กรรมทำแท้ง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย KK1234, 22 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    การทำแท้ง (แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์)

    การทำแท้ง ถือเป็นกรรมในหมวดข้อการเบียดเบียนชีวิตหรือปาณาติบาต ผู้ที่กรรมนี้จะหากินไม่ขึ้น หาความสุขใจในชีวิตนี้ไม่ได้เลย เพราะโดนวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูกของตัวเองนั้นจองเวรอาฆาต ซึ่งการเกิดการตายของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณและวิบากกรรมโดยตรง

    ผลกรรมอันเกิดจากการทำแท้งมี 2 ข้อคือ
    1. กรรมที่ทิ้งลูกตัวเอง
    2. กรรมในการฆ่าทำลายชีวิต

    ซึ่งอกุศลกรรมนี้พระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าผู้ที่ทำแท้งเมื่อสิ้นใจยังต้องตกนรก พ้นจากนรกจึงเกิดมาเป็นเปรต จากนั้นจะเป็นอสุรกาย ตนเมื่อมีบุญพอจะเกิดเป็นคนแต่ต้องถูกพ่อแม่ทอดทิ้งแต่เล็กหรือโโนพ่อแม่ของตนในชาติต่อไปทำแท้งตัวเองเสียหรือแท้งลูกโดยอุบัติเหตุ

    ส่วนกรรมจากการปาณาติบาลหรือทำลายชีวิตลูกของตัวเองนั้นจะทำให้มีอายุสั้น มีโรคภัยเบียดเบียนมาก หากินไม่ขึ้นและกรรมจากการทำแท้งมักจะก่อผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แม้ผู้ที่เกี่ยวข้องการการทำแท้งยังต้องมีอกุศลกรรมติดตัวตามไปด้วยเช่นกัน

    คัดลอกมาจากบทความข้างล่างนี้

    “กฎแห่งกรรม” ทำอะไร ได้อย่างนั้น !?
    โดย แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์

    .............................................................

    แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์ นั้น มักจะเน้นย้ำให้ลูกศิษย์ได้สนใจและเอาใจใส่ไม่ให้สร้างกรรมใหม่ขึ้นมาเพื่อลดกรรมที่เราเคยได้ทำมาแล้วทั้งในอดีตและปัจจุบันโดยเฉพาะกรรมที่เราได้ทำกับบิดามารดา โดยได้แบ่งแยกให้เห็นอย่างชัดเจนในหนังสือ “เกิดแต่กรรม” ดังนี้

    ลูกเถียงพ่อเถียงแม่

    สำหรับผู้ที่ชอบเถียงพ่อจัดว่าเป็นการทำความชั่วที่หนักหนาสาหัสเมื่อลูกผู้นั้นเริ่มเข้าสังคมจะโดนผู้อื่นว่าร้าย ถกเถียงชนิดคำต่อคำ พ่อแม่เคยเจ็บช้ำจากการเถียงของลูกเช่นไรลูกคนนนั้นก็จะโดนสังคมบีบคั้นเช่นกันกรรมนี้สามารถพบเห็นในพบชาตินี้แน่นอน

    ส่วนทางร่างกายนั้นลูกที่เถียงพ่อแม่ที่มีกรรมหนักมากจะมีอาการลิ้นสั้นจุกปาก พูดจาไม่ถนัด พูดลิ้นพันกัน ลิ้นแข็ง ฯลฯ

    ลูกที่ทำร้ายพ่อแม่

    ในศาสนาพุทธนั้นสอนว่าลูกที่ทำร้ายพ่อแม่ตายไปแล้วจะไปเกิดในขุมนรกชื่อตปะนรก มีลักษณะเป็นบัวกลดเผาทำลายอยู่เป็นนิจมียมบาลคอยเอาค้อนทุบหัวอยู่ร่ำไป แต่ถ้าจะให้เห็นในชาติปัจจุบันแม่ชีธนพรบอกว่าคนที่ทำร้ายพ่อแม่อกุศลกรรมจะทำให้คนผู้นั้นถูกคนรักทำร้าย เช่นอาจจะเป็นสามี ภรรยา บุตรหรือคนที่สนิททำร้ายได้

    ลูกที่ใช้ให้พ่อแม่บริการตัวเอง

    การที่ลูกๆ ใช้พ่อแม่ให้บริการตัวเองหรือพ่อแม่เต็มใจบริการลูกๆ เพราะรักลูกมาก เช่นซักผ้า ล้างจาน ทำกับข้าวให้จะถือว่าเป็นกรรมที่พ่อแม่ทำให้เกิดกับลูกทั้งสิ้น ทำให้เมื่อลูกออกไปใช้ชีวิตในสังคมจะต้องไปเป็นข้าผู้อื่น ถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบเป็นต้น

    การทำแท้ง

    การทำแท้ง ถือเป็นกรรมในหมวดข้อการเบียดเบียนชีวิตหรือปาณาติบาต ผู้ที่กรรมนี้จะหากินไม่ขึ้น หาความสุขใจในชีวิตนี้ไม่ได้เลย เพราะโดนวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูกของตัวเองนั้นจองเวรอาฆาต ซึ่งการเกิดการตายของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณและวิบากกรรมโดยตรง

    ผลกรรมอันเกิดจากการทำแท้งมี 2 ข้อคือ 1. กรรมที่ทิ้งลูกตัวเอง 2. กรรมในการฆ่าทำลายชีวิต ซึ่งอกุศลกรรมนี้พระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าผู้ที่ทำแท้งเมื่อสิ้นใจยังต้องตกนรก พ้นจากนรกจึงเกิดมาเป็นเปรต จากนั้นจะเป็นอสุรกาย ตนเมื่อมีบุญพอจะเกิดเป็นคนแต่ต้องถูกพ่อแม่ทอดทิ้งแต่เล็กหรือโโนพ่อแม่ของตนในชาติต่อไปทำแท้งตัวเองเสียหรือแท้งลูกโดยอุบัติเหตุ

    ส่วนกรรมจากการปาณาติบาตหรือทำลายชีวิตลูกของตัวเองนั้น จะทำให้มีอายุสั้น มีโรคภัยเบียดเบียนมาก หากินไม่ขึ้นและกรรมจากการทำแท้งมักจะก่อผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แม้ผู้ที่เกี่ยวข้องการการทำแท้งยังต้องมีอกุศลกรรมติดตัวตามไปด้วยเช่นกัน

    .............................................................

    โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 3 ธันวาคม 2547 14:25 น.

    อนุโมทนาบุญจากกระทู้คุณใบโพธิ์
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=20695
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กุมภาพันธ์ 2009
  2. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ทำแท้ง
    โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    เรื่องมีอยู่ว่า มีหญิงคนหนึ่งผิวขาว ร่างท้วม หน้าตาอิ่มเอิบ อายุ 42 ปี เธอตาย เจ้าหน้าที่พาไปสำนักพระยายม เรื่องนี้เป็นนิมิตลอยมาให้เห็นไม่ใช่ทิพยจักขุญาณ คือเมื่อเวลา 18 นาฬิกา วันนี้นอนภาวนาตามปกติ อารมณ์เคลิ้มเห็นภาพนี้ที่สำนักพระยายม มีหญิงคนหนึ่ง เด็กเล็กคนหนึ่ง เด็กคนนี้เล็กมาก มีสภาพนอน

    พระยายมท่านถามหญิงคนนั้นว่า แม่หนู เธอทำแท้งหรือ

    เธอรับว่า ใช่เจ้าค่ะ

    ท่านถามว่า เมื่อทำแล้ว หลังจากนั้นทำบุญอะไรบ้าง

    เธอบอกว่า ที่จำได้ดีเพราะทำเป็นประจำก็คือ บูชาพระ ว่านะโม 3 จบ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง และสวดอิติปิโส ภควา แล้วกรวดน้ำอุทิศให้ลูกที่ทำแท้ง ขออย่าจองเวรจองกรรมเลย เมื่อถึงปีก็เป็นเจ้าภาพบวชพระทุกปี อุทิศส่วนกุศลให้ลูกที่ทำแท้ง

    เธอพูดได้ชัดเจนชัดถ้อยชัดคำ ไม่เหมือนรายอื่นๆ ที่พูดไม่ค่อยเต็มเสียง และมีมากรายไม่พูดเลย พระยายมท่านบอกว่า บุญเธอมีมาก และเด็กก็ไม่ได้จองเวรเธอ เธอไปรับผลความดีก่อน คือไปสวรรค์

    เมื่อเธอปลอดโทษแล้ว ผลบุญก็ตอบสนองเธอ คือมีรูปสวยทันที เครื่องแต่งกายสวยมาก แพรวพราวเป็นระยับ ในนิมิตว่า มีโอกาสคุยกับเธอถึงความเป็นมาต่างๆ เธอเล่าให้ฟังว่า เมื่ออายุ 17 ปี พี่สาวแต่งงานได้สองปี คลอดบุตร กำลังอยู่ไฟ พี่เขยเธอเข้าห้องผิด ไปเข้าห้องเธอเข้า เธอเห็นใจพี่เขย ขณะที่พี่สาวกำลังอยู่ไฟ พี่เขยคงเปลี่ยวใจ จึงอนุญาตให้เข้าห้องผิดได้เป็นประจำ

    เวลาผ่านไป 6 เดือนเศษ ผลของการเปิดห้องให้พี่เขย เลยเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาได้สองเดือน เมื่อเห็นท่าเรื่องจะบานปลาย จึงร่วมมือกับพี่เขย หายาขับเลือดอย่างแรง มีความร้อนสูง กินยานั้นเข้าไปสองครั้ง เด็กเลยไหลออกมา แต่เมื่อฟังผู้ใหญ่พูดกันว่าคนทำแท้งนั้นบาปมาก เพราะฆ่าเด็กในครรภ์ จึงตั้งใจบูชาพระทุกวัน สวดมนต์ เมื่อจบแล้วก็นั่งหลับตานึกถึงลูกที่ตาย ขอให้มารับส่วนบุญและไม่จองเวร อ้อนวอนขอให้พระพุทธเจ้าช่วย ทำอย่างนี้เป็นปกติทุกวัน เมื่อถึงฤดูกาลบวชพระ ก็เป็นเจ้าภาพบวชพระให้ปีละองค์ทุกปี อุทิศให้ลูก

    ต่อมาอายุ 42 ปี 3 เดือน เธอป่วยด้วยโรคทางเดินอาหาร เธอนึกถึงพระพุทธรูปที่เคยบูชา นึกถึงการใส่บาตร นึกถึงบวชพระ แล้วแต่จังหวะไหนจะนึกอะไรได้ ที่มั่นใจจริงๆ คือพระพุทธรูปที่บูชา และภาพพระที่บวช เมื่อตอนตาย มีคน 4 คนไปรับ ตอนนั้นเห็นพระพุทธรูปที่เคยบูชาลอยมา องค์ใหญ่กว่าที่เคยบูชา พระพุทธรูปท่านพูดว่า พาเขาไปเถอะ ฉันไปด้วย แล้วท่านก็ลอยนำหน้าไป เมื่อถึงพระยายม ท่านก็ยังลอยอยู่ตลอดเวลาการสอบสวน เมื่อพระยายมสอบสวนเสร็จ ภาพพระพุทธรูปจึงหายไป

    เมื่อถามเธอว่า เธอจะไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน เทวดาที่เรียกว่าเทวทูต ที่จะนำเธอไปส่ง ท่านตอบแทนเธอว่า ไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครับ แล้วท่านก็พาเธอไป

    ผู้เขียนสะดุ้งตื่นพอดี จบเรื่องเพียงเท่านี้ วันนี้ขอหยุดเท่านี้เพราะปวดพุง

    <!-- m -->เว็บไซต์ www.kaskaew.com

    อนุโมทนาบุญจากกระทู้คุณใบโพธิ์
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=20694<!-- m -->
     
  3. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    กรรมออนไลน์จากการทำแท้ง
    โดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข


    จากคอลัมน์ “เปิดห้องหมอสูติ”
    นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๘



    เรื่องกรรมนั้นเป็นเรื่องที่บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ
    บางคนบอกว่า ทำดีเท่าใดไม่เห็นจะได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นมา
    บางคนทำชั่ว แต่ได้ดีเอาได้ดีเอาก็มี
    แต่ทางการแพทย์นั้น ดิฉันพบว่ากรรมมีจริง
    และสามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ได้ว่า
    กรรม คือ ผลจากการกระทำที่ไม่สมควรนั่นเอง

    ขอเล่าเรื่องกรรมออนไลน์จากการทำแท้ง
    ซึ่งไม่ต้องรอผลกรรมในชาติหน้าเลย
    เพราะมันเกิดให้เห็นในชาตินี้ ในเวลาไม่นานเกินรอ

    คุณหมู (นามสมมุติ) เป็นคนไข้รายหนึ่ง
    ที่มาหาดิฉันด้วยเรื่องอยากมีประจำเดือน
    “หนูไม่มีประจำเดือนมาสองปีแล้วค่ะหมอ” เธอบอก

    เมื่อถามรายละเอียด พบว่าอยากมีประจำเดือน
    เพราะเธอเข้าใจว่า เพราะไม่มีประจำเดือนทำให้เธอไม่มีลูก
    ตอนนี้เธออายุแค่ ๒๒ ปี แม่ของสามีขู่ว่า
    ถ้าไม่มีลูก จะหาภรรยาใหม่ให้สามี
    เธอจึงวิตกกังวลและปรึกษามาหลายหมอแล้ว

    ประวัติของเธอคือ เมื่ออายุ ๒๐ ปี
    เธอมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก จนตั้งท้องได้ ๓ เดือน
    เมื่อไม่พร้อมเธอจึงไปทำแท้ง
    ให้หมอเถื่อนดูดและขูดมดลูกเอาเด็กทารกออก
    หลังทำแท้ง เธอสังเกตว่า ประจำเดือนมาน้อยมาก
    และต่อจากนั้น ก็ไม่เคยมีประจำเดือนอีกเลย

    หลังจากเอาเด็กออก เธอก็แยกทางกับคู่รัก
    และมาแต่งงานกับสามี ซึ่งมีฐานะดี และมีอายุมากกว่า ๑๐ ปี
    สามีเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ จึงอยากมีลูกหลายๆ คน
    ก่อนมาหาดิฉัน เธอได้ตรวจพิเศษเพิ่มเติมหลายอย่าง
    ผลการตรวจที่เธอ นำมาให้ดูอย่างหนึ่ง
    คือรูปเอกซเรย์การฉีดสีเข้าโพรงมดลูก (Hysterosalpingography)

    การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกนั้น เป็นการสืบค้นอย่างหนึ่ง
    เพื่อดูว่าปากมดลูก โพรงมดลูก ตลอดจนท่อรังไข่ตีบตัน
    หรือมีเนื้องอกอะไรในอวัยวะภายในหรือไม่
    ใช้สืบค้นสำหรับผู้มีบุตรยาก

    คำว่า มีบุตรยาก คือ แต่งงานกันมานาน ๑ ปี
    มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ แต่ไม่ตั้งครรภ็
    โดยทั่วไป เมื่ออยู่กินกันมานาน ๑ ปี
    ร้อยละ ๘๐ - ๙๐ ควรจะตั้งครรภ์
    ร้อยละ ๑๐ - ๑๕ ที่ไม่ตั้งครรภ์
    จึงเรียกว่า เป็นผู้มีบุตรยาก

    การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกของคุณหมูนั้นพบว่า
    ไม่สามารถจะฉีดเข้าไปได้เลย
    ทางรังสีแพทย์วินิจฉัยว่า
    โพรงมดลูกตีบตัน (Asherman’s Syndrome)
    เมื่อไม่มีโพรงมดลูก ก็ย่อมไม่มีประจำเดือน
    และไม่มีการตั้งครรภ์

    โพรงมดลูกตีบตันนั้น พบได้ร้อยละ ๑๓ ของผู้หญิงที่มีบุตรยาก
    สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขูดมดลูก จนมีการทำลายเยื่อบุมดลูก
    และ/หรือมีอาการอักเสบติดเชื้อ
    ทำให้เกิดพังผืดในโพรงมดลูก
    โดยทั่วไปสามารถรักษาได้ โดยใช้กล้อง (Hysteroscope)
    ส่องเข้าไปในโพรงมดลูก
    จี้สลายพังผืด เพื่อให้โพรงมดลูกกลับมาปกติดังเดิม

    แต่สำหรับคุณหมูนั้น โพรงมดลูกตีบตันอย่างรุนแรง
    เนื่องจากเยื่อบุมดลูก ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นจากการทำแท้งเถื่อน
    แสดงว่าต้องมีการขูดมดลูกที่รุนแรง
    และ/หรือมีการอักเสบติดเชื้อตามมา

    การไม่มีประจำเดือน และการไม่มีลูก
    ล้วนแต่เป็นผลจากการทำแท้ง
    และเนื่องจากวิทยาการปัจจุบัน
    ยังไม่สามารถสร้างเยื่อบุมดลูกเทียมได้
    (ถ้ายังเหลือเยื่อบุมดลูกบ้าง การใช้ฮอร์โมนกระตุ้น ก็อาจได้ผล)
    จึงไม่สามารถให้มีลูก และทำให้ประจำเดือนกลับมามีเป็นปกติได้

    อยากมีลูก จึงมีวิธีเดียวที่ทำให้สมหวังได้ คือ “อุ้มบุญ”
    คือใช้ไข่ของคุณหมูผสมกับอสุจิของสามี
    และนำไปฝากครรภ์คนอื่น
    ซึ่งวิธีนี้ คุณหมูก็รู้มาจากคุณหมอคนก่อนๆ แล้ว
    แต่เธอเล่าว่า แม่สามีบอกว่า
    ถ้าจะหาคนอุ้มบุญ หาเมียใหม่ง่ายกว่า

    ตอนนี้ แม้คุณหมูจะร้องไห้ จนน้ำตาเป็นสายเลือด
    ก็ไม่อาจแก้ปัญหา อยากมีลูกเองได้
    นอกจากดิฉันจะอธิบายเหมือนหมอคนอื่นๆ
    ดิฉันก็ยังคิดในใจว่า...นี่กรรมจากการทำแท้งเถื่อนโดยแท้

    ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องกรรมจากการทำแท้งนั้นพบได้มากมาย
    คนไข้คนหนึ่งไปทำแท้งเถื่อนตอนท้องได้ ๒ เดือน
    แต่ทารกไม่ออก เจ้าตัวก็ไม่รู้
    สงสัยอยู่ว่า ทำไมมีเลือดออกอยู่เรื่อย
    มารู้อีกทีตอนท้อง ๖ เดือนแล้ว
    พบว่าภายหลังทารกคลอดออกมา เป็นเด็กพิการปัญญาอ่อน
    มีนิ้วมือนิ้วเท้าไม่ครบ ทำให้คนเป็นแม่
    ทุกข์ทรมานจาการเลี้ยงลูกปัญญาอ่อนพิการจนถึงปัจจุบัน

    คนไข้อีกคนหลังทำแท้งเถื่อน มีอาการปวดมดลูกตลอดเวลา
    ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับสามีได้
    เมื่อมาตรวจก็ไม่พบความผิดปกติ
    ภายหลังเธอตัดมดลูกทิ้งไป
    ทั้งๆ ที่ยังไม่มีลูกสักคน
    เพราะเข้าใจว่าอาการปวดเกิดจากตัวมดลูก
    แต่ตัดมดลูกไปแล้ว ก็ไม่หายปวดท้อง

    คนไข้อีกรายหนึ่งบอกว่า
    ตนยากจน เมื่อท้องได้ ๗ เดือน ได้ซื้อยาบีบมดลูก
    ที่ลักลอบขายมาเหน็บทำแท้งตนเอง
    และมาแท้งลูกที่โรงพยาบาล
    เด็กยังอ่อนนักก็เสียชีวิต
    ตามธรรมเนียมเมื่อมีทารกตาย
    ก็จะแนะนำให้ญาตินำศพเด็กไปทำบุญที่วัด
    ทำบุญนี้คือ ให้สัปเหร่อช่วยนิมนต์พระมาสวดและเผาศพ
    ใช้ค่าใช้จ่ายเพียงร้อยสองร้อย

    แต่รายนี้เมื่อเด็กแท้งออกมา
    พ่อของเด็กคงนึกเสียดายค่าทำบุญ
    จึงนำศพลูกไปกดทิ้งในโถส้วมที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
    ปรากฏว่าเด็กปั๊มแจ้งตำรวจ
    เพราะคิดว่ามีการฆาตรกรรมเด็ก
    ตำรวจจึงตามมาสอบสวน
    ผลคือ คนไข้รายนี้ต้องเสียเงินหลายพันบาท
    เป็นค่าปิดปากเด็กปั๊มและตำรวจ

    อ้างว่าทำแท้ง เพราะไม่มีเงินเลี้ยงดูลูก
    แต่ในที่สุดก็เสียเงินจำนวนมากกว่า
    เพราะการทำแท้งนั่นเอง...
    อย่างนี้ไม่เรียกว่ากรรมออนไลน์ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรนะคะ

    อนุโมทนาบุญจากกระทู้คุณใบโพธิ์
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=20692
     
  4. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    “ทำแท้ง” พุทธศาสนามองว่าอย่างไร

    ช่วงนี้มีการถกเถียงกันมากเกี่ยวกับประเด็น “ทำแท้ง” ว่าควรหรือไม่ควร โดยที่ทั้งฝ่ายเสนอ และฝ่ายคัดค้าน ต่างยกเหตุผลขึ้นมาถกเถียงกันฟังดูก็มีเหตุผลดีทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเสนอก็บอกว่าควรออกกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้เพราะตอนนี้ก็มีการลักลอบทำแท้งเถื่อนกันมากมาย ถึงอย่างไรก็ควบคุมกันไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมไม่ทำให้มันถูกต้องไปเสียเลย

    บางคนก็ว่าในกรณีที่ตรวจพบว่าเด็กมีโรคร้ายแรงคลอดออกมาก็ทรมานเปล่าๆ อีกไม่นานก็ตาย สู้ทำแท้งไปเลยจะได้ตัดปัญหาตั้งแต่ต้นลม ฯลฯ ฝ่ายคัดค้านก็คัดค้านอย่างจริงจัง โดยให้เหตุผลว่าการทำแท้งจะเป็นการส่งเสริมให้เด็กหนุ่มสาวมั่วเพศกันมากขึ้น บ้างก็ว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม สรุปว่าข้อโต้แย้งเรื่องการทำแท้งนี้ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่ยุติตราบจนกระทั่งทุกวันนี้

    “ทำแท้ง” พุทธศาสนาวินิจฉัยว่าสมควร หรือไม่สมควรอย่างไร ?

    ถ้าจะให้ตอบก็คงจะต้องตอบตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งวินิจฉัยว่า การทำแท้งเท่ากับการฆ่ามนุษย์คนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะพุทธศาสนาถือหลักว่าการปฏิสนธิว่าคือจุดเริ่มต้นของการเกิดเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจของมนุษย์เกิดขึ้นอยู่ในเซลล์ชีวิตเล็กๆ ที่ปฏิสนธินั้นแล้ว และภาวะแห่งความเป็นมนุษย์นี้จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อตายลง

    อนึ่ง ในทางพุทธศาสนาท่านถือว่าการฆ่ามนุษย์นั้นบาปหนักกว่าการฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน เพราะภาวะของมนุษย์ท่านถือว่าเป็นชีวิตอันประเสริฐที่ต่างจากสัตว์ดิรัจฉานทั่วไป เหตุผลคือชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตที่มีโอกาสสามารถพัฒนาตนให้เจริญงอกงามได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ยกตัวอย่างเช่น คนธรรมดาอย่างเจ้าชายสิทธัตถะยังสามารถพัฒนาตนจนอุบัติเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นต้น ดังนั้นการฆ่ามนุษย์แม้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จึงเท่ากับการตัดโอกาสของชีวิตที่จะได้พัฒนาตนต่อไป

    ในเมื่อพุทธศาสนามองว่าบุตรในครรภ์แม้วันแรกก็ถือว่าเป็นมนุษย์แล้วเช่นนี้ ในการตัดสินใจว่าการทำแท้ง สมควรหรือไม่สมควร จึงเป็นเรื่องที่ต้องวินิจฉัยเป็นกรณีๆ ไป ไม่มีคำตอบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คือต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป แต่สิ่งควรจะต้องตระหนักรู้ไว้อยู่ตลอดเวลาในการที่จะตัดสินใจว่าควรหรือไม่ควรทำแท้ง คือ ชีวิตเล็กๆ ในครรภ์นั้นได้มีภาวะของความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นแล้ว หาใช่แค่เซลล์เล็กๆ หรือก้อนเนื้อก้อนเล็กๆ อย่างที่เคยเข้าใจแต่อย่างใด

    หลักฐานที่มีมาในพระไตรปิฎก และอรรถกถา
    เพื่อประกอบการพิจารณาเรื่อง “ทำแท้ง”


    ๑. พระวินัยบอกว่าฆ่ามนุษย์เป็นบาปหนักที่สุด บาปยิ่งกว่าการฆ่าสัตว์ใดๆ ภิกษุใดฆ่ามนุษย์
    ถือว่าต้องอาบัติปาราชิก หมดสิทธิเป็นสมณะอีกต่อไป ดังจะยกบาลีขึ้นมาอ้างดังต่อไปนี้

    โย ปน ภิกฺขุ สญฺจิจฺจ มนุสฺสวิคฺคหํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, อยมฺปิ ปาราชิโก อสํวาโส
    (วินย.๑/๑๘๐/๑๓๗)

    แปลว่า ภิกษุใดจงใจพรากชีวิตมนุษย์ ภิกษุนี้เป็นปาราชิก หมดสิทธิอยู่ร่วมกับสงฆ์
    (ไม่สามารถอยู่ร่วมกับภิกษุอื่นได้อีกต่อไป)

    โย ภิกขุ สญฺจิจฺจ มนุสฺสวิคฺคหํ ชีวิตา โวโรเปติ อนฺตมโส คพฺภปาตนํ อุปาทาย,
    อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย (วินย.๔/๑๔๔/๑๙๕)

    “ภิกษุใดจงใจพรากชีวิตมนุษย์แม้แต่เพียงทำครรภ์ให้ตกไป
    (ทำครรภ์ให้ตกไปหมายความว่าทำแท้งนั่นเอง) ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นศากยบุตร”

    ๒. ในพระสูตรบอกว่า ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นเมื่อเกิดองค์ประกอบสามอย่าง คือ
    ๑) มารดาบิดาร่วมกัน
    ๒) มารดาไข่สุก และ
    ๓) มีสัตว์เข้าไปเกิด

    “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด มารดาบิดาร่วมกัน ๑ (มีเพศสัมพันธ์)
    มารดาอยู่ในฤดู (ช่วงเวลาไข่สุก) ๑
    และคันธัพพะเข้าไปตั้งอยู่แล้ว ๑ ( มีสัตว์ที่เข้าไปเกิด )
    เพราะประชุมองค์ประกอบ ๓ ประการอย่างนี้ ก็มีการก้าวลงแห่งครรภ์”
    (ม.มู.๑๒/๔๕๒/๔๘๗)

    ๓. อรรถกถาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า ปฐมจิตเกิดขึ้นครั้งแรกพร้อมกับ อรูปขันธ์ ๓ และกลลรูป
    ดังนั้นตามหลักพุทธศาสนาชีวิตจึงมีองค์ประกอบขันธ์ ๕ ครบสมบูรณ์ ณ วันที่เริ่มปฏิสนธินั่นเอง

    ๔. กลลรูป เป็นเซลล์ขนาดเล็กมากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และจะใช้เวลานานประมาณ ๕ สัปดาห์
    กว่าจะเริ่มงอกแขนขาและศีรษะ ออกมาเป็นร่างกายมนุษย์ โดยที่ขั้นตอนเจริญเติบโตกว่าที่จะงอก
    เป็นปุ่มปมห้าปุ่ม นี้มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละสัปดาห์ ดังจะขอยกอรรถาธิบายของ
    พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) มาแสดงดังต่อไปนี้

    ชีวิตในครรภ์ เป็นอย่างไร ?

    ปฐมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพฺพุทํ
    อพฺพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน
    ฆนา ปสาขา ชายนฺติ เสา โลมา นขาปิ จํ

    นี้คือคำอธิบายว่าด้วยลำดับการเกิดเป็นระยะๆ ทีละช่วงสัปดาห์ หรือช่วงละเจ็ดวันๆ ลำดับแรกที่สุดก็คือเป็น ปฐมํ กลลํ เป็นกลละก่อน กลละนี่ถ้าเป็นศัพท์ในความหมายทั่วไปก็จะได้แก่พวกเมือก พวกโคลนตม เช่นว่าเหยียบลงไปในโคลนหรือในที่เละ แต่ในที่นี้ กลละ เป็นศัพท์เฉพาะซึ่งมีความเกี่ยวกับชีวิต และท่านใช้คำเรียกว่าอย่างนั้น ก็เพราะมีลักษณะเป็นเมือก หรือเหมือน อย่างน้ำโคลนเละๆ คือเป็นคำเรียกตามลักษณะ แต่ในกรณีนี้ ท่านหมายถึงเป็นเมือกใส ไม่ใช่ข้นอย่างโคลนตม

    กลละ นี้ ท่านบอกว่าเป็นหยาดน้ำใส เป็นหยดที่เล็กเหลือเกิน เล็กจนกระทั่งในสมัยนั้นไม่รู้จะพูดกันอย่างไรเพราะยังไม่ได้ใช้มาตราวัดอย่างละเอียดถึงขนาดที่ว่าเป็นเศษส่วนเท่าไรของวิธีอุปมาว่า หยาดน้ำใสกลละนี้นะ มีขนาดเล็กเหลือเกิน เหมือนอย่างเอาขนจามรีมา จามรีที่เป็นสัตว์อยู่ทางภูเขาหิมาลัย ซึ่งมีขนที่ละเอียดมากเอาขนจามรีเส้นหนึ่งมาจุ่มน้ำมันงา แล้วก็สลัดเจ็ดครั้ง แม้จะสลัดเจ็ดครั้งแล้วมันก็ยังมีเหลือติดอยู่นิดหนึ่ง ซึ่งเล็กเหลือเกิน ท่านบอกว่านี่แหละเป็นขนาดของกลละ กลละหมายถึงชีวิตในฝ่ายรูปธรรม เมื่อเริ่มกำหนดในเจ็ดวันแรกในช่วงเจ็ดวันแรกก็เป็นกลละอย่างนี้มาก่อน ซึ่งเล็กเหลือเกิน

    แล้วต่อจากกละนี้ไปในสัปดาห์ที่สองก็เป็น อัพพุทะ อัพพุทะ นี้ควรจะเรียกได้ว่าเป็นเมือกกละ คือ เป็นน้ำข้นหรือเมือกข้น ต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ ๓ ก็จะเป็นเปสิ คือเป็นชิ้นเนื้อ แล้วต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ ๔ ก็จะเป็นก้อน เรียกว่า ฆนะ ต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ ๕ ก็จะเหมือนกับมีส่วนงอกออกมา เป็นปุ่มห้าปุ่ม เรียกว่าปัญจสาขา นี่เป็นสัปดาห์ที่ห้า แล้วหลังจากนั้นก็จะมีผมมีขนมีเล็บกันต่อไป


    คัดลอกมาจาก
    หนังสือเรื่องทำแท้ง : ตัดสินอย่างไร ? หน้า ๑๒-๑๔
    โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

    อนุโมทนาบุญจากกระทู้คุณใบโพธิ์
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=20693
     
  5. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    เคยมีเพื่อนทำแท้งเหมือนกันค่ะ ที่สนิทหลายคนเลย บางคนทำถึง 2 ครั้ง แต่ไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของเพื่อนเลย รู้สึกว่าคนพวกนี้มักง่าย รักสนุกเห็นแก่ตัว พอมีเด็กแล้วก็หาทางเอาออกเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องอับอายเพราะกำลังเรียนอยู่ ไม่เคยคิดถึงเด็กในท้องเลยแม้แต่นิด ทำไมคนแบบนี้มันเยอะจัง อยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด เมื่อตอนสมัยเรียน ประมาณ 2 ปีที่แล้ว เรายังเที่ยวสำมะเลเทเมาอยู่ ล้อมรอบไปด้วยเพื่อนพวกนี้ เรามันก็มีความเลวสารพัด เลวในที่นี้หมายถึงว่าตอนนั้นยังหาเงินใช้เองไม่ได้ยังขอเงินแม่ใช้อยู่ แล้วก็เอาเงินที่แม่ให้มาใช้ในการเรียนไปกินเหล้า เที่ยวกะเพื่อน ทำแบบนี้ตลอดจนจบปี 4 (ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศีล 5 มีอะไรบ้าง) แต่ทุกครั้งที่เราทำผิดเรารู้ว่าผิดอย่างตอนกินเหล้ามาเมากลับถึงห้องก็คิดถึงแม่แล้วก้อนั่งร้องไห้คนเดียว คิดถึงตอนแม่ลำบากกว่าจะได้เงินมาเราเอาเงินแม่ไปกินเหล้า หลับไปตื่นเช้ามาก็เมาค้างไปเรียน เราเป็นเด็กศิลป์ อย่างที่รู้ๆกันเด็กประเภทนี่จะรู้สึกว่าตัวเองติ๊สแดกอยู่ตลอดเวลา (ขอโทษที่ใช้คำไม่สุภาพค่ะ) แบบว่าเวลาทำงานส่งก็จะต้องบิ๊วอารมณ์ติ๊สกันหน่อย ทำอะไรก็ต้องบิ๊วๆๆ จนเคยตัว ทีนี้ไม่ต้องทำงานส่งก็บิ๊วกันเป็นกิจวัตรหายใจเข้าก็บิ๊วหายใจออกก็บิ๊ว(ไม่ใช่อย่างตอนนี้คือหายใจเข้าก็พุทธ-หายใจออกก็ -โธ) แล้วชีวิตเราก็แวดล้อมไปด้วยสิ่งพวกนี้เพื่อนที่คบอยู่จากเพื่อนที่ดีๆเรียบร้อยหน่อย ก็กลายเป็นสิงยาดองกันไป ตอนนั้นรู้สึกหลงผิดไปคิดว่าทำแบบนั้นแล้วมันเท่ มันดูดี เพื่อนๆยกย่องว่าเอ็งนี่เจ๋งจริงเป็นผู้หญิงที่กินเหล้าเก่งที่สุดในคณะ โห..มันจะเท่อะไรขนาดนั้น(คิดแบบคนโง่) ไอ้เราก็ตัวพองเลย ตอนนั้นเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วสมัยที่เรียนอยู่รู้สึกว่ามันเป็นสังคมที่เสื่อมมาก แย่มาก เรารู้นะว่ามันเสื่อมแบบว่ามั่วกันไปหมด เพื่อนผู้หญิงก็กินเหล้าเคล้าผู้ชาย แต่เราไม่สนใจผู้ชายใฝ่สุราอย่างเดียว เพราะเป็นคนไม่สวย ชอบทำตัวเหมือนผู้ชาย แล้วก็ไม่มีแฟนมาจนถึงปัจจุบัน เพราะความรักรอบๆตัวเรามันไม่ได้เป้นแบบที่เราจินตนาการไว้ สงสัยจินตนาการสูงเกินไป ความคิดเราก็เหมือนผู้ชาย คิดว่าเพื่อนผู้หญิงของเราทำไมทำตัวง่ายๆกันแบบนี้ แล้วในที่สุดเพื่อนเราก็ค่อยๆท้อง ไปทีละคน น่าแปลกมากคือเป็นเพื่อนในกลุ่มทั้งนั่นที่ท้อง เรามีเพื่อนในกลุ่ม 6 คน ท้องไป 5 แบบว่าค่อยๆท้องทีละคนพอคนนี้ท้องไปทำแท้ง คนต่อไปก็ท้อง ไปทำแท้ง แล้วก็ท้องต่อกันเป็นทอดๆ เหอะๆๆยังกะห่วงโซ่อาหาร เรารู้สึกแย่มากตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงพักอยู่ห้องเดียวกันเพื่อนคนแรกที่ท้องแต่เค้าไม่บอก เราอยู่ด้วยกันทุกวันจนสังเกตได้ แล้วเพื่อนก้อแอบไปทำแท้งกับแฟนไม่บอกเราว่าเค้าท้อง แล้วเค้ากลับมาจากทำแท้งก็มีพระคล้องคอกลับมามีอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดที่ดูแปลกๆไป เรารู้ว่าเค้าไปทำแท้งมาเลยขอแยกห้องอยู่เพราะรับไม่ได้เห็นว่าคนพวกนี้ไร้ศีลธรรม (ตอนนั้นที่ตัวเองเป็นยัยขี้เมา ไม่ได้คิดด้วยว่าตัวเองก็ใช่ว่าจะมีศีลธรรม กิเลศมันบังตา) แต่เราก็ยังมีความละอายอยู่บ้าง เราไม่ถือว่าเราสนิทกับใครเลยในตอนนั้นเพราะเพื่อนพวกนี้ไม่ใช่กัลยานมิตร มีอยู่คนนึงท้อง 2 ครั้ง กับผู้ชายคนละคนมายืมเงินเราตอนท้องรอบ 2 บอกว่าจะไปหาหมอยืมไปแค่ 200 บอกว่าจะไปให้หมอตรวจไม่ได้เอาไปทำแท้ง เพราะถ้าบอกว่าเอาไปทำแท้งเราจะไม่มีทางให้เป็นอันขาด เราสงสารก็ให้ไปเพื่อนพวกนี้ชอบมาทำหน้าละห้อยให้เราสงสาร ทั้งที่มันดูน่าสมเพศมากกว่า ไม่รู้ว่าเค้าเอาไปหาหมอจริงๆรึเปล่า เรายังรู้สึกผิดอยู่เลยตอนนี้ เป็นอย่างงี้มาตลอด 4 ปี เราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เพื่อนเกือบทุกคนของเรามีแฟนอยู่แล้วแต่ก็ยังแอบไปมีคนอื่น แล้วก็จะบอกคนนั้นว่ายังไม่มีใคร บางคนรู้จักกันแค่ในเน็ต หรือในผับ แค่ครั้งเดียวก็ไปนอนกับเค้าซะแล้ว ทำไมมันง่ายอย่างงี้เรารู้สึกว่ารอบๆตัวเรานอกจากครอบครัวแล้ว ที่เรียนหรือเพื่อนฝูงไม่มีความจริงให้กันมีแต่พวกใส่หน้ากากเข้าหากัน พวกเสแสร้ง เราพยายามย้ายที่อยู่ออกมาอยู่คนเดียวแบบห่างๆ ของพวกนี้ เพื่อนพวกนี้ก็ยังตามเรามาชวนไปเที่ยว ชวนไปนู่นไปนี่ ไปในสถานที่ที่ไม่ควรจะไป เราจึงไม่อาจหลุดออกมาจากกรอบพวกนั้นได้เลย จิตใจเตลิดล่องลอย เป็นเหมือนคนบ้ามีลมหายใจแต่ขาดสติ เป็นแบบนี้มาตลอด จนจบ แล้วก็แยกย้ายกันไป พอได้ห่างคนพวกนี้เรารู้สึกว่าเราเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีโอกาศได้รู้ผิดชอบชั่วดี มีโอกาศได้ศึกษาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีโอกาศได้เลิกเป็นยัยขี้เมาทั้งๆที่ไม่มีใครคิดเลยว่าเราจะเลิกได้ ที่สำคัญเรามีโอกาศพอที่จะเป็นคนดีให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่แปลว่าผู้มีจิตใจสูง บอกตรงๆว่าเราพึ่งรู้ความหมายของคำว่ามนุษย์เมื่อไม่นานมานี้เอง กว่าจะได้มาเป็นมนุษย์นี่มันยากจริงๆ บนโลกนี้หามนุษย์ที่สมบูรณ์แบบก็ยากแล้ว เรายังจะไปตัดโอกาศการเกิดเป็นมนุษย์ของพวกเค้าอีก อยากให้มนุษย์ครึ่งๆกลางๆเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ จะได้มีความละอายชั่วกลัวปาบกันบ้าง เราก็กำลังพยายามอยู่
    .................อนุโมทนา ค่ะ ...............
     
  6. แม่พิมพ์

    แม่พิมพ์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +4
    คิดว่าควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่า
    1.ควรสอนเรื่องเพศศึกษาให้เยาวชน
    2.ควรสอนเรื่องความรับผิดชอบตั้งแต่เยาวชน
    3.ควรสอนเรื่องการป้องกันตัวให้แก่เด็กในวัยเรียน
    4.สถานีควรมีหน่วยงานรับแจ้งความและดำเนินคดี
    ทางด้านนี้โดยเฉพาะ ทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกว่า
    น่าอายหรือเป็นความผิดที่จะแจ้งความดำเนินคดี
    กับชายที่ไม่รับผิดชอบ
    5.ควรให้ครอบครัวปลูกฝังเรื่องศีลธรรม และพ่อแม่
    ควรทำเป็นเยี่ยงอย่าง ผิดศีล ประกอบสัมมาอาชีวะ
    ไม่เป็น Playboy หรือ Playgirl
     
  7. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    rabbit_eatingrabbit_eatingrabbit_eating
     
  8. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    update ครับ ..........
     

แชร์หน้านี้

Loading...