เหรียญลป.นิลวัดครบุรีสมเด็จลพ.แดงวัดทุ่งคอกสมเด็จเจ้าคุณนร วัดศีลขันธ์ลพ.มหาโพธิ์คลองมอญ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,509
    ค่าพลัง:
    +21,422
    FB_IMG_1754852332171.jpg

    โกศล.... ลุงไม่เกิดอีกแล้วนะ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย..!!!!”
    นี่ก็หมายความอย่างชัดแจ้งที่สุดว่า พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)ท่านรู้ชัดด้วยญาณปัญญาของท่านเป็นที่แน่นอนแล้วว่า บัดนี้ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารแห่งท่าน ได้มาถึงยังจุดอันเป็นที่สุดแล้ว การเกิดครั้งใหม่ต่อไปมิได้มีอีกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่านแล้ว
    พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ สร้างขึ้นโดยท่านเจ้าคุณพระศีลขันธ์โสภณ (สนิท ทองสีนวล) เจ้าอาวาสวัดศีลขันธาราม อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง
    โดยท่านเจ้าคุณสนิท เกิดและอุปสมบทที่จังหวัดชลบุรี หลังจากนั้นท่านได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพ โดยมีท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ธัมมวิตกโก เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้น ท่านเจ้าคุณสนิทมีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นอย่างมาก และท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์เป็นเวลาทั้งสิ้น 11 พรรษา
    จากนั้นท่านเจ้าคุณนรฯ ได้ให้ท่านไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศีลขันธ์ ซึ่งขณะนั้นวัดศีลขันธ์ ชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ละท่านเจ้าคุณสนิท จึงต้องเร่งหาทุนทรัพย์เพื่อมาทำนุบำรุงเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัด รวมทั้งก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ เพิ่มเติม และก็มีผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทำบุญจนสำเร็จลุล่วง ท่านเจ้าคุณสนิท จึงสร้างวัตถุมงคลขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่ร่วมทำบุญ รวมทั้งพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยมิได้คิดมูลค่าใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ท่านเจ้าคุณสนิท ยังได้มอบวัตถุมงคลชุดนี้แก่วัดต่าง ๆ ที่ขาดแคลนต้องการทุนทรัพย์ในการบูรณะหรือก่อสร้างศาสนสถานต่าง ๆ ภายในวัดเพื่อเป็นการพัฒนาวัดอีกด้วย
    วัตถุมงคลชุดนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2513 ประกอบด้วย พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ เป็นหลัก และยังมีพระเนื้อผง และโลหะอีกมากมายนับสิบพิมพ์ โดยวัตถุมงคลชุดนี้ เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ ได้อธิษฐานจิตให้เมื่อปลายปี พ.ศ.2513 ซึ่งเป็นวัตถุมงคลชุดสุดท้ายที่ท่านอธิษฐานจิตก่อนที่จะมรณภาพ
    วัตถุมงคลชุดนี้ มีหลายสิบพิมพ์ เช่น
    พระสมเด็จดำ พระสมเด็จขาว หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จสายรุ้ง หลังเสือ หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จนาคปรก 7 เศียร หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จปรกโพธิ์ หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระผงรูปเหมือน ธัมมวิตกโก หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    เหรียญ ธัมมวิตกโก เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง หลังยันต์น้ำเต้า
    ฯลฯ
    พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ ที่สร้างในปี พ.ศ.2513 นี้ถือเป็น พระสมเด็จรุ่นแรก ของวัดศีลขันธ์ และทันท่านเจ้าคุณนรฯ อธิษฐานจิต ซึ่งทางวัดศีลขันธ์ ได้มีพระสมเด็จรุ่นสอง รุ่นสามออกตามมาด้วย ในปี พ.ศ.2514 และ พ.ศ.2517 โดยที่สร้างขึ้นหลังกาลมรณะของท่านเจ้าคุณนรฯ แต่ใช้มวลสารที่ท่านเจ้าคุณนรฯได้อธิษฐานจิตไว้ให้เมื่อครั้งสร้าง พระสมเด็จสายรุ้ง รุ่นแรก ปี 2513
    หลักการพิจารณา พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ รุ่นแรก จะสังเกตเบื้องต้นได้ง่าย ๆ จากความสวยงามขององค์พระ โดยพระรุ่นแรก พิมพ์ทรงจะไม่สวยงาม เมื่อเทียบกับ รุ่นสอง รุ่นสาม ซึ่งมีพิมพ์ที่สวยงามเป็นมาตรฐาน รวมทั้งสีของลายสายรุ้ง พระสมเด็นสายรุ้ง รุ่นแรกก็จะไม่มีสีและลายไม่ค่อยจะสวยงามมากนัก สีจะซีดกว่า ไม่ชัดมากนัก
    พระสมเด็จสายรุ้ง รุ่นแรก พระจะบางกว่า ไม่หนาเหมือนพระรุ่นสอง และ รุ่นสาม นอกจากนี้ พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ รุ่นแรก จะไม่มีการอุดผงใด ๆ ที่ขอบบนและล่างขององค์พระจะไม่มีรอยอุดผง
    และจุดสังเกตที่สำคัญคือยันต์หลังองค์พระ พระสมเด็จสายรุ้ง รุ่นแรก จะต้องเป็นยันต์นูนเท่านั้น ส่วน รุ่นสอง และรุ่นสาม จะเป็นแบบยันต์จม
    เรื่องของอภินิหาร ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์ฯ ที่ประสบกับ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล
    เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2520 ผู้เขียนได้รับบทความมา ชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก นับนานถึงวันนี้เป็นเวลาล่วงมา 43 ปีเข้าไปแล้ว ท่านผู้เขียนท่านนี้ก็ได้ล่วงลับไปแล้ว ครั้งนั้นท่านเมตตาผู้เขียนมาก บทความชิ้นนั้นท่านนิพนธ์ขึ้นเพื่อช่วยผู้เขียนในการจัดทำหนังสือชื่อ พุทธเวทย์ โดยให้ลงเผยแพร่ ก็ได้รับความสนใจจากผู้อ่านมาก หากจะนำมาเสนออีก ท่านผู้อ่านจำนวนมากคงไม่ได้เคยอ่านมาก่อนแน่นอน
    เรื่องนี้ชื่อว่า เรื่องของอภินิหาร นิพนธ์โดย พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเสนอ โดยรวบรัดเนื้อหาให้พอดีกับหน้าหนังสือ ลานโพธิ์ แต่ลีลาสำนวนการเขียนคงอรรถรสเดิมๆ ทั้งสิ้น มีเนื้อความดังต่อไปนี้
    ข้าพเจ้า (พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล) ได้เคยกล่าวไว้ว่า ความเห็นของข้าพเจ้า เรื่องอภินิหาร นั้นเกิดจากพลังจิตของหลายฝ่าย อาทิเช่น พลังจิตของพระพุทธเจ้า พลังจิตของอาจารย์ และพลังจิตของบุคคลมารวมกันเข้าเป็นพลังรวม และพลังจิตทั้งสิ้นนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีหลายวิธีการและหลายลัทธิ แม้แต่พลังของจิตที่เป็นธรรมชาติที่คนบางคนมี แต่ถ้าเป็นกำลังจิตที่แท้จริงแล้วก็ย่อมมีพลังทั้งสิ้น
    แต่ก็อีกนั่นแหละ ดังเช่นที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้แล้วในตอนต้น ของบทเขียนนี้ว่า ถึงแม้จะยังไม่มีข้อที่จะพิสูจน์ให้แน่แท้ว่ามีพลังอย่างไร แม้แต่ว่ามีจริงหรือเปล่าก็ยังยืนยันได้ยาก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีปราชญ์ หรือมีนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดจะพึงกล้ายืนยันว่า พลังจิตนั้นไม่มีจริง และจะเกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด
    ข้าพเจ้าจึงจะขอนำเรื่องที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง เมื่อไม่กี่ปีมานี้มาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ จะพิสูจน์ จะวิจัยกันได้หลายทาง สุดแล้วแต่ท่านผู้อ่านจะนึกคิดวิจัยกันเอง
    เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ข้าพเจ้าไปเป็นผู้แทนพระองค์ ในงานฉลอง 2500 ของวันที่พระเจ้าไซรุสมหาราช ทรงรวมจักรวรรดิเปอร์เซีย (อิหร่าน) ขึ้น งานเฉลิมฉลองนี้ พระเจ้าซาร์อิหร่านองค์ปัจจุบัน ทรงจัดให้มีการฉลองเฉลิมขึ้นที่เมืองเพอเซพโพลิส (เมืองโบราณ) ซึ่งเป็นการฉลองที่มโหฬาร ที่ทั้งองค์ประมุขและประมุขประเทศแทบทุกประเทศในโลก ได้รับเชิญ และจะไปประชุมกันในโอกาสนั้น
    ก่อนกำหนดวันเดินทางของข้าพเจ้าหนึ่งวัน ซึ่งมีกำหนดจะต้องออกเดินทางเวลาเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเกิดป่วยเป็นไข้หวัดอย่างแรง ไข้สูงมาก จนมิสามารถจะยืนทรงตัวได้ อีกทั้งยังไอโขลกๆ อยู่มิได้ขาด จนเจ็บไปทั่วอก แพทย์ผู้รักษาทั้งที่พยายามที่จะรักษาให้ข้าพเจ้าค่อยยังชั่วให้ไปได้ก็ยอมแพ้ โดยบอกกับข้าพเจ้าว่า เนื่องจากสภาพของไข้ข้าพเจ้าในขณะนั้น จะเดินทางโดยเฉพาะไปในงานเฉลิมฉลองที่ใหญ่โตเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด
    ข้าพเจ้ากลุ้มและปั่นป่วนใจเป็นที่สุด เพราะว่าจะต้องทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงลำบากพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง โดยจะต้องทรงหาตัวแทนข้าพเจ้า ซึ่งภายในไม่ถึง 24 ชั่วโมง จะสามารถเตรียมตัวทัน โดยเฉพาะในงานนี้จะมีการเลี้ยงและการแต่งกายเต็มยศกันแทบทุกวันตลอดอาทิตย์หนึ่ง
    ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า สำหรับข้าพเจ้านั้นมีแต่ทางที่จะเสีย จะกราบทูลว่าไปไม่ได้ก็เสีย จะไม่กราบทูลก็เสีย เวลานั้นเป็นเวลาค่ำโพล้เพล้ ด้วยไข้และด้วยความปั่นป่วน ความกลุ้มใจ ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอน แต่ไม่ทราบว่าอะไรที่มาดลใจข้าพเจ้าให้คิดว่าจะไม่มีทางอื่นแล้วที่อาจช่วยได้ นอกจากจะใช้พลังจิต และข้าพเจ้าเคยทำวิปัสสนาอยู่บ้าง แต่ก็มิใช่อยู่ในฐานะของผู้ที่แก่กล้าในทางวิปัสสนา
    ข้าพเจ้าแข็งใจนึกขอให้บรรดาอาจารย์ผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ขอให้เมตตากรุณาต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด แล้วสะกดจิตกำหนดลมหายใจให้นิ่งได้แล้ว ก็จำอะไรอีกไม่ได้ มารู้สึกตัวในฝันว่า ข้าพเจ้าแหงนคอมองขึ้นไปทางหัวเตียงนอน ได้เห็นพระองค์หนึ่งสีจีวรเหลืองอร่ามชัด แต่ใบหน้าของท่านนั้นเป็นหิน หินที่มีสีคล้ายๆ ตอนสีอ่อนของสีดอกพิกุล
    ท่านประทับลอยอยู่เหนือหัวนอน และทันทีที่ข้าพเจ้าเพ่งมองพระพักตร์หินนั้น กระดุกกระดิกได้เหมือนหน้าคนธรรมดา และเป็นตอนที่ข้าพเจ้าจำได้ว่า พระองค์นั้นคือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์ ซึ่งเพิ่งได้สละสังขารไปแล้วเมื่อไม่นานมา
    ในฝันนั้นข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งกราบท่าน แล้วออกปากทักว่า เจ้าคุณ ท่านยิ้มแล้วกลับนิ่งเฉย ต่อครู่ใหญ่ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นของธรรมดา ก็รู้ (ข้าพเจ้า) อยู่แล้ว
    เจ็บไข้นี้มีทางเดียวที่จะมีทางบรรเทาได้ คือด้วยพลังจิตท่านก็รู้ จิตท่านแข็งจึงต้องมา ท่านกล่าวเบาๆ ช้าๆ เป็นตอนๆ เหมือนจะสั่งสอน แล้วท่านก็หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วท่านก็กล่าวขึ้นอีกพร้อมกับยิ้มน้อยๆ และด้วยน้ำเสียงของคนธรรมดาว่า อย่าวิตกเลย บรรทมให้สบายเถิด พรุ่งนี้จะหายประชวรแล้วเสด็จได้
    ข้าพเจ้าตื่นขึ้น ปรากฏว่ายังหงายหน้ามองที่เหนือเตียง และรู้สึกว่ายังเห็นจีวรเหลืองๆ หายแว่บไป แต่กำลังไม่สบายมากจึงนึกเพียงว่าฝันไป แล้วหลับผล็อยไป ต่อเมื่อตอนดึกค่อนรุ่งข้าพเจ้าตื่นขึ้นปัสสาวะรู้สึกว่า อาการปวดหัวเมื่อยร่างและอาการอ่อนเพลียนั้นค่อยยังชั่วขึ้น รู้สึกแปลกใจ แต่นึกว่าอาการที่ปรากฏค่อยยังชั่วนี้เป็น มโนภาพ และอาจเป็นภาวะหลอนของตัวข้าพเจ้าเองว่าสบายขึ้น จึงหลับตานอนกำหนดจิตต่อไปจนไม่รู้สึกตัว
    ต่อเช้าประมาณ 7 โมงจึงตื่นขึ้น อาการไข้ทุกอย่างทุกประการหายสิ้น แม้แต่การไอโขลกๆ ที่ถี่และแรงก็หายสิ้นไม่ไอเลย และพอถึง 12 นาฬิกา ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางจากดอนเมือง เหมือนกับคนที่หายเจ็บแล้ว คงแต่รู้สึกเพลียบ้างเล็กน้อย เมื่อไปถึงประเทศอิหร่านก็เข้าไปร่วมฉลองงานทุกงาน โดยเฉพาะที่เมืองเพอเซพโพลิส ซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูงมาก จึงทั้งหนาวทั้งหายใจยาก ด้วยมีออกซิเจนน้อย ข้าพเจ้าได้ตรากตรำกลางแดดกลางความหนาวทุกวัน บางวันไปงานตั้งแต่เช้าจนตีหนึ่ง
    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงและประหลาดที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง ท่านจงเลือกพิสูจน์และเลือกเชื่อเอาเองเถิด ว่าจะเป็นเรื่องของอภินิหารหรือเรื่องธรรมดาๆ เพราะว่าพอข้าพเจ้ากลับมาก็ได้ไปซักถามนายแพทย์ผู้นั้นบอกว่า เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้ารักษาตัวของข้าพเจ้าเอง เพราะความแน่วแน่และพลังจิตนั้น ทำให้ส่วนกลไกต่างๆ ของร่างกายของข้าพเจ้าต่อสู้กับโรค และต่อสู้กับความรู้สึกของข้าพเจ้าจนชนะและหายไข้ชนิดที่ยาอาจทำไม่ได้ แต่แพทย์ก็ย่อมทราบกันดีว่า พลังจิตของคนไข้นั้นถ้าแข็งหรือพูดง่ายๆ ว่าคนไข้สู้ไข้แล้ว ย่อมเป็นพลังที่จะช่วยให้หมอรักษาโรคให้หายได้ดีกว่าคนไข้ที่ไม่สู้
    ข้าพเจ้าสนใจในเรื่องนี้ จึงได้คอยติดตามฟังและอ่านเรื่องเช่นนี้ในวงการแพทย์ต่อมาเสมอๆ เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านบทเขียนของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคมะเร็ง ชาวอเมริกันเขียนเรื่องพลังจิต และเรื่องการให้คนไข้ทำวิปัสสนาเพื่อช่วยรักษาโรค เขาว่าเขาแนะนำกับคนไข้ที่เป็นโรคที่มีทางหายาก เช่น มะเร็ง ให้ทำวิปัสสนาและใช้พลังจิตช่วย เขารักษาโรค เขายืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเขาได้ผลดีอย่างน่าพิศวง คนไข้บางรายหายได้อย่างไม่น่าที่จะเป็นไปได้เลย และเป็นที่น่าประหลาดว่านายแพทย์ผู้นั้นมิได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่เขาก็เอาวิธีการและพระธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาเชื่อมาใช้เป็นผล เช่นก่อนอื่นเขาจะเริ่มสอนคนไข้ไม่ให้กลัว โดยชี้แจงว่าความตายเป็นของธรรมดา ทุกคนจะเลี่ยงไม่ได้ สังขารเป็นส่วนที่ประกอบขึ้นย่อมจะต้องเสื่อมสลาย เหมือนวัตถุและธาตุทั้งหลายทั้งปวง เมื่อคนไข้พอจะเข้าใจและบรรเทาความกลัวบ้าง เขาก็เริ่มสอนให้คนไข้ทำวิปัสสนา
    บทเขียนทั้งสิ้นนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อ เพราะว่าข้าพเจ้าได้ประสบการณ์ หรือได้เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเรื่องของพลังจิตของสมเด็จพระบรมศาสดา และพลังจิตของ ท่านธรรมวิตตโกมหาเถระเจ้าคุณนรรัตน์ และพลังจิตที่ต่ำต้อยของข้าพเจ้า แต่ก็พอมีพลังเพียงพอที่จะรับอานุภาพพลังจิตอื่นที่ใหญ่ยิ่งได้
    บทความของท่าน พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล หรือที่ในวงการภาพยนตร์เรียกท่านว่า เสด็จองค์ชายใหญ่ มีความน่าสนใจมาก เพราะเป็นเหตุการณ์จริงที่ท่านประสบมาด้วยพระองค์เอง ทรงได้นิพนธ์เอาไว้ให้ผู้เขียน นอกจากบทความนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ทรงนิพนธ์ให้ผู้เขียนไว้จะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป
    แฉ่ง บางกะเบา
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาทุกๆท่านทุกๆข้อมูลครับ

    พระสมเด็จรัศมีฐานบัวลงรักปิดทองเดิม

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท

    IMG_20250811_015631.jpg IMG_20250811_015711.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,509
    ค่าพลัง:
    +21,422
    pic_043.jpg

    “แดง ไม้ใหญ่” เป็นสมญานาม ที่หลวงพ่อเต๋ ตั้งให้หลวงพ่อแดง เพราะหลวงพ่อแดง ท่านเก่งเรื่องหาไม้ในป่า มักได้ไม้สวยๆ ไม้ต้นใหญ่อยู่เสมอ หลวงพ่อแดง อายุน้อยกว่าหลวงพ่อเต๋ 6ปี เกียรติคุณในด้านวิทยาคม ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน,หลวงพ่อเหนี่ยง วัดสองพี่น้อง และมีเกจิดังๆหลายรูป มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแดง อาทิเช่นหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม ฯลฯ เป็นต้น วัตถุมงคลทุกรุ่นที่ท่านสร้างมีความเข้มขลังด้วยอิทธิมงคล ท่านเป็นพระนักพัฒนา ผู้พลิกฟื้นตำบลทุ่งคอกจากป่าให้กลายเป็นเมืองที่มีความเจริญ ท่านเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านทุ่งคอกอย่างยิ่ง ยกเชิดชูท่านให้เป็น “เทพเจ้าแห่งทุ่งคอก” เล่ากันว่า หลังงานบูชาครูวัดสามง่าม ปี2510 ได้ประมาณ10กว่าวัน มีข่าวแจ้งมาจากวัดทุ่งคอก ว่า หลวงพ่อแดง มรณภาพแล้ว หลวงพ่อเต๋ ทราบข่าวนี้แล้วก็ถอนหายใจนิ่งเงียบ ด้วยความอาลัยพระเพื่อนของท่าน รูปนี้ยิ่งนัก ทุกวันนี้กิตติคุณของหลวงพ่อแดง ก็ไม่เสื่อมคลายไปจากความรู้สึกของชาวเมืองสุพรรณบุรี ฯ
    ประวัติ หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก
    ผู้สืบสายพุทธาคม หลวงพ่อเหนี่ยง วัดสองพี่น้อง
    และหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน สุพรรณบุรี
    หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก เกจิอาจารย์
    ผู้มีความขลังด้วยอิทธิมงคลวัตถุทุกรุ่นที่สร้าง
    พระเถระผู้มีงานพัฒนาจนตำบลทุ่งคอกจากป่า
    กลายเป็นเมืองมีความเจริญเป็นที่เลื่อมใส
    ศรัทธาของชาวบ้าน
    ซึ่งให้ความเคารพนับถือท่านเหมือนพ่อ
    เรียกท่านว่า “หลวงพ่อ”
    ด้วยความรู้สึกเหมือนพ่อแท้ๆ ของเขา
    พระผู้มากด้วยเมตตาบารมี
    ถึงวันนี้กิตติคุณของท่านก็ไม่เสื่อมคลายไป
    จากความรู้สึกของชาวเมืองสุพรรณบุรี
    พระครูสุวรรณสาธุกิจ (แดง สงฺฆรกฺขิโต)
    อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งคอก เจ้าคณะตำบลทุ่งคอก
    อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
    พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงศีลาจารวัตรงดงาม
    เป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านในยุคอดีต
    แม้ท่านจะมรณภาพไปแล้วถึง 38 ปี ก็ตาม
    แต่ผลงานและสิ่งที่ท่านสรรค์สร้างเอาไว้ยังคงอยู่
    จากหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพของท่าน
    บันทึกประวัติของท่านไว้น่าสนใจยิ่ง ดังนี้
    พระครูสุวรรณสาธุกิจ (แดง ใจกล้า)
    เป็นบุตรนายบุญ-นางใน ใจกล้า
    เกิดวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2440 ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 7 ปีระกา เวลา 19.00 น.เศษ
    ณ บ้านทุ่งคอก ตำบลทุ่งคอก
    อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
    มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 11 คน คือ
    1. นางเหมือน (ถึงแก่กรรม)
    2. นางเมือ (ถึงแก่กรรม)
    3. นางล้วน
    4. นางนัว (ถึงแก่กรรม)
    5. นางฟุก (ถึงแก่กรรม)
    6. นางเฮ้ย (ถึงแก่กรรม)
    7. พระครูสุวรรณสาธุกิจ
    8. นางโต้ (ถึงแก่กรรม)
    9. นางเค้า (ถึงแก่กรรม)
    10. นายจ่วน (ถึงแก่กรรม)
    11. นางพลบ (ถึงแก่กรรม)
    พระครูสุวรรณสาธุกิจ
    สมัยเป็นเด็กได้ช่วยบิดา-มารดา
    ประกอบอาชีพในการทำนา
    เมื่ออายุประมาณ 13-14 ปี
    บิดาได้นำไปฝากไว้กับพระอธิการโหน่ง
    (หลวงพ่อโหน่ง) เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน
    ตำบลเนินพระปรางค์ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อศึกษาอักษรสมัยและอบรมจรรยามารยาท
    ในการที่จะให้เป็นพลเมืองดีต่อไป
    ได้เรียนภาษาไทยจากครูโพย (ไม่ทราบนามสกุล)
    ส่วนมากเรียนมูลบทบรรพกิจ
    การเรียนมุ่งให้อ่านออกเขียนได้
    และเพื่อให้มีความรู้อย่างเดียว
    ไม่มีการสอบและเลื่อนชั้น
    ท่านมีความรู้ภาษาไทยอยู่ในขั้นอ่านออกเขียนได้
    พออายุประมาณ 16 ปี
    บิดาให้ลาออกจากวัดกลับไปอยู่ที่บ้าน
    เพื่อเป็นกำลังในการประกอบอาชีพ ต่อไป
    เมื่อท่านกลับไปอยู่บ้านแล้ว
    ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกอบอาชีพ
    สร้างฐานะของครอบครัวให้ดีขึ้น
    อาชีพหลักคือการทำนา
    ครั้นอายุครบอุปสมบท
    จึงได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา
    เมื่อวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2460
    ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเส็ง
    ณ พัทธสีมาวัดทุ่งคอก ตำบลทุ่งคอก
    อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
    โดยมี
    1. พระครูวินยานุโยค (หลวงพ่อเหนี่ยง)
    อดีตเจ้าคณะอำเภอสองพี่น้อง วัดสองพี่น้อง
    เป็นพระอุปัชฌาย์
    2.พระอธิการโหน่ง (หลวงพ่อโหน่ง)
    อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    3.เจ้าอธิการเหลื่อน อดีตเจ้าคณะตำบลศรีสำราญ
    วัดอัมพวัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    เมื่ออุปสมบทแล้วได้ไปจำพรรษา
    และศึกษาพระธรรมวินัย ณ วัดอัมพวัน
    ในความอุปการะของหลวงพ่อโหน่ง ในด้านคันถธุระ
    ได้ศึกษาพระธรรมวินัยจากพระอาจารย์ต่วน
    ซึ่งเดิมอยู่ที่วัดสองพี่น้อง
    ได้เรียนพระธรรมวินัยกับพระอาจารย์ต่วน
    ประมาณ 2 พรรษา
    แต่ไม่ได้สอบในสนามหลวง
    การเรียนของท่านมุ่งเพื่อให้รู้ เข้าใจ
    และปฏิบัติเป็นหลักใหญ่
    ท่านเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาเป็นพิเศษ
    นอกจากตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
    คันถธุระและวิปัสสนาธุระด้วยวิริยะอุตสาหะ เป็นอย่างดีแล้ว
    ได้ทำวัตรปฏิบัติอุปัชฌาย์อาจารย์
    ตามหน้าที่ของศิษย์ทุกประการ
    ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดอัมพวัน 4 พรรษา
    เมื่ออุปสมบทได้ 5 พรรษา
    พระอาจารย์อินทร์ เจ้าอาวาสวัดทุ่งคอก ลาสิกขา
    ทางการคณะสงฆ์
    จึงตั้งให้ท่านเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดทุ่งคอก
    สืบต่อไป ท่านได้รักษาการเจ้าอาวาสมาหลายปี
    ตลอดเวลาที่รักษาการนั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด
    พ.ศ.2476 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งคอก
    (ขณะนั้นอายุ 37 พรรษา 17)
    พ.ศ.2478 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลทุ่งคอก
    พ.ศ.2496 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
    5 ธันวาคม 2499 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ “พระครูสุวรรณสาธุกิจ”
    พระครูสุวรรณสาธุกิจ (หลวงพ่อแดง)
    ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดทุ่งคอก
    นานกว่าเจ้าอาวาสองค์อื่นๆ
    และเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งคอกองค์แรก
    ที่ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลด้วย
    ทั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรองค์แรกในตำบลทุ่งคอก
    พระครูสุวรรณสาธุกิจ
    แม้จะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์
    เป็นพระครูสัญญาบัตรแล้วก็ตาม
    แต่พวกศิษยานุศิษย์
    และท่านที่เคารพนับถือก็เรียกกัน
    จนติดปากว่า ”หลวงพ่อแดง”
    ไม่นิยมเรียกชื่อสมณศักดิ์
    บางคนได้ยินชื่อสมณศักดิ์เข้ารู้สึกงง
    แต่ถ้าเอ่ยชื่อหลวงพ่อแดงแล้ว
    จะรู้จักทันที พระครูสุวรรณสาธุกิจเป็นพระนักพัฒนา
    และเสียสละอย่างยอดเยี่ยมรูปหนึ่ง
    และเป็นพระที่ทำมากกว่าพูด
    จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนภายนอกมากนัก
    วัดทุ่งคอกแต่เดิมนั้นเป็นป่าส่วนมาก
    ห่างไกล ความเจริญ ไม่ค่อยมีใครอยากไป
    ในเขตตำบลนี้ เพราะเป็นท้องถิ่นทุรกันดารน้ำ
    การคมนาคมก็ไม่สะดวก การเดินทางมีแต่เกวียนและเรือ ส่วนรถยนต์และรถไฟยังไม่มี
    จึงเป็นท้องถิ่นที่ไกลความเจริญ
    เพราะการคมนาคมเป็นดุจเส้นโลหิตใหญ่
    เชื่อมโยงความเจริญก้าวหน้า
    หลวงพ่อแดงได้ทุ่มเทกำลังทุกอย่าง
    เอาชีวิตเข้าแลกกับการทำงาน
    ทั้งยังเสี่ยงต่อภัยซึ่งเกิดจากสัตว์ร้ายและคนพาล
    ทุนทรัพย์มีน้อย ประชาชนส่วนมากยากจน
    และหลวงพ่อไม่ใช่เป็นพระนักเรี่ยไร
    จึงต้องเข้าป่าเพื่อนำสัมภาระมาก่อสร้าง
    ชีวิตหลวงพ่อส่วนมากชิน
    กับการอยู่ป่ามากกว่าอยู่ในบ้านเมือง
    พอถึงฤดูแล้งท่านจะเข้าป่าเพื่อหาไม้มาก่อสร้าง
    แทบทุกปี น้อยปีที่ท่านไม่ได้ไป
    อาศัยเหตุที่ท่านเข้าป่าหาไม้บ่อยๆ
    และหาได้เก่งนั้นเอง
    ชาวบ้านจึงขนานนามท่านว่า “หลวงพ่อแดงไม้ใหญ่”
    แม้แต่ หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม จังหวัดนครปฐม
    ในสมัยที่ยังเข้าป่าหาไม้มาสร้างวัดด้วยกัน
    ท่านยอมยกให้หลวงพ่อแดงเป็นคนเก่งและเป็นใหญ่
    ในเรื่องหาไม้ในป่า
    เพราะหลวงพ่อแดงมีเกวียนเทียมด้วยควาย
    บรรทุกไม้ได้ท่อนใหญ่และมากกว่า
    ส่วนหลวงพ่อเต๋ มีเกวียนเทียมด้วยวัว
    บรรทุกไม้ท่อนเล็กและได้น้อยกว่า
    จึงได้พากันเรียกจนติดปากว่า “แดงไม้ใหญ่”
    ท่านได้หยุดพักการเข้าป่าก่อนมรณภาพไม่กี่นี้เอง
    ทั้งนี้ เพราะท่านได้ตรากตรำต่อการงานหนักมานาน
    สุขภาพจึงไม่ค่อยดี มีโรคเบียดเบียนเสมอ
    ประกอบกับเข้าสู่วัยชราด้วย
    แพทย์เคยแนะนำให้พักผ่อนมากๆ
    ไม่ให้ออกกำลังกายมากเหมือนเดิม
    ท่านจึงได้หยุดพักไม่เข้าป่า
    ในสมัยที่ท่านกครองวัดทุ่งคอก
    ได้สร้างอุโบสถขึ้นหลังหนึ่ง
    ต่อมาชำรุดทรุดโทรม จึงได้สร้างขึ้นใหม่อีกหลังหนึ่ง
    และได้ผูกพัทธสีมา เมื่อ พ.ศ.2511
    หลังจากท่านมรณภาพแล้ว
    ได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้น
    เพื่อใช้บำเพ็ญกุศล และใช้เป็นที่เรียนหนังสือของเด็กๆ ด้วย เพราะในสมัยนั้นอาคารเรียนยังไม่มี
    ต้องอาศัยศาลาการเปรียญเป็นโรงเรียน
    ต่อมาได้สร้างอาคารเรียนเป็นโรงเรียนประชาบาล
    หลังใหม่ขึ้น โดยเอกเทศ แต่เมื่อมีนักเรียนมากขึ้น
    อาคารเรียนไม่เพียงพอ
    ประจวบกับทางกระทรวงศึกษาธิการ
    ได้ขยายหลักสูตรการศึกษาออกไปอีก
    อาคารเรียนจึงไม่พอยิ่งขึ้น
    จึงได้สร้างอาคารเรียนเพิ่มขึ้นอีก เป็นอาคาร 2 ชั้น
    เปิดสอนถึงชั้น ป.7 และได้เปิดสอนก่อนหลวงพ่อมรณภาพ
    ต่อมาได้สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม
    เพื่อให้พระภิกษุ-สามเณรศึกษาพระธรรมวินัย
    ซึ่งโรงเรียนประชาบาลและ
    โรงเรียนพระปริยัติธรรมทั้ง 2 ประเภทนี้
    นับได้ว่า เกิดขึ้นเป็นแห่งแรกในตำบลทุ่งคอก
    ในสมัยของหลวงพ่อแดงนี้
    นอกจากนี้ หลวงพ่อแดงยังบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อีกมาก เช่น
    1. สร้างกุฎีสงฆ์หลายหลัง
    ทั้งได้จัดให้เข้าแถวเป็นระเบียบน่าดู น่าอยู่
    2. สร้างหอสวดมนต์
    3. ขุดสระน้ำใหญ่ 2 สระ เพื่อใช้น้ำในฤดูแล้ง
    เพราะวัดนี้กันดารน้ำ
    ชาวบ้านใกล้เคียงตลอดจนชาวตลาดทุ่งคอก
    ก็ได้มาอาศัยน้ำในสระนี้
    4. สร้างตลาดให้เป็นสมบัติของวัด
    5. ได้ขยายเขตวัดให้กว้างออกไปกว่าเดิม
    6. ได้ช่วยเหลือกิจการต่างๆ ของวัด
    ในเขตปกครองที่มาขอให้ช่วยเหลือ
    ในด้านสวัสดิภาพของประชาชน
    หลวงพ่อได้ช่วยชีวิตชาวบ้านไว้เป็นจำนวนมาก
    เนื่องจากท่านมีความรู้และเชี่ยวชาญ
    ในการแพทย์แผนโบราณ
    ในสมัยท้องถิ่นยังเป็นป่าขาดความเจริญ
    การแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่แพร่หลาย
    และประชาชนยังไม่นิยมรักษา
    อีกทั้งการคมนาคมก็ยังไม่สะดวก
    ชาวบ้านทุ่งคอกและตำบลใกล้เคียง
    ได้ฝากชีวิตไว้กับหลวงพ่อ
    ถึงแม้ในระยะที่การแพทย์แผนปัจจุบันแพร่หลาย
    และคมนาคมสะดวกแล้ว
    ประชาชนก็ยังเชื่อมั่นในยาของหลวงพ่ออยู่จนตลอดชีวิต โดยยึดถือหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง
    และหลวงพ่อไม่เคยต้องการอามิสตอบแทน
    ท่านให้ยาด้วยจิตเมตตาอย่างเดียว
    แม้คนป่วยด้วยโรคจิต เป็นคนพิการ และคนยากคนจน
    เมื่อไปพบท่านแล้ว ท่านจะให้ความเมตตากรุณาต่อทุกคน
    ด้านการพระศาสนา
    ได้อบรมพระภิกษุ-สามเณรและประชาชน
    ให้ตั้งมั่น เป็นการช่วยลดจำนวนอาชญากรลงได้มาก
    เป็นพระอุปัชฌายะ
    ให้การบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรไว้เป็นจำนวนมาก
    เป็นกรรมการสอบพระปริยัติธรรมสนามหลวงแผนกธรรม
    ได้อุปถัมภ์ศาสนศึกษาทั้งนักธรรมและบาลีเป็นอย่างดี
    และได้ส่งศิษย์ของท่านไป
    ศึกษาทั้งทางโลกทางธรรมเป็นจำนวนมาก
    อนึ่ง หลวงพ่อเป็นพระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณด้วยรูปหนึ่ง ได้ร่วมพิธีปลุกเสกพระเครื่องครั้งสำคัญๆ มาหลายจังหวัด เกียรติคุณในด้านวิทยาคมของท่านเป็นที่รู้จักกันได้ดี รวมความว่าหลวงพ่อได้บำเพ็ญศาสนกิจและสาธารณประโยชน์นานาประการ ท่านได้ประกอบแต่กุศลกรรมตลอดมาด้วยดีทุกประการ
    หลวงพ่อท่านได้ป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวารเรื้อรัง
    มาก่อนเป็นเวลานานแล้ว
    ต่อมาเป็นโรคปอดเรื้อรังอีก
    ประกอบกับท่านได้ตรากตรำทำงานมาก
    แต่ท่านมีความอดทนเป็นเยี่ยม
    ไม่บ่นไม่แสดงออกให้คนภายนอกรู้ได้ง่ายๆ
    บางคนจึงไม่ทราบอาการอาพาธ
    ท่านได้รับการเยียวยาทั้งแผนโบราณ
    และแผนปัจจุบันตลอดมาอย่างดีที่สุด
    ในที่สุดก็มรณภาพ
    เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2510
    เวลา 04.00 น.เศษ
    ณ กุฏิของท่าน โดยอาการสงบ
    หลวงพ่อท่านได้ทิ้งความดีให้สถิตอยู่กับโลก
    และความอาลัยรัก
    ตลอดถึงความเคารพนับถือของปวงมิตร
    ศิษยานุศิษย์ และท่านที่คุ้นเคย
    อย่างไม่มีวันกลับมาอีก
    สิริรวมอายุ 70 ปีโดยปี และได้ 50 โดยพรรษา
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จเนื้อดินเผาหลังยันต์หลวงพ่อแดงวัดทุ่งคอก

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250811_120703.jpg IMG_20250811_120727.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,509
    ค่าพลัง:
    +21,422
    1754513844342.jpg

    เหรียญเจ้าสัวพันล้านหลวงปู่สุภา และสีผึ้งแมงมุมมหาละลวย ของ หลวงปู่สุภา ออกที่วัดคอนสวรรค์ สกลนคร ในตลับจะมีเหรียญแมงมุม ในชุดจะมีวิธีใช้ให้เรียบร้อยเลยครับ เป็นทั้งมหาลาภและมหาเสน่ห์ในตลับเดียวครับ
    หลวงปู่สุภาเรียนวิชาแมงมุมดักทรัพย์ หรือเรียกทรัพย์ โดยตรงจากองค์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ในขณะที่หลวงปู่สุภาจำพรรษาอยู่ ในวันที่ลาเพื่อออกเดินธุดงค์ต่อ หลวงปู่ศุขได้บอกหลวงปู่สุภาว่า "เณรน้อยต่อไปจะต้องไปช่วยคนอีกมากทำประโยชน์ให้พระศาสนาอีกเยอะ เธอจงทำแมงมุมเรียกทรัพย์ ให้ตอบแทนแก่เขานะ มานี่ปู่จะสอนให้" หลังจากนั้นหลวงปู่ศุข ก็สอนวิชาแมงมุมเรียกทรัพย์ให้หลวงปู่สุภา โดยบอกเหตุผลที่สร้างแมงมุม เรียกทรัพย์ว่า "แมงมุมเป็นสัตว์สะอาดมีศีลไม่ต้องออกไปหากิน มีอาหารเข้ามาถึงรัง มีเหยื่อเข้ามาถึงถิ่นฐาน มีอาหารเข้ามาถึงปาก เพียงชักใยดักเหยื่อไว้เท่านี้ก็ไม่อด มีกินอิ่มตลอดกาล การเปิดร้านเปิดกิจการก็เช่นเดียวกัน ถ้าได้วิชาแมงมุมเรียกทรัพย์ดักทรัพย์ไปก็เหมือนเราเปิดร้านทำกิจการค้าขายดักเหยื่อ ดักทรัพย์ ดักลูกค้า ดักโชคดักลาภ ดักเงินดักทอง ให้เข้ามาติดกับง่ายดาย เห็นผลเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและแน่นอน มีคนเอาเงินมาให้ มีลูกค้าเข้ามาติดกับ มีโชคลาภเงินทอง เข้ามาสู่ถิ่นฐานไม่ต้องออกไปวิ่งหา"
    หลวงปู่ท่านบอกว่าแมงมุมเด่นด้านโชคลาภโภคทรัพย์
    วัตถุมงคลที่ท่านทำขึ้นจนมีชื่อเสียงมากมีอยู่สองอย่างคือ วิชาแมงมุมเรียกทรัพย์กับวิชาจระเข้เฝ้าทรัพย์
    หลวงปู่สุภามรณภาพเมื่อปี 56 อายุ 119 ปีครับ ท่านมรณภาพศพไม่เน่าเปื่อยครับ แต่เสียดายทางวัดได้เผา แต่กระดูกของท่านใสครับ
    สีผึ้งไม่เคยใช้ครับ แต่เนื่องจากเก็บไว้นานโดนความร้อนอาจจะมีละลายไปบ้าง รับประกันไม่เคยใช้เลยแม้แต่น้อยครับ
    สีผึ้งแมงมุมมหาละลวย ของ หลวงปู่สุภา ออกที่วัดคอนสวรรค์ สกลนคร ในตลับจะมีเหรียญแมงมุม ในชุดจะมีวิธีใช้ให้เรียบร้อยเลยครับ เป็นทั้งมหาลาภและมหาเสน่ห์ในตลับเดียวครับ
    หลวงปู่สุภาเรียนวิชาแมงมุมดักทรัพย์ หรือเรียกทรัพย์ โดยตรงจากองค์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ในขณะที่หลวงปู่สุภาจำพรรษาอยู่ ในวันที่ลาเพื่อออกเดินธุดงค์ต่อ หลวงปู่ศุขได้บอกหลวงปู่สุภาว่า "เณรน้อยต่อไปจะต้องไปช่วยคนอีกมากทำประโยชน์ให้พระศาสนาอีกเยอะ เธอจงทำแมงมุมเรียกทรัพย์ ให้ตอบแทนแก่เขานะ มานี่ปู่จะสอนให้" หลังจากนั้นหลวงปู่ศุข ก็สอนวิชาแมงมุมเรียกทรัพย์ให้หลวงปู่สุภา โดยบอกเหตุผลที่สร้างแมงมุม เรียกทรัพย์ว่า "แมงมุมเป็นสัตว์สะอาดมีศีลไม่ต้องออกไปหากิน มีอาหารเข้ามาถึงรัง มีเหยื่อเข้ามาถึงถิ่นฐาน มีอาหารเข้ามาถึงปาก เพียงชักใยดักเหยื่อไว้เท่านี้ก็ไม่อด มีกินอิ่มตลอดกาล การเปิดร้านเปิดกิจการก็เช่นเดียวกัน ถ้าได้วิชาแมงมุมเรียกทรัพย์ดักทรัพย์ไปก็เหมือนเราเปิดร้านทำกิจการค้าขายดักเหยื่อ ดักทรัพย์ ดักลูกค้า ดักโชคดักลาภ ดักเงินดักทอง ให้เข้ามาติดกับง่ายดาย เห็นผลเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและแน่นอน มีคนเอาเงินมาให้ มีลูกค้าเข้ามาติดกับ มีโชคลาภเงินทอง เข้ามาสู่ถิ่นฐานไม่ต้องออกไปวิ่งหา"
    หลวงปู่ท่านบอกว่าแมงมุมเด่นด้านโชคลาภโภคทรัพย์
    วัตถุมงคลที่ท่านทำขึ้นจนมีชื่อเสียงมากมีอยู่สองอย่างคือ วิชาแมงมุมเรียกทรัพย์กับวิชาจระเข้เฝ้าทรัพย์
    หลวงปู่สุภามรณภาพเมื่อปี 56 อายุ 119 ปีครับ ท่านมรณภาพศพไม่เน่าเปื่อยครับ แต่เสียดายทางวัดได้เผา แต่กระดูกของท่านใสครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญเจ้าสัวพันล้านหลวงปู่สุภา และ สีผึ้งแมงมุมดักทรัพย์ ยกชุด ๒ รายการ

    ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250811_140836.jpg IMG_20250811_151600.jpg IMG_20250811_151225.jpg IMG_20250811_151302.jpg IMG_20250811_140904.jpg IMG_20250811_151324.jpg IMG_20250811_151340.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,509
    ค่าพลัง:
    +21,422
    วันนี้จัดส่ง
    1754908136903.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,509
    ค่าพลัง:
    +21,422
    fb_img_1753873049275-jpg.jpg
    FB_IMG_1754922794360.jpg
    เรื่องเก่าเล่าใหม่ เทพเจ้าแห่งความเมตตาแห่งอีสานใต้ ต้นแม่น้ำมูล สิงห์เหนือเสือใต้
    หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด เข้ากราบนมัสการ หลวงปู่นิล อิสฺสริโก วัดครบุรี อ.ครบุรี โคราชในอดีต ภาพก่อนปี พ.ศ.2537
    ประวัติของพระครูนครธรรมโฆสิต (นิล อิสฺสริโก)
    วัดครบุรี ต.ครบุรีใต้ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา
    พระครูนครธรรมโฆษิต หรือ หลวงปู่นิล อิสฺสริโก นามเดิม นิล แหวนครบุรี เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2445 บิดาท่านชื่อ สี มารดาท่านชื่อ พิมพ์ แหวนครบุรี มีพี่น้อง 3 คน ท่านเป็นคนที่สอง อุปสมบทเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2465 ณ พัทธสีมาวัดนกออก พระอุปัชฌาย์ของท่านคือ หลวงปู่กลิ่น วัดนกออก พระอธิการพรหม วัดป่าเลไลย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อแก้ว วัดนกออก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับสมณฉายาว่า อิสฺสริโก ด้านวิชาอาคมขลังนั้นท่านได้ตำรามาจาก หลวงพ่อหว่าง ซึ่งเป็นตำราของ หลวงพ่อน้อย วัดบ้านไผ่ ครบุรี และ หลวงพ่อโต วัดปอแดง อาจารย์อีกรูปหนึ่งของ หลวงพ่อสอน วัดเสิงสาง ท่านได้ศึกษาจนมีวิชาอาคมแก่กล้า เชื่อกันว่าท่านสำเร็จกสิณและพระธาตุกรรมฐาน หลายคนกล่าวว่า เวลาท่านเข้าโบสถ์ ปลุกเสกอธิษฐานจิต จะมีแสงไฟเปล่งประกายรอบกายท่าน
    กิตติคุณ บางท่านเชื่อว่าท่านสำเร็จอภิญญา มีพลังจิตเข้มแข็ง อธิษฐานปลุกเสกจนวัตถุมงคลของท่านเป็นที่เลื่องลือ ที่โดดเด่นทางเมตตามหานิยม และ คุ้มครองป้องกัน นอกจากท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่มากด้วยวิชาความรู้แล้ว เรื่องวิชาแพทย์แผนโบราณ ยาสมุนไพร ท่านเป็นหนึ่งมาโดยตลอด สุดยอดวัตถุมงคลที่ลูกศิษย์ลูกหาหวงแหนมากที่สุด คือ พระตะกั่วเถื่อน รูปถ่ายขาวดำ เหรียญรูปไข่ มหาอุตม์ไม้รวก สีผึ้งเจ็ดอังคาร ตะกรุดมหาอำนาจหนังเสือ
    ท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2537 รวมสิริอายุได้ 92 ปี 6 เดือน 72 พรรษา
    #หลวงพ่อคูณ ในอดีต แม้วันนี้ท่านจะละสังขารไปแล้ว แต่คุณงามความดี และคำสอนของท่านจะตราตรึงอยู่ในหัวใจชาวไทยตลอดไป
    #ประวัติหลวงพ่อคูณ
    หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ หรือ พระเทพวิทยาคม เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ตรงกับแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีกุน ที่บ้านไร่ หมู่ ๖ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน คือ พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทโธ) นางคำมั่น วงษ์กาญจนรัตน์ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์ บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก จึงต้องไปอยู่กับน้าสาว
    ในวัยเยาว์ ๖ - ๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย เมื่ออายุครบการอุปสมบท คือ อายุได้ ๒๑ ปี ได้อุปสมบท ณ. พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ (หลักฐานบางแห่งว่า ปี ๒๔๘๖) ตรงกับวันศุกร์ เดือน ๖ ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือพระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่อุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อย ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้ว หลวงพ่อคงจึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง) หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก
    กลุ่มหลวงปู่นิล อิสฺสริโก อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา

    #ประวัติหลวงปู่นิล วัดครบุรี
    เกจิสมถะ-พระหมอยา
    อดีตพระเกจิอาจารย์แห่งภาคอีสาน ที่มีวิทยาคมเข้มขลังและมีวาจาศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยอมรับของสาธุชนทั่วไปเมื่อราว 10 ปีที่ผ่านมา ปรากฏนามของ “หลวงปู่นิล อิสสริโก” วัดครบุรี อ.ครบุรี จ.นครราชีสมา อยู่ในลำดับต้นๆ
    ท่านเก่งทางแพทย์แผนโบราณ เชี่ยวชาญในตำรายารักษาชาวบ้านผู้เจ็บไข้ จนมีชื่อเสียงโด่งดังและถูกยกย่องให้เป็น “เทพเจ้าแห่งครบุรี”

    **************************
    หลวงปู่เป็นชาวเมืองโคราชโดยกำเนิด เกิดที่หมู่บ้านครบุรี ชาติกำเนิดมีพี่น้อง7คน
    หลวงพ่อครบุรี (นิล) หรือพระครูนครธรรมโฆสิต ผู้เปรียยประดุจบิดาของชาวบ้านทั้งหลายนี้บิดาของท่านชื่อสี แหวนครบุรี มารดาชื่อทิม แหวนครบุรี ท่านเกิด ๔ ๑๕ ๓ ปีขาล หรือ ตรงกับวันที่๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๕ ณ บ้านครบุรี ในสมัยนั้นขึ้นอยู่กับอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา
    ตระกูลของท่านเป็นชาวนาอันบริสุทธิ์มาแต่กำเนิดชีวิตหลวงปู่ในปฐมวัยจึงเหมือนกับลูกชาวนาทั้งหลายที่ต้องช่วยเหลือผู้บังเกิดเกล้าทำไร่ไถ่นาตามแบบอย่างโบราณ ที่ทำต่อๆกันมา
    ลำดับญาติพี่น้องของหลวงปู่ และตัวหลวงปู่เองเป็นบุตรอันดับที่ ๖ โดยท่านมีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๗ คนดังนี้
    ๑.นางขำ (เสียชีวิตแล้ว)
    ๒.นายกา (เสียชีวิตแล้ว)
    ๓.นางแก้ว (เสียชีวิตแล้ว)
    ๔.นายวาว (เสียชีวิตแล้ว
    ๕. นายบุญ (เสียชีวิตแล้ว)
    ๖.พระครูนครธรรมโฆสิต(นิล)
    ๗.นายอูบ (เสียชีวิตแล้ว)

    เยาว์วัยเป็นเด็กเรียบร้อย ชอบช่วยเหลือญาติพี่น้อง พออายุ 11 ปีได้ไปเป็นศิษย์วัดไทรโยง เรียนหนังสือเบื้องต้น ก่อนที่จะไปเรียนภาษาบาลีและขอม ที่สำนักเรียนวัดครบุรี โดยมีหลวงปู่สี วัดเชียงสา เป็นพระอาจารย์ รวมทั้งสอนคาถาอาคมต่างๆให้ด้วย
    ทั้งนี้ ได้ทำนายดวงชะตาของท่านไว้ว่า “วันข้างหน้าจะได้เป็นใหญ่ในหมู่คณะ” นอกจากนี้ ยังมีพระอาจารย์ชุก หลวงปู่ดอน และหลวงปู่เชย มาช่วยสอนวิชาการต่างๆเพิ่มเติม
    อายุ 21 ปี ได้เข้าอุปสมบทที่วัดนกออก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา โดยมีหลวงปู่กลิ่น วัดนกออก เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่พรม วัดป่าเลไลย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่แก้ว วัดนกออก เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ได้รับฉายาธรรมว่า “อิสฺสริโก” แปลว่า “ผู้มีความยิ่งใหญ่”
    บวชแล้วได้ไปจำพรรษาที่วัดครบุรี และสามารถสอบนักธรรมตรีได้ในพรรษาแรก หลวงปู่น้อย เจ้าอาวาสวัดหนองแวง (บ้านไผ่) เห็นท่านมีลายมือสวยงาม แตกฉานในภาษาขอม จึงขอให้ไปช่วยจารคาถาพันเป็นภาษาขอมเรื่องพระเวสสันดร
    รวมทั้งให้ช่วยซ่อมแซมสมุดข่อย สมุดใบลานที่บรรจุพระคาถา อาคม ไสยเวท อักขระเลขยันต์วิทยาการต่างๆ ทำให้ท่านได้ศึกษาจดจำไปด้วย
    หลวงปู่โต วัดปอแดง เป็นอาจารย์สอนทำเครื่องรางของขลัง ปลุกเสกด้วยพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งอยู่ยงคงกระพันและลุกตั้งได้ ดิ้นได้ ด้วยการฝึกพลังจิตให้เข้มแข็ง เจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงมีผู้กล่าวว่า หลวงปู่นิลสำเร็จวิชา “ธาตุกรรมบาน” หรือได้ “กสิณทั้ง 4 “(ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ) แล้วตั้งแต่อายุยังน้อย
    นอกจากนี้ ท่านยังได้รับการสอนให้รู้จักยาสมุนไพรต่างๆ พร้อมทั้งวิธีรักษาโรคตามตำรับแพทย์แผนโบราณ
    ตำแหน่งหน้าที่และสมณศักดิ์ที่ได้รับ พ.ศ.2474 เป็นเจ้าคณะตำบลครบุรี (สะแกราช)) พ.ศ.2481 เป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.2496 รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นตรี ที่ “พระครูนครธรรมโฆสิต “ พ.ศ.2507 เป็นเจ้าอาวาสวัดครบุรี พ.ศ.2513 เป็นพระครูชั้นโทในราชทินนามเดิม พ.ศ.2519 เป็นพระครูชั้นเอกในราชทินนามเดิม
    **************************
    หลวงปู่นิลท่านมีจิตใจใฝ่ธรรมะมาตั้งแต่ท่านยังเยาว์วัย ครั้งเมื่อได้อุปสมบทแล้วท่านได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากพระอาจารย์ของท่าน จนมีสมาธิแก่กล้า สำเร็จวิชา “พระธาตุกัมมัฏฐาน” หรือ “กสิญจ์” ท่านมีคาถาอาคมแก่กล้าจนเป็นที่เลื่องลือทั่วภาคอีสาน มีเมตตาธรรมเปี่ยมล้นยากจะหาพระเถราจารย์รูปใดเสมอเหมือนในยุคปัจจุบัน วิทยาคมเข้มขลังและมีวาจาศักดิ์สิทธิ์จนเป็นที่ยอมรับของสาธุชนทั่วไป แต่ละวันจะมีประชาชนพากันหลั่งไหลไปกราบไหว้ท่านมิได้ขาด จนมีชื่อเสียงโด่งดังชาวบ้านยกย่องท่านเป็น “เทพเจ้าแห่งครบุรี”
    ครั้งหนึ่งเมื่อท่านนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่หน้าพระประธาน ภายในพระอุโบสถ ได้มีลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งทราบว่าท่านอยู่ในโบสถ์เปิดประตูเข้าไปกลับพบแต่ความว่างเปล่า มีแต่ธูปปักอยู่ในกระถางเท่านั้น มองหาตัวหลวงปู่ไม่เห็น ลูกศิษย์คนนั้นจึงเอะใจ กลับไปถามพระลูกวัดว่า หลวงปู่นิลท่านอยู่ในโบสถ์แน่หรือ เปิดประตูเข้าไปทำไมจึงไม่เห็นท่าน เพื่อความแน่ใจเมื่อกลับมาดูอีกครั้ง พบหลวงปู่นิลท่านนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ภายในโบสถ์นั่นเอง จึงมั่นใจว่าหลวงปู่นิลท่านแสดงปาฏิหาริย์หายตัวได้แน่นอน
    มีอยู่วันหนึ่งชายหาปลาได้เห็นแสงนวลขาวพุ่งเป็นเส้นเหนือยอดโบสถ์วัดครบุรี ด้วยความอยากรู้ว่าเกิดจากอะไรจึงเข้าไปแอบดู ตรงรอยแตกหน้าต่างพบหลวงปู่นิลนั่งกัมมัฏฐานด้านพระประธานโดยมีแสงนวลขาวหมุนม้วนตัว เป็นเกลียวรอบร่างท่าน รุ่งเช้าข่าวนี้ก็กระจายทั่วหมู่บ้านมีชาวบ้านมากราบเรียนถามท่านถึงแสงนวลดังกล่าวแต่ท่านก็มิได้ให้ความกระจ่างอันใดเพราะ หลวงปู่นิลไม่ใช่พระอวดโอ้สรรพคุณ จนได้รับคำบอกเล่าจากพระอาจารย์กลั่น เขมจาโร ว่าแสงที่พบนั้นคือ ดวงธาตุ ซึ่งประกอบด้วย นะมะพะทะ ได้แก่ ดินน้ำลมไฟ เป็นวิชาที่หลวงปู่นิลท่านใช้หนุนไสยศาสตร์ระหว่างปลุกเสกให้ของขลังอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยมยิ่งขึ้น ท่านร่ำเรียนวิชานี้เป็นเวลากว่าสี่สิบปี จนสำเร็จบรรลุซึ่งวิชาพระธาตุกัมมัฏฐานนี้ ในปัจจุบันนี้มีพระผู้สำเร็จเพียงสองสามองค์เท่านั้น เพราะเป็นวิชาที่เรียนยากที่สุด
    หลวงปู่นิลท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้ถือสมถะไม่โอ้อวดถือตนว่าเก่งกาจ ใครไปมาหาท่านจะได้รับแต่ความเมตตาจากท่านโดยทั่วกัน ท่านมีตำรายาแพทย์แผนโบราณ ซึ่งท่านเคยได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ฆราวาสคนหนึ่งชื่อ “หมอแดง” เมื่อครั้งท่านยังเป็นพระภิกษุหนุ่ม จนมีความเชี่ยวชาญรักษาชาวบ้านผู้เจ็บไข้ได้ป่วยมาขอยาท่านไปกินเป็นประจำมิได้ขาด ไม่ว่าจะดึกดื่นเที่ยงคืนเพียงใดเรียกท่านได้ทุกเวลา และยาแผนโบราณหลวงปู่นิลนั้นสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ผลหายไอย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นท่านจึงเป็นที่พึ่งของชาวบ้านในละแวกนั้น ไม่ว่าใกล้หรือไกลต่างให้ความเคารพนับถือท่านอย่างจริงใจกันทุกคน
    หลวงปู่นิลได้สร้างวัตถุมงคลครั้งแรกเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๖ คือเหรียญรูปไข่ “พระครูนครธรรมโฆสิต” ครบ ๖ รอบ ในปลายปีเดียวกัน ได้สร้างเหรียญ “ที่ระลึกในงานทำบุญ อายุครบ ๗๒ ปี ๒๕๑๖ ขึ้นอีกแต่เป็นเหรียญใบเสมา ทั้ง ๒ เหรียญได้รับความนิยมสูงและหายากมากนอกจากเหรียญยอดนิยมดังกล่าวแล้ว หลวงปู่นิลได้จัดทำสีผึ้งเมตตามหานิยมแจกประชาชนที่ท่านเห็นสมควรด้วย ปรากฏประสบการณ์มากมายว่าผู้ที่ได้รับสีผึ้งจากหลวงปู่นิลแล้วนำไปทาริมฝีปากจะส่งผลให้เกิดเมตตามหานิยมสูง เจรจาขอความช่วยเหลือจากผู้ใดมักจะได้รับความสำเร็จเสมอ
    ในปี ๒๕๒๓ คณะกรรมการวัดครบุรีไดสร้างพระกริ่งรูปเหมือนหลวงปู่นิล อันเป็นรุ่นฉลองครบอายุ ๗๘ ปี และเหรียญรูปเหมือนชินตะกั่ว หลังจากอักขระยันต์ ในการสร้างเหรียญรูปเหมือนชินตะกั่วนี้หลวงปู่นิลท่านกดแม่พิมพ์ด้วยมือของท่านเองและจารอักขระบนเหรียญด้านหลังพร้อมกับบริกรรมคาถากำกับลงไปทีละองค์ จนกว่าจะแล้วเสร็จซึ่งการจารอักขระนี้หลวงปู่นิลได้ทำในโบสถ์เพียงองค์เดียว จากนั้นท่านจึงนำพระกริ่งรูปเหมือน รุ่นครบรอบ ๗๘ ปี กับเหรียญชินตะกั่ว เข้าพิธีปลุกเสกเดี่ยวในโบสถ์นานที่สุด ก่อนนำออกแจกจ่ายให้ญาติโยมที่มาร่วมทำบุญกับท่านนำไปบูชา ผู้ที่ได้รับไปต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดีทางแคล้วคลาด เมตตามหานิยมและอยู่ยงคงกระพัน พระกริ่งรูปเหมือนและเหรียญรูปเหมือนชินตะกั่วรุ่นนี้ ได้แสดงปาฏิหาริย์มาแล้วหลายครั้ง จากปากต่อปากว่า ดีเด่นในทุกด้านชาวบ้านเมื่อทราบถึงกฤตยาคมอิทธิวัตถุมงคลรุ่นนี้ต่างเหมารถมาขอเช่าบูชาจากวัดมิได้ขาด แต่เป็นที่น่าเสียดาย พระกริ่งรุ่นนี้สร้างมาเพียงจำนวนน้อยมาก จึงไม่พอเพียงกับความต้องการของสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาอยากได้ไว้บูชา


    บั้นปลายชีวิตท่านอาพาธด้วยโรคชรา เข้ารักษาที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2536 และมรณภาพด้วยอาการอันสงบเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2537 เวลา 03.55น. รวมสิริมายุได้ 92 ปี 6 เดือน 72 พรรษา พระราชทานเพลิงศพเมื่อวันเสาร์ที่ 9 ก.พ. 2545
    หลวงปู่นิลนั้นท่านเก่งทางพ่นน้ำหมาก เสกน้ำมนต์ จารใบพลู เขียนผ้ายันต์ ผูกด้ายสายสิญจน์ ลงตะกรุด ลงกระหม่อม หุงสีผึ้งเมตตา ดูฤกษ์ยาม ปรุงยาสมุนไพร ฯลฯ โดยสงเคราะห์ชาวบ้านในละแวกวัดมาตั้งแต่บวชได้ 2 พรรษาแรก
    แม้จะมีดีเพียงใด แต่ท่านดำรงตนอย่างสมถะ ไม่โอ้อวดถือตนว่าเก่งกาจ ใครไปมาหาท่านจะได้รับความเมตตาโดยทั่วกัน
    วัตถุมงคลของท่านแบ่งได้เป็น 5 ยุคคือ
    1.ยุคต้นก่อนพ.ศ.2512 สร้างเฉพาะเครื่องรางของขลัง อาทิ ตะกรุดไม้รวก,สีผึ้ง
    2.ยุคแรก พ.ศ.2513-2520 สร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆเป็นรุ่นแรก อาทิ รูปถ่ายขาว-ดำ หลังยันต์หมึกซึมพ.ศ.2514 ,เหรียญรูปไข่,เหรียญเสมา,รูปหล่อโบราณ ปี2516 ฯลฯ
    3.ยุคบรรจุกรุ พ.ศ.2523 มีเหรียญรูปไข่,เหรียญซุ้มนาคราช ,พระกริ่ง-ชัยวัฒน์ ฯลฯ
    4.ยุคโบสถ์เก่า พ.ศ.2524-2533 มีเหรียญรูปไข่ทองแดงรมดำ ที่ระลึก 80 ปี,เหรียญหยดน้ำ,เหรียญที่ระลึกฉลองมณฑป,เหรียญสี่เหลี่ยมพัดยศ ฯลฯ
    5.ยุคสร้างโบสถ์ใหม่ พ.ศ.2534-2537 มีเหรียญหยดน้ำข้างลายกนก-เหรียญพระปางลีลา สมทบทุนสร้างโบสถ์ใหม่,เหรียญรูปไข่ยันต์ข้างและเหรียญอาร์มทองแดงลงยา ฯลฯ
    ส่วนพระปิดตามี เนื้อชานหมากรุ่นแรก ปี2523,พระปิดตาเล็บมือยันต์ข้าง,พระปิดตาสี่ทิศ,พระปิดตาจัมโบ้ ฝังตะกรุด,เหรียญพระปิดตานั่งบัว พิมพ์หยดน้ำ เนื้อตะกั่วเถื่อน ฯลฯ
    ด้านพุทธคุณนั้น กล่าวขานกันว่าไม่เป็นสองรองพระเกจิอาจารย์องค์ไหน ไม่ว่าจะด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชายกชุด ๓ องค์ ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    img_20250730_180330-jpg.jpg img_20250730_180357-jpg.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,509
    ค่าพลัง:
    +21,422
    วันนี้จัดส่งข
    1754987753300.jpg

    อบคุณครับ
     
  7. sunmk

    sunmk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    1,459
    ค่าพลัง:
    +1,231
    จองล.ป.นิล/พระสมเด็จรัศมี/พระลป.สุภา
     

แชร์หน้านี้

Loading...