กรรมอะไร ทำให้เทวดาเป็นมาร?สงสัยว่าทำไมขวางทางคนอื่นเป็นอาชีพแล้วยังได้เป็นเทวดาอยู่

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 22 มีนาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table align="center" border="0" width="540"><tbody><tr><td>[​IMG]


    ข้อที่อยากให้ทุกท่านได้สังเกตก่อนอื่นใด ก็คือบุญนั้นไม่ได้พามาแต่ความรู้สึกด้านดีประการเดียว แต่มักพ่วงพาเอาความถือตัว เห็นตนเองวิเศษสูงส่งเหนือใครๆมาด้วย แล้วที่สุดก็ลงเอยด้วยความประมาท ฉันเป็นพระเอกแล้ว มีบุญกองภูเขาแล้ว ยิ่งใหญ่เหนือความผิดทั้งปวงแล้ว ดูเบาบาปผิดเล็กๆน้อยๆ สำคัญว่าไม่เป็นไร ทำไปไม่มีทางร่วงหล่นสู่นรกขุมไหนๆอีกแล้ว ลองถามตัวเองเถิด ถ้าหากทำบุญมากๆแบบครบวงจรแล้วความคิดข้างต้นแวบๆวาบๆขึ้นมาบ้างหรือเปล่า ถ้าเคยก็ขอให้สังวรระวังเถิด เพราะนี่แหละเชื้อที่ทำให้คุณมีสิทธิ์สอบติดเป็นมารตนหนึ่ง!

    ความประมาทนั้น เป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายที่ธรรมชาติจะดึงคนดีให้ตกต่ำ ยิ่งบุญมากขึ้นเท่าไหร่ เครื่องล่อให้ประมาทก็จะยิ่งใหญ่เป็นเงาตามตัวมากขึ้นเท่านั้น จึงไม่แปลกถ้าใครรู้สึกว่าตนเองและพรรคพวกสูงส่งเหนือมนุษย์ ก็มีแนวโน้มจะดูถูกดูแคลนผู้คน อยากให้ใครๆตกอยู่ใต้อำนาจตน และไม่อยากให้ใครได้ดีเกินตน

    อันที่จริงอัตตามานะอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ใครเป็นมารขึ้นมาหรอก สิ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งหรือเทวดาตนหนึ่งกลายเป็นมารอย่างสมบูรณ์แบบคือการตั้งความเชื่อไว้ผิด ชนิดที่นำไปสู่การก่อกรรมขัดขวางความเจริญ หรือห้ามความสำเร็จอันเป็นประโยชน์สุขของผู้อื่น

    นี่ไม่ใช่การตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกันในลักษณะฝ่ายค้านทางการเมือง เพราะฝ่ายค้านเป็นฝ่ายค้านก็เพราะเลือกตั้งแพ้ จึงต้องตั้งข้อแม้ต่างๆนานาให้ดูเป็นตรงข้ามกับรัฐบาลเข้าไว้ ใจจริงๆอาจมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือตัดคะแนนรัฐบาลแบบคู่แข่งชิงชัยกันเท่านั้น ไม่ได้มีใครถูกแท้หรือผิดถาวรแบบพระเอกกับผู้ร้ายเสมอไป วันดีคืนดีอาจส่งเสริมรัฐบาลได้ถ้าภาพลักษณ์ออกมาเป็นบวกแก่ตน

    สำหรับมารของจริงจะไม่เป็นฝ่ายค้าน แต่ตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามในลักษณะผู้ก่อการร้ายอย่างโจ๋งครึ่มเลยทีเดียว คือทำทุกวิถีทางไม่จำกัดรูปแบบ ไม่ว่าบั่นทอนกำลังใจ ข่มขู่คุกคามขวัญ ดลใจให้อยากประพฤติผิด บังใจให้ลืมสิ่งที่ควรทำ ตลอดจนกระทั่งทำลายล้างกันตรงๆด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ขอเพียงขัดขวางไม่ให้ใครบรรลุเป้าหมายสูงสุดของศาสนาได้เป็นพอ ถ้ายังไม่คลุกวงในหรือคร่ำหวอดกับการศาสนาจริงจัง คุณจะยังไม่รู้จักหรือนึกไม่ถึงว่ามีรูปแบบการขัดขวางที่พิสดารได้ปานนั้น

    ถ้ายังแปลกใจว่าทำไมเทวดายังคิดพิเรนได้ ก็ขอให้พิจารณาจากความจริงบนโลกนี้ที่เห็นๆกัน เช่นแต่ละศาสนาจะมีคนดีๆที่ไม่เห็นด้วย อาจต่อต้าน หรือกระทั่งทำลายล้างกันอยู่จริง เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะติดนิสัยเช่นนั้นไปยังภพอื่นภูมิอื่น ในมนุษยโลกมีพฤติกรรมแบบใดได้ บนเทวโลกและพรหมโลกก็มีพฤติกรรมแบบนั้นได้เช่นกัน เพราะมนุษย์ย่อมจากโลกนี้ไปสู่ภาวะที่สอดคล้องกับนิสัยเดิม ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรก!

    ใครดื้อ ใครไร้เหตุผล ใครใช้อารมณ์จนขาดสามัญสำนึกไปตลอดชีวิต ก็ย่อมละโลกนี้เพื่อไปสู่ความเป็นเช่นนั้นอย่างยืดยาวหาที่จบยาก เนื่องจากภูมิมนุษย์นั้นธรรมชาติให้ไว้เป็นโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเอง จะกระทำตัวตนแบบหนึ่งๆให้เข้มข้นถึงที่สุดก็ได้ หรือปรับเปลี่ยนรื้อถอนตัวตนแบบหนึ่งๆด้วยการแลกชีวิตทั้งชีวิตก็ได้ ส่วนภพภูมิอื่นๆ โดยเฉพาะที่โตเลยโดยไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ผ่านการขัดเกลา ไม่มีตัวเลือกให้ตัดสินใจเป็นอื่นนั้น ย่อมปักใจอยู่กับสิ่งที่วิบากกรรมหยิบยื่นมาวางไว้ตรงหน้าอย่างเดียว เช่นถ้าเคยชินกับความเป็นผู้ขัดขวาง เขาย่อมไปสู่ความเป็นสหายในภพของผู้ขัดขวางตั้งแต่อุบัติจนถึงอายุขัย

    มาดูกันครับ ว่าเหตุใดมนุษย์ที่มีสามัญสำนึกติดตัวกันดีๆทุกคนจึงหลงผิดไปเป็นฝ่ายมาร ทั้งนี้ตกลงกันก่อนว่าเรากำลังคุยกันเกี่ยวกับมารของศาสนาพุทธอย่างเดียว มารของศาสนาอื่นไม่พูดถึง แต่โดยหลักการก็คล้ายคลึงกัน คือใครต่อต้านความเชื่อแบบใดก็เป็นมารประจำความเชื่อแบบนั้นๆ

    ๑) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ผิด แต่ประพฤติถูกบางส่วน

    หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อในการใช้ชีวิตแบบไม่เบียดเบียนใคร เลื่อมใสการเกื้อกูลสังคม หรือกระทั่งศรัทธาในสันติสุขและการมีเมตา ทว่าไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบาก ไม่เชื่อว่านิพพานมีจริง อาจจะเพราะได้รับการปลูกฝังให้เชื่อแบบนั้นมาแต่เล็ก หรืออาจจะเพราะโตแล้วคิดเอง คาดคะเนแล้วปักใจเข้าข้างตัวเองอย่างเหนียวแน่น แถมยังขยายความเห็นผิดของตนให้กว้างไกลออกไป ผ่านรูปแบบการถกเถียง ถากถาง กล่าวโจทก์โพนทะนาด้วยเจตนาให้คนทั้งโลกหมดความเชื่อถือ หรือกระทำพุทธศาสนาให้หมดความชอบธรรมที่จะตั้งอยู่ กรรมที่เผยแพร่ศาสนาตนด้วยวิธีย่ำยีศาสนาอื่นในวงกว้างนี้แหละตัวการสำคัญอันจะทำให้เป็นมาร

    ที่บุคคลประเภทนี้มีโอกาสไปสวรรค์ ก็เพราะความดีที่เขาทำได้น้ำหนักเกินความชั่วที่เขาก่อ แต่หากครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญได้น้ำหนักแค่พอดีกับบาป ตายแล้วจะไปเป็นอสูร ซึ่งจัดเป็นพวกครึ่งเปรตครึ่งเทพ คอยรบกวนทั้งมนุษย์และเทวดาที่ใฝ่ดีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา อาจจะในรูปของการทำร้ายตรงไปตรงมา ดังเช่นเมื่อครั้งพุทธกาลมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง เดินจงกรมอยู่กลางแจ้ง มารก็เข้าไปรบกวนท้องไส้ท่านให้รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆถ่วงอยู่ แต่ท่านรู้ทันด้วยญาณ จึงเกลี้ยกล่อมโดยเล่าให้ฟังว่าอดีตชาติท่านก็เคยประพฤติตนเป็นมารอย่างนี้แหละ แต่พอพ้นจากภพของมารก็ต้องลงไปเสวยมหันตทุกข์ หมกไหม้อยู่ในมหานรกนานแสนนาน ไม่คุ้มกันเลย (ตัวท่านเองในครั้งอดีตเป็นญาติเก่ากับมารที่มารบกวนท่านในชาติสุดท้ายเสียด้วยครับ ถึงมีสายสัมพันธ์ที่เปิดช่องให้มารบกวนกันได้)

    ๒) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูกส่วนหนึ่ง แต่เห็นผิดอีกส่วนหนึ่ง

    หมายถึงกลุ่มคนที่ศรัทธาในกรรมวิบากระดับให้ทานและรักษาศีล เชื่อว่ากรรมมีผล เชื่อว่าทำดีย่อมมีสุคติเป็นที่หวัง แต่น่าเสียดายยังเห็นผิดเกี่ยวกับนิพพานและวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงนิพพาน ลำพังความเห็นผิดเงียบๆอยู่คนเดียวก็ไม่กระไรนัก แต่หากเกิดเป็นขบวนการจัดตั้ง พยายามล้มล้างแนวความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับมรรคผลนิพพานดั้งเดิม อันนี้ก็ต้องกลายไปเป็นพลพรรคมารกันโดยไม่รู้ตัว

    อย่างไรก็ตาม พวกนี้จะเป็นมารแบบผู้ดีขึ้นมาหน่อย คือเวลารบกวนจะไม่มาในลักษณะการของทำร้ายกันดื้อๆ แต่จะมาในรูปของการดลใจในสมาธิ เช่นทำให้พระซึ่งมีบุญมากๆหลงเห็นนิมิตบางอย่าง ได้ยินเสียงบางอย่าง แล้วบังเกิดความเชื่อมั่นว่านั่นคือการบรรลุถึงมรรคถึงผล โดยมากเป็นดอกบัวบานหรือนิมิตพระพุทธรูปที่มีเสียงระฆังกังวานสดใส หรือคำรับรองว่าเช่นนี้เป็นมรรคผลที่ถูกต้องแล้ว

    นอกจากนั้น ปัจจุบันยังมีอรหันต์ดิบเกิดขึ้นเยอะ กล่าวคือปฏิบัติธรรมแล้วเกิดมหาอุเบกขา รับผัสสะกระทบแล้วเฉยชา ไม่รู้สึกรู้สาทางกาม ก็เข้าใจว่าตนหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์แล้ว ทั้งๆที่เป็นอำนาจสมาธิหรืออำนาจของศีล ๘ ที่แข็งแรงเท่านั้น อีกพวกหนึ่งเกิดปรากฏการณ์บางอย่างทางจิตครั้งเดียว เช่นเกิดความว่างหายเฉียบพลันซึ่งคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์มรรคผลของจริง ก็พลัดหลงไปเข้าใจว่าตนเป็นพระอรหันต์ ทั้งที่กิเลสยังอยู่ครบ ยังโลภอยากสะสมสมบัติ ยังเกิดราคะอยากร่วมเพศ ยังเกิดโทสะหงุดหงิดรำคาญใจ และยังสำคัญตนไปต่างๆนานาว่ารู้เห็นเยี่ยงผู้วิเศษ ใครเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง จะฟังแต่ครูบาอาจารย์ที่ให้รางวัลเขา แต่งตั้งให้เขาเป็นพระอรหันต์เท่านั้น

    พวกนี้ไปเกิดเป็นเทวดาได้เพราะบุญซึ่งทำจริงๆตลอดชีวิต แต่พอเป็นเทวดาก็มักมีความพอใจประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ มาสนทนากับมนุษย์ผู้มีญาณ หรือผ่านมนุษย์ผู้มีเป็นร่าง ก็จะต้องการให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนหมดกิเลสแล้ว บางครั้งก็มีวิธีบังคับ หรือวิธีสำแดงตนแปลกๆได้พิสดาร สุดที่มนุษย์ธรรมดาๆจะแข็งขืนไม่ยอมศิโรราบให้

    เทวดาพวกนี้จะบรรยายสภาพของนิพพานไปต่างๆนานาสารพัด โดยรวบรัดคือเป็นดินแดนอันสงบสุข หาความทุกข์มิได้ ซึ่งที่แท้ก็คือภพหนึ่งของเทวโลกหรือพรหมโลกเท่านั้น และจะปฏิเสธนิพพานแบบไร้นิมิต ไร้ที่ตั้ง เห็นเป็นของน่าเบื่อ ไม่มีตัวตนให้สนุกอีก โดยไม่เฉลียวคิดถึงแก่นสารที่แท้จริงว่าการไร้สภาพปรุงแต่งให้เกิดดับนั่นเอง คือบรมสุข คือความสงบอันเป็นที่สุดทุกข์

    ๓) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูก แต่ปรามาสผู้ทรงคุณ

    หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจ
     
  2. ปกรณ์

    ปกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +3,761
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...