งง ผมไม่ได้พูดว่ายิบยับเลยนะ ส่วนตัวคู่เกิดดับนั้นก็คือเกิดดับ หมายถึงสภาวะตรงนี้ไม่ใช่นิพพานเฉยๆ ส่วนในกรณีรู้/ญาณ...
พึ่งรู้ได้แค่ว่ามีการไหว "โดยยังไม่รุ้เลยว่าก่อนจะไหวเกิดอะไรขึ้น" เพราะไหวเกิดปุ้บสภาวะคือโดนบดบัง/เนื้อเปลี่ยน ไปเรียบร้อยแล้ว...
เปลี่ยนแปลงคือเนื้อแต่รู้ยังคงอยู่ เนื้อที่เปลี่ยนเพราะเป็นสภาวะของลิ้นปี่และผู้รู้/ตัวดู ที่เปลี่ยนสภาวะไปมา แต่รู้ก็ยังอยู่ ซึ่งในกรณีของคุณปวี...
สติของท่านธรรมชาติ หมายถึง "รู้" ไม่ได้หมายถึง "ผู้รู้" แต่หมายถึงรู้ ที่อยู่ในทุกสภาวะไม่เคยดับ แต่สภาวะเปลี่ยนแปลงได้...
รู้ได้ไงว่าพาไปได้คุณถึงนิพพานแล้ว? ไหนบอกสภาวะนิพพานมาสิ
ผิด พระธัมมชัยโยสอนผิดหลักและผิดทางด้วย ที่ให้ทุ่มบุญทำกับวัดนั้น เนื้อนาบุญก็ไม่ใช่ ให้พระไปก่อม้อบเนี่ยนะเรียกว่าถูกหลัก ถ้าแค่นี้คุณเรียกว่า...
นี่เอ็งยังไม่เลิกแถอีกเนาะ คุณหาว่าผมหลง แต่คุณไปศึกษาตามคึกฤทธ์(ตัดศีลทิ้ง? สังฆเภท)สรุปใครหลง อะส่วนคุณมองอะไรด้านเดียวนั้น ผิดคุณคิดเอาเอง...
ไม่ได้คัดค้านและไม่ได้เข้าใจทีเดียวผมไปนั่งฟังมาแล้ว วรรคต่อวรรคเลยด้วยซ้ำ ผมก็ว่าไปตามประโยคที่เขาบอกนั่นแหละ...
เพราะคุณไม่รู้ตัวเองและคุณมั้นใจมากไงผมถึงได้ยกตัวอย่างคนที่มั่นใจมากๆให้คุณอ่าน ขนาดยกมาแล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีกนั่นแหละ...
สรุปก็เหลือแค่การด่าเฉยๆไม่ได้ถกธรรมะกันแล้ว ก็แล้วแต่ ส่วนมั่นใจอยู่แล้วนั้น ธรรมะชัยโยก็มั่นใจอยู่แล้วถึงได้เป็นธรรมกาย...
ยาวไปไม่อ่านนะครับ โทสะร้อนจนต้องพิมพ์มาเยอะแยะแถมยังต้องใช้ประโยคด่าด้วย แทนที่จะว่ากันไปตรงๆ Sataniel said: ↑ เนี่ยตัวอย่างภาษาของคุณ...
ไม่ต้องเอาแผนที่มาให้ผมหรอก เพราะคุณเอาแผนที่ "ที่คุณคิดว่าดี(คุณคิดเอาเอง)" มาให้กับผม ก็โอเคแต่ไม่เหมาะกับผม...
โอเคครับ คุณเมาควิด
มาถึงก็ด่าลอยๆไม่มีอ้างอิงอะไรเลยครับ แล้วใครกันครับที่แถ "ตัณหานี่ผมไปยกจากกูเกิ้ลตามที่คุณบอกเลยครับอาการก็ตรงด้วย"...
ขอโทษทีครับคุณเมาควิด ผมเข้าใจว่าคุณด่าผมว่าเล่นพวกกสิณดำ เพราะผมอ่านโพสท์คุณไม่รู้เรื่องอันนี้ต้องขอโทษด้วยครับ
เชิญแถต่อไปนะครับ กลับกลอกซะยิ่งกว่าอะไร
โนวๆผมก็ไม่ได้บอกว่าจำเป็นต้องใช้คำนี้นะเข้าใจอะไรผิดอะป่าวฮับ ตอนแรกผมใช้คำว่าตัณหาด้วยนา แต่คุณนพบอกว่ามันคนละอาการ...
นี่อะนะที่บอกว่าผมเป็นมิจฉาทิษฐิ(เห็นไม่ตรงตามความจริง) คุณบอกไม่ได้เล่าให้ผมฟังแต่ดันไปตอบข้อความผมแล้วบอกไม่ได้คุยกับผม...
สัมมาทิษฐิ = เห็นตรงตามความเป็นจริง วัตถุประสงค์ในการฟังธรรม = ฟังแล้วทำตาม...
แล้วแต่เลย เพราะ "ปูนขาวโรยถัง..." อันนี้ไม่ได้เกี่ยวไรกับผมอยู่แล้วครับ แต่คุณมาโพสท์ถึงมหาวรพรต ซึ่งผมแค่มาบอกว่ามันขโมยธรรมะเฉยๆ...
โนวๆไงไปทางอิทธิวิธีเฉยเลย นี่ผมหมายถึงการเพ่งชัดๆเนี่ยการดูไปที่ไหนมันจะมีกระแสอยู่แล้วเป็นลักษณะของเส้น แล้วไหงไปอ้างนู้นอ้างนี่ คนละเรื่องเลย...
1. กามตัณหา (ความทะยานอยากในกาม, ความอยากได้กามคุณ คือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า — craving for sensual pleasures; sensual craving)...
จะพูดไรก็ช่างเถอะ เส้นของคุณ คุณเรียกแบบนั้นแต่ภาษาของผมใช้คำว่าตัณหามันคืออาการเดียวกันและตรงเด้ะเลย...
ผิดครับ เมื่อตัวดูจะดูจะมีสาย(อาการเพ่ง)เกิดขึ้นไอ้ตัวสายมีชื่อเรียกว่าตัณหา(ส่งจิตไปที่ไหน)ซึ่งจะออกนอกหรืออยู่ใน...
ผมไม่ได้ใช้คำว่าบรรลุในประโยคผมซักคำเดียว ผมใช้คำว่าสภาวะ เช่นฌานก็เป็นสภาวะหนึ่งเท่านั้น อย่ามโน
สรุปแล้วประโยคนี้ของคุณเป็นการยืนยันว่า "สภาวะธรรมเป็นของผู้ที่ทำได้ของผมนั้นถูกต้อง" ในหน้า 6 นั่นแหละดังนั้นผมก็พูดถูกนั่นแหละครับ
ผมจะทำตามได้ยังไงในเมื่อคุณ "ยังไม่ได้บอกวิธีฝึกของคุณมาดูเลย" จะได้ช่วยพิจารณา และคนทำไม่ได้ก็มักจะมาเถียงข้างๆคูๆแบบนี้แหละ
ผิดทั้งแท่ง ของจริงคือเราทำตามอันไหนได้ก็ทำตามทั้งหมดและเมื่อทำแล้วเกิดผลจึงรู้ว่าจริง และเมื่อทำได้แล้วเราเป็นผู้เลือกจะอยู่กับสภาวะอะไร...
คุณจะคิดไงก็ช่างเหอะ ผมรู้เองจากสภาวะอยู่แล้วว่า "ความมืด" มันลวงไม่ลวง...
ธรรมะเป็นของ "ผู้ที่ปฏิบัติและเข้าถึงธรรม" เมื่ออยากเข้าเมื่อไหร่ก็เข้าสภาวะได้นี่จึงจะถือว่า "มีธรรมะในตนและอยากเข้าเมื่อไหร่ก็ได้"...
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา