หาเพื่อนร่วมทดลอง ด้านวิทยาศาสตร์ทางจิตใจ

Discussion in 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' started by Plagruy, Aug 12, 2010.

Tags: Add Tags
  1. Plagruy

    Plagruy เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Aug 11, 2010
    Messages:
    196
    Ratings:
    +130
    ;aa35

    ผมเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งอะนะ อายุก็น้่อย ทนๆอ่านกันหน่อยนะครับ

    ผมอยากหาเพื่อนร่วมกันพัฒนาวิทยาศาสตร์ทางจิตไปพร้อมๆกันครับ
    หาเพื่อนมาแลกเปลี่ยนความรู้กันแบบไม่ปิดกัน บนพื้นฐานที่ว่าจิตใจนั้นมีอยู่จริง

    จุดประสงค์ โลกในตอนนี้ใกล้เข้าสู่ยุคที่คนสนใจด้านจิตวิญญาณมากขึ้นเยอะ
    แล้วทำไมเราไม่เริ่มก้าวกันไปอย่างเป็นระบบละครับ
    หลักๆคือความต้องการที่อยากพัฒนาด้านจิตใจให้กับคนทั่วไปไม่เกี่ยงศาสนา ไม่เกี่ยงลัทธิ ไม่เกี่ยงวิชา
    (ความต้องการของอาจารย์หลายๆท่านมารวมกัน)

    ปัจจุบันมีการหลอกลวงเยอะมาก และมีสิ่งที่คลุมเครือ
    หากแต่ไม่ค่อยมีคนพิสูจน์โดยที่คนที่พิสูจน์มีความสามารถในด้านจิตวิญญาณ
    รวมถึงทดลองผลที่เกิดขึ้น คือไม่ค่อยมีคนรวมตัวคิดแบบเป็นระบบนั่นแหละ
    ความสามารถทางด้านจิตวิญญาณจึงกลายเป็นเรื่องงมงาย คลุมเครือ น่ากลัว

    สิ่งที่อยากหาเพื่อนมาร่วมกันคิดร่วมกันทดลองคือ
    ช่วยกันพิจรณาฝึกฝนว่าสิ่งใดในทฤษฏีและวิชาต่างๆบ้าง
    ที่ในศักยภาพของแต่ละคนสามารถทำได้จริง สัมผัสได้ เพื่อรวบรวมองค์ความรู้เผยแพร่ต่อไป

    ยกตัวอย่างสิ่งที่ผมทดลองหรือมั่นใจแล้วว่าสามารถทำได้จริง เช่น
    - พลังจิตที่ถ่ายทอดผ่านเสียงสัมผัสได้จริง เช่น สวดมนต์
    - การรักษาคนด้วยพลังจิต
    - การดึงพลังจากแหล่งต่้างๆ
    - กรรม และเจ้ากรรม มีอยู่จริง สัมผัสได้จริง
    - พลังในวัตถุต่างๆ การถ่ายพลังเข้าสู่วัตถุ
    - สุขภาพจิตใจเกี่ยวข้องกับร่างกาย
    - ระบบจักระ ระบบออร่า ระบบเส้นลมปราณ สามารถสัมผัสได้จริง
    - ทฤษฏีเรื่องจิตใต้สำนึกสามารถใช้ได้จริง
    ฯลฯ

    สิ่งที่คลุมเครือ เช่น
    -สิ่งของหรือเวลาที่ถูกกำหนดให้ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ บางอย่างก็ไม่มั่นใจว่าจำเป็น
    -หลักการเกี่ยวกับการฝึกบางวิชา ที่แต่ละสำนักวิธีก็คนละเรื่อง
    ยังหาวิธีที่ง่ายต่อจริตคนทั่วไปให้มากเท่าที่หาได้ยังไม่ดีพอ หรือยังไม่เคยพบคนฝึกสำเร็จ
    -ทฤษฏีเกี่ยวกับประเภทของภูติผีต่างๆ คนแต่ละแห่งก็มีความรู้ต่างกัน ยังคลุมเครือ
    ฯลฯ

    จุดเริ่มต้นของความสนใจคือ งานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติ
    แต่สิ่งที่พบคือ แต่ละสำนักไม่ค่อยมีที่คุยแลกเปลี่ยนความรู้กันซ้ำยังมีพาดพิงกันอีก
    แถมความรู้ที่คลุมเครือ และของที่ขาย พูดตรงๆบางทีก็มีการหลอกลวง
    ที่ผ่านมาผมได้ศึกษาและฝึกฝนจิตวิญญาณจากที่ต่างๆ รวมถึงความรู้ท้องถิ่น
    ศาสนาอื่นก็ได้ทดลองฝึก เช่น พุทธมหายาน Wicca เต๋า
    ก็ได้เข้าใจว่าจิตใจนั้นไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มเล็กๆเลย
    จึงอยากหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ครับ ไม่ต้องทำอะไรมาก
    แค่ทดลองฝึกฝนว่าได้ผลเป็นเช่นไร แต่ละคนฝึกออกมาผลต่างกันมากไหม
    หรือหากมีโอกาศก็ร่วมกันใช้ความสามารถเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ยังคลุมเครือต่างๆ
    เพื่อเผยแพร่ความรู้ที่พิสูจน์แล้วต่อไป

    หากผมพูดอะไรผิดไปก็ขอโทษด้วยนะครับcatt24




    ปล.เริ่มต้นโดยการโพสต์ประสบการณ์ที่ประสบกับตนและสาเหตุหรือวิธีฝึกก่อนครับ
    แล้วค่อยเจาะกันไปทีละหัวข้อที่สนใจ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 22
    • List
  2. ณธร

    ณธร Active Member

    Joined:
    Jun 4, 2010
    Messages:
    10
    Ratings:
    +74
    ผมเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ครับ ผมมีความคิดว่าผู้ที่ต้องการหรือผู้มีหน้าที่ในการเผยแผ่พุทธศาสนา(ขอเน้นที่พุทธศาสนาเพราะผมเป็นชาวพุทธครับ)น่าจะมีการรวบรวมองค์ความรู้ให้เป็นแนวทางเดียวกันที่ชัดเจนแล้วถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้และปฏิบัติโดยใช้สำนวนภาษาที่เข้าใจง่ายและเป็นสำนวนที่ใช้ในปัจจุบันพร้อมทั้งต้องมีการตั้งสมมติฐานหรือทฤษฎีในเชิงวิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ ศาสตร์ด้านจิตวิทยาหรือศาสตร์ด้านอื่นๆ เพื่อสนับสนุนคำสอนของพระพุทธเจ้า(ผมขอย้ำว่าเพื่อสนับสนุนนะครับมิใช่เพื่อจับผิดหรือท้าพิสูจน์ใดๆทั้งสิ้นเพราะส่วนตัวผมเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์เต็มร้อยอยู่แล้วครับ)เพราะชนรุ่นหลังๆนี้จะใช้ศรัทธาในการเผยแผ่อย่างเดียวไม่ได้เพราะคนในยุคนี้จะเชื่ออะไรต้องมีทฤษฎีหรือสมมติฐานมารองรับ รวมถึงทฤษฎีว่าด้วยบาป-บุญสนองตอบเราได้อย่างไร สวรรค์ นรก ภพภูมิต่างมีอยู่อย่างไรแล้วบรรจุเข้าหลักสูตรทางการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาล-ปริญญาเลย เพื่อปลูกฝังให้เด็กยุคใหม่มีความเกรงกลัวและละอายต่อบาป ผมยกตัวอย่างทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลที่มีผู้ตั้งทฤษฎีบิ๊กแบงขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงยังพิสูจน์ไม่ได้แต่ก็มีคนเชื่อเพราะดูแล้วเป็นทฤษฎีที่เป็นไปได้มากที่สุด
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 6
    • List
  3. Hikikomori

    Hikikomori เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Apr 14, 2008
    Messages:
    508
    Ratings:
    +326
    เรื่องจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ต้องรับรู้ได้ตัวเองเท่านั้นถึงจะเชื่ออย่างสนิทใจ โปรดเชื่อในการทำดีของตนไว้ครับจึงจะพบแต่กับสิ่งที่ดีๆ ขอให้โชตดีนะครับในการค้นหาตัวเอง
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 5
    • List
  4. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Nov 17, 2005
    Messages:
    1,565
    Ratings:
    +7,747
    ผมเห็นด้วยกับผู้ตั้งกระทู้ครับ

    การเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางจิตเริ่มที่การเรียนรู้ธรรมะพื้นฐาน(ทาน ศีล ภาวนา)พร้อมการฝึกฝนปฏิบัติสมถะกรรมฐาน และการเรียนรู้ธรรมะขั้นสูงขึ้น(ศีล สมาธิ ปัญญา)พร้อมการฝึกฝนปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

    การฝึกสมถะกรรมฐานเป็นการปรับเส้นคลื่นสมองให้มีความต่อเนื่องเป็นเส้นกราฟ Sine Wave ที่ชัดเจน คือไม่มีรอยหยุกหยิกยุ่งเหยิงอยู่บนเส้นคลื่น หากเข้าสู่ฌานสามความถี่คลื่นสมองจะอยู่ราวๆ 5 - 8 Hertz ความเรียบคมของเส้นคลื่นจะดีพอสมควร ถ้าหากเข้าสู่ฌานสี่ความถี่คลื่นสมองจะอยู่ราวๆ 1 - 4 Hertz ความเรียบคมของเส้นคลื่นจะดีมากๆ

    การฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหรือการฝึกสติจะทำให้คลื่นสมองมีความว่องไวสูง ความถี่ของคลื่นสมองที่พบจะอยู่ราวๆ 70 - 100 Hertz

    แต่ช่วงความถี่คลื่นสมองของคนที่ความคิดวุ่นวายสับสนกลับอยู่ในช่วง 20 - 40 Hertz ซึ่งเป็นช่วงความถี่คลื่นตรงกลาง

    ถ้าเราฝึกให้คลื่นสมองมีความเรียบคมของเส้นคลื่นมีมากๆพร้อมกับฝึกให้มีความถี่สูงๆพร้อมๆกันเราจะได้คลื่นสมองที่ทรงพลังมากๆมีพลังงานทางจิตสูงมาก

    ดังนั้นสมถะกรรมฐานจึงต้องฝึกควบคู่ไปกับวิปัสสนากรรมฐานจึงจะดีเยี่ยม พระพุทธองค์ทรงรู้สิ่งเหล่านี้และนำมาสอนถ่ายทอดและให้พระอรหันต์บันทึกไว้ ในพระไตรปิฎกให้เราไดเรียนได้ฝึกกัน พระพุทธองค์ทรงเป็นยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์เอกของโลก
     
    Last edited by a moderator: Aug 12, 2010
    • ถูกใจ ถูกใจ x 10
    • List
  5. mozard002

    mozard002 เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Mar 15, 2007
    Messages:
    202
    Ratings:
    +433
    น่าสนใจครับ

    ผมเองเคยลองกสินไฟดู ผลที่ได้คือเชื่อเลยครับว่าอภิญญามีจริง และไม่เกินวิสัยที่จะทำ แต่มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่กำลังของแต่ละคน
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 4
    • List
  6. Plagruy

    Plagruy เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Aug 11, 2010
    Messages:
    196
    Ratings:
    +130
    ดีใจครับที่มีคนเห็นด้วย ต่อจากนี้ก็มาคุยกันแบบไม่ปิดกั้นนะครับ
    ตัวผมเองประสบการณ์น้อย ฝากตัวด้วยนะครับ
    ถ้ามีคนสนใจเยอะๆ อาจหาเว็บบอร์ดไว้เก็บข้อมูล

    การฝึกฝนจิตใจ ข้อดีมีเยอะครับ ถ้าหากเผยแพร่ได้ไม่ใช่แค่พัฒนาคนแต่ถึงขั้นสันติภาพ
    ปัจจุบันคนเจ็บป่วยส่วนใหญ่ก็เพราะเกิดจากจิตใจ ศาสตร์พวกนี้เลยนิยมมากขึ้นทั่วโลก
    เมืองไทยมีพื้นฐานด้านนี้อยู่มากแล้ว และผมคิดว่าคงมีคนที่คิดเหมือนผม
    จิตใจที่มีความมุ่งหมายเดียวกันย่อมได้ผลทวีคูณกว่าการทำอะไรคนเดียว
    เห็นเป็นกัลยาณมิตรกันครับ คุยกันได้ทุกศาสนานะครับไม่เกี่ยงเรื่องพิธีกรรม

    วิทยาศาสตร์ทางจิต เห็นแปลกันหลายอย่างมาก
    ผมแปลง่ายๆว่า ใช้แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์บนตัวแปรที่ว่ามีจิตใจอยู่จริง

    ตอบคุณ tossapornk
    การฝึกสติผมสรุปว่า พอฝึกสติ=จิตรวมอยู่ ณ จุดเดียว(อาจรวมถึงอารมณ์เดียวด้วย) จิตใจมีพลัง(พละ5)
    =มีพลังจิตเพื่อใช้ในการอื่นๆ การใช้ความคิด ควบคุมร่างกาย รวมถึงวิปัสนาญาณ
    ส่วนเรื่องคลื่นสมอง เท่ากับว่าร่างกายได้พักในเวลาที่สงบมากๆ(เข้าฌานต่างๆ) อันนี้คือทีผมสรุปไม่รู้ถูกไหมครับ

    ตอบคุณมีแค่นี้
    เรื่องกสิณไฟ ผมก็เคยฝึก ผลที่ได้ยังไม่แน่ใจเลยครับ
    แต่ถ้าใช้ในการรักษาคนอื่นก็ช่วยได้คือจะสร้างมโนภาพไฟหรือสีสดๆได้ง่ายขึ้น
    ตัวผมเองฝึกโดยเพ่งเทียนบางครั้งใส่ไม้กับกระดาษชิ้นเล็กๆลงไป ฝึกในห้องมืดลมน้อยๆ
    บริกรรมว่าไฟ หรือ เตโชกสิณัง สักพักก็หลับตา แล้วก็เพ่งใหม่สลับกันไป
    ที่เห็นเป็นดวงกสิณจะเห็นเป็นสีแดงๆช่วงแรกแล้วตอนหลังจะเห็นเป็๋นจุดขาวเล็กมากๆ
    ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่ภาพหลอกของจิต แต่ก็ไม่มีความรู้ด้านนี้เหมือนกัน
    ลองเล่ามาหน่อยครับว่าอภิญญาที่เกิดขึ้นกับคุณเป็นยังไงบ้าง
    แล้ววิธีฝึกฝึกยังไงเพราะกสิณไฟมีหลายวิธีหลายสำนักมาก
    หากมีผู้รู้ด้านนี้เสนอแนะได้นะครับ หากผิดพลาดก็ขอโทษด้วย
     
    Last edited: Aug 13, 2010
    • ถูกใจ ถูกใจ x 5
    • List
  7. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Jan 7, 2009
    Messages:
    903
    Ratings:
    +979
    ถ้ามีคนเอาความจริงมาบอกคุณจะพิสูจน์มันหรือปิดกั้นล่ะจ้ะ
    ปล.เพราะเหตุผลนี้คนเก่งๆในนี้จึงฝึกคนเดียวเยอะ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 3
    • List
  8. dragonman

    dragonman Active Member

    Joined:
    Aug 13, 2010
    Messages:
    44
    Ratings:
    +64
    Test

    Just Test cos I'm just a newbies 123456789
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List
  9. dragonman

    dragonman Active Member

    Joined:
    Aug 13, 2010
    Messages:
    44
    Ratings:
    +64
    ถ้าใครที่สนใจเรื่องนี้

    ถ้าใครที่สนใจเรื่องนี้ อยากแลกเปลี่ยนวิชาความรู้เมล์มาที่ deeyman555@hotmail.com
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 3
    • List
  10. mozard002

    mozard002 เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Mar 15, 2007
    Messages:
    202
    Ratings:
    +433
    เวลาฝึกกสินแล้วจิตเริ่มสงบลงเล็กน้อย ก็สร้างภาพในใจว่าเปลวเทียนสูงขึ้นๆ สักพักเปลวไฟมันก็ค่อยๆสูงขึ้นๆ แล้วก็ถอนสมาธิออก

    ตอนหลังมาคิดได้ว่ายิ่งต้องการมันก็ยิ่งไม่ได้ เลยลองตัดความต้องการออกเล่นฤทธิ์ออก ผลคือสมาธิดีกว่าตอนแรก รู้สึกเบาใจกว่ากันมาก ตอนนี้เลยไปทางสมาธิค่อนข้างมาก เรื่องฤทธิ์เป็นผลพลอยได้ ถามว่าตอนนี้ทำได้ไหม บอกเลยว่าไม่ได้ แต่ถ้าจะลองอีกครั้งก็ไม่แน่ ผมเลือกที่จะไม่ฝึกทางฤทธิ์มากเท่าไหร่แล้ว ตอนนี้ก็อานาฯเพียงอย่างเดียวสบายใจกว่ามากครับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 3
    • List
  11. dragonman

    dragonman Active Member

    Joined:
    Aug 13, 2010
    Messages:
    44
    Ratings:
    +64
    ตอบ : คุณมีเท่านี้
    เปลวไฟสูงขึ้นเรื่อยๆ : แสดงว่าสมาธิเริ่มจับตัวแล้วครับ
    ถ้าฝึกให้ชำนาญจะควบคุมได้ ไม่ต้องรอว่าใจเราจะฟลุคไปเป็นสมาธิเมื่อไหร่
    โดยปรกติถ้าใจเราสงบซักพักหนึ่งจิตจะเป็นสมาธิเองอัตโนมัต แต่ถ้าไม่มีความชำนาญ ก็จะออกจากสมาธิมาเองไม่สามารถควบคุมได้
    การที่บอกว่ายิ่งต้องการยิ่งไม่ได้ ให้ควบคุมความต้องการ(ควบคุมใจ)ให้ได้
    ความอยากมีมากทำให้ใจกระเพื่อมไม่เป็นสมาธิ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List
  12. dragonman

    dragonman Active Member

    Joined:
    Aug 13, 2010
    Messages:
    44
    Ratings:
    +64
    ขออภัย แก้จาก คุณมีเท่านี้ เป็น คุณมีแค่นี้ ครับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List
  13. Plagruy

    Plagruy เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Aug 11, 2010
    Messages:
    196
    Ratings:
    +130
    ตอบคุณdragonman ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ตัวผมเองก็เคยทำไฟสูงขึ้น คมขึ้น
    เคยมีเพื่อนคนนึงบอกว่าเป็นการละเล่นพื้นบ้านแถบภาคใต้ไทยเราด้วย ในหนังสือของฝรั่งก็มีการฝึกเหมือนกัน


    ปกติพูดไม่ค่อยเป็น พิมพ์ผิดพิมพ์ถูกก็ขออภัยนะครับ catt26
    พยายามอธิบายเรื่องเจตนารมณ์

    ความจริงแล้วศาสตร์ต่างๆแค่มองกันคนละมุมมอง เช่น ร่างกายคน
    ถามว่าร่างกายคนประกอบด้วยอะไร
    -เซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะ นี่คือกายวิภาคศาสตร์
    -ดิน+น้ำ+ลม+ไฟ+จิตใจ นี่คือความรู้พื้นฐานของหลายศาสนา
    -จิต(ที่เป็นสติ)+สารจำเป็น เกิดเป็นเส้นลมปราณ+อวัยวะที่เทียบเป็นธาตุทั้ง5 นี่คือทฤษฏีการแพทย์แผนจีน
    -กายหยาบ+ออร่า นี่คือความรู้พื้นฐานในหลายลัทธิ
    -กายหยาบ+จักระ นี่คือความรู้พื้นฐานในหลายลัทธิ
    -ตามแพทย์ทางเลือกสมัยใหม่ ที่บอกร่างกายคนมีเส้นทางกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า
    -ควอนตัมฟิสิกส์ที่บอกว่า สิ่งต่างๆมีอนุภาคขนาดเล็กเหมือนกันรวมถึงร่างกายคนด้วย
    แล้วถามว่าคุณเชื่อความรู้ไหน
    ผมว่ายังไงคนส่วนใหญ่ก็เชื่อข้อแรกก่อน เพราะพิสูจน์ได้ง่ายคือผ่าแล้วส่องกล้อง
    ใช้การรับรู้จาก ตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส และประสบการณ์ จากอุปกรณ์อีกทีได้
    แต่หากว่าคุณใช้หลักการวิทยาศาสตร์ทางจิต ใช้จิตเข้าไปเป็นตัวแปรในการรับรู้ด้วยซึ่งมีหลายวิธี
    ก็ต้องบอกกันตรงๆว่า พิสูจน์ทุกอันด้วยการรับรู้ทางจิตเพิ่มขึ้นด้วยก็น่าจะยอมรับทุกความรู้

    เคยมีท่านนึงเคยสอนผมว่า
    รู้มากไปนั้นเป็นโทษ รู้น้อยไปก็เป็นโทษ

    อาจารย์อีกท่านนึงสอนว่า
    จงอย่าเชื่อถือยึดมั่นหรือปฏิเสธเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง


    ผมขอยกตัวอย่างละกัน
    เคยมีข่าวพระสงฆ์รูปหนึ่งรักษาชาวบ้านด้วยการหวดไม้จนหลังชาวบ้านแดงไปหมดก็หายโรค
    แต่ที่เป็นข่าวเพราะบางคนโดนหวดแรงจนทำอันตรายต่อเซลล์ จนเป็นซิสด์ เป็นเนื้องอก เป็นเนื้อร้าย ถึงขั้นต้องตัดอวัยวะทิ้ง
    ถามว่ารู้น้อยเป็นโทษได้ไหม ก็คงต้องเห็นด้วย

    ในอีกกรณี มีคนหนึ่งพึ่งเริ่มศึกษาวิชาพื้นฐานชี่กง แต่ไปหาซื้อหนังสือ
    รวมถึงถามคนตามเว็บบอร์ดมากมายว่าฝึกสำเร็จแล้วความรู้สึกเป็นเช่นไร ทำอะไรได้บ้าง
    ในตอนฝึกจิตใจก็เฝ้าแต่คิดว่าเด๋วจะทำนู่น ทำนี่ ต้องทำตามที่เขาแนะนำอย่างงี้อย่างงั้น
    แต่กลายเป็นว่าตัวเองกลับฝึกได้ช้ากว่าคนอื่นๆ
    อันนี้ก็คือรู้มากเป็นโทษ จากความเห็นส่วนตัวมักเกิดเฉพาะคนเริ่มฝึกอะไรใหม่จริงๆ
    โดยไม่แยกแยะความสำคัญระหว่างเวลาที่ฝึกและเวลาอื่นๆ
    ซึ่งถ้ามีอาจารย์เก่งๆก็ให้ทำตัวเป็นแก้วที่ว่างเปล่า เพื่อรับฟังความรู้แม้จะรู้แล้วก็ตาม
    แต่จากประสบการณ์อีกนั่นแหละ พอได้คิดว่าตัวเองนั้นมีฝีมือมีความสามารถมากกว่าคนอื่นก็จะมีทิฐิสูงขึ้น
    โดยเฉพาะศาสตร์ทางจิต อาจารย์มักคิดว่าทางของตัวเองนั้นดีที่สุดแล้วได้ผลดีที่สุด
    แต่ความจริงก็คือ ไม่มีวิชาอะไรดีที่สุดในทุกมุมมอง แล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีประโยชน์
    โดยเฉพาะหากจะสอนให้คนหลายคนที่มีจริตมากมายฝึกฝนนั้น ศาสตร์ๆเดียวไม่สามารถรองรับได้หมด
    ดังนั้นผมคิดว่า เราไม่ควรพยายามพัฒนาแต่ศาสตร์ที่เราชอบเป็นการส่วนตัว
    แต่ควรพัฒนาทุกศาสตร์ที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ว่ายังคลุมเครืออยู่ หรือ
    ให้กลายเป็นของที่คนทั่วไปพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง เหมือนส่องกล้องจุลทัศน์ดูเซลล์นั่นแหละ
    คือรวมองค์ความรู้ให้กลายเป็นศาสตร์วิทยาศาสตร์ทางจิต
    ใครอยากฝึกก็ฝึก ไม่ต้องเสียตัง ไม่ต้องเสียเวลามากมาย ศาสตร์ใหม่ของโลกนี้
    เหมือนวิชาภาษาไทย ก ข ค ภาษาอังกฤษ A B C
    แต่ไม่ได้ไปว่าไปกล่าวหาความเชื่อใครว่างมงาย แค่บอกว่ายังคลุมเ้ครือ

    ผมขอยกตัวอย่าง ไหนๆก็ยกเรื่องชี่กงและ ปัจจุบันมีคอร์สชี่กงขั้นสุดท้ายด้วยคอร์สรวมแล้วเป็นแสน
    มีคนเล่าให้ผม แต่ไอ้วิชานั้น มันมีสอนทั่วไปฟรีโดยอาจารย์เก่งๆ แต่คนเรียนกลับไม่ถึง100คน
    ตรงข้ามกับคนที่ไปยอมเสียทั้งเวลาทั้งตัง เป็น1000ๆคน
    เหตุเพราะอาจารย์แกเล่นสอนตั้งแต่ตี4 แถมไม่ค่อยโฆสนาเนี่ยแหละ คนเลยไม่ค่อยไปเรียน

    ว่ากันเรื่องใช้จิตพิสูจน์ต่อ จิตใจคนมันก็มีข้อเสียด้วยส่วนใหญ่เพราะพลังจิต
    เช่น ผมบอกให้นึกถึงพระอาทิตย์ จิตคุณก้ไปถึงพระอาทิตย์ทันทีไวกว่าความเร็วแสงอีก
    หากควบคุมพลังจิตได้อานุภาพก็จะมากมาย ซึ่งศาสตร์โบราณต่างๆก็ได้สอนวิธีฝึกฝนมากมาย
    แต่ในปัจจุบันถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดก็มี เช่น นำไปใช้เล่นมนต์ดำทำร้ายกัน
    นำไปแสวงหากำไร หลอกลวงจากศรัทธา ฯลฯ โดยที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้
    หากองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางจิตนั้นมีคนรู้มากแค่เท่ากับรู้ว่าใช้เครื่องไฟฟ้ายังไง
    ประโยชน์ในทางที่ดีก็จะมีมาก ส่วนในทางที่ไม่ดีก็จะช่วยให้ลดลง
    โดยเข้าใจถึงการป้องกันมนต์ดำต่างๆ เข้าใจถึงกลไกและไม่ถูกหลอกลวง
    แถมยังยกระดับจิตใจของมนุษยชาติอีกด้วย

    มีใครสงสัยเจตนาีรมณ์ผมอีกก็เสนอแนะมาได้นะครับ
    หากถ้าไม่ถูกจริตหรือไม่ถูกศีลที่ท่านประพฤติอยู่ก็ขออภัยด้วย
    ผมไม่ได้บังคับให้มาร่วมกันพัฒนานะครับ คิดซะว่าผมเป็นคนเพี้ยนอีกคนก็พอ
    ผมแค่เห็นว่าสื่ออินเตอร์เนตเป็นสื่อที่เหมาะสมที่สุดที่จะเริ่มเรื่องนี้
    รู้ไม่รู้ เป็นไม่เป็น ก็ไม่เป็นไร หากแต่มาช่วยกันทำ เหมือนเป็นWikipediaนั่นแหละ

    ความจริงกะจะตั้งเป็นหัวข้อแต่ละเดือนว่าจะพูดเรื่องอะไร เช่น
    เดือนนี้จะคุยเรื่องจักระ เดือนนี้คุยเรื่องพลังจิต เดือนนี้คุยเรื่องยันต์
    แต่ตอนนี้อยากให้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวนำกันไปก่อน
    เพราะไม่รู้ว่าจะมีคนมาร่วมด้วยเยอะไหม+ช่วงนี้ผมธุระเยอะ
     
    Last edited: Aug 14, 2010
    • ถูกใจ ถูกใจ x 5
    • List
  14. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    Jul 15, 2008
    Messages:
    2,063
    Ratings:
    +2,676
    เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ครับ
    เป็นความคิดที่ล้ำสมัยมากครับ
    ก่อนจะทดลองอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับจิตนั้น ที่ว่าด้วยเรื่องจิตนั้นมีอยู่จริงก่อนอื่น
    ควรนำหลักหรือแม่บทของการศึกษาทางจิตวิญญาณไปทดลองด้วยตัวท่านเองก่อนนะครับ

    ข้อมูลแบบปฐมภูมิมีอยู่แล้วนั่นก็คือแนวทางในการปฏิบัติที่จารึกและเรียบเลียงตลอดจนมีการแปลจากต้นฉบับ(พระธรรม) ลองนำมาศึกษาและเปรียบดูนะครับ ถึงแม้บางครั้งอยากจะประดิษฐ์หรือหาความหมายที่อธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ในวันข้างหน้านั้นก็ควรหยิบยกข้อมูลเก่าที่มีอยู่แล้วด้วย

    เพราะส่วนใหญ่นะครับสมัยนี้หาและประดิษฐ์คำใหม่ๆอยู่เสมอๆราวกับเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นและเขาคนนั้นเป็นผู้ค้นพบเป็นคนแรก แต่จริงๆแล้วเกือบจะทั้งหมดได้มีการค้นพบมานานแล้วในพระธรรมของพระศาสดา

    การมีอยู่ของจิตนั้น ทุกคนมีกันทั้งนั้นแหละครับเพียงแต่ไม่สังเกตุกันเฉยๆ
    พลังงานของจิตนี้ก็มีอยู่จริงในรูปแบบของพลังที่ยังไม่สามารถสรุปได้ด้วยการนึกคิดอย่างแน่นอน แต่เป็นพลังงานที่สามารถสัมผัสได้จริง


    ผมมีความใคร่ขอความกรุณาในการระมัดระวังเกี่ยวกับพลังงานของจิตที่ยังไม่บริสุทธิ์การทดลองที่อยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน อาจจะมีความเสี่ยงมาก
    อย่างไรก็ดีขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 4
    • List
  15. dragonman

    dragonman Active Member

    Joined:
    Aug 13, 2010
    Messages:
    44
    Ratings:
    +64
    ตอบคุณ Plagruy
    พอดีผมกำลังจะก่อตั้ง web และรวบรวมผู้มีความสามารถทางจิต เพื่อแลกเปลี่ยน วิชา , เทคนิค และ share ประสบการณ์กัน เพราะกลุ่มแนวนี้เข้าใจเองว่าเล็กมาก และค่อนข้างปิดตัวกัน
    สำหรับ line ที่ผมสนใจจะเป็น อำนาจจิตบังคับวัตถุ ซึ่งก็พอมี 2-3 คนแล้ว
    ซึ่งคนเหล่านี้ขยับวัตถุได้ ผมเคยเห็นมันลอยขึ้นด้วยน่ะ (no sling , no magnetic ) ทดลองซ้ำได้(repeating) และเป็นการทดสอบแบบ close up และทดสอบในแบบหลายรูปแบบจนมั่นใจ
    มีพี่ท่านหนึ่งยังติดต่อไม่ได้ ในกลุ่มพี่เขามีคนลอยตัวได้ ดับเทียนได้
    ส่วนตัวแก พลักวัตถุเบาๆได้ ปิดประตูโดยไม่ใช้มือได้
    สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจหรือสนใจแค่ผิวเผินจะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ คิดว่าไม่มีอยู่จริง จึงจะรับเฉพาะคนที่เป็นอยู่แล้ว แต่ต้องการแลกเปลี่ยนหรือต้องการพัฒนาฝีมือเพิ่มเติม โดยหลักง่ายๆคือ รู้วิธีการใช้พลังจิต(แบบใดก็ได้) ที่เป็นรูปธรรม
    ดูแล้ว clear ชัดเจน(ว่าไม่ได้ใช้ trick) แม่นยำ (ไม่ใช่ได้มั่งไม่ได้มั่ง)
    สำหรับตัวผมเองก็ไม่มีความสามารถอะไรที่ดูหวือหวา เป็นความสามารถเล็กๆอย่างเรื่องไฟ ก็ทำให้ ไฟกระดุกกระดิกได้ (ในที่อับลม แล้วเอาภาชนะโปร่งใสปิดและมีรูข้างบน) ทำไฟพุ่งสูงได้(เกือบๆฟุต โดยใช้เทียนที่ขายที่ 7 เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณเหรียญบาทรุ่นใหม่) ยืดไฟได้ เต้น (pulse)ได้ มันไม่ได้เป็นวิชาอะไร
    เพียงแต่ผมได้ยินน้องท่านหนึ่งซึ่งเป็นคนมีวิชาอาคมบอกว่าสามารถเพ่งให้ไฟยืดได้ เลยกลับมาทำเองแบบงูๆปลา ใช้เวลาอยู่ประมาณเดือนหนึ่งก็ฟลุคๆทำได้แต่ก็นานๆทำได้ที พอเล่นบ่อยๆก็ทำได้เกือบทุกครั้ง (ทำ100 ครั้งจะไม่ได้ซักไม่เกิน 5 ครั้ง) และถ้าฝึกทุกวันจะเร็วขึ้น บางทีแค่จุดเสร็จยังไม่ทันนั่งเข้าที่ดีก็พุ่งแล้ว พอพุ่งเสร็จก็ทำให้ยืด โดยอย่างต่ำก็อย่างน้อยไม่เกินคืบถึงจะเรียกว่าได้ที่แล้วค่อยเลิก ที่พูดมาทั้งหมดรวมทั้งเพื่อนรุ่นน้องที่ทำวัตถุขยับได้ก็ไม่ได้มีวิชาอะไร เป็นเรื่องของจิตล้วนๆครับ ถ้าไม่นับว่าที่ต้องทำแล้วแม่นยำ
    ผมมีประสบการณ์ฟลุคๆเยอะ ถ้าจิตถึง ก็จะ ลอยตัวเดินไปโดยเท้าไม่ติดพื้น
    และไม่ได้คิดไปเอง ไม่ใช่เดินในความฝันหรือในนิมิตแต่เดินไปตอนตื่นๆมีสตินี่แหละ ทำให้กลุ่มควันลอยค้างอยู่นิ่งๆ(แบบแช่แข็ง)นานๆได้ (เหมือน stop ใว้) รู้เหตการณ์ล่วงหน้าได้ ฯลฯ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยและไม่สามารถควบคุมให้เกิดให้มีได้ แต่ถ้าจิตถึงเมื่อไหร่ไม่ต้องไปร้องไปขอไปอยากได้ เขาจะเกิดขึ้นมาของเขาเอง

    ใครตรงกับคุณสมบัติที่ว่าเรียนเชิญเมล์มาแบ่งปันความรู้กันมารู้จักกันครับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 4
    • List
  16. anubist

    anubist Active Member

    Joined:
    Sep 25, 2007
    Messages:
    89
    Ratings:
    +73
    อาจารย์ที่ว่าสอนตั้งแต่ตี 4 คือใครเหรอแล้วสอนที่ไหน(อาจารย์คนแรกผมพอจะเดาได้น๊ะ)
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List
  17. Dio2499

    Dio2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    May 1, 2010
    Messages:
    95
    Ratings:
    +542
    ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคนนะคับ
    ข้อแรก ผมคิดว่า การทำให้วัตถุต่างๆลอยได้ ขยับได้ หรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นการใช้พลังจิต แบบต่างๆ สิ่งเดียวที่จะรักษา และคงไว้ซึ่งพลังจิตที่ได้จากการฝึดสมาธิจิตแบบเพียวๆนะคับ คือการไม่มีเรื่องsaxมาเกี่ยวข้อง แม้แต่การช่วยตัวเอง เพราะถ้าทำไปปุ๊ป เชื่อได้เลยคับว่า พลังจิตลดอย่างมหาสารเลยล่ะคับ แทบจะบอกได้ว่า ถ้าคนไม่เก่งวสีของสมาธิจิตและมีวิธีอันแยบยน ที่จะสามารถดันจิตให้เป็นพลังที่จะสามารถดันจิตพลังนั้นกลับมาเหมือนเดิมได้แล้วล่ะก็ ยากมากคับ อย่างเก่งก็เป็นเดือน บางคนเป็นปีเลยก็ว่าได้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่ฝึกกสินอยู่ โดยเฉพาะกสินไฟนะคับ ผมขอเตือนนะคับ มันเร็วและแรงก็จิงอยู่ แต่ระวังผลกระทบของมันด้วยนะคับ หลายต่อหลายคนแล้วที่อยากเป็ไวๆ โดยใช้กสินไฟเป็นแรงขับเคลื่อน ผลกระทบของมันก็รุนแรงเช่นกันนะคับ สว่นคนที่สามารถรัยรู้ถึงพลังงานจิตได้นั้น ท่านก็คงสามารถสำผัสได้ส่า มันเป็นแบบไหน มันอยู่ยังไง มันมีมากเท่าไหร่ แบบนั้นท่านก็สามารถ เคลื่อนให้พลังงานนั้นๆ ไปทุกส่วนในร่างกายได้ตามต้องการ คนที่เขาฝึกน่าจะรู้ดีว่าทำไง แบบนี้ ท่านก็สามารถนำพลังงานนั้นไปกระตุ้น หรือปลุก อะไรบางอย่างในร่างกายท่าน ให้สามารถเปลี่ยนพลังงานจิตนั้นเป็นพลังงานไฟฟ้าสถิตได้ แบบนั้นท่านก็สามรถ ใช้พลังงานจิต และพลังงานในร่างกาย เคลื่อนย้าย หรือตามที่ท่านต้องการได้ ในกรณีของการแปลงพลังงานนะคับ แต่ในส่วนของพลังงานจิตล้วนๆ ได้ถึงฌาน4เท่านั้นแหล่ะคับ จึงจึงจะสามารถใช้พลังงานได้เต็มที่แต่เวลาใช้ก็จะเป้นอารมณ์ของฌาน2เท่านั้นเองคับ แต่พลลังงานของจิตจะเป็นฌาน4 ผมว่า คนที่ฝึกกสินอยู่ไม่ว่ากสินใดๆก้แล้วแต่ อยากเป็นไว สำผัสกัยพลังงานกสินได้ไวได้ดี ไม่เป็นอันตราย ผมว่าเพ่งกสินในฌาน4ดีกว่าคับ แค่เข้าฌาน4 แล้วเพิกกสินขึ้นมาเพ่ง ผมว่าจะสามารถจำอารมณ์ได้ดีกว่า และสำเร็จแต่ล่ะขั้นของกสินได้ดีกว่า ไม่เป็นอันตราย เหมือนกับการเอาเทียนมานั่งเพ่งซะอีก จิงอยู่ว่า มันได้ความแรงความเร็วของการทำสมาธิจิต แต่ว่าอันตรายนะคับ ต้องมีครูที่สำเร็จซึ่งกสินแล้วคอยกำกับ ไม่งั้น อำนาจกสินมันเแรงไปอาจทำให้จิตเราอันตรายได้ บางครั้งกสินเหมือนยาเสพติดนะคับ ยิ่งเพ่งก็ยิ่งยากเพ่งนานๆมากๆ แต่ท่านรู้ไหมว่านั้นแหละมันกำลังเรียกเราไปสู่ความตาย ถ้าจะใช้กสินฝึกเพื่อครองและฝึกสติในขั้นต้น และกลางแล้วล่ะก็ผมว่าฝึกแบบอื่นไม่ดีกว่าเหรอคับ เมื่อสติเราแน่น และเข้มเแข็งพอ แล้วค่อยเอากสินภายหลัง
    ข้อสอง
    วิชาอาคมคับ พวกที่เรียนวิชา สวดมากๆ ปั่นมากๆ ฝนวิชามากๆ วิชามันก็แก่กล้า ขลังมาก ด้วยแรงครู และอำนาจของวิชานั้นๆ ก็จะสามารถทำได้ แต่บางวิชาก็ต้องอาศัยสามาธิระดับสูงจึงจะสำเร็จเห็นผล อย่างเช่น เสกใบไม้เป็นต่อแตน วิชาแปลงกาย เป็นต้น
    เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคับ ผิดพลาดประการใด ขอท่านผู้รู้โปรดอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยคับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 3
    • List
  18. dragonman

    dragonman Active Member

    Joined:
    Aug 13, 2010
    Messages:
    44
    Ratings:
    +64
    สวัสดีครับ คุณ Dio2499
    ขอบคุณที่เข้ามาช่วย share ประสบการณ์กันน่ะครับ สำหรับประสบการณ์ตรงของผมเรื่อง sex ไม่มีผลกับผมและเพื่อนที่ผมรู้จักเลยครับ ยิ่งแอลกอฮอนี่ยิ่งเพื่อนผมยิ่งดื่มยิ่งขลังครับ อันนี้ประสบการณ์ตรงน่ะครับ ไม่อ้างอิงจากตำราหรือฟังจากใครมา
    กสิณไม่ได้น่ากลัวหรอกครับไม่อันตรายด้วยครับ ครูองค์แรกของผมที่บอกให้ผมไปหัดทำไฟแข็งคือทำให้เปลวไฟมันนิ่ง คือพระธุดงค์และเจอกันแค่หนเดียวท่านบอกไปทำเถอะไม่อันตรายอะไรหรอก ครูตัวจริงก็คือตัวเรานั่นเองครับ การเพ่งเทียนสำหรับผมเป็นความบันเทิงทางจิต และเป็นมาตรวัดพลังจิตชั้นเยี่ยม บางทีจิตเราสงบแบบเก๊ เก๊ (นึกเอาเอง หรือกดบังคับให้มันสงบ) ไฟมันจะไม่ขึ้นเลย การเพ่งเทียนของผม จริงๆแล้วหลับตาให้ผลแรงกว่าลืมตาซะอีกครับ จริงอย่างที่คุณ Dio พูด สิ่งเหล่านี้เกิดจากสมาธิจิตล้วนๆครับ ถ้าจิตมันไหลไปถึงขั้นของมัน อิทธิฤทธินี่จิ๊บๆครับ มันเกิดของมันเองครับบางทีเกินกว่าที่เราคาดหวังใว้เยอะด้วยครับ
    แล้วทราบหรือเปล่าครับว่า จิตเนี่ยมีความมหัศจรรย์อย่างที่เราไม่สามารถรู้ได้หมดเลยครับ จนถึงวันที่ผมค้นพบว่าพลังจิตมีจริง และเราก็ทำได้จริงแม้จะให้ผลที่เป็นเศษของพลังที่มีไม่จำกัดของจิต ผมก็ยังหาคำตอบไม่เจอว่าจิตทำงานยังไงให้ผลลัพธ์แบบนั้นได้ยังไง คนที่รู้คำตอบผมคิดว่าคงต้องเป็นคนที่หลุดพ้นแล้วมั้ง ผมจบตรีวิศวะ โท คอมพิวเตอร์ และผมก็เล่นกับพลังจิตบ่อยๆด้วย ผมยังฉงนอยู่เลย

    ปล. สำหรับวิชาเสกต่อแตนเคยแต่ได้ยินจาก อาจารย์ พันเอก ชม แต่ท่านไม่เคยแสดงให้ผมดูและไม่เคยเห็นของจริงซักที แต่เพื่อนผมเสกขี้บุหรี่เป็นก้อนหินก้อนกรวดต่อหน้าต่อตาผมได้ บุคคลิกของแกคือ แกเป็นคนจิตแข็ง ใจนักเลง และก็นิ่งมาก(เป็นมือปืนเก่า)
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 3
    • List
  19. Dio2499

    Dio2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    Joined:
    May 1, 2010
    Messages:
    95
    Ratings:
    +542
    ขอบคุณคับสำหรับความคิดเห็น ในความคิดเห็นของผมนะคับ ผมคิดว่า เรื่องSexมันเป็นเครื่องขวางกั้นของฌานสมาธิคับ เพราะองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ท่านก็ตรัสไว้ดีอยู่แล้ว ว่า ตั้งแต่ศิล8เป็นต้นไป เรื่องกามนั้นเป็นเครื่องขวางกั้นแห่งวิปัสนากรรมฐาน มันเป็นของร้อน แต่ฌานเป้นของเย็น เพราะถ้าเราจะมีปัญญาในการพิจารณาเรื่องของกิเลสเพื่อทำให้ตัดได้หรือจะทำให้จิตมีพลังงานมากๆอย่างเช่น พระฤษี เป็นต้น ในขั้นแรก ขั้นกลาง และขั้นวิมุตินั้น เริ่มแรกๆ ก็ต้องเริ่มจากการทำจิตให้เป็นสมาธิก่อนใช่ไหมคับ ก็คงต้องเริ่มจากการทำฌานให้คล่องก่อน เพราะ ฌานเป็นกำลังของสมาธิเมื่อพลังงานของฌานมีมากจิตก็มีพลังงานมากจากนั้นก็จะทำให้สมาธิเราแข้มแข็งขึ้น พอสมธิแข้มแข็งขึ้นมาก ก็จะมีความสงบมากขึ้น จิตละเอียดขึ้นมาก ปัญญาก้จะมีมากตาม กำลังของฌาน การพิจารณาในธาตุขันธ์ ก็จะละเอียดขึ้น เป็นลำดับไป ตามกำลังของจิต แต่ถ้าเรามีเรื่องSexมาเกี่ยวข้อง พลังงานของจิตกระจะกระสับกระส่าย ทำให้จิตไม่นิ่ง ไม่เกิดฌาน เพราะฌานคือการเพ่ง การเพ่งคือการรวมเอาสติทั้งหมดของเรา มาไว้ที่จุดๆเดียวเพื่อให้เกิดพลังงานทางจิต
    ส่วนในเรื่องที่บอกว่า แอลกอฮอนี่ยิ่งเพื่อนผมยิ่งดื่มยิ่งขลัง แบบนี้ผมก็เคยเห็นนะคับ ในเรื่องของการทำฌานนั้น เมื่อดื่มเหล้า ถามว่าจิตฌานตกไหม ก็ตกคับแต่ไม่มากเท่าเรื่องSex แต่ในกรณีของคนที่เรียนวิชาอาคมนั้น ต่อให้มีSax ดื่มเหล้า ก้ไม่เป็นไรคับ เพราะมันคนละอย่างกันกับการฝึกเรื่องฌาน แต่การก็ต้องใช้สมาธิเบื้องต้นธรรมดาเท่านั้นเอง หลักๆของการทำวิชาให้ขลังมากๆได้ ก็น่าจะมี ข้อแรก การถืออข้อห้ามต่างๆของวิชานั้นๆได้อย่างเคร่งครัด การสวด ปั่น วิชานั้นๆเป็นประจำ การเคารพ บูชา และยำเกรง ในครุบาอาจารย์ และการไม่อยู่ หรือไม่ไปในที่ อโคจร มังสัง10 และก็ข้อห้ามพื้นฐานของคนที่เรียนไสยศาสตร์คับ ถ้าทำได้ ก็จะทำให้วิชาขลังขึ้นมากตามลำดับ ก็สามารถสร้างหรือก่อ ปาฎิหารได้ตามกำลัง และแรงครูของวิชานั้นๆ และก็บารมีเก่าของผู้ที่เรียนด้วย แต่ถ้าผู้ที่เรียน มีสมาธิขั้นสูงพลังอำนาจของวิชาก็จะเพิ่มพูนมากกว่าเดิมหลายเท่า
    ส่วนเรื่องของกสิน เท่าที่คุณฝึกผมพอจะเดาได้ว่า เป็นการจำรูปของกสินแบบ ลืมตาดูเปลียวเทียน ซักพัก แล้วก็จำรูปกสิน แล้วหรับตานึกถึงองค์กสินนั้นแล้วก็เพ่งในสมาธิ แต่ถ้าลืมองค์กสิน หรือจิตไม่นิ่ง ก็ต้องลืมตามาดูใหม่ ทำแบบนี้ไปจนกว่า จิตจะสามารถจดจำองค์กสินนั้นๆได้ อันนี้ผมแค่คิดว่าคุณน่าจะทำแบบนี้อยู่ตอนนี้ แค่เดานะคับ แต่ถ้าคุณ แม่นในองค์กสินแล้วก็คงไม่จำเป้นที่จะต้องมานั่งเพ่งแปลวเทียนอีกแล้ว แค่นึกถึงองค์กสินนั้นๆ ก็สามารถเข้าสู่องค์ของกสินได้เลย และก้สามารถไต่ระดับเาน หรือเข้าถึงฌานนั้นๆได้เลย แต่ยังงัยผมก็ขอยืนยันคับว่า เรื่องSax เป็นเครื่องขวางกั้นของการทำฌานสมาธิคับ มีSaxเมื่อไหร่ ฌารก็ไม่เกิด แต่ในกรณี ของการเพ่งแบบไม่หลับตาเลยน่ะสิคับ ที่ผมว่าอันตราย รับพลังงานของกสินแบบเต็มๆแต่ก็เร็วเอามากๆ เพราะการโน้มจิตเข้าไปสัมผัสโดยตรงเลย จิงอยู่คับที่ว่าครูตัวจิงคือตัวเรา นั้นก้ถูกต้องคับ แต่ว่า เรายังขาดประสบการณ์ในเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยครูอาจารย์ คอยควบคุม ชี้แนะ เพื่อให้เราเดินตามทางที่ถูกต้อง ไม่ต้องเสียเวลาค้นคว้า ลองผิดถูกเองมากมาย อีกอย่าง เพื่อป้องกันอันตรายอันเกิดจากการฝึกกสินแบไม่ถูกวิธีอีกด้วย เป็นความคิดเห็นโดยส่วนตัวนะคับ ผิดพลาดประการได ขอท่านผู้รู้โปรดอภัยคับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 4
    • List
  20. dragonman

    dragonman Active Member

    Joined:
    Aug 13, 2010
    Messages:
    44
    Ratings:
    +64
    สวัสดีครับคุณ Dio
    ยินดีที่มีเพื่อนแลกเปลี่ยนพูดคุยกันครับ ผมคิดว่าคนที่จะได้ความรู้คือคนที่ได้ผ่านมาอ่านข้อความที่เราแลกเปลี่ยนกันครับ

    มุมมองของคุณ Dio เป็นสิ่งที่ดีและเป็นสิ่งที่เราเคยทราบต่อๆกันมาจากหนังสือหรือครูบาอาจารย์ ด้านล่างจะเป็นมุมมองส่วนตัวผมน่ะครับ

    == ในมุมมองผมน่ะครับ ==

    +++ sex เป็นเรื่องธรรมชาติครับ ไม่ต่างกับที่เราทานข้าว เป็นความต้องการพื้นฐานของร่างกายมนุษย์เพื่อสืบเผ่าพันธุ์ ที่เราไม่มีหรือควบคุมการมีเป็นเรื่องทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นการฝืนธรรมชาติเพื่อการอยู่รวมกันในสังคมมนุษย์ให้เรียบร้อย

    คนที่ไม่มี sex ไม่จำเป็นว่าทำสมาธิได้สูง <==> คนมี sex ไม่จำเป็นว่าทำสมาธิได้ไม่สูง

    คนๆเดียวกันระหว่างมี sex กับไม่มี sex มีผลกับสมาธิใหม โดยส่วนตัวผมว่าไม่มีครับยกเว้นว่าหมกมุ่นมากๆอันนั้นอกแนวโรคจิตแล้วครับ สมาธิเป็นของกลางเป็นของธรรมชาติไม่ขึ้นกับเชื้อชาติศาสนาลัทธิ
    หรือกฏเกณฑ์ศีลธรรมของศาสนาใดศาสนาหนึ่งครับ

    ผมขออธิบายสมาธิกับจิต ละเอียดนิดหนึ่งครับ ซึ่งเป็น key word หรือ กุญแจที่สำคัญมากครับ และเป็นความคิดของผมล้วนๆน่ะครับไม่ได้เกิดจากจำหรือลอกใครมา ลองตั้งใจอ่านอาจจะจับอะไรได้บ้างก็ได้ครับ

    **** แค่เราฟังเพลงใจเราก็เป็นสมาธิแล้วครับ ระหว่างฟังเพลงเราจะใจลอยไปไหนก็ได้ ก็ยังเป็นสมาธิครับ
    **** การที่ใจจดจ่ออยู่ที่อะไรซักอย่างหนึ่งด้วยความเครียด แม้ใจเราจะไม่ลอยไปไหน ก็ได้แค่สติ และมีสมาธินิดหน่อย แต่ไม่มีพลังอะไร
    **** การที่จะมีสมาธิจนเกิดปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติได้ ต้องก้าวข้าม
    ภพปัจจุบัน(อันนี้ผมตั้งชื่อเอง) หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจาก คุณที่เป็น นาย ก หรือ นาย ข ระหว่างนั้นจะไม่มีคำว่าตัวคุณ ฉะนั้นแม้ก่อนหน้านั้นคุณจะนอนกับผู้หญิงมา หรือ คุณกำลังจะตาย คุณจะไม่ไปวุ่นวายกับมันไม่ไปกังวลกับมัน เพราะมันคนล่ะสภาวะจิตกันแล้วครับ (อันนี้ถ้าไม่เคยมีประสบการณ์ก็อาศัยจินตนาการตามไปก่อนครับ)

    +++ เกี่ยวกับการถือของขลังของวิชา เกี่ยวกับ ครู ผมไม่มีความรู้เลยครับหรือรู้น้อยมาก ผมรู้แต่ว่าถ้าสมาธิหรือศรัทธาไม่ถึง ต่อให้ท่องบ่นกราบใหว้ยังไงก็ไม่มีผลอะไรขึ้นมา แต่ถ้าสมาธิถึง คำภาวนาอะไร หรือแค่นึกก็สัมฤทธิ์ผลแล้วครับ
    ครูอาจารย์ เหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้ใจรวมศูนย์ได้สำหรับคนที่ยังขาดศรัทธาในตัวเอง ส่วนเรื่องแรงครูน่าจะมีจริงครับแต่ผมขอข้ามไปเพราะผมคิดว่าผมรู้ไม่จริงในศาสตร์ด้านนี้


    +++ ผมไม่แน่ใจสิ่งที่ผมฝึกอยู่เรียกว่ากสิณหรือเปล่า แต่มันไม่ได้สำคัญที่รูปแบบหรอกครับ ความหมายของกสิณก็แค่การมองอะไรนานๆแล้วจำรูปใว้ในมโนภาพใช่หรือเปล่าครับ ผมแปลกใจว่าคนที่ฝึกสมาธิใหม่ๆหรือคนที่แต่งหนังสือแนวกสิณที่ไปคัดจากตำราเก่าๆมาแล้วมาถ่ายทอดเอาดื้อๆเนี่ยพาคนไปถูกทางหรือเปล่า ไม่ต้องอะไรมาก ถ้าทำได้จริงอ่านตัวหนังสือมันก็จะพลิ้วออกมาจากประสบการณ์แล้วครับภาษามันจะไม่ได้ออกมาแข็งๆแบบลอกเขามา


    ปล. ผู้รู้จริงคือผู้ปฏิบัติได้จริงแสดงผลได้จริง ผมเจอมาเยอะประเภทสอนเก่งแต่ตัวเองทำไม่ได้เปล่าประโยชน์ครับ ประเภทที่รักษาฟอร์มบอกว่าไม่อยากแสดงระวังให้ดีครับของปลอมเยอะ และของประเภทนี้ไม่สามารถมีใครสอนใครได้ นอกจากทำด้วยตัวอง ถ้าสอนกันได้คงมีคนทำได้เต็มไปหมดแล้วครับ แต่ผมว่าคนที่ทำได้จริง ในแสน ในล้านคน จะมีซักคนก็เก่งแล้วครับ

    คุณ Dio อย่าโกรธน่ะที่ผมพูดหรือเขียนอะไรตรงๆ อยากได้อะไรดีๆต้องเปิดใจรับครับ ถ้าคุณ Dio มีวิชาอะไรดีๆผมขอต่อวิชาด้วยจะได้หรือเปล่าครับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • List

Share This Page

Loading...