เหรียญลป.นิลวัดครบุรีสมเด็จลพ.แดงวัดทุ่งคอกสมเด็จเจ้าคุณนร วัดศีลขันธ์ลพ.มหาโพธิ์คลองมอญ

Discussion in 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' started by Jumbo A, Aug 17, 2022.

Tags: Add Tags
  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    FB_IMG_1754405817065.jpg หลวงพ่อสีหมอก เป็นหนึ่งในพระเกจิสายตะวันออกที่มีชื่อเสียงมากๆนสมัยก่อนปี 2520 หลวงพ่อสีหมอก เป็นพระที่มีพลังจิตกล้าแข็ง เคยมีคนเห็นท่านปลุกเสกวัตถุมงคลจนตัวลอยมาแล้ว นอกจากนี้ท่านยังเก่งเรื่องทำนายทายทัก ดูเหตุการณ์ล่วงหน้า โดยการนั่งทางใน มีพวกข้าราชการระดับสูง พ่อค้า ดาราหนังชื่อดังในอดีตหลายคนเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อสีหมอก โดยเฉพาะ มิตร ชัยบัญชา พระเอกหนังยอดนิยมในอดีต ลวงพ่อสีหมอก เคยทำนายว่าจะมีเคราะห์หนักและเตือนให้ระวังตัว ก่อนที่จะตกเฮลิคอปเตอร์ในฉากสุดท้ายของหนังอินทรีทอง เมื่อปี 2513 หลวงพ่อสีหมอก ได้รับนิมนต์เข้าพิธีปลุกเสกพระในสมัยก่อนมากมายร่วมกับพระเกจิดังในอดีตเช่น หลวงปู่โต๊ะ หลวงปู่ทิม เป็นต้น เนื่องจากหลวงพ่อสีหมอก สร้างวัตถุมงคลน้อยมากๆ มีไม่กี่รุ่น
    ประวัติ หลวง พ่อสีหมอก สถานะเดิมชื่อ สีหมอก เที่ยงตรงเป็นบุตร นายสอน นางเอี่ยม เที่ยงตรง เกิดเมื่อ วันอังคารที่ ๖ มกราคม ๒๔๔๔ ณ บ้านตำบลคลอง ๑๙ จังหวัด ฉะเชิงเทรา อาชีพทำนา มีพี่น้องจำนวน ๓ คน เมื่ออายุครบบวช ๒๐ ปี ได้เข้าอุปสมบทตามประเพณี ๑ พรรษา แล้วลาสิกขามาประกอบอาชีพทำเนา จนกระทั่งอายุได้ ๕๐ ปี เริ่มเบื่อหน่ายในเพศฆราวาส จึงตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้ง สาเหตุที่อุปสมบทเป็นครั้งที่ ๒ นี้เพราะท่านได้พบกับหลวงพ้อโอภาสี ได้สนทนาธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้อุปสมบทแล้วเดินทางไปศึกษาธรรม และวิชาต่างๆจากหลวงพ่อโอภาสีอยู่เป็นประจำ ในปีพ.ศ.๒๔๙๗ ท่านได้เดินทางมาจำพรรษา ณ วัดเขาวังตะโก อ.เมือง จ.ชลบุรี ท่านได้ทำงานด้วยเผยแพร่และพัฒนาวัดเขาวังตะโกเจริญรุ่งเรืองในหลาย ๆ ด้าน ด้วยบุญบารมีของท่าน ท่านได้สร้างเรือสำเภาตั้งตระหง่านอยู่ ณ ยอดเขาวังตะโก เป็นสำเภาแก้ว สำเภาทอง นำสัตว์ลอยล่องข้ามพ้นถึงฝั่งข้ามด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้เดินทางไปประเทศอินเดียถึง ๔ ครั้ง เพื่อศึกษาความเจริญ และความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย เปรียบเทียบให้ชาวพุทธในเมืองไทยได้รู้ได้เห็นเป็นตัวอย่าง หลวงพ่อสีหมอก ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่เผยแพร่พระพุทธศาสนา ยังให้ประชาชนชาวพุทธเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจำนวนมาก ตลอดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตท่านได้มรณภาพลงเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๒ รวม สิริอายุได้ ๙๙ ปี พรรษา ๔๙
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญและพระผงรูปเหมือน

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250805_215545.jpg IMG_20250805_215606.jpg
     
    Last edited: Aug 5, 2025
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    พระครูพิชิตธีรคุณ ( หลวงปู่ธีร์ สุวณฺโณ ) วัดจันทราวาส อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์
    นามเดิมชื่อ ธีร์ โสดรัมย์ เมื่ออายุ 20 ปี ได้อุปสมบท ณ วัดศุภโสภณ อ. ลำปลายมาศ พรรษา 3 หลวงปู่ได้อกธุดงค์แสวงหาอาจารย์เพื่อศึกษาวิทยาคม และวิปัสสนากรรมฐาน เท่าที่ทราบ
    ประวัติครูบาอาจารย์ของท่านมีดังนี้ ท่านแรกคือ
    หลวง พ่อศิลา จนิทโชโต วัดโนนลี่ จ.สุรินทร์ ซึ่งท่านเป็นศิษย์เอกของสำเร็จลุนแห่งนครจำปาสัก หลวงปู่ธีร์เพียงรูปเดียวเท่านั้นที่ทำได้ หลวงพ่อศิลาเอ่ยปากชมว่าท่านมีพลังจิตสุงมาก ได้อยู่ศึกษาวิปัสสนสกรรมฐานและวิทยาคมตลอดทั้งวิชารักษาโรคต่างๆอยู่ 1 ปี
    จากนั้นจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อจาก หลวง ปู่คำมี พุทธสาโร วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกับหลวงพ่อศิลาจนจบในสายวิชา
    จากนั้นได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ หลวง พ่อสอน วัดเสิงสาง หลวงพ่อปุ๊ก วัดพุทรา หลวงพ่อใหญ่ วัดระเว ทั้งสามรูปเป็นครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากใน จ.นครราชสีมาในขณะนั้น โดยเฉพาะ หลวงพ่อปุ๊ก ซึ่งเล่ากันว่าท่านมีวิชารักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ชงัดนัก และในปัจจุบัน หลวงปู่ธีร์ก็ยังนำวิชาเหล่านี้มาใช้ช่วยเหลือไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์ อยู่มิได้ขาด
    ครูบาอาจารย์อีกท่านคือ หลวงพ่อหนู เกศโร วัดบึงอาจารย์ ท่านเป็นศิษย์ท่านว่า อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ท่านเป็นศิษย์ที่ อาจารย์ฟ้อน ไว้วางใจมาก ถึงขนาดให้เป็นคนจัดการเรื่องศพท่าน แต่หลวงพ่อหนูก็มามรณภาพเสียก่อน ที่จะเผาศพ อาจารย์ฟ้อน ซึ่งต่อมาหลวงพ่อหนู ได้ไปนิมิตให้หลวงปู่ธีร์มาจัดการเรื่องเผาศพอาจารย์ฟ้อน ท่านจึงจัดพิธีเผาศพท่าน อ.ฟ้อน ในปี 2539 โดยหลวงปู่ธีร์และคณะศิษย์เจออุปสรรคมากมายแต่ทุกอย่างก็สำเร็จด้วยดี
    หลวงปู่ธีร์ ท่านเป็นผู้รู้ทั้งในด้านกรรฐานและวิปัสสนากรรมฐานตลอดทั้งวิทยาคมต่างๆ เป็นผู้ที่ใช้การทำงานเป็นฝึกกรรฐาน และไม่ฉันอาหารเป็นเวลานานหลายๆวันโดยใช้ชีวิตปกติไดเหมือนคนที่ได้รับ ประทานอาหารทุกวันเมื่อลูกศิษย์ขอร้องให้ท่านฉันอาหารบ้าง ท่านก็จะบอกเพียงแต่ว่า มันไม่หิว มันไม่อยาก ฉันไม่ลง ลูกศิษย์ที่ดูแลท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไรการไม่ฉันอาหารท่านนี้ท่านปฎิบัต ิของท่านเป็นประจำ ตั้งแต่สมัยเมื่อประมาณ พ.ศ.2515 เรื่อยมา ในสมัยนั้นท่านมักจะเข้าไปปฎิบัติในโบสถ์เป็นประจำ โดยฉัดแต่น้ำมนต์ที่ท่านทำเอง ท่านไม่พูด ไม่ฉันอาหาร 5 วันบ้าง 7-15 วันบ้าง บางปีปฎิบัติถึง 3 ครั้งก็มี เมื่อปี พ.ศ.2526 ท่านไม่ฉันอาหารนานถึง 33 วัน จนลูกศิษย์ต้องใช้บันไดปีนชึ้นไปบนหลังคาโบสถ์ เพื่อนำตัวท่านออกมา
    ครั้งล่าสุดท่านไม่ฉันอาหารแต่พูดสนทนาธรรมคอยช่วยเหลือศิษย์ญาติโยมปกติ ตั้งแต่ประมาณเดือน มิถุนายน ปี พ.ศ. 2551 ท่านไม่ฉันอาหารนาน ถึง "3เดือน12วัน" เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจว่าท่านทรงสังขารร่ายกายได้ด้วยอะไร ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือท่านก็ยังดูแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ที่เห็นท่านฉันอยู่บ้างก็คือน้ำข้าวที่ชาวบ้านนำมาถวาย
    และอีกเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟังคือ หลวงปู่สรวงได้มาหาท่านที่วัด มาถึงก็ไหว้หลวงปู่ธีร์แลัวก็เขียนยันต์ที่อังสะท่านจนเต็มไปหมดแต่หลวงปู่ ไม่บอกว่าสนทนาเรื่องอะไรบ้าง ก่อนกลับยังได้นำจีวรของหลวงปู่ธีร์กลับไปด้วย
    อีกท่านคือปู่โทน หลำแพร แห่งตาคลี จ.นครสวรรค์ ได้นำผ้าไตรจีวรมาถวาย และยังได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วยหลวงปู่ธีร์ท่านเก็บรูปไว้บนกุฎิ ปู่โทนนั้นท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทพโลกอุดรและท่านยังเก่งในด้านวิปัสสนา กรรมฐาน คาถาอาคมและยาแผนโบราณ เป็นผู้ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรได้พาไปเที่ยวชมป่าหิมพานต์มาแล้ว เป็นที่น่าแปลกคือเมื่อสองท่านที่มาเยี่ยมมาหาท่านเมื่อกลับไปแล้วไม่นาน ทั้งสองก็ละสังขารจากไป คงเหมือนการสั่งลา ประวัติวัตรปฎิบัติ ปฏิปทาหลวงปู่ธีร์นั้นมีมากมายแต่ในที่นี้จะขอกล่าวแต่เพียงเท่านี้
    หลวงปู่ธีร์ ท่านได้จัดพิธีบูชาครูทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับครูบาอาจารย์ของท่าน ทุกปีโดยจะจัดงานช่วง กลางเดือน เมษายนของทุกปี และท่านจะแจกทานให้แก่ผู้ยากจน คนพิการโดยให้มารับที่ของบริจาคได้ที่วัด ทุกวันอุโบสถ 15 ค่ำของทุกเดือน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญรุ่นแรกสภาพไม่สวยกะไหล่ทอง
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250806_035407.jpg IMG_20250806_035438.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    1754463300175.jpg
    ประสบการณ์..หลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม ต.ท่าฉลอม จ.สมุทรสาคร
    พระเทพสาครมุนี หลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม สมุทรสาคร
    สมัยหนึ่งช่วงที่ชีวิตยังตกระกำลำบากมากๆ ผมชอบไปไหว้พระตามวัดวาอารามต่างๆ วัดสุทธิวาตวราราม หรือวัดช่องลม ต.ท่าฉลอม สมุทรสาคร วัดที่อดีตพระเทพสาครมุนี หลวงปู่แก้ว ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสและจำพรรษาในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เป็นวัดที่ผมชอบไปมากๆ เนื่องจากบริเวณวัดเงียบสงบร่มรื่นมากๆ ผู้คนเป็นมิตรไม่ต้องระวังตัวเหมือนทุกวันนี้ ที่ชอบมากที่สุดคือด้านที่อยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีน จะเห็นทะเลปากอ่าวไทย ลมทะเลพัดมาชื่นใจลมพัดแรงสุดๆ มาแทบไม่ขาดสาย สมกับชื่อ..วัดช่องลม อย่างแท้จริง
    วันหนึ่ง..ผมนั่งรถไฟจากสถานีวงเวียนใหญ่ไปลงที่สุดทางรถไฟที่มหาชัย จากนั้นนั่งเรือข้ามฝากไปที่ฝั่งท่าฉลอม เพื่อเดินเท้าไปยังวัดช่องลม..ระยะทางเดินจากท่าเรือไปวัดน่าจะประมาณ 300 เมตร มีรถสามล้อถีบ รถมอเตอร์ไซค์วิ่งให้บริการในราคามิตรภาพ แต่..ในครั้งนั้นผม 3 คน พ่อแม่ลูกไม่มีเงินพอที่จะเป็นค่ารถสามล้อถีบไปยังวัดได้ เพราะต้องเก็บเงินไว้เป็นค่าข้าวค่ารถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้าน จึงต้องเดินเท้าสถานเดียว ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ แดดร้อนจัดมากๆเนื่องจากเป็นที่โล่งจึงต้องเดินตากแดดไปแทบตลอดทาง ข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้ทาน เนื่องจากจะไปทานแถววัด
    เดินไปได้ระยะหนึ่งมองเห็นหลังคาวัดช่องลมอยู่ลิบๆ ด้วยความที่เดินตากแดดร้อนจัดมาตลอดทาง และความน้อยใจที่ไม่มีเงินเป็นค่ารถสามล้อถีบหรือรถมอเตอร์ไซค์ให้มาส่งที่วัดได้จึงได้บ่นถึงหลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม ออกมาเสียงดังๆว่า หลวงพ่อครับทำไมต้องมาตั้งวัดเสียไกลอย่างนี้ ผมจะมาไหว้หลวงพ่อสักทีลำบากเหลือเกิน วัดก็อยู่ไกลแดดก็ร้อนจัด (จริงๆวัดอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือท่าฉลอม น่าจะประมาณ 200 ~ 300 เมตร โดยประมาณ แต่ความที่ผมร้อนแดด หิวข้าว เงินไม่ค่อยมี เลยไปพาลบ่นกับหลวงพ่อแก้วน่ะครับ)
    สุดจะทนแล้ว..วันนั้นอากาศร้อนจัดคอแห้งมาก แวะร้านค้าข้างทางเพื่อซื้อน้ำกินหน่อย อ้าวหวยรัฐบาลกำลังออกรางวัลที่หนึ่งอยู่พอดีขอยืนฟังสักหน่อย เวรกรรมไอ้ย่ามแดงรางวัลที่หนึ่งออกเลขอะไรจำไม่ได้ แต่จำได้แม่นยำมากว่าลงท้ายด้วเลข " 00 " เผลอบ่นเสียงดังในร้านค้าว่า หวยระยำมันออกอย่างนี้ใครมันจะไปซื้อถูก แฟนผมเข้ามากระซิบข้างๆว่า แต่ข้าถูกว่ะข้าซื้อสามตัวบนเลข 200 ถูกสามตัวตรงๆ แต่ก็ได้ไม่กี่พันบาทหรอกครับ เพราะต้องแบ่งเงินจากเงินที่มีอยู่น้อยนิดไปซื้อจึงซื้อได้ไม่มากนัก ขณะที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ได้คุยกับแฟน แฟนบอกว่าตอนเดินไปวัดในครั้งนั้นซึ่งนานมาแล้ว ได้บอกหลวงพ่อในในว่า หลวงพ่อแดดร้อนเหลือเกิน ให้ลูกถูกหวยด้วยเถิด ถ้าลูกมีโชคมีลาภ ถูกหวย..ลูกจะกลับมาไหว้หลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง
    จากเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่แก้ว หรือหลวงปู่แก้วท่านรำคาญเสียงบ่นเสียงคร่ำครวญของผม เลยเวทนาเมตตาให้ทุนมาต่อชีวิตที่ใกล้จะอดตายแล้ว หรือว่าจะเป็นความบังเอิญทางสถิติตัวเลข อย่างไรไม่ทราบได้ การณ์ต่างๆจึงลงตัวกลมกลืนกันได้อย่างพอเหมาะพอดี ถูกเรื่องถูกเวลาถูกสถานที่กันได้อย่างพอดิบพอดี สำหรับผมมีเพียงคำตอบเดียวคือ..
    ด้วยความเมตตากรุณาปราณีอย่างสุดประมาณ ของพระเดชพระคุณพระเทพสาครมุนี หรือ..หลวงปู่แก้ว วัดช่องลม จังหวัดสมุทรสาคร ที่มีต่อครอบครัวผุ้ยากไร้ของข้าพเจ้า สาธุ สาธุ สาธุ ฯ
    ปล.ลืมบอกไปว่า..เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครับ
    Cr. พระพุทธคุณคุ้มครอง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ยกชุด ๓ เหรียญ เหรียญพัดยศเล็กให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    (ปิดรายการ)
    IMG_20250806_133826.jpg IMG_20250806_133855.jpg
     
    Last edited: Aug 6, 2025 at 5:50 PM
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    1754476151254.jpg 1754476031088.jpg 1754476034691.jpg 1754475887883.jpg 1754475927956.jpg 1754475936813.jpg 1754475940194.jpg 1754475943585.jpg 1754475959105.jpg
    หลวงปู่เขียว อินฺทมุนี วัดหรงบน เทพเจ้าแห่งปากพนัง แม้แต่ไฟที่มีความร้อนกว่า 1,000 องค์ศา ยังไม่สามารถกล้ำกรายแม้แต่จีวรสรีระสังขารของท่านได้
    สมเด็จรุ่นแรกวัดชลอ บางกรวย นนทบุรี (พ่อท่านเขียว วัดหรงบน หลวงปู่โต๊ะ หลวงพ่อแพ ปลุกเสก) วัดชลอ ถนนบางกรวย-ไทรน้อย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี วัดนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของนนทบุรี มีสัญลักษณ์ที่โดดเด่นคือโบสถ์เรือหงส์ในวัดใหญ่โตสวยงาม ในอดีตวัดนี้มีอดีตเจ้าอาวาสเป็นพระเกจิที่มีชื่อเสียงดังตั้งแต่อายุพรรษาไม่มาก ชาวบ้านมักจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อวัดชลอหรือพระครูนนทปัญญาวิมล (สุเทพ) ท่านเกิดที่นครศรีธรรมราช เป็นชาวปากพนัง ซึ่งหลวงพ่อวัดชลอให้ความนับถือหลวงปู่เขียว วัดหรงบน ทุกครั้งที่มีงานพุทธาภิเษกในวัดชลอ ท่านจะนิมนต์หลวงปู่เขียว มาร่วมปลุกเสกทุกครั้ง สมเด็จวัดชลอ รุ่นแรก นนทบุรี ปี ๒๕๑๕ สภาพสวย สมเด็จวัดชลอรุ่นแรกเนื้อหาจะแก่น้ำมัน เนื้อหาออกสีน้ำตาลแก่น้ำมันปลุกเสกโดยคณาจารย์ 108 รูปเช่นหลวงปู่เขียว วัดหรงบน หลวงปู่โต๊ะ เป็นต้น สมเด็จรุ่นแรกวัดชลอจะมีส่วนผสมสมเด็จวัดระฆัง สมเด็จวัดบางขุนพรหม สมเด็จวัดเฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังผสมด้วยสรรพว่านของพรานป่า และรากไม้ป้องกันภัยและบอกเหตุเตือน เมื่อจะเกิดภัยอันตรายจะบอกเตือนให้ทราบ ก่อนเดินทางหากมีกลิ่นหอม จะเดินทางโดยสวัสดิภาพ หากมีกลิ่นคล้ายซากสัตว์ตายขอให้ระงับการเดินทางไว้ก่อนสัก 10-20 นาที จึงค่อยเดินทางหรือจะหลีกออกจากบริเวณนั้นเสียจะปลอดภัย กำหนดจิตภาวนามีคุณทางเมตตากันคุณไสย ก่อนออกเดินทางให้ภาวนา" อิติ สุคะโต อะระหัง พุทโธ นะโม พุทธายะ พุทโธ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา พระธรรมเมตตา สัมมาสัมพุทโธ นะโม พุทธายะ วันนี้วันดี พระพุทธเรืองศรี เดินทางไปดีมาดี สวัสดีลาโภ นะโม พุทธายะ" “ เมื่อใจมีศรัทธา ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นเสมอ “
    ยันต์ด้านหลัง อ่านว่า ออ รัก ยอ รือ เป็นคาถามหานิยมสายใต้องค์นี้ มองเห็นไม่ค่อยชัด ด้านหลัง แต่ด้านหน้า สวยสมบูรณ์ เนื้อ หามวลสารเก่า ลึก ตามอายุ ๕๐ กว่าปี
    ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี
    ชาติภูมิ หลวงปู่เขียวได้ถือกำเนิดในตระกูลชาวนาที่บ้านหนองยาว ต.ไสหมาก อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ในวันอาทิตย์ เดือนยี่ ปีมะเมีย พ.ศ.๒๔๒๔ บิดาชื่อนายปลอด มารดาชื่อนางแป้น มีพี่น้องด้วยกันสี่คนเป็นชายสองคนหญิงสองคน หลวงปู่เขียวเป็นพี่ชายคนโต น้องชายชื่อนายพลับ น้องสาวชื่อนางเอียด และนางปาน น้องชายและน้องสาวของท่านได้เสียชีวิตไปก่อนท่าน (นามสกุลไม่มีเพราะสมัยหลวงปู่เขียวก่อนอุปสมบทยังไม่ประกาศใช้นามสกุลซึ่งนามสกุลประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๖)
    บรรพชา อุปสมบท คุณยายแหวดอยู่ที่บ้านสะพานชะเมาตำบลท่าเรืออำเภอเมืองจังหวัดนครศรีฯซึ่งเป็นลูกยกของหลวงปู่เขียวได้เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่เขียวเมื่อสมัยเป็นหนุ่มแรกรุ่นท่านเป็นคนชอบศิลปะหนังตะลุงมโนรา ท่านอยากเป็นนายหนังตลุงหรือมโนราจึงได้ติดตามไปกับนายหนังตลุงและมโนราหลังจากเสร็จหน้านาแล้วหายไปทีละนานๆ แต่ว่าคุณย่าของหลวงปู่เขียวชรามากแล้ว จึงอยากให้หลานมาบวชให้ โดยคูณย่าของหลวงปู่เขียวได้ถักรัดประคตไว้ให้ท่าน คุณย่าของหลวงปู่เขียวจึงให้คนไปตามหลวงปู่เขียว เมื่อหลวงปู่เขียวทราบว่าคุณย่าตามหาให้กลับไปบวช จึงได้เดินทางกลับไปยังบ้านหนองยาว แต่ตอนนั้นหลวงปู่เขียวอายุแค่๑๘ปียังไม่ครบ๒๐ปีบริบูรณ์ จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ก่อนเป็นเวลา๒ปี เมื่ออายุได้๒๐ปีบริบูรณ์ หลวงปู่เขียวจึงได้อุปสมบทตรงกับ พ.ศ.๒๔๔๔ ตรงกับปีฉลู ซึ่งเรื่องพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่เขียวนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด ได้สอบถามตาร่วง สุขศีล ปัจจุบันอายุ๑๐๒ปีแล้ว ซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับวัดหรงบนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ได้เล่าไห้ฟังว่าหลวงปู่เขียวได้นั่งเรือไปอุปสมบทที่ปากพนังฝั่งตะวันออก ซึ่งประจวบกับที่วัดแจ้ง ต.บ้านเพิง อ.ปากพนัง จ.นครศรีฯ มีพระอุปัชฌาย์อยู่รูปหนึ่งที่ชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่าพระอุปัชฌาย์เฒ่า ชื่อว่าพ่อท่านนุ่น สิริมุนี ซึ่งชาวบ้านแถบวัดแจ้งเล่ากันว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระเกจิอำเภอปากพนังหลายรูปเช่น พ่อท่านเมือง วัดปากบางท่าพญา ปี๒๔๕๐ พ่อท่านขาว วัดปากแพรก พ่อท่านเพชร วัดป่าระกำเหนือ และหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี วัดหรงบน จากคำบอกเล่าของตาร่วง สุขศีล ก็ไปตรงกับชาวบ้านแถบวัดแจ้งพอดีจึงน่าจะเชื่อถือได้ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์ของหลวงปู่เขียวคือ พระเกื้อ ซึ่งเดิมเป็นชาวตำบลไสหมากแต่ภายหลังท่านได้ลาสิกขาไป พระอนุสาวนาจารย์คือ พระเต้ง ภายหลังท่านได้แปลญัตติใหม่เป็นนิกายธรรมยุติอยู่วัดสระเกษ ต.บางตะพง อ.ปากพนัง จ.นครศรีฯได้รับสมณะศักดิ์ที่ พระครูบริหารสังฆกิจ หลังอุปสมบทแล้วหลวงปู่เขียวได้ไปอยู่จำพรรษาที่วัดหรงบนฝากตัวเป็นศิษย์กับพระอาจารย์เอียด เจ้าอาวาสวัดหรงบนขณะนั้นเพื่อศึกษาสมถะภาวนาและวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ประมาณ๕พรรษา(๕ปี)จึงได้ขออนุญาตออกไปธุดงค์ หลวงปู่เขียวได้ออกธุดงค์ไปตามแนวป่าของภาคใต้แถบจังหวัดนครศรีฯ ตรัง พัทลุง ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพ่อท่านเอียด วัดในเขียวด้วย หลวงปู่เขียวท่านได้ออกไปจากวัดหรงบนนานถึง๘ปี จนพี่น้องและญาติโยมนึกว่าท่านอาจจะมรณะภาพไปในราวป่าเสียแล้วเพราะเงียบหายไปนาน มีเรื่องเล่าว่าในขณะที่หลวงปู่เขียวธุดงค์อยู่นั้นท่านได้เข้าไปนั่งพักภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ท่านได้เอามือค้ำยันตัวกับหินภายในถ้ำ ปรากฏว่าหินยุบลงเป็นรอยมือลึกลงไปเป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง ซึ่งขณะนั้นมีสามเณรติดตามหลวงปู่เขียวอยู่รูปหนึ่งได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วย หลวงปู่เขียวท่านจึงสั่งห้ามไม่ให้สามเณรนำเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้ไครฟังเด็ดขาด ภายหลังสามเณรรูปนี้ได้ลาสิกขาไปแต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเหตุการณ์ภายในถ้ำ และไม่นานก็ได้เสียชีวิตลง เป็นเจ้าอาวาสวัดหรงบน หลังจากหลวงปู่เขียวธุดงค์อยู่นานก็กลับมาวัดหรงบนขณะอายุได้ ๓๓ ปี ตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๗ แต่ปรากฏว่าพระอาจารย์เอียด ได้มรณะภาพเสียแล้วหลายปี ทำให้วัดหรงบนไม่มีพระที่ปกครองดูแลพระภิกษุสามเณรและวัดวาอาราม ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ให้หลวงปู่เขียวอยู่วัดหรงบนเป็นที่พึ่งของพระเณรและชาวบ้านต่อไป และต่อมาหลวงปู่เขียวก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดหรงบนสืบต่อมาจากพระอาจารย์เอียด ตลอดมาจวบจนหลวงปู่เขียวมรณะภาพ พ่อท่านเขียว” ได้มรณภาพตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๑๙ ณ วัดคงคาวดี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดหรงบนนัก และเป็นเส้นทางเดินผ่านมาจากบางตะพงษ์นั่นเอง การจัดการศพของท่านนั้น พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์ เจ้าอาวาส วัดคงคาวดี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน ได้ตั้งศพของพ่อท่าน ไว้ที่วัดคงคาวดีหนึ่งคืน พร้อมทำการสวดอภิธรรม เพื่อให้บรรดาสานุศิษย์ได้เคารพศพพ่อท่าน จากนั้นรุ่งขึ้นจึงนำศพของพ่อท่านเดินทางไปยังวัดหรงบน ปรากฏว่าเมื่อชาวบ้านรู้ข่าว ต่างพากันมาร่วมไว้อาลัยพ่อท่านมากมาย และมีการสวดอภิธรรมจนครบ ๓ คืน ระหว่างงานสวดอภิธรรมนั้นได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยบรรดาลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือพ่อท่าน ต่างต้องการแสดงความกตเวทิตคุณ ตามประเพณีงานศพของทางภาคใต้ ซึ่งเป็นประเพณีพื้นถิ่น คือทำการจุดดินปืนที่ใส่ “กระบอกเหล็ก” ยาว ๑ ศอก (ประเพณีนี้คนภาคใต้นิยมจุดกัน) คล้ายกับพลุเพื่อส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ไกลออกไปได้ทราบว่ามีงานศพ ปรากฏว่าการจุดในคืนแรก ดินปืนด้านหมดทั้งสามลูก ไม่ยอมดังหรือติดเลยแม้แต่ลูกเดียว ต่อมาคืนที่สอง ลูกศิษย์เริ่มจุดอีกช่วง ๑๘.๐๐ น. ปรากฏว่าครั้งนี้จุดทั้งหมดห้าลูก แต่ก็ด้านหมดทุกลูก ไม่ดังและไม่ติดเช่นเดียวกันกับคืนแรก ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ต่างพากันประหลาดใจ ว่าเป็นเพราะเหตุใด จากนั้นพอคืนที่สาม ลูกศิษย์ผู้ที่จุดดินปืนก็ ไม่ยอมลดละ ได้ทำการจุดดินปืนที่เตรียมมาใหม่ ในเวลาเดิม ๑๘.๐๐ น. แต่ปรากฏว่าจุดไม่ติด เช่นกันกับสองคืนแรก จะมีก็เพียงควันพวยพุ่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่ยอมระเบิดเลยแม้แต่ลูกเดียว ทำให้ผู้ที่จุดงวยงงสงสัย ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ กระทั่งหลังการบำเพ็ญกุศลเรียบร้อย ก็จะทำการฌาปนกิจศพพ่อท่าน ตามประเพณี แต่บรรดาลูกศิษย์ต่างแตก ความคิดกันออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากให้เผาศพพ่อท่าน แต่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ ให้เก็บศพพ่อท่านไว้ไม่อยากให้เผา แต่เสียงส่วนใหญ่ต้องการให้เผาศพพ่อท่าน จะได้หมดห่วงหมดกังวล จึงทำให้ ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา ทำการต่อรองขอว่า “ถ้าเผาศพพ่อท่านครบ ๑ ชั่วโมงแล้วไม่ไหม้ ขอให้เก็บศพไว้บูชา” ทุกฝ่ายจึงต่างก็ตกลงกันได้ด้วยดี การฌาปนกิจศพ “พ่อท่านเขียว” ได้ทำการตั้งเมรุเผากันที่กลางลานวัด โดยใช้ไม้ฟืนที่ชาวบ้านช่วยกันนำมาโดยใช้เหล็กสามท่อน วางรองโลงศพต่างเชิงตะกอนแบบง่ายๆ เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรอเวลาทำการเผาตามประเพณี แต่พอถึงเวลากลับไม่มีใครกล้าจุดไฟเผาพ่อท่านเลย ดังนั้น นายเหลี้ยง ชนะเสน เถ้าแก่โรงสี บ้านใสหมาก อ.เชียรใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์พ่อท่านอีกผู้หนึ่ง จึงเป็นผู้อาสาจุดไฟเอง โดยไม่ลืมทำพิธีขอขมาศพพ่อท่านก่อน แล้ววานท่านอาจารย์เพชร เป็นผู้จุดไฟที่ดอกไม้จันทน์ที่ตนถืออยู่ก่อน จากนั้นนายเหลี้ยงจึงทำการจุดไฟที่กองฟืนทันที ชั่วครู่ไฟจึงค่อยๆลุกลามขึ้นไหม้ทั้งดอกไม้จันทน์ ที่บรรดาญาติโยมนำไปวางไว้ทั้งด้านบนและด้านข้างโลงศพ และฟืนที่รองอยู่ จนควันโขมงและค่อยๆโหมแรงขึ้นๆจนท่วมโลงศพ และฟืนที่สุมอยู่ โดยมี “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างก็คอยจับเวลาดูนาฬิกา ว่าจะครบ ๑ ชั่วโมงเมื่อใด ไฟได้โหมแรงขึ้นๆจนกองฟืนที่สุมไว้ไหม้เกือบหมดแล้ว แต่เวลาก็ยังเหลืออีกมากทำให้ “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างออกอาการหงุดหงิดตามๆกัน แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ จึงได้แต่เร่งเวลาให้ครบชั่วโมงโดยเร็ว แต่ไฟได้ไหม้ทั้งฟืนและโลงศพจนหมดก่อน ที่ผู้ที่จับเวลาจากนาฬิกาที่มีถึงสามคน จากทั้งสองฝ่าย ก็ได้ตะโกนบอกว่า “ครบชั่วโมงแล้ว” เสียงฆ้องเสียงระฆัง จึงตีรัวดังขึ้น ตามที่นัดหมายกันไว้ นาทีนั้นโดยไม่มีใครคาดคิด นายเหลี้ยง ผู้ที่ทำการจุดไฟรีบวิ่งเข้าไปยังกองไฟที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ แม้จะเริ่มมอดลงบ้างแล้วแต่ก็ยังมีไฟลุกอยู่เป็นส่วนมาก แต่ นายเหลี้ยง ไม่นำพาและไม่ได้หวาดหวั่นกับไฟที่ยังคุกรุ่นเหล่านั้นเลย กลับเดินแหวกควันไฟเข้าไป พร้อมเอามือช้อนลงอุ้มศพของพ่อท่านขึ้นให้ทุกคนดู ปรากฏว่าศพของพ่อท่านเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยใดๆ ให้เห็นว่าผ่านการถูกเผามาเลย แม้แต่จีวรก็ยังเหลืองอร่ามไม่มีร่องรอยถูกเผาเช่นกัน ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ จึงต่างส่งเสียงดังลั่น ส่วนนายเหลี้ยง ที่ใช้มือช้อนใต้ศพ จึงถูกเหล็กรองโลงศพเข้าเต็มๆ แต่แทนที่เหล็กจะร้อนเพราะถูกไฟเผา ปรากฏว่าเหล็กรองโลงศพพ่อท่านเขียวกลับเย็นเฉียบ ไม่มีความร้อนดั่งเช่นเหล็กที่ถูกไฟเผามาก่อนเลย ทำให้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างงงงวยกันยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเป็นเรื่องที่สุดอัศจรรย์โดยแท้ พอได้สติบรรดาญาติโยมต่างเฮโลไปรุมฉีกจีวรของพ่อท่านเก็บไว้ จนจีวรที่ห่อหุ้มร่างของพ่อท่านหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ เรื่องที่เล่ามานี้นับเป็นเรื่อง “อัศจรรย์” และ “เหลือเชื่อ” อย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ไปร่วมงานฌาปนกิจศพพ่อท่าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทุกคนยืนยันได้ เพราะผู้ที่เล่าเหตุการณ์นี้ก็คือ “นายเหลี้ยง ชนะเสน พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์ ท่านอาจารย์ขำ วัดหงษ์แก้ว” รวมทั้ง “นายตั้ง” ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ไปร่วมงาน ต่างยืนยันได้ทุกคน แสดงว่าบุญบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของ “พ่อท่านเขียว” นั้นยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะเพียงแค่ “ท่านมรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย” ก็ถือว่าอัศจรรย์อยู่แล้ว แต่นี่ “เผาไม่ไหม้” แม้แต่จีวรที่ห่อหุ้มร่างกายท่านก็ยังไม่ไหม้อีกด้วย ปัจจุบัน “ศพของพ่อท่าน” ก็แข็งเป็นหินไปแล้ว สรีระของท่านแข็งและแกร่งมาก แต่คงเค้ารูปแบบเดิมทุกประการเพียงแต่แห้งลงไปบ้างเท่านั้น ขณะนี้ทางวัดได้นำ “สรีระของท่าน” ใส่โลงแก้วไว้ เพื่อให้ผู้คนทั่ว ไปได้กราบ ไหว้บูชาและได้ชม สรีระของพ่อท่านด้วยตัวเอง เพราะหากใครได้ไปกราบ “ร่างพ่อท่าน” สักครั้ง ก็นับเป็นบุญอย่างยิ่ง
    ขอขอบคุณข้อมูลจากแฟนเพจวัดหรงบน https://www.facebook.com/watrhongbon และข้อมูลจากคอลัมน์ของ คุณแฉ่ง บางกะเบา นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 1 กันยายน 2550
    หนังสือพิมพ์กะฉ่อนดอทคอม แว่น วัดอรุณ รายงาน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    หลวงปู่เขียวเผาไม่ไหม้แม้จีวรท่าน วัตถุมงคล ที่ท่านอธิฐานจิต มากประสบการณ์
    และท่านไม่ได้ ออกมาปลุกเสก นอกพื้นที่ บ่อย จะมี ที่นครปฐม วัดกลางบางแก้ว วัดชลอ นนทบุรี และ มี ในกรุงเทพ ที่ ผม จำได้

    ให้บูชา 450 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250806_171419.jpg IMG_20250806_171449.jpg
     
    Last edited: Aug 7, 2025 at 10:55 PM
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    FB_IMG_1754509305241.jpg FB_IMG_1754509350566.jpg

    “…เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2531 วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าแต่งหน้ากำลังจะไปรับลูกที่โรงเรียน ก็สังเกตเห็นว่าคอของตนเองบวมจึงไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เพื่อทำการตรวจ แพทย์พบว่ามีก้อนเนื้อขนาด เท่าลูกมะปรางอยู่ในคอ แพทย์บอกว่าอาจจะเป็นเนื้อร้ายต้องผ่ามาพิสูจน์ เมื่อรู้ดังนั้นข้าพเจ้าก็รีบเดินทางไปหาหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแก พอไปถึงก็กราบเรียนท่าน ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่ปงไม่เป็นหรอกมะเร็ง”
    แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่ามีชาวบ้านมาหาท่าน เขาเป็นมะเร็งในมดลูก ท่านทำมือให้ดูว่าก้อนเนื้อมีขนาดเท่าลูกส้มโอ หมอบอกว่าต้องผ่าตัด เขากลัวมากเลยมาหาท่าน ท่านก็เมตตาให้เขาดื่มน้ำมนต์และให้ภาวนาไปด้วย
    ชาวบ้านผู้นั้นก็ปฏิบัติตามคือดื่มน้ำมนต์และภาวนาพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ อย่างเคร่งครัดจนครบ 3เดือนก็ไปหาหมอตรวจดูปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้นได้หายไปอย่างน่าอัศจรรย์
    หลังจากที่ท่านเล่าให้ฟังแล้วท่านก็เมตตาอธิษฐานจิตดอกบัวให้ข้าพเจ้านำกลับไปต้มกับ
    น้ำมนต์ ดื่มเป็นประจำทุกวันและให้ภาวนาไตรสรณคมน์ไปด้วย คืนหนึ่งข้าพเจ้านอนหลับฝันไปว่า ข้าพเจ้ากับสามีนั่งอยู่ในเรือลำหนึ่งโดยนั่งข้างหน้าและมีคนนั่งอยู่กัน เต็มลำ เรือลำนี้มุ่งหน้าข้ามไปยังเกาะกลางทะเล
    บนเกาะมีคุณตาคุณยายนั่งอยู่ในกระท่อม
    พอไปถึงคนทั้งหลายก็ขึ้นฝั่ง ไปให้ท่านทั้งสองรักษาโรคให้ด้วยการเป่า เมื่อท่านทั้งสองเป่ารักษาให้คนทั้งหลายก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บในทันทีแล้วพา กันกลับลงเรือ
    ส่วนข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปขอให้ท่านทั้งสองช่วยรักษา คุณตาคุณยายกลับบอกว่า
    “ข้าช่วยเอ็งไม่ได้”
    ได้ยินเพียงเท่านี้ข้าพเจ้าก็ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ท่านทั้งสองช่วยด้วยเถิด และข้าพเจ้ายังตัดพ้อว่าคนอื่นเขามากันเต็มลำเรือท่านยังช่วยได้ทำไมเราคน เดียวท่านไม่ช่วย
    อ้อนวอนทั้งน้ำตาอยู่นานก็ไม่เป็นผล ข้าพเจ้าจึงเดินร้องไห้กลับมาเพื่อจะลงเรือ
    ทันทีนั้นก็ได้ยินเสียงท่านเรียกแล้วพูดว่า
    “เอาอย่างนี้มีคนเดียวที่ช่วยได้”
    ข้าพเจ้ารีบถามว่าเป็นใคร ท่านก็บอกว่า “หลวงพ่อเกษม เขมโก ที่ลำปาง”
    ข้าพเจ้าจึงพูดว่าหลวงพ่อเกษม เขมโกท่านพบยาก ไปก็ลำบากไม่รู้จักใครที่จะพาไป
    ท่านบอกว่าให้ไปอยุธยาแล้วจะมีคนพาไป
    เมื่อตื่นขึ้นมาข้าพเจ้าก็ รีบไปหาหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแกทันที ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 3โมงแล้ว
    ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านให้ฟังถึงความฝัน ท่านก็เลยพานั่งสมาธิ กำหนดพาข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมโก ที่สุสานไตรลักษณ์แล้วนิมนต์หลวงพ่อเกษม เขมโกมาวัดสะแก
    เป็นเรื่อง น่าอัศจรรย์ยิ่งนักที่ หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านมาให้เห็นเป็นกายเนื้อนั่งอยู่ด้านขวามือของหลวงพ่อดู่ แล้วข้าพเจ้าก็กราบเรียนท่าน หลวงพ่อเกษมท่านก็รักษาให้โดยการเป่า
    หลวงพ่อดู่ท่านยังเมตตาฝากข้าพเจ้ากับหลวงพ่อเกษมว่า วันข้างหน้าหากข้าพเจ้ามีอะไรติดขัดก็จะขอให้กราบเรียนหลวงพ่อเกษม เขมโก ซึ่งท่านก็พยักหน้ารับ
    ข้าพเจ้านึกรู้ทันทีว่าหลวงพ่อดู่จะต้องละสังขารก่อนหลวงพ่อเกษม แน่นอน
    พอกลับ มาบ้านอาการที่เป็นอยู่ก็ไม่ทรุดโทรมแต่ค่อย ๆ ดีขึ้น ทว่าหลังจากที่หลวงพ่อดู่ท่านละสังขาร
    ข้าพเจ้างานยุ่งมากทำให้จิตไม่ค่อยมั่น ภาวนาบ้างไม่ภาวนาบ้าง
    แล้วก็เชื่อผู้อื่นที่หวังดีแนะนำไปหาหมอหลายหมอ จิตจึงไม่นิ่งนั่งสมาธิไม่ค่อยดี
    ร่างกายจึงเริ่มทรุดโทรมต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด เมื่อผ่าตัดเสร็จและฟื้นขึ้นมา
    ข้าพเจ้าได้เห็นวิญญาณของผู้ชายคนหนึ่ง
    กลายเป็นไก่ตัวผู้ตัวใหญ่มากยืนอยู่
    เห็นเหนียงที่คอยาวจนเกือบถึงพื้น
    เขาบอกว่าข้าพเจ้าเคยช่วยแม่จับขาเขาทำร้ายเขาถึงชีวิต
    ไปทำเขาไว้เขาโกรธก็เลยตามมาจะแก้แค้น
    รอโอกาสที่จะแก้แค้นข้าพเจ้ามานานจนกระทั่ง
    ตัวเขาแก่มากเหนียงยาวเกือบถึง พื้น
    หลังจากผ่าตัด 6เดือนหมอก็ให้กลืนน้ำแร่ฆ่าเชื้อและป้องกันมะเร็งที่คอ 7 วันวันแรกประมาณบ่าย 3 โมง
    กลืนน้ำแร่หยดเล็ก ๆ พอบ่าย 5โมงคอเริ่มบวมแดงไปหมดกลืนน้ำลายกลืนน้ำไม่ได้ ต้องนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม
    เตียงที่นอนล้อมรอบด้วยแผ่นตะกั่วกันรังสีอยู่คนเดียวห้ามเยี่ยม หมอและพยาบาลจะเข้ามาต้องใส่ชุดกันรังสี ข้าพเจ้าเกิดอาการแพ้มากจึงกดออดเรียกหมอบอกหมอถึงอาการ แต่หมอก็ไม่เชื่อคงเพราะกรรมมาบังไว้
    ตอนทุ่มครึ่งพยาบาลนำยานอนหลับมาให้ทานก็แอบเอาไว้ไม่ยอมทาน
    ข้าพเจ้าสวด มนต์ไหว้พระ-รับศีลเพื่อเตรียมตัวตาย
    เพราะจำได้ว่าหลวงพ่อดู่ท่านสั่งแล้วสั่งอีกเป็นสิบ ๆ ครั้งก่อนที่ท่านจะละสังขารว่า..
    “ก่อนตายสำคัญมากต้องมีสติภาวนารักษาศีล”
    และ เนื่องจากข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเขียนไว้ว่า
    ก่อนตายให้นึกถึงพระนิพพานและให้ภาวนาว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง”
    ข้าพเจ้าจึงได้ทำตามแล้วก็นอนทำสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ จิตก็ดี พอภาวนาไปได้พักหนึ่งจิต
    ก็หวนคิดถึงลูกคนเล็กซึ่งมีอายุเพียงขวบกว่า ๆ เกิดความคิดว่าเมื่อตายแล้วหากไปนิพพาน
    ก็จะไม่ได้กลับมาเห็นลูกอีก เลยเปลี่ยนคำภาวนาเป็น
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จิตก็รวมดี
    ไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็เห็นตัวเองสวมชุดขาวออกเดินไปในทุ่งอันกว้างใหญ่ มีต้นข้าวเขียวขจีอ่อนพลิ้วไปตามกระแสลม ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นดวงสว่างปรากฏขึ้นและเห็นหลวงพ่อดู่ท่านมา
    จึงรีบตรงเข้าไปกราบท่าน ท่านก็พาไปยังกุฎิที่ท่านอยู่ ซึ่งหน้ากุฎิท่านนั้นมีลำธารเป็นแก้วใส
    และมีต้นโพธิ์ทองแก้วเป็นแก้วใส 2 ต้นสูงประมาณ 2 เมตรอยู่ด้านหน้ากุฎิ
    ท่านนั่งห้อยขาอยู่บนกุฎิ ซึ่งเป็นทองสวยอร่ามมาก ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบท่านแล้วบอกว่าจะขออยู่กับท่านตลอดไปไม่กลับ ท่านก็บอกว่า “อยู่ไม่ได้บุญยังไม่พอ”
    ข้าพเจ้าร้องไห้ทวงสัญญาว่าหลวงพ่อเคยรับปากลูกว่าจะให้ลูกเกาะชายผ้าเหลือง ไปทุกภพท
    ทุกชาติลูกจะไม่ขอกลับไปแล้ว ท่านจึงพูดว่า
    “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลงไปทำความดีอีก 10 ปี…แล้วค่อยว่ากันใหม่”
    ก็เลยตกใจตื่นขึ้นมา ดูนาฬิกาเป็นเวลาเกือบตี 4 และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
    เพราะอาการที่ป่วยอยู่ทุกอย่างได้เริ่มหายเป็นปกติ ข้าพเจ้าอยู่โรงพยาบาลครบ 7วัน ก็ได้กลับบ้าน
    และหายจากโรคร้ายอย่างเด็ดขาดไม่มีอาการเจ็บป่วยอีกเลย
    ข้าพเจ้าได้แต่กราบแทบเท้าหลวงพ่อทั้งสองเพื่อขอบพระคุณที่ท่านมีเมตตาอนุเคราะห์ให้
    ความช่วยเหลือข้าพเจ้าและครอบครัวในทุก ๆ เรื่องตลอดมากระทั่งทุกวันนี้…”
    หลวงปู่เกษม พระอริยเจ้าที่หลวงปู่ดู่ให้ความเคารพมาก กล่าวกับลูกศิษย์ว่า
    “อยากฟังธรรมะ ให้ไปหาท่านพุทธทาส
    อยากไหว้พระปฏิบัติดี ให้ไปไหว้หลวงพ่อดู่ วัดสะแก”
    ที่มา..http://prasaksit.wordpress.com
    เหรียญหยดน้ำหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญหลังพรหมปี ๒๕๓๓ หลวงปู่เกษม เขมโกอธิษฐานจิต ปลุกเสก

    เป็นเหรียญที่ระลึกพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ดู่ โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสก ด้านหน้าเหรียญเป็นรูปหลวงปู่ดู่อริยาบทนั่งขัดสมาธิ ด้านหลังเป็นรูปพระพรหม ออกแบบได้สวยงามมาก มีสามเนื้อ คือทองแดง ตะกั่วและเงินชุบ อีกทั้งเหรียญชุดนี้จะมีส่วนผสมทั้งชนวนมวลสารจากวัตถุมงคลรุ่นเก่าๆ ของหลวงปู่ดู่ผสมอยู่ด้วย เปี่ยมด้วยพุทธคุณของสองพระอริยสงฆ์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250806_171553.jpg IMG_20250806_171616.jpg
     
    Last edited: Aug 7, 2025 at 9:33 AM
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    1754513844342.jpg

    ประวัติหลวงปู่สุภา กันตสีโล (พระมงคลวิสุทธิ์) วัดสิริสีลสุภาราม ม.6 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ท่านเป็นคน อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2438 ถึงปีนี้ท่านก็มีอายุย่างเข้าปีที่ 119 แล้ว หลวงปู่บวชเณรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เป็นศิษย์ของพระอาจารย์สีทัตต์ วัดท่าอุเทน จ.นครพนม และปี 2463 ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท จากนั้นได้ไปศึกษาทางด้านกสิณและฌานสมาบัติอยู่กับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลังจากนั้นหลวงปู่สุภาได้ออกธุดงค์ไปในทุกภาคของประเทศ รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
    หลวงปู่สุภาเข้ามาธุดงค์ที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อประมาณปี 2500 ซึ่งหลวงปู่สุภาได้เล่าให้ฟังการตัดสินใจธุดงค์มาที่จังหวัดภูเก็ต ว่า ก่อนจะมาภูเก็ตหลวงปู่ได้นิมิตเห็นเทวดาองค์หนึ่งบอกให้ท่านมาช่วยโปรดคนกลุ่มน้อยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ ท่านจึงได้ตัดสินใจมาที่ภูเก็ต โดยครั้งแรกท่านมาปักกรดอยู่บนเขารัง ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งครั้งแรกท่านตั้งใจที่จะสร้างวัดที่บริเวณเขารังแต่ทางเจ้าของที่ดินไม่ขายที่ดินให้ ท่านจึงตกลงใจถอนกลดธุดงค์เพื่อเดินทางต่อไป แต่ในคืนก่อนที่หลวงปู่สุภาจะถอนกลดนั้น หลวงปู่สุภาก็ได้นิมิต ว่ามีพระภิกษุชราภาพรูปหนึ่งมาปรากฏร่างที่ข้างกลดธุดงค์ท่านจึงออกไปพบ พระภิกษุชรารูปนั้นก็ได้บอกหลวงปู่สุภาว่า “อย่าได้เสียใจเลย ยังมีสถานที่ที่เขาต้องการให้ท่านไปสร้างวัด ชาวบ้านเขารอกันเป็นเวลานาน แต่ไม่มีใครไปสร้างให้ ขอข้ามทะเลไปยังเกาะสิเหร่ ต.รัษฎา อ.เมือง ที่นั่นคือที่ที่ท่านจะสมปรารถนา” หลังจากนั้น หลวงปู่สุภาลงเรือที่ทางญาติโยมจัดให้ เพื่อเดินทางไปเกาะสิเหร่ ต.รัษฎา อ.เมือง แล้วหลวงปู่สุภาก็ปักกลด แสวงหาวิเวกบนเกาะสิเหร่ หลวงปู่สุภา จึงสร้างเป็นวัดขึ้นเป็นวัดแรกของเกาะ เรียกว่า “วัดเกาะสิเหร่” อย่างไรก็ตามเมื่อหลวงปู่สุภาสร้างวัดบนเกาะสิเหร่ เสร็จท่านก็แบกกลดขึ้นไปทางเหนือและพื้นที่อื่นๆ อีกครั้ง เพื่อแสวงหาความวิเวก หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ได้เดินทางกลับมาที่ภูเก็ตอีกครั้งโดยครั้งนี้หลวงปู่ ได้กลับมาที่เขารัง ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง ซึ่งหลวงปู่ปักกลดที่บริเวณ ด้านหลังของโรงพยาบาลวชิระติดกับที่เก็บศพ ซึ่งเล่าลือว่าผีดุ หลังจากปักกลดมีศิษย์ที่เคยรู้จักมาพบเข้าจึงเล่าลือกันปากต่อปาก จนมีลูกศิษย์ลูกหามานมัสการจำนวนมาก และทุกคนเห็นพ้องว่าท่านอายุมากแล้ว จึงนิมนต์ให้หลวงปู่อยู่กับที่ โดยได้ขอซื้อที่ดินจากเจ้าของที่จะขายให้ 1 ไร่เศษ จึงสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น และหลวงปู่สุภาเล็งเห็นว่า หากต้องการสร้างความสงบให้แก่เขารังและแก่จังหวัดภูเก็ต ต้องสร้างพระพุทธรูปปางประทานพรไว้บนยอดเขารัง โดยออกแบบให้มีส่วนฐานขององค์พระขึ้นไปจากหลังคาสำนักสงฆ์ จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2544 หลวงปู่สุภาได้สร้างวัดใหม่อีกแห่งหนึ่ง ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ม.6 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต บนเนื้อที่ 38 ไร่ โดยได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า “วัดสิริสีลสุภาราม” วัดแห่งนี้เป็นวัดลำดับที่ 39 ที่หลวงปู่สุภาได้สร้างขึ้น และถือเป็นวัดสุดท้ายที่หลวงปู่สร้างขึ้นก่อนที่หลวงปู่จะละสังขารซึ่งท่าน ได้อยู่ที่วัดนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อเดือน เม.ย. 55 ท่านก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดคอนสวรรค์ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของท่าน ซึ่งนอกจากหลวงปู่สุภาจะสร้างวัดแล้ว ท่านยังได้สร้างตึกสงฆ์ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตอีกด้วย และในช่วงวันเกิดของหลวงปู่ทุกๆ ปี จะมีการมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียน ในจังหวัดภูเก็ตด้วย ซึ่งแต่ละปีในช่วงวันเกิดจะมีประชาชน-ลูกศิษย์จากทั่วสารทิศมาร่วมจำนวนมาก สำหรับเครื่องรางของขลังของหลวงปู่สุภา นิยมมาก ก็มี “พระเสด็จกลับ” ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่ทำขึ้นเป็นครั้งแรกที่วัดเกาะสิเหร่ นอกจากนั้นยังมี แมงมุมเรียกทรัพย์ จระเข้เฝ้าทรัพย์ สำหรับวิชาแมงมุมมหาลาภ เป็นตำราที่หลวงปู่สุภาได้เรียนมาจากหลวงปู่สุข นอกจากนั้นยังมีวัตถุมงคลอื่นๆ อีกจำนวนมาก ส่วนคำสอนที่หลวงปู่บอกลูกศิษย์เป็นประจำ คือ “กินน้อย นอนน้อย รักสันโดษ”
    หลวงปู่สุภา กันตสีโล (พระมงคลวิสุทธิ์) มรณภาพอย่างสงบ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สิริอายุ 119 ปี ตั้งศพวัดคอนสวรรค์ จ.สกลนคร ขณะที่บรรยากาศที่วัดสิริสีลสุภาราม จ.ภูเก็ต เงียบเหงา แต่ยังมีประชาชน เดินทางเช่าบูชาของขลังที่หลวงปู่ปลุกเสก...
    จากกรณี หลวงปู่สุภา กันตสีโล หรือ พระมงคลวิสุทธิ์ ได้ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา 05.20 น. วันนี้ (2 ก.ย.2556) ที่วัดคอนสวรรค์ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ด้วยสิริอายุ 119 พรรษา ซึ่งสร้างความเสียใจให้กับลูกศิษย์ ทั้งชาวจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ เนื่องจากหลวงปู่สุภา เป็นพระเกจิที่ผู้คนให้ความศรัทธาและให้ความนับถือเป็นอย่างมาก
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญรุ่นอายุ ๑๐๑ ปีหลวงปู่สุภา ปี๒๕๓๙

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250806_171736.jpg IMG_20250806_171808.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    fb_img_1748524160048-jpg.jpg

    fb_img_1748524543288-jpg.jpg fb_img_1748524326218-jpg.jpg fb_img_1748524425677-jpg.jpg
    พระปางประทานพร วัดดาวดึงส์บางกอกน้อยปี ๒๕๑๑ผ่านพิธีพุทธาภิเษก ยิ่งใหญ่นิมนต์เกจิอาจารย์ มาคับคั่ง โดยสมเด็จพระวันรัตหรือสมเด็จป๋า วัดโพธิ์ท่าเตียน เป็นองค์ประธานจุดเทียนชัยและประทับอธิษฐานจิตร่วมกับพระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณรวม 109 รูป อาทิ
    หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    อาจารย์ทิม วัดช้างให้
    อาจารย์นำ วัดดอนศาลา
    หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค
    เจ้าคุณผล วัดหนัง
    หลวงปู่แช่ม วัดนวลนรดิศ
    หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
    หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
    หลวงปู่สุข วัดโพธิ์ทรายทอง
    หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ
    หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ
    ฯลฯ
    ดังนั้นพุทธคุณจึงครอบจักรวาล ทั้งเมตตามหานิยม โชคลาภเงินทอง รํ่ารวย แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด คงกระพันชาตรี เคยปัดเป่าอัคคีภัยช่วยชาวบ้านมาแล้ว

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250807_195006.jpg IMG_20250807_195026.jpg
     
    Last edited: Aug 7, 2025 at 10:55 PM
  8. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Aug 28, 2010
    Messages:
    3,047
    Ratings:
    +5,744
    จองครับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    พระสมเด็จเนื้อผงหยก วัดเจดีย์หลวง 600 ปี เมืองเชียงใหม่ ปี 2538 ที่องค์สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงมาเป็นประธานพิธี พร้อมด้วยพระเถระผู้ทรงคุณ สายกรรมฐานและพระเถราจารย์ทั้งหลาย ร่วมเจริญพุทธมนต์ปลุกเสกอธิษฐานจิต ด้วยพระชุดนี้ได้จัดสร้างแบบพระหยก แกะเป็นพระสกุลลำพูน ต่าง ๆ หลากพิมพ์ และพระสมเด็จเนื้อผงที่มีส่วนผสมของผงหยก ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลหลักร้อยล้าน ซึ่งได้แกะเป็นองค์พระพุทธรูป ประจำวัดเจดีย์หลวง ณ พระมหาธาตุด้านทิศตะวันออกอันมีนามว่า...พระพุทธเฉลิมสิริราช (พระหยกแก้ว เชียงใหม่)
    ข้อมูลพระสมเด็จเนื้อผง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่ พิธีมหาพุทธาภิเษก เนื่องในงานสมโภช 600 ปี วัดเจดีย์หลวง วันที่ 3 เมษายน 2538
    เป็นหยกที่เหลือจากการแกะพระแก้วพุทธสิริเฉลิมราช ซึ่งประดิษฐาน ณ ซุ้มพระเจดีย์ดีย์หลวงด้านตะวันออก
    สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นประธานในพิธีมหาพุทธาภิเษก พร้อมทั้งพระมหาเถระ 600 รูป ร่วมเมตตาอธิษฐานจิตมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งหาพิธีแบบนี้ในปัจจุบันได้ยากยิ่ง
    รายนามพระคณาจารย์ที่ร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก ดังนี้
    1.สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี วัดราชบพิตร กทม.
    2.สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ กทม.
    3.พระธรรมปัญญาบดี วัดปากน้ำ กทม.
    4.พระธรรมสิริสารเวที วัดบวรนิเวศ กทม.
    5.พระธรรมวราลังการ (หลวงปู่ศรีจันทร์) วัดศรีสุทธาวาส จ.เลย
    6.พระเทพสิทธิญาณรังสี (หลวงตาจันทร์) วัดป่าชัยรังสี จ.สมุทรสาคร
    7.พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ) วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
    8.พระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) วัดวังก์วิเวกการาม จ.กาญจนบุรี
    9. พระราชสังวรอุดม (หลวงปู่ศรี มหาวีโร) วัดประชาคมวนาราม จ.ร้อยเอ็ด
    10.พระวิมลธรรมญาณเถร (หลวงปู่ทองบัว) วัดโรงธรรมสามัคคี จ.เชียงใหม่
    11.พระวิสุทธิญาณเถร (หลวงพ่อสมชาย) วัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี
    12.พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ)วัดอรัญญบรรพต จ.หนองคาย
    13.พระญาณทีปปาจารย์ (หลวงปู่ท่อน) วัดศรีอภัยวัน จ.เลย
    14.พระญาณวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ) วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา
    15.พระญาณวิศิษฐ์ (หลวงพ่อทอง) วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
    16.พระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์)วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม
    17.พระภาวนาพิศาล (พระอาจารย์มหาถาวร) วัดปทุมวนาราม กทม.
    18.พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) วัดบางพระ จ.นครปฐม
    19.พระเทพสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อแพ) วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
    20.พระปัญญาพิศาลเถร (พระอาจารย์ไพบูลย์) วัดอนาลโย จ.พะเยา
    21.พระครูวิจิตรกิตติคุณ (หลวงพ่อเปลื้อง) วัดบางแก้วผดุงธรรม จ.พัทลุง
    22.พระครูภาวนาทัศนวิสุทธิ (หลวงปู่แว่น) วัดถ้ำพระสบาย จ.ลำปาง
    23.พระครูกการุณธรรมนิวาส (หลวงปู่หลวง) วัดป่าสำราญนิวาส จ.ลำปาง
    24.พระครูสุภัทรศิลคุณ (ครูบาดวงดี) วัดท่าจำปี จ.เชียงใหม่
    25.พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ (ครูบาชัยวงศ์) วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน
    26.พระครูชัยวงศ์วิวัฒน์ (ครูบาน้อย) วัดบ้านปง จ.เชียงใหม่
    27. พระครูนิมมานกการโสภณ (ครูบาสร้อย) วัดมงคลคีรีเขตสายเมือง จ.ตาก
    28.ครูบาสามีแสงหล้า วัดพระธาตุสายเมือง ประเทศพม่า
    29.ครูบาบุญชุ่ม วัดพระธาตุดอนเรือง ประเทศพม่า
    30.พระครูเกษมวรกิจ (หลวงพ่อวิชัย) วัดถ้ำผาจม จ.เชียงราย
    31.หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก จ.ประจวบคีรีขันธ์
    32.พระครูสิงหวิชัย วัดฟ้าฮ่าม จ.เชียงใหม่
    33.พระครูวรวุฒิคุณ (ครูบาอิน) วัดฟ้าหลั่ง จ.เชียงใหม่
    34.พระครูพิศิษฐ์สังฆการ (ครูบาผัด) วัดศรีดอนมูล จ.เชียงใหม่
    35.พระสุพรหมยานเถร (ครูบาทอง) วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ.เชียงใหม่
    36.พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
    37.พระครูสุนทรธรรมกิจ (หลวงพ่อหยอด) วัดแก้วเจริญ จ.สมุทรสงคราม
    38. หลวงปู่บุญ วัดบ้านนา จ.ระยอง
    39. หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า จ.ระยอง
    40.พระราชมงคลญาณ วัดปากน้ำ กทม.
    41.พระภาวนาวิสุทธาจารย์ วัดไตรมิตร กทม.
    42.หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี
    43.หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชโช วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี
    44.พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก จ.เชียงใหม่
    45.พระครูปราโมทย์ธรรมธาดา (หลวงปู่หลอด) วัดใหม่เสนานิคม กทม.
    46.หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโม วัดป่าชุมพล จ.อุดรธานี
    47.พระอาจารย์เสน วัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี
    48.ครบาเทือง วัดบ้านเด่น จ.เชียงใหม่
    49.พระครูปัญญาธรรมรัตน์ (ครูบาอินทร) วัดสันป่ายางหลวง จ.ลำพูน
    50.พระอาจารย์มนตรี วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี จ.แพร่เป็นต้น

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250807_200438.jpg IMG_20250807_200506.jpg IMG_20250807_200536.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    FB_IMG_1754581747714.jpg
    พระผงท้าวมหาพรหมวัดวิเศษการ มีรอยจารยันต์นะ ด้านหลังด้วยหมึกสีทอง
    รุ่นนี้มีชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการว่ารุ่น “เสริมบารมี ศรีมหาพรหม” จัดสร้างขึ้นเมื่อปี พศ.2549 โดยมีลักษณะด้านหน้าเป็นรูปท้าวมหาพรหมล้อมรอบด้วยอักขระ และด้านหลังปรากฏอักขระยันต์
    ความพิเศษของพระพรหมรุ่นนี้ที่แตกต่างจากพระพรหมทั่วไปก็คือเรื่องของอักขระยันต์นี่แหละครับเพราะโดยทั่วไปเราเองจะเห็นอักขระยันต์เป็นภาษาขอมที่เกี่ยวข้องกับพระพรหมของชาวพุทธแต่สำหรับรุ่นนี้นั้นมีการนำเอาภาษาเทวนาครีที่เกี่ยวข้องกับพระพรหมฮินดูที่มีความหมายบ่งบอกถึงคำพร ความสุข ความเจริญ อันสูงสุด อันนิรันดร์กาลอีกทั้งด้านหลังยันต์มียันต์พรหมสี่หน้าอันเป็นยันต์วิเศษควรค่าของไทยผสมผสานล้อมรอบด้วยอักขระเทวนาครีของพรหมฮินดูอีกดังนั้นจึงถือเป็นวัตถุมงคลในรูปเคารพของพระพรหมที่ผสมผสานกันได้อย่างเข้มขลังลงตัว
    ด้านการปลุกเสกก็ใช่ย่อยครับเพราะเป็นการรวมตัวกันของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังจำนวนทั้งสิ้นถึง 24 รูปซึ่งหลายรูปก็ได้มรณภาพและละสังขารกันไปแล้วอาทิเช่นหลวงปู่ทิม วัดพระขาว เทพเจ้าแห่งความเมตตา ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวให้ก่อนหนึ่งวัน
    และในวัดถัดมา ได้มีพระเกจิร่วมปลุกเสกอีก ทั้งสิ้น 24 รูป
    หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน, หลวงพ่อเงิน วัดถ้ำน้ำ, หลวงพ่อผัน วัดทรายขาว เป็นต้น แถมในวันพิธีพุทธาภิเษกพระพรหมรุ่นนี้ได้มีการบันทึกวิดีโอเอาไว้ปรากฏว่าพระพรหมที่อยู่ตรงหน้าของหลวงปุ่แย้ม วัดตะเคียนได้ลอยขึ้นจากบาตรอยู่กลางอากาศนานหลายวินาที มีผู้คนเห็นและมีการบันทึกภาพเอาไว้ดังนั้นจึงทำให้พระพรหมรุ่นนี้มีผู้ต้องการเสาะอย่างมาก
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    .ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250807_225022.jpg

    IMG_20250807_225106.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    [​IMG]

    ประวัติหลวงพ่อมุม วัดนาสัก จังหวัดชุมพร
    หลวงพ่อมุมมีนามเดิมว่า มุม จันทร์ประสูติ เกิดเมื่อ วันจันทร์ เดือน ๑๑ ปี จอ พ.ศ. ๒๔๔๑ ที่ตำบลปากมะยิง ใกล้กับวัดปากกิ้ว จ.นครศรีธรรมราช บิดาชื่อ นายเฟื่อง มารดาชื่อนางใหม่ ท่านเป็นลูกโทน ฐานะทางบ้านนับว่าเป็นผู้มีอันจะกินเพราะมีที่นาเป็นร้อยไร่ พอท่านมีอายุได้ ๑๑ ปี บิดาก็ถึงแก่กรรม ทำให้ท่านเกิดความสลดใจและเศร้าใจเป็นอย่างมาก ท่านอยู่กับมารดาจนมีอายุได้ ๑๘ ปี คืนหนึ่งท่านฝันเห็นบิดา ท่านก็มาคิดว่าท่านไม่เคยทดแทนบุญคุณบิดาเลย จึงคิดบวชทดแทนบุญคุณซึ่งมารดาก็ให้การสนับสนุน
    ท่านจึงบวชเณรที่วัดท่าโพธิ์ จ. นครศรีธรรมราช โดยมี พระรัตนธัชมุนี ศรีธรรมราช (ม่วง) หรือเจ้าคุณวัดท่าโพธิ์ เป็นอุปัชฌาย์ เมื่อบวชเณรแล้วท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดปากกิ้ว
    หลังจากบวชเณรได้ ๑ ปี มารดาของท่านก็เสียชีวิตไปอีก ทำให้ท่านเล็งเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ การบวชทำให้ท่านมีความสุขยิ่งกว่าทางโลกและเป็นการทดแทนบุญคุณบิดา-มารดา ด้วยท่านจึงตัดสินใจบวชไม่สึก ส่วนทรัพย์สมบัติที่ดินท่านก็ไม่ไยดี เป็นของนอกกาย ให้ญาติๆแบ่งกันไปหมด
    พอท่านมีอายุครบ ๒๐ ปี ท่านก็ออกบวชเป็นพระภิกษุโดยมีอุปัชฌาย์รูปเดิมเป็นผู้บวชให้รับนามฉายา ว่าโฆสโก ซึ่งแปลว่า “ผู้มีเสียงก้อง” หมายถึงมีธรรมอันกว้างใหญ่ไพศาลถ้วนทั่วนั่นเอง ท่านจำพรรษาอยู่จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๘
    *** ท่านได้ออกไปศึกษาหาความรู้ทางปริยัติธรรมเพิ่มเติมที่วัดบวรนิเวศวิหารโดยมาเรือมากับพระภิกษุอีกสองรูปคือ***
    1 หลวงพ่อโอภาสี
    2 พระอาจารย์วิจิตรกรณีย์ (หลวงปู่ยิ่ง) ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อมุม รูปหนึ่งด้วย
    พ.ศ. ๒๔๗๘ เมื่อศึกษาจบในลำดับหนึ่ง ท่านได้ธุดงค์มากับหลวงปู่ยิ่ง และจำพรรษาที่วัดโพธิ์เกษตร อ.สวี จ.ชุมพร ส่วนหลวงพ่อโอภาสี ท่านได้แยกไปจำพรรษาที่อาศรมบางมด ธนบุรี
    พ.ศ. ๒๔๘๑ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านนา อ.เมือง จ.ชุมพร และเป็นเจ้าอาวาสจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๐
    พ.ศ. ๒๔๙๐ ท่านออกธุดงค์จำพรรษาอยู่ที่วัดกาญจนาราม อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี และธุดงค์ต่อไปถึงนครศรีธรรมราช แล้วย้อนกลับมาชุมพร
    พ.ศ. ๒๔๙๓ จำพรรษาที่วัดนาสัก ขณะนั้นเป็นวัดนาสักเป็นวัดร้างไม่มีพระสงฆ์ หลวงพ่อเลื่อน วัดสามแก้วได้ให้นายภู่ เกตุสถิตย์ กรรมการวัดนิมนต์หลวงพ่อมุม มาเป็นเจ้าอาวาสแทนหลวงพ่อสอนที่มรณภาพ อยู่ที่วัดนาสัก อ.สวี จ.ชุมพร จนกระทั้งมรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๒
    ก่อนที่ท่านจะมรณภาพช่วงระยะเวลาหนึ่ง ได้มีการสร้างรูปเหมือนบูชาขนาดองค์จริงของหลวงพ่อมุมที่สำนักสงฆ์คนฑี ตั้งอยู่หมู่ 3 ต.บ้านนา อ.เมือง ชุมพร โดยมี พระอาจารย์ธรรม เป็นผู้จัดสร้างได้นิมนต์หลวงพ่อมุม ไปเจิมองค์รูปเหมือน หลวงพ่อมุมท่านได้กล่าวว่า ทำรูปเราไม่ได้ขอเราเลย อีกไม่นานหรอกเราก็คงต้องไป และท่านได้แจ้งให้พระลูกศิษย์คือหลวงพ่อบุญรอด ภาวโร วัดแก้วประชาราม (ทุ่งรี) ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี ให้ทราบว่าท่านจะกลับแล้ว หลวงพ่อบุญรอด จึงได้สั่งหล่อรูปเหมือนขนาดองค์จริงมาไว้ที่วัดนาสัก เป็นองค์ประดิษฐานอยู่ที่วัดจนถึงปัจจุบันให้กับหลวงพ่อมุม
    ขณะที่หลวงพ่อมุมอยู่โรงพยาบาลชุมพร โยมผู้อุปถากท่านคือตาอิง (กรรมการวัด) ท่านได้บอกให้ตาอิง เอาน้ำมารดตัวท่าน (ท่านกำลังสละทิ้งธาตุ) ท่านบอกตาอิงว่าจะไปแล้ว เวลาที่ไปคือเวลาที่หยุด ต่อมาไม่นานท่านก็ละสังขาร ตาอิงจึงดูที่นาฬิกาเห็นว่า มันหยุดเดิน จึงถามแพทย์ว่าไม่ได้ตั้งเวลาหรือ แพทย์ให้พยาบาลไปดูเวลาในห้องแพทย์ นาฬิกาที่มีอยู่ทุกเรือนก็หยุดหมด แม้แต่เมื่อนำร่างหลวงพ่อมุมมาถึงที่วัด นาฬิกาของวัดนาสักก็หยุดและรวมถึงเมื่อตาอิงแจ้งข่าวให้ทางวัดโพธิเกษตรทราบข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อมุมนาฬิกาของวัดก็หยุดด้วยเช่นกัน
    หลวงพ่อมุม มรณภาพ เมื่อวันอังคารที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.
    นับพรรษาได้ ๗๑ พรรษา สิริอายุ ๙๑ พรรษา ปัจจุบันทางวัดได้เก็บร่างของท่านไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้ผู้ที่ศิษยานุศิษย์ได้มากราบไหว้ ซึ่งได้กำหนดให้ทุกวันที่ ๑๕ เมษายน ของทุกปีเป็นวันทำบุญอุทิศให้หลวงพ่อมุม
    คาถาอาราธนาวัตถุมงคลของหลวงพ่อมุม โฆสโก
    อิติปิโส ภควา พุทธัง ธรรมมัง สังฆัง อาราธนานัง อธิฐามิ
    หลวงพ่อไม่ได้พูดสอนอะไรมากหรอก แค่ทำให้เราดู เป็นอยู่อย่างสมณะผู้เรียบง่าย ไม่ยึดถือยศศักดิ์ใดๆ รู้จักทดแทนคุณบิดามารดา มีน้อยใช่น้อย มีมากแบ่งปัน เสียสละรู้จักการให้ จากไปทิ้งธรรมสังขาร ให้ลูกหลานได้สังวร
    #ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ

    [​IMG]
    เล่าพ่อหลวงมุม ท่านเสกเหล็กขูดมะพร้าวชนกัน มีน้าคนหนึ่งมาหาพ่อหลวงคุยกับพ่อหลวงพักนึง ก้อเดินไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินไปห้องน้ำ ไปเห็นเหล็กขูดพร้าวชนกันที่โรงครัวของวัด
    เล่าพ่อหลวงมุม ท่านแสดงฤทธิ์ มีคณะทหารจากระนองมาทำตะกรุดกับพ่อหลวง หลายนาย ซึ่งทหารพกระเบิดมือมาด้วย พ่อหลวงบอกไหนเอามาดูสิระเบิด พี่นุ้ยศิษย์พ่อหลวงพูดอย่าเล่นเดียวตายกันหมด พ่อหลวงพูดว่าระเบิดสวยดีนะ พร้อมกับดึงสลักแล้วโยนลงตรงหน้า ทหารกระโดนหมอบกัน ส่วนพี่นุ้ยเยี่ยวรดกางเกง พ่อหลวงหัวเราะแล้วพูดว่ากูทำไห้ดู

    เล่าพ่อหลวงมุม ท่านเสกเหล็กขูดมะพร้าวชนกัน มีน้าคนหนึ่งมาหาพ่อหลวงคุยกับพ่อหลวงพักนึง ก้อเดินไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินไปห้องน้ำ ไปเห็นเหล็กขูดพร้าวชนกันที่โรงครัวของวัด
    เล่าพ่อหลวงมุม ท่านแสดงฤทธิ์ มีคณะทหารจากระนองมาทำตะกรุดกับพ่อหลวง หลายนาย ซึ่งทหารพกระเบิดมือมาด้วย พ่อหลวงบอกไหนเอามาดูสิระเบิด พี่นุ้ยศิษย์พ่อหลวงพูดอย่าเล่นเดียวตายกันหมด พ่อหลวงพูดว่าระเบิดสวยดีนะ พร้อมกับดึงสลักแล้วโยนลงตรงหน้า ทหารกระโดนหมอบกัน ส่วนพี่นุ้ยเยี่ยวรดกางเกง พ่อหลวงหัวเราะแล้วพูดว่ากูทำไห้ดู

    [​IMG]

    เล่าถึงพลังจิตพ่อหลวงมุม วัดนาสักมีคลองหลังวัดช่วงหน้าฝน พี่นุ้ยแกเล่นปลาไม้ ปลาไม้เป็นของเล้นชนิดนึงผมก้อเคยเล่น พ่อทำไห้ เอาแผ่นไม้ตัดคล้ายรูปปลาแล้วตอกตะปูที่ด้านหัวปลา ถึงก้อเอาโยนลงคลองดึงชักขึ้นสู้น้ำเชี่ยวสนุกครับ ถ้าเปรียบเหมือนเด็กแล้นว่าวตามทุ้งนา แต่ปลาไม้นี้เล่นตามคลอง วันหนึ้งพีนุ้ยกำลังเล่นปลาไม้อย่างหนุก พ่อหลวงว่าปลาไม้มึงสู้ของกูไม่ได้หรอก พ่อหลวงหยิบพดพร้าวมาชิ้นนึงเสกแล้วโยนลงคลอง ด้วยความที่น้ำเชี่ยวทำไห้พดพร้าวโดนน้ำพัด0เลย พีนุ้ยว่าพ่อหลวงไหนของเติ้นละที่ว่าแน่เห็นน้ำพัด0แล้ว พ่อหลวงเลยเอารูปท่านชนิดกระดาษมา3รูปเสกพักนึงเสร็จโยนลงคลอง กระแสน้ำที่เชี่ยวไม่สามารถพัดพารูปพ่อหลวงได้ รูปท่านลอยนิ่งอยู่กับที่บนผิวน้ำ

    ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว
    ได้มีโอกาสไป #วัดแก้วพิทักษ์เจริญธรรม เขตประเวศกรุงเทพมหานคร เมื่อไปถึงก็หาเจ้าอาวาส ได้พบหลวงตารูปหนึ่งซึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่
    ผมจึงเข้าไปสอบถามและแจ้งว่าจะมาหาท่านเจ้าคุณครับ ท่านบอกว่าให้เข้าไปรอในกุฏิ รอสักพัก หลวงตาที่กวาดบ้านก็เดินออกมาจากห้อง ผมเลยก้มกราบท่านเลยพูดว่า #เจ้าคุณก็หลวงตากวาดลานวัดนี่แหละ ท่านเกิด 13 ธ.ค. (วันเดียวกับผู้เขียน) เป็นชาวเขาปีบ จังหวัดชุมพร
    และได้สอบถามข้อมูลการสร้างเหรียญหลวงพ่อมุม ของวัดแก้วพิทักษ์เจริญธรรม ท่านเป็น ขอหลวงพ่อมุมสร้าง แกะพิมพ์ที่ กรุงเทพ และนำเหรียญไปให้หลวงพ่อมุม ปลุกเสกเอง
    ท่านได้เล่าถึงเหตุการณ์ในสมัยนั้นให้ฟังว่าได้เดินทางไปกับกระบะรถซูบารุเมื่อไปถึง วัดนาสัก ได้นำพระเครื่องจำนวนประมาณห้าพันเหรียญให้หลวงพ่อมุม และจะรอรับกลับในวันนั้นเลย
    หลวงพ่อมุมได้แจ้งว่าท่านกลับไปก่อน #เสกวันเสาร์ก็เสร็จวันอังคาร #เสกวันอังคารก็เสร็จวันเสาร์" และการเสกแต่ละครั้งต้อง #เสกจนหมดเสียงนกเสียงกา
    เมื่อถึงวันนัด ท่านเจ้าคุณ มารับเหรียญ ท่านก็แบ่งเหรียญไว้จำนวนหนึ่งเพื่อให้หลวงพ่อมุมแจกญาติโยม หลวงพ่อมุม บอกว่าคุณนำไปให้ผู้ที่มาทำบุญสร้างอุโบสถเถิด ส่วนใหญ่เหรียญวัดแก้วพิทักษ์เจริญธรรมจะกระจายที่กรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลส่วนที่พบเห็นในพื้นที่ค่อนข้างน้อยมาก และท่านเจ้าคุณก็ยังบอกว่า ยังมีคนมาหาเหรียญหลวงพ่อมุม ที่วัดฉันอยู่เลย ปัจจุบันหมดไปตั้งนานแล้ว
    และท่านก็มอบพระพิมพ์ถ้ำเสือเนื้อดินเผาให้ผมกับเพื่อน คนละองค์ครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาทุกๆท่านอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อมุมวัดนาสักออกวัดแก้วพิทักษ์ธรรม ให้บูชา 800 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250807_230154.jpg IMG_20250807_230225.jpg
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    2-3วันก่อนจัดส่ง

    1754634983051.jpg 1754634985599.jpg

    อบคุณครับ
     
  13. Karoonsur

    Karoonsur Active Member

    Joined:
    Jul 4, 2018
    Messages:
    402
    Ratings:
    +240
    จองครับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • List
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    พระขุนแผนยุทธหัตถี414 พิมพ์ทรงพลเล็ก พ.ศ.2549
    เอาประสบการณ์ก่อนเลยครับ อ่านเพลิน ๆ
    นิมิตร มงคลกลุ่มพระขุนแผนทุกสายและเครื่องรางของขลัง
    12 เมษายน 2020 ·
    ผมอยากมาแชร์ประสบการณ์พระพุทธคุณพระขุนแผน ครั้งหนึ่งผมเคยมีปาฏิหาริย์กับพระขุนแผนองค์นี้ เป็นเรื่องที่ผู้ชายหลายคนอาจมีความถวิลหา เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เป็นหนุ่มฉกรรจ์ ก็คงไม่พ้นเรื่องผู้หญิง ปกติที่ผ่านมาผมก็ใช้ชีวิตเรียบง่ายผ่านมาเนิ้นนาน แบบเด็กชายทั่วไป และเป็นคนออกจะขี้อายด้วยซ้ำเรื่องจีบสาวไม่ต้องพูดถึง ในตอนเด็กก็เป็นคนสนในเรื่องพระเครื่องบ้างอยู่แล้วตามที่เห็นพระที่พ่อแขวน อยู่มาวันนึงตอนนั้นอายุประมาณ 21 ปี เมื่อเพื่อนที่เรียนด้วยกัน ได้เอาพระขุนแผนองค์หนึ่งมาให้ดู เพื่อนมันบอกว่าเป็นพระใหม่แต่เป็นพระแท้จากวัด มันโม้เรื่องพุทธคุณให้ผมฟังต่างๆนา เมตรตาอยากนั้นอย่างนี้ไม่แพ้พระกรุเลย หลักๆก็ไม่พ้นเรื่องผู้หญิง บอกก่อนว่าเพื่อนผมคนนี้เป็นคนใต้ที่ผิวคล้ำหัวโล้นคือว่าคงไม่ใช่สเปคของสาวๆทั่วไป แต่ขณะนั้นมันได้แฟนเป็นรุ่นน้องเป็นสาวสวยผิวขาวน่ารักมาก และมีน้องๆผู้หญิงชอบมาคุยกับมันชอบเข้าหามัน ผมนึกๆดูที่มันโม้มาก็มีความน่าเชื่อนะ *ผมเลยขอพระขุนแผนกับมันไปหนึ่งองค์ มีอีกมั้ยเพื่อนอยากได้ไว้บูชาสักองค์ เพื่อนบอกได้ๆ กูมีอีกเดี๋ยวเอามาให้ ผ่านไปหลายวันเจอกันเพื่อนก็เอาพระขุนแผนมาให้ทุกอย่างเหมือนองค์ที่มันโชว์วันแรกแต่ต่างกันตรงที่องค์ที่ให้ผมหน้าท่านแตกมีเหมือนหินโผล่ตรงหน้าพอดีไม่สวย ผมก็ดูๆ เพื่อนเหมือนรู้ว่าผมจะกังวลเรื่องหน้าพระไม่สวย มันเลยพูดว่า ถึงหน้าพระไม่สวยแต่พุทธคุณเต็มร้อยรับรอง บอกว่าเพื่อนให้พระมาฟรีนะครับ **พอได้พระมาชีวิตก็เริ่มเปลี่ยน มีเหตุให้ผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาพัวพัน ประมาณว่าเพียงสบตากันก็ต้องตาโดนใจอะไรประมาณนั้นเลย ไม่ว่าจะไปไหนทำกิจกรรมอะไรถ้าได้คลุกคลีมีผู้หญิงอยู่ด้วยต้องมีหนึ่งในนั้นชอบเรา พอผ่านๆไปก็เริ่มหนักขึ้นๆเรื่องวุ่นวายจากผู้หญิงก็เริ่มมากขึ้นตาม เล่าก่อนว่าถึงแม้จะมีเข้ามาหลายคนสมัยนั้นก็เลือกที่เป็นตัวจริงไว้หนึ่งคน ส่วนคนอื่นๆก็กิ๊กกั๊กๆกันไป บอกก่อนว่าที่เล่ามาไม่ได้ภูมิใจ หรืออย่างให้เป็นแบบอย่างที่ดีหรือไม่ดีนะครับต้องเลือกและพิจารณาเองทุกสิ่งที่ทำมีผลตามมาเสมอ พอจบมาทำงานก็ยังคบกับแฟนคนนี้อยู่แต่ต้องแยกกันไปทำงานคนละจังหวัด นี้คือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายของจริงแล้ว เริ่มเข้ามาทำงานหัวหน้าก็ต้องตาโดนใจ หัวหน้าเป็นผู้หญิงโสดอายุห่างกันไม่มากนัก รู้สึกได้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่าหัวหน้าชอบก็เป็นจริงตามนั้น ไม่นานก็แอบครบกันไม่มีใครในบริษัทรู้ก็คงมีคนแอบสงสัยกัน แต่ไม่ได้ทิ้งแฟนเก่านะครับ แฟนก็ไม่รู้เพราะอยู่คนละที่ ต่อมาก็มีมากขึ้นๆ ทั้งเลขาคนสวยอีกแผนกชั้นบน สาวน้องใหม่เพิ่งเข้ามา รวมคนนอกบริษัทอีก สูงสุดเคยคบพร้อมกัน 6 คน ไม่นับรวมรายย่อยที่เจอกันในสถานที่เที่ยวรายวันนะครับ 6 คนนี้เฉพาะรายหลักที่คบกันยาวนาน เน้นว่าทุกคนเป็นโสดนะครับ คิดดูครับว่าจะวุ่นวายขนาดไหน อยู่มาวันนึงแฟนเกิดจับได้ แต่เรื่องก็ยังเป็นแบบนี้ต่อไปยังไม่เลิกพฤติกรรมยอมรับว่าช่วงนั้นหลงกิเลสอย่างหนัก แฟนก็ได้แต่เสียใจบอกแล้วไม่ฟัง ..จนมาถึงจุดจบ...วันที่แฟนเกิดนึกได้ว่าอาจเกี่ยวกับพระขุนแผนองค์นี้ (ผมไม่ได้แขวนขึ้นคอนะครับ บูชานึกถึงแล้วเก็บไว้ห้องแฟนรวมกับพระอื่นๆ ส่วนพระที่ขึ้นคอติดตัวจะเป็นพระพุทธชินราช กับ หลวงพ่อคูณ มีสลับกับหลวงปู่ทวด และหลวงพ่อโสธร ใจอยากขึ้นทั้งหมดแต่บ้างครั้งก็แอบหนักคอ) ต่อครับ แฟนนึกขึ้นได้ว่าแต่ก่อนผมไม่เป็นแบบนี้ไม่มีเรื่องผู้หญิง พอได้พระขุนแผนองค์นี้มาเปลี่ยนไปมาก แฟนค้นที่เก็บพระจนเจอ แล้วก็...ทิ้งไปเรียบร้อย ไม่รู้ว่าเอาไปทิ้งที่วัดหรือที่ไหน ...ตอนนั้นผมยังไม่รู้นะครับว่าแฟนเอาพระไปทิ้ง ...หลังจากนั้นไม่ก็มีเหตุต้องเลิกกับผู้หญิงทุกพร้อมกันโดนที่ผู้หญิงเป็นคนตีจากหรือมีเหตุให้ไม่ได้เจอกันอีกเลย ...
    ..พอเวลาผ่านไปแฟนก็เล่าให้ฟังว่าเอาพระไปทิ้งแล้ว ..ผมก็ถามว่าทิ้งที่ไหน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังถาม แฟนก็ได้แต่ตอบว่าจำไม่ได้แล้ว..
    ที่เล่ามาคือเรื่องราวที่ผมเชื่อว่าพุทธคุณขององค์พระเครื่องมีจริงครับ แต่คนบูชาต้องมีศีลด้วยชีวิตถึงจะดี
    ส่วนประสบการณ์เกี่ยวกับพระที่ห้อยคอก็มีมากครบผมเชื่อว่าเกี่ยวกับแคล้วคลาดปลอดภัย รอดจากอุบัติเหตุทางรถ ไม่ต่ำกว่า6ครั้ง แบบไม่เจ็บอะไรเลยทั้งที่รถเสียหายและคนอื่นที่มาด้วยเจ็บเสียเลือด
    ปล.ขออนุญาติเจ้าของรูป รูปด้านล่างเป็นขุนแผนรุ่นเดียวกันจากที่อื่น ไม่ใช่องค์ที่แฟนทิ้งไป
    ตอนนี้ผมตามเก็บ ตามบูชาพระขุนแผนรุ่นนี้อยู่ แต่ไม่ได้ต้องการนำมาบูชาเพื่อจุดประสงค์เดิมแล้ว ตอนนี้แต่งงานมีครอบครัว มีความสุขดีแล้ว อยากเก็บเพราะทราบถึงพุทธคุณที่เกิดขึ้นกับตัวเองดี ..ไม่บอกรุ่นบอกที่นะครับ เดี๋ยวมีคนเข้าใจผิดว่ามาปั่นเล่านิทานเพื่อขายพระ ท่านใดมีหรือเคยเห็นก็คงพอทราบนะครับ
    ชอบฟังเรื่องเล่าความศักดิ์สิทธิ์.
    วัตถุมงคลอันศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนยุทธหัตถี ที่รวมสุดยอดมวลสารเก่าขุนแผนกรุบ้านกร่าง ต้นตำตาน ของขุนแผน!
    จัดสร้างโดย นายทรงพล ทิมาศาสตร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีในยุคนั้น
    #ฝพิธีอธิฐานจิตปลุกเสก โดยพระอริยะเจ้าแห่งยุคทั้วประเทศ อาทิ
    1.หลวงพ่อสาคร วัดหน่องกรับ จ.ระยอง
    2. หลววปู่ทิม วัดพระขาว
    3.หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว
    4.หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน
    5.หลวงพ่อฟู วัดบางสะพาน เป็นต้น ฯลฯ
    มวลสารมหามงคลที่จัดสร้าง
    1. ดินมหามงคล จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สระแก้ว สระคา สระยมนา สระเกตุ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ และ กรุวัดบ้านกร่าง
    2. แผ่นทองคำเปลว จากองค์หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ พระบรมราชานุสาวรีย์องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ดอนเจดีย์สุพรรณบุรี และองค์เจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี
    3. ชิ้นส่วนพระขุนแผนกรุวัดบ้านกร่าง ตะกรุด พระกรุถ้ำเสือ พระกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ กรุวัดพระรูป มวลสารพระหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน ชิ้นส่วนพระถ้ำเสือ
    วัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
    **เพื่อมอบให้เป็นขวัญและกำลังใจ แก่ ทหารและตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ อยู่3จังหวัดชายแดดภาคใต้**
    **และเพื่อให้ประชาชนและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ได้บูชาพกพาอาราธนา พระขุนแผนทรงพล รุ่นแรก "ยุทธหัตถี 414" ติดตัวไว้เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตตัวเอง และครอบครัว พร้อมกระทั่งคนใกล้ชิด ฯลฯ
    ****พิธีมหาพุทธาภิเษกครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของจังหวัดสุพรรณบุรี โดยพระเกจิอาจารย์ดังทั่วประเทศ กว่า 199 รูป นั่งปรกภาวนาบริกรรมฯ ณ มณฑลพิธี อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี
    *** มวลสารดีพิธีใหญ่แท้สบายใจ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250808_182521.jpg IMG_20250808_182550.jpg IMG_20250808_182637.jpg IMG_20250808_182606.jpg IMG_20250808_182620.jpg
     
    Last edited: Aug 9, 2025 at 3:36 PM
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    1754650710424.jpg
    เปิดประวัติพระเกจิอาจารย์' หลวงพ่อสมบุญ ปิยธมฺโม ' แห่ง วัดลำพันบอง เมืองสุพรรณบุรี ครูบาอาจารย์อาวุโส เด่นเครื่องราง งู สิงห์ ชานหมาก พระปิดตามหาลาภ
    ในแวดวงพระเกจิอาจารย์ปัจจุบัน นอกเหนือจากพ่อท่านอิ่ม วัดทุ่งนาใหม่ ที่มีอายุร้อยปีเศษแล้ว ในพื้นที่ภาคกลางยังมีอีกหนึ่งพระเกจิอาจารย์ที่สูงวัย และผู้มีความศรัทธาเชื่อในวิชาพุทธาคมของท่าน ครั้งนี้จะขอเล่าถึง หลวงพ่อสมบุญ ปิยธมฺโม วัดลำพันบอง พระเกจิของจังหวัดสุพรรณบุรี

    สำหรับประวัติพระครูสุวรรณธรรมานุยุต หรือ หลวงพ่อสมบุญ ปิยธมฺโม วัดลำพันบอง นั้น ท่านเกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2465 ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ เป็นคนไทย เชื้อสายลาว ภูมิลำเนาอยู่ที่บ้าน หนองอีเงิน ต.ห้วยขมิ้น อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในเขต อ.ด่านช้าง โยมบิดาชื่อ คำ โยมมารดาชื่อ ถิน นามสกุล ชมชื่น อาชีพทำไร่ ทำนา มีพี่น้องทั้งสิ้น 6 คน หลวงพ่อเป็นบุตรคนโต มีน้องชายอีก 2 คน และน้องสาวอีก 3 คน
    ในวัยเด็กได้เรียนหนังสือกับพระที่วัดวังกุ่ม ต.ห้วยขมิ้น เป็นระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 ปี เหตุที่ไม่ได้เรียนหนังสือคือ สืบเนื่องจากท่านมีภาระต้องแบ่งเบา จึงต้องละทิ้งการเรียนเพื่อช่วยครอบครัวประกอบอาชีพในฐานะพี่ชายคนโต

    ปี 2485 เมื่อหลวงพ่อสมบุญมีอายุครบ 20 ปี จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทตามประเพณีที่ วัดป่าสะแก มี พระครูวิสิทธิ์สิทธิการ (อาจารย์เพชร) เป็นพระอุปัชฌาย์ จำพรรษาที่วัดป่าสะแกประมาณ 2 พรรษา จึงย้ายไปจำพรรษาที่วัดต่างๆ ในละแวกนั้นอีก 4 สำนัก คือ วัดดอนมะเกลือ 2 พรรษา วัดวังคัน 3 พรรษา วัดวังกุ่ม 2 พรรษา และวัดดอนเก้าอีก 2 พรรษา จากนั้นจึงกลับมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดอนมะเกลือเมื่อปี 2498 รวมระยะเวลาในการจาริกจำพรรษายังอารามต่างๆ ประมาณ 13 พรรษาเศษ เมื่อเห็นว่าท่านบวชนานจนสมควรแก่เวลา ญาติพี่น้องจึงขอร้องให้ลาสิกขา หลังจากครองตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดอนมะเกลือได้เพียงแค่ 2 ปี

    เนื่องจากโยมบิดาและโยมมารดาเริ่มเข้าวัยชรา ทำให้ท่านผู้ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของตระกูลมีความจำเป็นต้องลาสิกขาออกมาเพื่อดูแลครอบครัว ปี 2499 หลวงพ่อสมบุญ จึงจำต้องลาสิกขาออกมาสู่เพศฆราวาส เมื่อลาสิกขาออกมาโยมมารดาของท่านเกรงว่าลูกชายจะหนีไปบวชอีกครั้ง จึงจัดการให้ท่านแต่งงานกับ นางสาวสุวรรณ สะราคำ ผู้ซึ่งเป็นลูกสาวนายดิน-นางแก้ว สะราคำ ชาวบ้านดอนมะเกลือ ต.ป่าสะแก เมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้วได้ประกอบอาชีพทำไร่ทำนา ช่วยบิดา-มารดาอยู่ไม่นาน จึงย้ายนิวาสสถานมาเปิดกิจการขายของที่บ้านทับละคร เขต อ.ด่านช้าง ครั้นเมื่อย้ายมาอยู่บ้านทับละครได้ประมาณ 6 เดือน นางสุวรรณผู้เป็นภรรยาได้ถึงแก่กรรม เนื่องจากไข้ป่าที่แทรกซ้อนมาจากการคลอดบุตร
    เมื่อภรรยาเสียชีวิตท่านจึงยกลูกสาววัยแบเบาะให้ญาติฝ่ายภรรยาอุปการะ แล้วหันหลังให้โลกวิสัย ตั้งใจบวชจนตายคาผ้าเหลือง ส่วนลูกสาวคนเดียวของท่านเมื่อลืมตาดูโลกอยู่ได้ประมาณ 4 เดือนก็เสียชีวิต ทำให้ท่านหมดสิ้นซึ่งห่วงร้อยรัดตัดสิ้นในทางโลกโดยสิ้นเชิง หลวงพ่อจึงหวนกลับสู่เพศบรรพชิตอีกครั้งหลังจากที่ลาสิกขาออกไปได้เพียงแค่ 1 ปี กับ 3 เดือน

    ต้นปี 2501 เสร็จสิ้นงานฌาปนกิจศพนางสุวรรณผู้เป็นภรรยา หลวงพ่อสมบุญจึงเข้าสู่พัทธสีมาอีกครั้ง มี พระอธิการกัณหา วัดป่าสะแก เป็นพระอุปัชฌาย์ (ภายหลังได้รับสมณศักดิ์ที่ พระครูสุขุมวิหารการ เจ้าคณะตำบลป่าสะแก)
    หลวงปู่สมบุญ เป็นพระเถระที่มีเมตตาธรรมอันสูงยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้ถ่อมตนไม่โอ้อวดคุณวิเศษในตัวเอง ที่เด่นชัดคือประสบการณ์ในวัตถุมงคลของท่าน ล้วนแต่เป็นประจักษ์พยานยืนยันว่าท่านมีดีเกินตัว แต่ท่านชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่อย่างพระธรรมดา เวลาวัตถุมงคลที่ศิษย์นำไปใช้ได้ผลในทางความขลัง เป็นเครื่องรางที่ใช้ป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ มาตั้งแต่โบราณ ทั้งยังเป็นมหาอำนาจ ปกป้องเจ้าของจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ แก้ชง กลับร้ายกลายเป็นดี นับว่ามีคุณอนันต์ วัตถุมงคลของหลวงปู่นับว่าเป็นยอดประสบการณ์ของคนในละแวกนั้น
    ส่วนชานหมากหลวงปู่มีชื่อเสียงเรื่องกันเขี้ยว งา และพิษของสัตว์ร้าย ชาวบ้านแถวนั้นมีอาชีพทำไร่เป็นส่วนมาก มีหลายครั้งที่เผลอเหยียบงูโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "งูมันอ้าปากบ่ขึ้น" นั่นก็คืองูเห่าแผ่แม่เบี้ยและฉกกัดชาวบ้านแต่ฉกในลักษณะที่ปากหุบอยู่นั่นเอง
    ขณะที่เรื่องของด้านแคล้วคลาดคงกระพัน เหตุการณ์นี้มีบันทึกไว้ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลหนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี คือ เมื่อราวเดือนมกราคม 2555 มีวัยรุ่นชาย อายุ 25 ปี ชาว ต.แจงงาม อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี มาโรงพยาบาล โดยรถกู้ภัย และตำรวจจาก สภ. หนองหญ้าไซ เหตุเกิดที่บ้านสามัคคีธรรม ผู้นำส่ง และตำรวจเล่าเหตุการณ์ว่า 30 นาทีก่อนมาโรงพยาบาล ขณะที่ผู้บาดเจ็บเดินเที่ยวงานปิดทองฝังลูกนิมิตวัดสามัคคีธรรม ถูกคู่กรณีใช้ปืนลูกซองยิงบริเวณกลางหน้าอก มีแผลกระจายทั่วหน้าอก หลังจากนั้นผู้บาดเจ็บล้มลง ผู้พบเห็น และตำรวจ สภ.หนองหญ้าไซ จึงนำส่งโรงพยาบาล จากการตรวจร่างกายพบบาดแผลดังนี้ บาดแผลกระสุนปืนเป็นรอยจ้ำถลอก 6 รอยบริเวณใกล้ซอกรักแร้แถบซ้าย และบาดแผลกระสุนปืนเป็นรอยจ้ำถลอก 29 รอย กระจายทั่วบริเวณกลางหน้าอก ในคอพบเพียงเหรียญหลวงพ่อสมบุญเท่านั้นนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์บารมีหลวงปู่สมบุญเท่านั้น จะเห็นได้ว่าอานุภาพวัตถุมงคลของหลวงปู่สมบุญนั้นไม่ธรรมดา มีหลักฐานบันทึกไว้ชัดเจน
    และท่านยังเก่งเรื่องความเมตตา มหาลาภสูงส่งยิ่งนัก พระผู้มีแต่ให้ด้วยความเมตตา ค้าขายดี เมตตามหานิยมดี มีแต่คนรักคนเมตตา หลวงปู่สมบุญ วัดลำพันบอง สุพรรรณบุรี ปัจจุบันอายุ 102 ปี เป็นพระผู้เฒ่าที่เข้มขลังทั้งการปฎิบัติ ทั้งในเรื่องของพุทธคุณครบเครื่อง ถามว่าเก่งขนาดไหน ประสบการณ์มีให้เห็นจนนับไม่ถ้วน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จโรยผงเกศาจีวรหลวงปู่สมบุญวัดลำพันบอง ๒ องค์คู่

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250808_184814.jpg IMG_20250808_184841.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    วันนี้ จัดส่ง
    1754747851838.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    1754753531093.jpg
    หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน "รุ่นวิเศษ 60" จัดสร้างขึ้นในวันครบรอบวันเกิด 60 ปี ของท่านพลเอกวิเศษ คงอุทัยกุล รองสมุหราชองครักษ์ ในปี 2540 ทั้งนี้เนื่องจากตัวท่านมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้เป็นอย่างยิ่ง จึงต้องสร้าง พระเครื่องหลวงพ่อทวด เป็นวัตถุมงคล เพื่อมอบให้ญาติมิตร และผู้ที่เคารพนับถือไว้เป็นที่ระลึก และมอบให้แก่ผู้ร่วม สมทบ " กองทุน พ.ต. วิศาล คงอุทัยกุล " ซึ่งเป็นกองทุนที่บิดาของ พล.อ. วิเศษ คงอุทัยกุล ได้จัดตั้งขึ้นสำหรับเด็ก นักเรียนยากจนโรงเรียน หนองขาหย่างวิทยา อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานีด้วย
    วัตถุมงคลที่รวบรวมมาสร้างพระรุ่นนี้มี 61 รายการเช่น
    1. ผงว่านหลวงพ่อทวดฯ รุ่นกรรมการ ปี พศ 2497 วัดช้างไห้ ปัตตานี
    2. พระหลวงพ่อทวด ฯ รุ่นแรกปี พศ 2497 วัดช้างไห้ ที่แตกหักจำนวนหนึ่ง
    3. พระธาตุสิวลี ถ้ำแจง จ ยะลา
    4. ผงว่านล้วนๆ ของพระอาจารย์ นอง วัดทรายขาว
    5. พระหลวงพ่อทวดฯ รุ่นแรก ของวัดทรายขาว ปี พศ 2514 ที่แตกหัก
    6. ผงว่านวัตถุมงคลจากวัดเมืองยะลา จ ยะลา รุ่นแรกปี 2505
    7. ผงทรายที่สถูปหลวงพ่อทวดฯ วัดช้างไห้
    8. ทรายเสกของพระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้
    9. เนื้อหัวว่านพระอาจารย์แสง วัดตาชี อ ยะหา จ ยะลา
    10. ดินกากยายักษ์ลำพะยา พระอาจารย์นองปลุกเสกหลายครั้ง
    11. ข้างสารดำ วัดลำพะยา จ ยะลา ( 6 ลิตร )
    12. ผงวิเศษหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรี
    13. พระผงของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทราวาส ที่ทำแจกที่ จ ยะลา
    14. ว่านสาวหลง เสน่ห์จันทร์หอม เสน่ห์จันทร์เขียว เสน่ห์จันทร์ขาว ว่านม้า และว่านช้างผสมโขลง
    15. ข้าวสารดำ จาก อ พนัสนิคม ชลบุรีเป็นต้น ยังมีผงเปลือกหอย จำนวน 6 กระสอบปุ๋ยโดยนำมผงต่างๆ ทั้ง 61 ชนิด
    ดังกล่าง มาบดละเอียดผสมกันแล้วใช้น้ำยางรักเป็นตัวประสานกดเป็นพิมพ์หลวงพ่อทวดมีทั้งหมด 5 พิมพ์ด้วยกันด้งนี้
    1. พระพิมพ์กรรมการ มีประกวดทุกงาน
    2. พระพิมพ์ใหญ่
    3. พระพิมพ์จิ๋ว
    4. พระบูชาขนาด 5 นิ้ว
    5. พระบูชาขนาด 1.5 นิ้ว
    พิธีพุทธาภิเษก และพิธีกดพระพิมพ์
    เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2540 เวลา 06.29 น พล.อ. วิเศษ คงอุทัยกุล พร้อมด้วย พ.อ. หญิง คุณหญิง รัชนีกร คงอุทัยกุล
    ได้ไปทำพิธีขออนุญาติ หลวงพ่อทวด ณ สถูปหน้าวัดช้างไห้ จากนั้นได้ทำพิธีกดพระพิมพ์ ที่วัดมุจลินทวาปีวิหาร ( วัดตุยง )
    โดยท่านเจ้าคุณพระสิทธิญานมุณี ( พ่อท่านสุข สมงคโล ) วัดตุยงเป็นประธาน ได้นิมนต์พระคณาจารย์มาร่วมพิธีจำนวน 9 รูป
    1. พ่อท่านทอง พระครูพินิตนรัญญู วัดสำเภาเชย
    2. พ่อท่านแดง พระโสภณธรรมคณ วัดบูรพาราม
    3. พ่อท่านทอง พระครูวิจารณ์สารุกิจ วัดตะเคียนทอง
    4. พ่อท่านเขียว วัดอรัญญิกาวาศ
    5. พ่อท่านเมือง วัดนิกรชนาราม
    6. พ่อท่านหวิล วัดหลักเมือง
    7. พ่อท่านมุข วัดปิยาราม
    8. พ่อท่านพล วัดนาประดู่
    9. พ่อท่านจวน วัดยางแดง
    พระทั้งหมดได้เก็บไว้ในพระอุโบสถ วัดมุจลินทวาปีวิหาร ( วัดตุยง ) จนกระทั้งวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 ได้นำเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก
    ที่วัด พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวังเนื่องในพิธีมหามงคลพุทธาภิเษก และพิธีชัยมงคลาภิเษก พระพุทธรูปบูชา
    และพระเครื่อง พระพุทธนวมมหาราชายุจฉับปริวัตนมงคล และ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 แล้วนำกลับ
    มาาว เป็นปร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดช้างไห้ จ ปัตตานี ร่วมกับหลวงพ่อทวด รุ่น " คชสารหมื่นปี " ( ศิลปาชีพ ) รุ่นแรก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2541
    มีพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ 159 รูป ร่วมพธีปลุกเสกอฐิษฐานวัตถุมงคลโดยท่านพ่อ นอง พระครูธรรมกิจโกศล วัดทรายขระธาน
    จุดเทียนชัย เมื่อเวลา 13.09 และหลวงปู่ทิม วัดพระขาว อยุธยา เป็นผู้ดับเทียนชัยเวลา 17.09 หลังจากนั้นได้นำมาเก็บไว้ในพระอุโบสถ
    วัดมุจลินทวาปีวิหารอีกครั้ง โดยท่านเจ้าคุณพระสิทธฺญานมุณี หลวงพ่อทองสุข ได้อธิษฐานจิตเพิ่มความเป็นศิริมงคลให้จน
    ถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2542 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดย่างปีที่ 60 ของ พล.อ. วิเศษ คงอุทัยกุล ที่ได้จัดสร้างขึ้นด้วยเจตนาบริสุทธิ์ด้วย
    วัตถุมวลสารต่างๆ อันเป็นมงคลยิ่ง ได้ผ่านพิธีปลุกเสกและอธิษฐานจิตด้วยพิธีการอันสมบูรณ์ถึง 3 ครั้งใน 3 พระอารามที่สำคัญ
    จึงนับได้ว่าเป็นวัตถุมงคล ที่ได้จัดสร้างขึ้นที่มีความถูกต้องสมบูรณ์ พร้อมด้วยมวลสารต่างๆ ที่นำมารวมกันเป็นส่วนผสมของเนื้อของ
    องค์พระ และมีรูปแบบที่สวยงามยิ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวควรค่าแก่การบูชาอีกรุ่นหนีง
    นำเข้าพิธีปลุกเสก 3 ครั้ง คือ
    ครั้งแรกที่วัดตุยง ปัตตานี , พระทั้งหมดได้เก็บไว้ในพระอุโบสถ วัดมุจลินทวาปีวิหาร ( วัดตุยง ) จนกระทั้งวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541
    ครั้งที่2 ที่วัดพระแก้ว กรุงเทพ ,ได้นำเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก
    ที่วัด พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวังเนื่องในพิธีมหามงคลพุทธาภิเษก และพิธีชัยมงคลาภิเษก พระพุทธรูปบูชา
    และพระเครื่อง พระพุทธนวมมหาราชายุจฉับปริวัตนมงคล และ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9
    ครั้งที่ 3 ที่วัดช้างไห้ ปัตตานี ,ร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดช้างไห้ จ ปัตตานี ร่วมกับหลวงพ่อทวด รุ่น " คชสารหมื่นปี " ( ศิลปาชีพ ) รุ่นแรก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2541
    มีพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ 159 รูป ร่วมพธีปลุกเสกอฐิษฐานวัตถุมงคลโดยท่านพ่อ นอง พระครูธรรมกิจโกศล วัดทรายประธาน
    พระรุ่นนี้ได้จัดสร้างขึ้นด้วยเจตนาบริสุทธิ์ด้วย วัตถุมวลสารต่างๆ อันเป็นมงคลยิ่ง ได้ผ่านพิธีปลุกเสกและอธิษฐานจิตด้วยพิธีการอันสมบูรณ์ถึง 3 ครั้งใน 3 พระอารามที่สำคัญ
    จึงนับได้ว่าเป็นวัตถุมงคล ที่ได้จัดสร้างขึ้นที่มีความถูกต้องสมบูรณ์ พร้อมด้วยมวลสารต่างๆ ที่นำมารวมกันเป็นส่วนผสมของเนื้อขององค์พระ และมีรูปแบบที่สวยงามยิ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวควรค่าแก่การบูชาอีกรุ่นหนีงที่มี
    เนื้อหาเข้มข้น แก่มวลสารและอิทธิวัสดุหลายชนิด รวมทั้งผงเก่าสมเด็จบางขุนพรหมและวัดระฆังของสมเด็จโตด้วย เรียกว่าราคายังไม่แรงมาก พระสวย พิธีดี และมวลสารเพียบค๊าบบบ
    หลวงพ่อทวดซึ่งเป็นที่เคารพของชาวไทยและชาวต่างประเทศ เปี่ยมด้วยพุทธคุณ บารมีเข้ม ขลัง ควรค่าแก่การสะสม และสักการะบูชาให้ประชาชนชาวไทย มีไว้ประจำตัวคุ้มครองป้องกันภัย เพื่อความเป็นสิริมงคล แกตนเอง และครอบครัวค๊าบบบ^^
    ...เมื่อกล่าวถึงพระยอดนิยมอันดับหนึ่งของทางภาคใต้ เห็นจะได้แก่ พระเครื่องลป.ทวด ซึ่งตามประวัติ ท่านเป็นพระที่มีอายุพรรษาอยู่ในช่วงสมัยอยุธยา ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ที่จะช่วยคุ้มครอง ปัดเป่า ภัยร้ายแก่มนุษย์ และสิ่งมีชีวิต และ แม้ท่านจะถึงแก่มรณะกาลไปแล้วเมื่อประมาณ 400 กว่าปีมาแล้ว แต่สังฆบารมีของท่านหาได้หายไปไม่ แต่กลับช่วยคุ้มครองชีวิต ผู้คนที่บูชาและนับถือเคารพในองค์สมเด็จเจ้าพระโคะอย่างไม่เคยได้ขาดตกประการใดเลย ยิ่งนานวันก็ยิ่งพิสูจน์ได้ว่า ท่านเป็นพระของมหาชน ที่คอยช่วยคุ้มครองชาวไทย หรือแม้แต่ชาวต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ก็ยังให้ความเคารพบูชาท่าน มีเรื่องราวอภินิหารเกี่ยวกับลป.ทวด มากมายที่เกิดแก่ผู้นำพระเครื่องลป.ทวดไปสักการ หรือ ห้อยบูชา
    "นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา"
    ...ขออาราธนา บารมีแห่งองค์พระโพธิสัตว์ลป.ทวด โปรดอภิบาล รักษา คุ้มครอง ช่วยเหลือ ดลใจให้ทุกท่านที่ประพฤติอยู่ในศีลธรรม มีความเคารพในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จงมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตลอดกาลนานเทอญ.....
    การขอบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวด : ด้วยการจุดธูป 16 ดอก บูชาวัตถุมงคลของท่านรุ่นใดก็ได้ หรือ ระลึกถึงท่าน ตั้งจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่และศรัทธา ท่อง " นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา " 16 จบ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250809_222629.jpg IMG_20250809_222655.jpg IMG_20250809_222543.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    FB_IMG_1754852877378.jpg
    ประวัติหลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ
    วัดคลองมอญ (สุวรรณโคตมาราม) อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาณสังวโร เกิดเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2463 ตรงกับทางจันทรคติ วันอังคาร แรม 13 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก จ.ศ. 1282 ยามเด็กนอนสมัยนั้น (ประมาณเวลา 19.20 น.) ลัคนาศรี พฤษภ เสวยฤกษ์ที่ 5 มฤคสิระ ประกอบด้วย เทศาตรี แห่งฤกษ์ นามเดิม นายโพธิ์ จั่นเที่ยง โยมบิดาชื่อ นายวอน จั่นเที่ยง โยมมารดาชื่อ นางทองสุข จั่นเที่ยง มีพี่น้องด้วยกัน 6 คน หลวงพ่อเป็นลูกคนที่ 4 บ้านเกิด ณ บ้านหนองพญา ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อท่านได้เล่าว่า ตอนเด็ก ๆ ไม่สามารถอยู่บ้านได้ พระใบฎีกาบุญยัง เป็นทั้งอาจารย์และหลวงน้าของท่าน ได้นำเอาท่านมาเลี้ยงไว้ที่วัดหนองน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านท่านประมาณ 3 กิโลเมตร ต่อมาหลวงพ่อบุญยังได้พาท่านมาฝากบวชเรียน พระปริยัติธรรมที่วัดอรุณอัมรินทร์ (วัดโบสถ์น้อย) บางกอกน้อยธนบุรี ได้จำพรรษาบวชเรียนเป็นสามเณรโพธิ์ ณ ที่วัดอรุณอัมรินทร์ และต้องเดินไปเรียนนักธรรมและบาลีปเรียญสาม ขณะจำพรรษาอยู่นี้หลวงพ่อบุญยังได้มาเยี่ยมเยียนอยู่ เเสมอและก็ได้ถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้ สามเณรโธิ์ท่านก็จะแปรพระคาถาต่าง ๆ เป็นใจความบ้าง ไม่ได้ใจความบ้าง ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไร หลวงพ่อบุญยังบอกว่า คุณมหาโพธิ์อย่าไปแปล วิชาก็คือวิชาแปลภาษาบาลีก็แปลไป วิชาอาคมต่าง ๆ ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดกันมามิได้ให้แปลไม่สมควรแปล เพราะเป็นหลักของวิชาในการใชคาถาอาคม ด้วยจิตเป็นเครื่องกำหนด ดังนั้นสามเณรโพธิ์จึงไม่คิดแปลคาถาอีกต่อไป เมื่อได้เข้าใจในหลักวิชาที่หลวงพ่อบุญยังได้ถ่ายทอด ให้
    เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณื สามเณรมหาโพธิ์ ก็ได้บวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดอรุณอัมรินทร์ บางกอกน้อย ธนบุรี โดยโยมบิดาและมารดาได้เดินทางจาก อ.วัดสิงห์ มายังกรุงเทพฯ เพื่ออุปสมบทสามเณรมหาโพธิ์ด้วความปลื้อมปิติยินดียิ ่งนัก ต่อมาอีก 1 ปี ท่านได้กลับสมาอยู่ที่ วัดหนองน้อย จ.ชัยนาท และขอลาสิกขาบทกับหลวงพ่อบุญยัง แต่หลวงพ่อบุญยังไม่สึกให้ ท่านให้ไปสึกกับหลวงพ่อปลื้ม(น้องชายหลวงปู่ศุข) ณ วัดปลากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อปลื้มก็สึกพระให้ตามความประสงค์
    ชีวิตทหาร
    หลังจากที่หลวงพ่อมหาโพธิ์ได้ลาสิกขาบทจากพระภิกษุใน ปี พ.ศ. 2484 อายุท่านครบ 21 ปีบริบูรณ์ ตามหน้าที่ของชายไทยทุกคนต้องรับใช้ชาติเพื่อคัดเลือ กเกณฑ์ทหารเป็นเวลา 2 ปี ท่านได้กราบลาหลวงพ่อบุญยัง ซี่งหลวงพ่อบุญยังได้อวยพรให้ท่าน ท่านมหาโพธิ์ไปคราวนี้จะได้อยู่อย่างสบายๆ พร้อมกับได้มอบผ้ายันต์ขาวแดงลงด้วยยันต์นะหน้าทอง 1 ผืน และยัต์ปีโยเล็ก 1 ผืน ให้พกติดตัวไป ผ้ายันต์ 2 ผืนนี้ดีทางเมตตามหานิยมเป็นที่รัดใคร่ของผู้ใหญ่ดุจ ลูกในอุทร วันแรกที่ไปฝึกทหารใหม่สะบักต้นขาของท่านได้หลุดออกเ หมือนคนขาหัก ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากการฝึกทหารใหม่ 3 เดือนเสร็จสิ้นแล้วทุกคนจะต้องเข้าประจำกองต่างๆ หลวงพ่อท่านเล่าว่า ท่านแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่คนคอยห่วงใยในความเป็นอยู่ กินนอนก็อยู่อย่างสบายเหมือนยังกับเจ้านาย มีคนคอยดูแล จนผู้คยในกรมทหาร จ.ลพบุรี เรียกท่านว่า หลวงตา ดังคำอวยพรของหลวงพ่อบุญยังให้ไว้ว่า จะได้ไปอยู่อย่างสบายๆ
    กลับมาอยู่กับท่านอาจารย์
    หลังจากที่รับใช้ชาติครบ 2 ปี ก็ปลดประจำการมาอยู่กับหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย อยู่ปรนนิบัติและศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อบุญยัง พอมีญาติโยมเจ็บป่วยมาหาหลวงพ่อบุญยัง หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านจะช่วยเก็บยาสมุนไพรให้กับอาจารย ์ ท่านปรุงเป็นยารักษาญาติโยมอยู่บ่อยๆ ยามว่างอาจารย์ของท่านจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับวิชาต่าง ๆ ให้ฟัง เพื่อที่จะให้หลวงพ่อมหาโพธิ์สนใจอย่างไม่รู้ตัว อาทิเช่น วิชาเกี่ยวกับการฝึกธาตุทั้ง 4 ขึ้นมา อาจารย์ของท่านให้เอาโหลแก้วบรรจุน้ำเต็มตั้งไว้และใ ห้เอาขี้ผึ้งมามาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ขนาดลูกพอประมาณ ใส่ลงในโหลแก้ว ขึ้ผึ้งจะลอยอยู่บนน้ำ และอาจารย์ท่านได้แสดงให้ดูก่อน โดยบังคับขี้ผึ้งให้ลอยและจมตามจิตบังคับ แล้วหลวงพ่อบุญยังก็พูดว่า ต้องใช้ความเพียรมากๆ ตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อมหาโพธิ์ก็ฝึกวิชาธาตุทั้ง 4 ด้วยความขยันหมั่นเพียรจนสามารถทำได้เหมือนกับอาจารย ์ของท่านเป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ยิ่งนัก
    สมัยที่หลวงพ่อบุญยังไปเรียนวิชากับหลวงปู่ศุข ที่วัดปากของมะขามเฒ่านั้น
    หลวงปู่ศุขได้ทดสอลความอดทนของท่านต่างๆ นานา ถ้าคนไม่มีความเพียรพยายามก็ต้องท้อเลิกไป แต่หลวงพ่อยุญยังท่านอดทนเพียรพยายามมาก แม้แต่กลางคืนหลวงปู่ศุขให้ไปฝึกวิชาที่โบสถ์ พอเดินออกไปก่อนจะถึงโบสถ์ฝนก็ตกน้ำท่วมถึงเอวต้องลุ ยน้ำไป จนเดินเลยโบสถ์กลับไปกลับมาตั้งหลายเที่ยวกว่าจะขึ้น โบสถ์ได้ วิชาต่างๆ ที่เรียนไปต้องฝึกให้สำเร็จและต้องแสดงต่อหน้าหลวงปู ่ศุขว่าทำได้แล้ว จึงจะขอเรียนวิชาอื่นๆ ต่อไปได้ เป็นระยะเวลาหลายปีทีเดียวที่หลวงปู่ศุขได้ถ่ยทอดวิช าต่างๆ ด้านพุทธคุณให้แก่หลวงพ่อบุญยัง และมอบคัมภีร์ไสยศาสตร์ทางพุทธคุณให้รักษาไว้สืบพระศ าสนาต่อไป จนตกมาถึงหลวงพ่อมหาโพธิ์ได้รับมอบคัมภีร์พุทธคุณจาก อาจารย์ของท่าน เป็นคัมภีร์ด้านพุทธคุณ ที่ประกอบด้วยอักขระ เลข ยันต์ต่างๆ ทั้งสูตรวิชาลบผงพุทธคุณในวิชา ปถมัง, อิทธิเจ, มหาราช, อิธิเจภาคพิศดาร หลวงพ่อมหาโพธิ์ได้ฝึกตามคัมภีร์จนเจนจบทุกวิชา การลบผงมหาราชจะต้องขึ้นต้นด้วยการตั้งชื่อนามให้ได้ 5 ชื่อ แล้วลบมาบังเกิดเป็น นะโมพุทธายะ จากนั้นก็ลบต่อไปเรื่อยๆ มาเป็นองค์พระ 5 องค์ มาเป็น มะอะอุ แล้วมาบังเกิดเป็นนะต่างๆ เป็นยันต์ต่างๆ จนถึงยันต์ครูองค์พระ และสิ้นสุดด้วยมหาสูญ, นิพพานสูญ, ทุกวิชาปถมัง, อิทธิเจ, มหาราช จะมีหลักเกณฑ์ต่างๆแนวเดียวกัน ทุกสูตรจะต้องมีตัวตั้งก่อเกิดขึ้นและนมัสการสูตรยัน ต์ต่างๆ ทุกขั้นตอนกว่าจะเสร็จสิ้น 1 กระดานการลบผงต้องใช้เวลาทั้งวัน ผงพุทธคุณต่างๆ จะเก็บไว้เพื่อนำผงมาผสมทำพระเครื่องต่างๆ หรือจะนำมาผสมแป้งเจิม
    ฝึกวิชา
    พระอาจารย์บุญยังได้พยายามถ่ายทอดวิชาต่างๆ ด้านพุทธคุณให้ ตอนแรก ๆ หลวงพ่อไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่กับท่านนาน ๆ ไปหลวงพ่อเริ่มมีความสนใจขึ้น เห็นพระอาจารย์ท่านทำอะไร ๆ แปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ เช่น ทำควายธนูด้วยตอกสาน โดยสานมือเดียวแล้ววางไว้ ควายธนูก็มีการขยับเขยื้อนได้ เสกน้ำมันจนเดือดเหมือนน้ำร้อน ฟองเดือดขึ้นมา แต่เมื่อไปสัมผัสด้วยมือกลับไม่ร้อน ทำให้ท่านอยากจะเรียน พระอาจารย์ของหลวงพ่อก็ถ่ายทอดให้ทั้งคาถาปลุกเสก และวิธีฝึก
    วิชาเกราะเพชร
    วิชาหนึ่งที่ท่านชอบและฝึกมาตั้งแต่ต้น คือ ยันต์เกราะเพชรหรือตาข่ายเพชร โดยหลวงพ่อบุญยังได้เล่าให้ท่านฟังว่าสมัยหลวงปู่ศุข ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลองวิชาเกราะเพชรกับพระะรูปหนึ่ง ที่แก่กล้าวิชาที่เดินทางผ่านวัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยบอกหลวงปู่สุขว่าจะขี่ม้าพยนต์เข้ามาในโบสถ์ให้ดู หลวงปู่ศุขท่านได้เอาผ้ายันต์เกราะเพชรขึงไว้หน้าประ ตู ปรากฎว่าม้าพยนต์ไม่สามารถผ่านยันต์เกราะเพชรหรือตาข ่ายเพชรไปได้ พระรูปนั้นเมื่อแพ้วิชาของหลวงปู่ศุข ก็ได้เดินทางกลับไปจากวัดปากคลองมะขามเฒ่าเมื่อหลวงพ ่อมหาโพธิ์ได้ฟังจากหลวงพ่อบุญยังเล่าท่านจึงสนใจและ เล่าเรียนวิชาเกราะเพชรลงตระกรุด และผ้ายันต์เกราะเพชรมาตลอดอายุของท่าน
    การลงยันต์เกราะเพชร ต้องท่องสูตรคาภาพระอิติปิโสรัตนมาลา ๕๖ บาท ให้ได้จนขึ้นใจทั้งเดินหน้า และถอยหลังได้รวมทั้งบทปลีกย่อยอื่น ๆ อีกมากมาย ในการลงยันต์เกราะเพชร ท่านบอกว่ายันต์เกราะเพชร เป็นยันต์ที่ค่อนข้างยากผู้เรียกจะต้องมีความขยันหมั ่นเพียร กับความอดทน และการประสิทธิ์ประสาทจากครูบาอาจารย์ น้อยคนนักที่จะลงยันต์เกราะเพชรได้ บางคนมาขอเรียนเห็นพระคาถา ๕๖ บาท ก็ท้อแล้วไม่อยากจะท่องจำ ความเพียรพยายามไม่มี การลงยันต์ก็ต้องหายใจลงตามสูตรพระคาถา ๕๖ บาท ผู้ที่ฝึกฝนใหม่ ๆ ต้องใช้เวลาเรียนเกือบทั้งวันกว่าจะลงยันต์เสร็จ อย่างตัวของหลวงพ่อเองใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่งโมง ถือว่าลงได้เร็วมากแล้วเพราะท่านฝึกมา ตั้งแต่อายุยังรุ่นอยู่
    ในสมัยก่อนยามว่าง ท่านมักลงตระกรุดเกราะเพชรและทำผงพุทธคุณเกราะเพชรทั ้งชนิดป้องกันตัว และถอนคุณถอนของคนที่ถูกผีเข้า ท่านจะเอาตะกรุดเกราะเพชรที่เป็นแผ่นแบบยังไม่ได้ม้ว นเป็นตะกรุด ตบหัวคนถูกผีเข้า ผีจะทรุดลง และออกจากตัวคนไข้ไปทันที ตะกรุดส่วนใหญ่ท่านจะใช้แผ่นทองแดงมาลงยันต์เกราะเพช ร ยกเว้นแผ่นถอนของท่านจะใช้แผ่นตะกั่ว ส่วนตะกรุดเนื้อเงินท่านจะลงให้เฉพาะกับศิษย์ใกล้ชิด เท่านั้น เกี่ยวกับประสบการณ์ในตะกรุดเกราะเพชร มี ส.ส.ท่านหนึ่งใน จ.ชันนาท ที่เคารพนับถือหลวงพ่อมากได้ขอตะกรุดท่านไปใช้พกติดต ัว ขณะหาเสียงถูกผู้ที่ปองร้ายใช้ระเบิดปาใส่ ปรากฏว่า ส.ส.ท่านนั้นไม่เป็นอะไรเลย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250811_020234.jpg IMG_20250811_020301.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    _paragraph_617.jpg

    รุุกขมูลเมืองเหนือพบพระคาถาไก่เถื่อน
    ในปีต่อมา เมื่ออกพรรษาแล้ว ท่านก็ได้ไปธุดงค์อีกเช่นเคย ครั้งนี้ท่านต้องการไปทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ หัวเมืองฝ่ายเหนือนั้นบางคราวก็อยู่ในอำนาจของพม่า บางคราวก็อยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยา ฉะนั้นบ้าน วัดในหัวเมืองเหนือจึงเต็มไปด้วยบ้านร้าง วัดร้าง เมืองเป็นป่า ป่าเป็นเมืองวัดเป็นป่า ป่าเป็นวัด พระที่ธุดงค์ไปทาเหนือ จะต้องมีวิชาแก่กล้าถึงจะไปไกลๆได้โดยไม่มีอันตราย
    แต่ในครั้งนั้นหัวเมือง ผ่ายเหนือตกอยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระอาจารย์สุกไป ครั้งนั้นไปปักกลดตามป่าบ้าง วัดร้างบ้าง วันหนึ่งท่านเดินมาที่วัดร้างในป่าแห่งหนึ่ง ณ เมืองลำพูน เมื่อมาถึงท่านก็ได้เดินสำรวจที่สำหรับปักกลดมาถึงที่แห่งหนึ่ง พบแผ่นหินแผ่นหนึ่งท่านจึงปักกลดที่ข้างแผ่นหินนั้น พอตกเวลากลางคืนเงียบสงัดท่านก็เข้าที่ภาวนา
    เมื่อท่านภาวนาอยู่นั้น ท่านก็ได้เห็นนิมิตเป็นอักษรขอมโบราณ พอรุ่งเช้าท่านก็ออกบิณฑบาตกลับมาฉันเรียบร้อยแล้วท่านจึงรวบมุ้งกลด จึงใช้สมาธิมองไปที่แผ่นหินนั้น ท่านก็เห็นอักษรอยู่ใต้หินแผ่นหิน ท่านจึงหงายแผ่นหินขึ้นพบอักษรภาษาขอมเป็นคาถา 16 ตัว
    ท่านจึงท่องจำพระคาถานั้นให้ขึ้นใจแล้วท่านจึงพัก ณ ที่นั้นอีกหนึ่งคืน กลางดึกคืนนั้นท่านก็นั่งเข้าที่ภาวนาพระคาถานั้น จึงทราบว่า คาถานี้ คือ คาถา "ไก่เถื่อน" รุ่งเช้าอีกวันฉันอาหารบิณฑบาตแล้ว ก็นั่งภาวนาอีก สักครู่ก็มีไก่ป่า จำนวนมากมารุมล้อมท่าน ท่านจึงรู้ว่าคาถานี่ดีทางด้านเมตตา และสามารถเรียกได้ต่างๆ พระคาถามีความดังนี้
    เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว
    ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา
    สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา
    กุตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ
    หลวงปู่สุกท่านถอนกลดเดินทางในป่านั้น เดินไปเรื่อยๆ จนใกล้ค่ำ จึงปักกลด ตกกลางคืนก็เข้าที่ภาวนา พอเช้าฉันบิณฑบาตแล้ว ตอนสายแก่ๆ ท่านก็ภาวนา พระคาถาไก่เถื่อนอีก คราวนี้มีไก่ป่ามามากมายหลายสายพันธุ์มารุมล้อมท่าน บางตัวก็ขึ้นไปยืนบนเข้าท่านทั้งสองข้าง ท่านจึงทราบว่า เป็นคาถาที่ทำให้ไก่ป่าเชื่องได้ ปละเป็นคาถาที่ใช้สร้างสมในทางเมตตาบารมี
    ต่อมาเมื่อท่านไปปักกลดที่ไหนเพียงนึกถึงไก่ป่าเท่านั้น ยังมิได้ภาวนาพระคาถาไก่เถื่อน ก็มีไก่ป่ามารุมล้อมตัวท่านแล้ว นับได้ว่าท่านได้สำเร็จเมตตาบารมีไปอีกขั้นหนึ่ง แล้ว ไก่ป่านี้เป็นสัตว์ที่เชื่องคนยากมาก เมื่อเห็นคนหรือได้กลิ่นมนุษย์ ก็จะบินหนีหลบซ่อนทันที โดยที่คนไม่ทันได้เห็นตัวมัน
    พระคาถาพระยาไก่เถื่อน
    เป็นคาถานำพระคาถาทั้งปวง ใช้ในทางสำเร็จประโยชน์ แต่ผู้ใช้พระคาถานี้ต้องเป็นผู้มีสมาธิจิตเป็นเอกัคตาจิตขั้นสูง ถึงเมตตาเจโตวิมุตติ จึงจะใช้พระคาถานี้ได้ เพราะเป็นคาถามหาเมตตา เพื่อปลดปล่อยสัตว์และปลดปล่อยจิตของตัวเอง
    พระคาถาพระยาไก่เถื่อนนี้ ผู้ใดภาวนาได้สามเดือนทุกๆ วันโดยไม่ขาด ผู้นั้นจะมีปัญญาดั่งพระพุทธโฆษาฯ และไก่ป่านี้ขันขานไพเราะนัก ด้วยอำนาจแห่งพระคาถาพระยาไก่เถื่อน ให้สวดสามจบ จะไปเทศน์ ไปสวด ไปร้อง หรือไปเจรจาสิ่งใดๆ ดีนัก มีตบะเดชะนัก ถ้าแม้นสวดได้เจ็ดเดือน อาจสามารถรู้ใจคน เหมือนดังไก่ป่ารู้กลิ่นตัวคนฉะนั้น ถ้าสวดครบหนึ่งปีจะมีตบะเดชะเหนือกว่าคนทั้งหลายทั้งปวง
    แม้จะเดินทางไกล ให้สวดแปดจบเหมือนไก่ขันยาม เป็นสวัสดีกว่าคนทั้งหลาย ใช้เสกหิน เสกแร่ ไว้สี่มุมเรือน โจรผู้ร้ายไม่เข้าปล้นเหมือนไก่ป่าไม่ทิ้งรัง แม้ผีร้ายเข้ามาในเขตบ้าน ก็คร้ามกลัวยิ่งนัก เสกข้าวสารปรายหนทางก็ดี ประตูก็ดี ผีกลัวยิ่งนัก คนเดินไปถูกเข้าก็ล้มแล แพ้แก่อำนาจเรา
    พระคาถานี้ได้เมื่อพระกกุสันโธเสวยพระชาติเป็นไก่ป่า เป็นอาการสามสิบสองของพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคตโม พระศรีอริยเมตไตย พระคาถาบทนี้ ถ้าจำเริญภาวนา จะมีอานุภาพมาก ผู้ใดภาวนาเป็นนิจสิน จะเกิดลาภยศมิรู้ขาด ทำมาค้าขึ้น ทำนา ทำสวน ทำไร่ เจริญงอกงามดี ทั้งทำให้บังเกิดสติปัญญาด้วย ถ้าเดินทางไปทางบกหรือเข้าป่า สวดภาวนาให้คลาดแคล้วจากภัยอันตรายดีนักแล ในบั้นปลายก็จะบรรลุพระนิพพานด้วยเมตตาบารมีนี้เอง
    เริ่มต้นภาวนาให้ว่า นะโม ๓ จบ แล้วว่า
    พุทธัง ชีวิตตัง ยาวะนิพพานัง สะระณังคัจฉามิฯ
    (แล้วสวดบทพระพุทธคุณ ๑ จบ)
    อิติปิโสภะคะวา อะระหังสัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ
    แล้วจึงว่าตัวพระคาถา ๓ จบ, ๗ จบ, ๙ จบ ก็ได้ ดังนี้
    เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว
    ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา
    สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา
    กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ
    เหรียญสมเด็จสังฆราช สุก ไก่เถื่อน วัดราชสิทธิธาราม(วัดพลับ) ปี2516 พิธีใหญ่ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายๆรูป ฯลฯ ร่วมปลุกเสกเมื่อวันที่15มีนาคม2516 ในพิธีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดราชสิทธาราม หรือวัดพลับ บางกอกใหญ่ กทม. เพื่อประกอบพิธีเททองหล่อพระประธาน ประดิษฐานไว้ในพระวิหาร วัดพลับ แห่งนี้ ในโอกาสนี้นั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 ได้พระราชทานพระประธานองค์นั้นว่า "พระพุทธสิทธิมงคล" นับเป็นมงคลยิ่งแก่ วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) อันเป็นวัดที่รัชกาลที่๑ ได้สร้างถวายสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน พร้อมกันนั้ทางวัดได้จัดพิธีมหาพุทธาภิเษก อย่างยิ่งใหญ่ตามแบบฉบับโบราณกาล ที่วัดแห่งนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ศิริมงคลแก่พุทธศานสนิกชน วัตถุมงคลที่จัดสร้างและนำเข้าพิธีมหาพุทธาภิเษก ประกอบด้ว เหรียญรูปเหมือนสมเด็จพระสังฆราช สุกไก่เถื่อน รูปเหมือนหล่อโบราณ พระสมเด็จเนื้อผง และพระบูชา เพื่อนำรายได้จากการนี้ไปเป็นค่าก่อสร้างและบูรณะถาวรวัตถุ รวมทั้งเสนาสนะต่างภายในวัดราชสิทธิ สืบต่อไปภายหน้า
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250811_014757.jpg IMG_20250811_014828.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    Joined:
    Feb 28, 2008
    Messages:
    13,508
    Ratings:
    +21,422
    _paragraph_617.jpg FB_IMG_1754850826260.jpg


    ผ้ายันต์พระสังฆราชสุกไก่เถื่อน หลวงปู่หลอด ปโมทิโต วัดใหม่เสนานิคม อธิฐานจิตปลุกเสก ขนาดประมาณ ๑๒×๘ นิ้ว
    หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ ยกย่อง พระเครื่องหลวงปู่หลอด
    หลวงปู่คำพันธ์ท่านจับพลังพระหลวงปู่หลอดและกล่าวว่า เราไม่รู้หรอกว่าดีอย่างไง สว่างครอบไปหมด คุณธรรมเรายังไม่เท่าท่าน มีพระดีพระเก่งอยู่แถวลาดพร้าว ลูกศิษย์ก็มาเจอหลวงปู่หลอด พระเก่งพระดีที่หลวงปู่คำพันธ์บอกให้มา
    เมื่อพระดีเมืองสิงห์ยกย่องคุณธรรมหลวงปู่หลอด ปโมทิโต
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านเป็นพระอรหันต์ที่ทั้งสายธรรมยุติและมหานิกายต่างยกย่องท่าน มีปรจิตวิชาไว ท่านเจ้าคุณนรหรืออุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม ได้รับการสอนกรรมฐานจากท่านทั้งสิ้น ท่านเป้นพระผู้รัตนกัตญญูท่านจะเทศน์ธรรมะเป็นเรื่องวิมุตติทั้งสิ้นเช่น ธรรมะคือหนังแผ่นเดี่ยว กายเดี่ยวจิตเดี่ยวเป็นต้น มีลูกศิษยืหลวงปู่บุดดาท่านหนึ่งไปถามองค์ท่านว่า หลวงปู่ พระอรหันต์ยังมีอยู่ในโลกหรือไม่ หลวงปู่บุดดาตอบกลับมาว่า ท่านพระอาจารย์หลอด ที่กรุงเทพก็ใช่ ทำให้บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่บุดดาจะมากราบหลวงปู่เสมอ เวลาหลวงปู่บุดดาเจอหลวงปู่ท่านจะกราบหรือไหว้หลวงปู่เสมอ ท่านไม่สนใจเลยว่า พรรษาท่านมากกว่า หลวงปู่ท่านก็จะกราบหลวงปู่บุดดากลับเสมอหรือกราบก่อน หลวงปู่หลอดท่านจะยกย่องหลวงปู่บุดดาตลอดทั้งในเรื่องธรรมะก็ดีเรื่องภูมิ จิตภูมิธรรม หลวงปู่หลอดจะกล่าวเสมอว่า หลวงปู่บุดดาท่านเป็นพระอรหันต์
    สื่อด้วยใจ ไม่ได้สื่อด้วยเสียง เคารพด้วยใจ เคารพในธรรม
    หลวง พ่อใหญ่กับหลวงปู่หลอด ปโมทิโต แม้ฐานขันธ์หลวงพ่อใหญ่จะไม่เอื้ออำนวนแต่ท่านก็พยายามที่จะกราบ แต่กราบไม่ได้ เพราะเป็นอัมพาต จึงนำมือทั้งสองข้างมากลุ้มมือไว้ เพื่อแสดงความเคารพ ผมน้ำตาจะไหล ครับ ตอนแรกหลวงพ่อใหญ่ไปหางาช้าง แต่อยู่ดีๆๆหลวงพ่อใหญ่กล่าวว่า จะมากราบหลวงปู่หลอด นับเป็นดำริความตั้งใจของท่าน ตอนนั้น ท่านไม่ได้กล่าวอะไรกับหลวงปู่หลอดเลย หลวงปู่หลอด ก็ไม่ได้กล่าวอะไร หลังจากที่หลวงพ่อใหญ่กลับ ศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่หลอดถามว่า คุยอะไรกันบ้าง หลวงปู่หลอดท่านบอกว่า คุยกันเยอะอยู่ ผมก็งงว่าเอท่านคุยกันยังไงหว่า ผมเลยไปถามหลวงพ่อใหญ่ หลวงพ่อใหญ่เมตตาให้คำตอบที่ผมต้องการที่สุดคือ เราคุยกับอะไรกันไม่มีใครรู้หรอก นี่แสดงถึงภูมิจิตภุมิธรรมของท่าน ไม่ต้องสื่อด้วยเสียง สื่อด้วยใจ สมแล้วที่หลวงพ่อใหญ่ประกาศต่อหน้าหมู่สงฆ์ว่า ท่านพระอาจารย์หลอดเป็นพระอรหันต์ นับเป็นความประทับใจของพร อย่างไม่รู้ลืม แม้ท่านทั้งสองจะจากไป เข้าสู่พระนิพพาน แต่ผมเชื่อว่าท่านก็ยังอยู่ เพราะธรรมท่านทั้งสองอยู่ในใจผมตลอดไป
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20250811_012818.jpg
     
    Last edited: Aug 11, 2025 at 1:38 PM

Share This Page

Loading...