลายรูปเช่น พ่อท่านเมือง วัดปากบางท่าพญา ปี๒๔๕๐ พ่อท่านขาว วัดปากแพรก พ่อท่านเพชร วัดป่าระกำเหนือ และหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี วัดหรงบน จากคำบอกเล่าของตาร่วง สุขศีล ก็ไปตรงกับชาวบ้านแถบวัดแจ้งพอดีจึงน่าจะเชื่อถือได้ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์ของหลวงปู่เขียวคือ พระเกื้อ ซึ่งเดิมเป็นชาวตำบลไสหมากแต่ภายหลังท่านได้ลาสิกขาไป พระอนุสาวนาจารย์คือ พระเต้ง ภายหลังท่านได้แปลญัตติใหม่เป็นนิกายธรรมยุติอยู่วัดสระเกษ ต.บางตะพง อ.ปากพนัง จ.นครศรีฯได้รับสมณะศักดิ์ที่ พระครูบริหารสังฆกิจ หลังอุปสมบทแล้วหลวงปู่เขียวได้ไปอยู่จำพรรษาที่วัดหรงบนฝากตัวเป็นศิษย์กับพระอาจารย์เอียด เจ้าอาวาสวัดหรงบนขณะนั้นเพื่อศึกษาสมถะภาวนาและวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ประมาณ๕พรรษา(๕ปี)จึงได้ขออนุญาตออกไปธุดงค์ หลวงปู่เขียวได้ออกธุดงค์ไปตามแนวป่าของภาคใต้แถบจังหวัดนครศรีฯ ตรัง พัทลุง ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพ่อท่านเอียด วัดในเขียวด้วย หลวงปู่เขียวท่านได้ออกไปจากวัดหรงบนนานถึง๘ปี จนพี่น้องและญาติโยมนึกว่าท่านอาจจะมรณะภาพไปในราวป่าเสียแล้วเพราะเงียบหายไปนาน มีเรื่องเล่าว่าในขณะที่หลวงปู่เขียวธุดงค์อยู่นั้นท่านได้เข้าไปนั่งพักภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ท่านได้เอามือค้ำยันตัวกับหินภายในถ้ำ ปรากฏว่าหินยุบลงเป็นรอยมือลึกลงไปเป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง ซึ่งขณะนั้นมีสามเณรติดตามหลวงปู่เขียวอยู่รูปหนึ่งได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วย หลวงปู่เขียวท่านจึงสั่งห้ามไม่ให้สามเณรนำเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้ไครฟังเด็ดขาด ภายหลังสามเณรรูปนี้ได้ลาสิกขาไปแต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเหตุการณ์ภายในถ้ำ และไม่นานก็ได้เสียชีวิตลง เป็นเจ้าอาวาสวัดหรงบน หลังจากหลวงปู่เขียวธุดงค์อยู่นานก็กลับมาวัดหรงบนขณะอายุได้ ๓๓ ปี ตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๗ แต่ปรากฏว่าพระอาจารย์เอียด ได้มรณะภาพเสียแล้วหลายปี ทำให้วัดหรงบนไม่มีพระที่ปกครองดูแลพระภิกษุสามเณรและวัดวาอาราม ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ให้หลวงปู่เขียวอยู่วัดหรงบนเป็นที่พึ่งของพระเณรและชาวบ้านต่อไป และต่อมาหลวงปู่เขียวก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดหรงบนสืบต่อมาจากพระอาจารย์เอียด ตลอดมาจวบจนหลวงปู่เขียวมรณะภาพ พ่อท่านเขียว” ได้มรณภาพตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๑๙ ณ วัดคงคาวดี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดหรงบนนัก และเป็นเส้นทางเดินผ่านมาจากบางตะพงษ์นั่นเอง การจัดการศพของท่านนั้น พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์ เจ้าอาวาส วัดคงคาวดี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน ได้ตั้งศพของพ่อท่าน ไว้ที่วัดคงคาวดีหนึ่งคืน พร้อมทำการสวดอภิธรรม เพื่อให้บรรดาสานุศิษย์ได้เคารพศพพ่อท่าน จากนั้นรุ่งขึ้นจึงนำศพของพ่อท่านเดินทางไปยังวัดหรงบน ปรากฏว่าเมื่อชาวบ้านรู้ข่าว ต่างพากันมาร่วมไว้อาลัยพ่อท่านมากมาย และมีการสวดอภิธรรมจนครบ ๓ คืน ระหว่างงานสวดอภิธรรมนั้นได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยบรรดาลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือพ่อท่าน ต่างต้องการแสดงความกตเวทิตคุณ ตามประเพณีงานศพของทางภาคใต้ ซึ่งเป็นประเพณีพื้นถิ่น คือทำการจุดดินปืนที่ใส่ “กระบอกเหล็ก” ยาว ๑ ศอก (ประเพณีนี้คนภาคใต้นิยมจุดกัน) คล้ายกับพลุเพื่อส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ไกลออกไปได้ทราบว่ามีงานศพ ปรากฏว่าการจุดในคืนแรก ดินปืนด้านหมดทั้งสามลูก ไม่ยอมดังหรือติดเลยแม้แต่ลูกเดียว ต่อมาคืนที่สอง ลูกศิษย์เริ่มจุดอีกช่วง ๑๘.๐๐ น. ปรากฏว่าครั้งนี้จุดทั้งหมดห้าลูก แต่ก็ด้านหมดทุกลูก ไม่ดังและไม่ติดเช่นเดียวกันกับคืนแรก ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ต่างพากันประหลาดใจ ว่าเป็นเพราะเหตุใด จากนั้นพอคืนที่สาม ลูกศิษย์ผู้ที่จุดดินปืนก็ ไม่ยอมลดละ ได้ทำการจุดดินปืนที่เตรียมมาใหม่ ในเวลาเดิม ๑๘.๐๐ น. แต่ปรากฏว่าจุดไม่ติด เช่นกันกับสองคืนแรก จะมีก็เพียงควันพวยพุ่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่ยอมระเบิดเลยแม้แต่ลูกเดียว ทำให้ผู้ที่จุดงวยงงสงสัย ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ กระทั่งหลังการบำเพ็ญกุศลเรียบร้อย ก็จะทำการฌาปนกิจศพพ่อท่าน ตามประเพณี แต่บรรดาลูกศิษย์ต่างแตก ความคิดกันออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากให้เผาศพพ่อท่าน แต่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ ให้เก็บศพพ่อท่านไว้ไม่อยากให้เผา แต่เสียงส่วนใหญ่ต้องการให้เผาศพพ่อท่าน จะได้หมดห่วงหมดกังวล จึงทำให้ ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา ทำการต่อรองขอว่า “ถ้าเผาศพพ่อท่านครบ ๑ ชั่วโมงแล้วไม่ไหม้ ขอให้เก็บศพไว้บูชา” ทุกฝ่ายจึงต่างก็ตกลงกันได้ด้วยดี การฌาปนกิจศพ “พ่อท่านเขียว” ได้ทำการตั้งเมรุเผากันที่กลางลานวัด โดยใช้ไม้ฟืนที่ชาวบ้านช่วยกันนำมาโดยใช้เหล็กสามท่อน วางรองโลงศพต่างเชิงตะกอนแบบง่ายๆ เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรอเวลาทำการเผาตามประเพณี แต่พอถึงเวลากลับไม่มีใครกล้าจุดไฟเผาพ่อท่านเลย ดังนั้น นายเหลี้ยง ชนะเสน เถ้าแก่โรงสี บ้านใสหมาก อ.เชียรใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์พ่อท่านอีกผู้หนึ่ง จึงเป็นผู้อาสาจุดไฟเอง โดยไม่ลืมทำพิธีขอขมาศพพ่อท่านก่อน แล้ววานท่านอาจารย์เพชร เป็นผู้จุดไฟที่ดอกไม้จันทน์ที่ตนถืออยู่ก่อน จากนั้นนายเหลี้ยงจึงทำการจุดไฟที่กองฟืนทันที ชั่วครู่ไฟจึงค่อยๆลุกลามขึ้นไหม้ทั้งดอกไม้จันทน์ ที่บรรดาญาติโยมนำไปวางไว้ทั้งด้านบนและด้านข้างโลงศพ และฟืนที่รองอยู่ จนควันโขมงและค่อยๆโหมแรงขึ้นๆจนท่วมโลงศพ และฟืนที่สุมอยู่ โดยมี “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างก็คอยจับเวลาดูนาฬิกา ว่าจะครบ ๑ ชั่วโมงเมื่อใด ไฟได้โหมแรงขึ้นๆจนกองฟืนที่สุมไว้ไหม้เกือบหมดแล้ว แต่เวลาก็ยังเหลืออีกมากทำให้ “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างออกอาการหงุดหงิดตามๆกัน แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ จึงได้แต่เร่งเวลาให้ครบชั่วโมงโดยเร็ว แต่ไฟได้ไหม้ทั้งฟืนและโลงศพจนหมดก่อน ที่ผู้ที่จับเวลาจากนาฬิกาที่มีถึงสามคน จากทั้งสองฝ่าย ก็ได้ตะโกนบอกว่า “ครบชั่วโมงแล้ว” เสียงฆ้องเสียงระฆัง จึงตีรัวดังขึ้น ตามที่นัดหมายกันไว้ นาทีนั้นโดยไม่มีใครคาดคิด นายเหลี้ยง ผู้ที่ทำการจุดไฟรีบวิ่งเข้าไปยังกองไฟที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ แม้จะเริ่มมอดลงบ้างแล้วแต่ก็ยังมีไฟลุกอยู่เป็นส่วนมาก แต่ นายเหลี้ยง ไม่นำพาและไม่ได้หวาดหวั่นกับไฟที่ยังคุกรุ่นเหล่านั้นเลย กลับเดินแหวกควันไฟเข้าไป พร้อมเอามือช้อนลงอุ้มศพของพ่อท่านขึ้นให้ทุกคนดู ปรากฏว่าศพของพ่อท่านเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยใดๆ ให้เห็นว่าผ่านการถูกเผามาเลย แม้แต่จีวรก็ยังเหลืองอร่ามไม่มีร่องรอยถูกเผาเช่นกัน ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ จึงต่างส่งเสียงดังลั่น ส่วนนายเหลี้ยง ที่ใช้มือช้อนใต้ศพ จึงถูกเหล็กรองโลงศพเข้าเต็มๆ แต่แทนที่เหล็กจะร้อนเพราะถูกไฟเผา ปรากฏว่าเหล็กรองโลงศพพ่อท่านเขียวกลับเย็นเฉียบ ไม่มีความร้อนดั่งเช่นเหล็กที่ถูกไฟเผามาก่อนเลย ทำให้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างงงงวยกันยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเป็นเรื่องที่สุดอัศจรรย์โดยแท้ พอได้สติบรรดาญาติโยมต่างเฮโลไปรุมฉีกจีวรของพ่อท่านเก็บไว้ จนจีวรที่ห่อหุ้มร่างของพ่อท่านหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ เรื่องที่เล่ามานี้นับเป็นเรื่อง “อัศจรรย์” และ “เหลือเชื่อ” อย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ไปร่วมงานฌาปนกิจศพพ่อท่าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทุกคนยืนยันได้ เพราะผู้ที่เล่าเหตุการณ์นี้ก็คือ “นายเหลี้ยง ชนะเสน พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์ ท่านอาจารย์ขำ วัดหงษ์แก้ว” รวมทั้ง “นายตั้ง” ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ไปร่วมงาน ต่างยืนยันได้ทุกคน แสดงว่าบุญบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของ “พ่อท่านเขียว” นั้นยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะเพียงแค่ “ท่านมรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย” ก็ถือว่าอัศจรรย์อยู่แล้ว แต่นี่ “เผาไม่ไหม้” แม้แต่จีวรที่ห่อหุ้มร่างกายท่านก็ยังไม่ไหม้อีกด้วย ปัจจุบัน “ศพของพ่อท่าน” ก็แข็งเป็นหินไปแล้ว สรีระของท่านแข็งและแกร่งมาก แต่คงเค้ารูปแบบเดิมทุกประการเพียงแต่แห้งลงไปบ้างเท่านั้น ขณะนี้ทางวัดได้นำ “สรีระของท่าน” ใส่โลงแก้วไว้ เพื่อให้ผู้คนทั่ว ไปได้กราบ ไหว้บูชาและได้ชม สรีระของพ่อท่านด้วยตัวเอง เพราะหากใครได้ไปกราบ “ร่างพ่อท่าน” สักครั้ง ก็นับเป็นบุญอย่างยิ่ง
    ขอขอบคุณข้อมูลจากแฟนเพจวัดหรงบน https://www.facebook.com/watrhongbon และข้อมูลจากคอลัมน์ของ คุณแฉ่ง บางกะเบา นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 1 กันยายน 2550
    หนังสือพิมพ์กะฉ่อนดอทคอม แว่น วัดอรุณ รายงาน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    หลวงปู่เขียวเผาไม่ไหม้แม้จีวรท่าน วัตถุมงคล ที่ท่านอธิฐานจิต มากประสบการณ์
    และท่านไม่ได้ ออกมาปลุกเสก นอกพื้นที่ บ่อย จะมี ที่นครปฐม วัดกลางบางแก้ว วัดชลอ นนทบุรี และ มี ในกรุงเทพ ที่ ผม จำได้

    ให้บูชา 450 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250806_171419.jpg IMG_20250806_171449.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...