กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย หนึ่ง99999, 27 เมษายน 2010.

  1. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    การสาธยายพระไตรปิฎกที่ว่า “กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้ กรรมปัจจุบันจะช่วยได้ จงจำไว้ กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ว่าดีหรือชั่ว ย่อมมีผลต่อผู้กระทำทั้งสิ้น ไม่มีพรหมเทพองค์ใดจะช่วยลบล้างกรรมนั้นได้ เธอจงช่วยตนเอง ด้วยการสวดมนต์ ภาวนาแผ่เมตตาผลแห่งบุญอันเป็นกรรมปัจจุบันจะช่วยเธอได้”ตอนหนึ่งที่กล่าวกับนางโรหิณี


    เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี


    สาเหตุที่ตรัสชาดก

    .....
    ในสมัยพุทธกาล ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมีหญิงรับใช้คนหนึ่งชื่อ โรหิณี นางได้ฆ่ามารดาตายด้วยสากตำข้าว เพราะความตั้งใจที่จะตีแมลงวันที่มารุมตอมมารดา
    เมื่อมารดาตาย นางเศร้าโศกเสียใจมาก บรรดาคนรับใช้ทั้งหลายจึงนำความที่เกิดขึ้นมาแจ้งท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
    เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจัดการเรื่องศพมารดาของนางโรหิณีแล้ว จึงไปที่เชตวันมหาวิหาร และกราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นให้พระบรมศาสดาทรงทราบ พระพุทธองค์จึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงกราบทูลอารธนาให้พระองค์ทรงเล่าเรื่องในอดีต พระพุทธองค์จึงทรงนำ โรหิณีชาดก มาตรัสเล่าดังนี้
    เนื้อหาชาดก
    .....ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติกรุงพาราณสี เศรษฐีผู้หนึ่งมีสาวใช้ชื่อ นางโรหิณี
    วันหนึ่งในฤดูร้อน มีแมลงวันชุกชุมมาก มารดาของนางโรหิณีซึ่งชรามากแล้ว หูตาฝ้าฟาง งกๆ งิ่นๆ ทำอะไรไม่ค่อยได้ จึงหลบแมลงวันเข้าไปนอนอยู่ใน โรงกระเดื่อง
    บังเอิญแมลงวันฝูงหนึ่งบิดตามเข้าไปด้วย มันรุมตอมแขนขาหน้าตา และเนื้อตัวของนาง เมื่อปัดที่หนึ่งมันก็บินไปตอมอีกที่หนึ่งไล่ไม่ไป นางรำคาญมากจึงร้องเรียกนางโรหิณีให้มาช่วยปัดแมลงวันให้
    นางโรหิณีรับคำแล้วรีบไปหาแม่ทันที ครั้นเห็นแมลงวันทั้งฝูงกำลังรุมกัดรุมตอมแม่พึ่บพับอยู่อย่างนั้น จึงโกรธจัดคิดจะฟาดแมลงวันให้แหลกลาญ จึงฉวย สากตำข้าว ที่อยู่ใกล้มือหวดโครมลงไป ปรากฏว่าแมลงวันส่วนหนึ่งตายคาที่แต่แม่ของนางก็ถึงกับชักตาตั้งตายไปเช่นกัน
    นางโรหิณีตกใจมาก ร้องตะโกนเสียงลั่น คนรับใช้ทั้งหลายต่างวิ่งมาดู แต่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เสียแล้ว จึงพากันซักถาม นางโหริณีพูดพลางร้องให้สะอึกสะอื้น เสียใจในความวู่วามโง่เขลาของตน
    เมื่อเศรษฐีทราบเรื่องที่เกิดขึ้น จึงให้จัดการทำศพมารดาของนางโรหิณี แล้วกล่าวว่า
    “ ศัตรูที่มีปัญญายังดีกว่ามีคนช่วยเหลือที่โง่เขลา ดูสิ นางโรหิณีฆ่ามารดาตายแล้ว ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่”

    ประชุมชาดก

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า
    มารดานางโรหิณี ในครั้งนั้น ได้มาเป้นมารดานางโรหิณีในครั้งนี้
    นางโรหิณี ในครั้งนั้น ได้มาเป็นนางโรหิณีในครั้งนี้
    เศรษฐี ได้มาเป็นพระองค์เอง
    ข้อคิดจากชาดก
    ๑ . ศัตรูที่น่ากลัวมาก คือศัตรูที่ฉลาด มีความรู้ความสามารถ เพราะอาจะทำร้ายเราได้หลายๆ วิธี ทำให้เราต้องระมัดระวังมาก แต่ผู้ที่น่ากลัวกว่านั้น คือผู้ที่โง่เขลาขาดเหตุผล หรือวิกลจริต แม้จะเป็นมิตรที่น่ากลัวกว่าศัตรู เพราะอาจก่อเหตุร้ายที่เหนือการคาดเดาขึ้นได้
    ๒. อย่าไว้ใจใช้งานคนที่โง่เง่า บ้าๆ บอๆ เด็ดขาด เพราะจะทำให้งานใหญ่เสีย
    ๓. คนเรานั้น แม้จะมีความซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวทีก็ยังไม่พอ จะต้องมีสติสัมปชัญญะประกอบอยู่ด้วยเสมอ

    อธิบายศัพท์
    ( โรหิณีชาดก อ่านว่า โร- หิ- นี- ชา- ดก)
    โรงกระเดื่อง โรงที่ใช้สำหรับตำข้าว กระเดื่องเป็นเครื่องตำข้าวชนิดหนึ่ง ใช้เท้า เหยียบปลายกระเดื่อง แล้วถีบให้กระดก
    สากตำข้าว เป็นสากไม้ ลักษณะกลมใหญ่ขนาดต้นแขน ยาวประมาณเท่าตัวคน ตรงกลางคอด
    พระคาถาประจำชาดก
    เสยฺโย อมิตฺโต เมธาวี
    ยญฺเจ พาลานุกมฺปโก
    ปสฺส โรหิณิกํ ชมฺมิ
    มาตรํ หนฺตฺวาน โสจติ
    ศัตรูที่มีปัญญา ยังดีกว่าคนช่วยเหลือที่โง่เขลา
    ดูสิ นางโรหิณีฆ่ามารดาตายแล้ว ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2010
  2. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    พระสูตรเรื่องพระนางโรหิณี

    พระนางโรหิณีนั้นเป็นพระกนิษฐภคิรี ( น้องสาว ) ของพระอนุรุทธเถระ พระอนุรุทธะนั้น ท่านมีพี่
    น้อง ๓ คน คือ ๑ . พระมหานามะ ๒. พระอนุรุทธะ ๓ พระนางโรหิณี

    พระอนุรุทธะ บิดาของ พระนางโรหิณีนั้นเป็นพระกนิษฐภคิรี ( น้องสาว ) ของพระอนุรุทธเถระ พระ

    อนุรุทธะนั้น ท่านมีพี่น้อง ๓ คน คือ ๑ . พระมหานามะ ๒. พระอนุรุทธะ ๓ พระนางโรหิณี

    พระอนุรุทธะ บิดาของท่านคือ พระเจ้าอมิโตทนะ ซึ่งเป็นพระกนิษฐภาดา ( น้องชาย ) ของพระเจ้า

    สุทโธทนะ เพราะฉะนั้น พระอนุรุทธะนั้นจึงเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องของพระพุทธเจ้า
    วัน หนึ่ง พระอนุรุทธะได้เดินทางไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ อันเป็นบ้านเดิมของท่าน เมื่อไปแล้ว พวก
    บรรดาพระญาติก็มาหาท่านเป็นจำนวนมาก แต่ยังขาดอยู่คนหนึ่งไม่ได้ไปพบ นั้นก็คือพระนาง
    โรหิณี พระอรนุรุทธะจึงถามพวกพระญาติที่มาพบว่า น้องหญิงไปไหนเสียจึงไม่มา ก็ได้รับการ
    บอกว่าอยู่ที่พระตำหนัก ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงไม่มา ก็ได้รับคำตอบว่า พระนางเป็นโรคผิวหนังมี
    แผลพุพองคันไปทั่วทั้งตัวจึงไม่กล้ามา

    พระ อนุรุทธะก็ให้คนไปตามมาพบให้ได้ พอพระนางมาแล้วไหว้พระเถระ ๆ ก็ถามว่าทำไมไม่มา

    พระนางก็เรียนว่าตนเป็นโรคผิวหนังอันไม่งามจึงไม่มา ก็เพราะความละอาย พระอนุรุทธะเถระก็
    กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเธอจงสร้างศาลาขึ้น ๑ หลัง เป็นศาลาโรงฉันสำหรับภิกษุสงฆ์ พระนางโรหิณี
    ก็เรียนถามว่า กระหม่อมฉันจะเอาเงินที่ไหนมาสร้าง
    พระเถระก็พูดว่า เครื่องประดับของเธอไม่มีบ้างหรือ
    พระนางก็เรียนว่า มีเครื่องประดับอยู่
    พระเถระถามว่า ราคาประมาณเท่าไร
    พระนางเรียนว่า ประมาณหนึ่งหมื่นกหาปณะ

    พระเถระจึงบอกว่า เธอจงขายเครื่องประดับนี้เสียแล้วนำไปสร้างศาลาโรงฉัน พระนางก็ถามว่า แล้ว
    ใครจะช่วยสร้างให้ เพราะไม่มีคนสร้าง พระเถระก็มองดูพระญาติ ๆ ทั้งหลาย
    ซึ่งมานั่งอยู่เป็นจำนวนมากแล้วพูดขึ้นว่า ให้พระญาติทั้งหลายนั้นช่วยจัดการเรื่องนี้ ช่วยกันสร้าง
    ศาลานี้ บรรดาพระญาติทั้งหลายก็รับคำจัดการสร้างให้

    พอศาลาโรงฉันสร้าง เสร็จ พระนางก็มีจิตผ่องแผ่วเกิดปีติโสมนัสยิ่ง เริ่มไปปัดกวาด ปูอาสนะ ตั้ง

    น้ำใช้น้ำฉันไว้ แล้วพระนางก็เริ่มปฎิบัติถือศีลฟังธรรมตามกาล โรคเรื้อนหรือโรคผิวหนังที่พระนาง
    เป็นอยู่ก็เริ่มแห้งราบลงไป ๆ เมื่อถึงวันฉลองศาลาโรงฉัน พระนางก็ได้ให้คนไปนิมนต์พระภิกษุสงฆ์
    จำนวนมาก มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้มาเสวยที่โรงฉันหลังนั้น พระพุทธเจ้าทรงรับแล้วได้เสด็จ
    มาเสวยพระกระยาหารในที่นั้น

    พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถามว่านี้เป็นทานของใคร พระอนุรุทธเถระก็ทูลตอบว่า นี้เป็นทานของพระ

    นางโรหิณี ผู้เป็นพระน้องนาง พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า พระนางโรหิณีไปอยู่ที่ไหนเสียเล่า
    พระอนุรุทธเถระทูลตอบว่า อยู่ที่พระตำหนักไม่กล้ามา เพราะละอายที่ตนเป็นโรคผิวหนังอันน่ารัง
    เกลียด พระพุทธองค์จึงทรงตรัสรับสั่งให้ไปตามพระนางมา เมื่อพระนางมาแล้วก็ทำการถวายบังคม
    แล้วก้มหน้านิ่ง
    พระพุทธองค์ได้ตรัสถามพระนางว่า ทำไมไม่มา พระนางก็ทูลตอบว่า ตนเป็นโรคผิวหนังอันพุพอง
    เป็นที่น่ากลัวน่ารังเกลียด จึงได้มีความละอาย เลยไม่กล้าที่จะมาเข้าเฝ้า พระพุทธองค์ทรงตรัสถาม
    ว่า เธอทราบไหมว่า ทำไมจึงเป็นโรคผิวหนัง
    พระนางทูลตอบว่า ไม่ทราบพระเจ้าข้า พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ที่เป็นโรคผิวหนังพุพองนั้นก็เพราะ
    ความโกรธที่เธอทำไว้ในชาติก่อน จึงทำให้เป็นโรคผิวหนังเป็นแผลพุพองอันน่าเกลียด และ
    พระองค์ได้ยกอดีตนิทานของพระนางโหริณีในชาติก่อนมาตรัสเล่าว่า

    ใน อดีตกาล ในกรุงพาราณสี พระนางนั้นได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสี พระนางมี

    ความผูกจิตริษยาอาฆาตแค้นในหญิงนักฟ้อนรำของพระราชาองค์นั้น ( อาจเป็นเพราะพระราชา
    โปรดปราณหญิงนักฟ้อนรำคนนั้นมากก็ได้ ทำให้พระนางริษยาแค้นเคืองหนักหนา ) พระนางทรงรับ
    สั่งให้เรียกหญิงนักฟ้อนรำนั้นเข้ามาที่พระตำหนัก แล้วตรัสสั่งคนให้เอาผงเต่าร้างโปรยบนผ้าที่นอน
    ของหญิงนักฟ้อนรำนั้น นอกจากจะโรยที่นอนแล้วก็ให้โปรยบนผ้าห่มด้วย เมื่อหญิงนักฟ้อนรำเข้า
    มาเฝ้า พระนางก็ทรงโปรยผงเต่าร้างลงไปที่ตัวของนางนักฟ้อนรำแล้วทำเป็นหัวเรอะเล่น หญิงนัก
    ฟ้อนรำนั้นเมื่อโดนผงเต่าร้างโรยมาที่ตัวก็ให้คันเหลือประมาณได้รับ ทุกขเวทนายิ่ง ตามตัวก็พุพอง
    ขึ้นเป็นเม็ดน้อยเม็ดใหญ่ เมื่อเม็ดพุพองขึ้นมาก็เกา เกาหาที่คันเม็ดตุ่มคันก็เเตกเป็นแผล เมื่อนาง
    ไปนอนบนที่นอนก็ถูกผงเต่าร้างกัดที่นอนนั้น นางได้รับทุกข์เวทนาอย่างแรงกล้า

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เพราะกรรมอันนี้เอง เธอจึงเป็นโรคเรื้อนเพราะความริษยา เพราะความ

    โกรธนี้เองจึงเป็นเหตุให้เธอต้องรับทุกข์เวทนาเช่นนี้ ในที่สุด พระพุทธองค์จึงทรงตรัสแสดงธรร
    กับพระนางขึ้นว่า

    “ บุคคลไม่พึงโกรธ พึงสละความถือตัวเสีย ควรล่วงสังโยชน์เสียให้สิ้น ทุกข์ทั้งหลายย่อมไม่ตกแก่
    บุคคลเช่นนั้น ผู้ไม่ข้องอยู่ในนามรูป ผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ”

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม พระนางก็พิจารณาตามกระแสแห่งพระสัทธรรมนั้น และในที่สุด

    พระนางก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น เมื่อพระนางสำเร็จโสดาบันในครั้ง
    นั้น พระนางก็มีผิวพรรณวรรณะดุจทองคำในขณะนั้นเอง นี่เป็นผลอานิสงส์จากการที่พระนางได้
    สร้างศาลาโรงฉันแล้วก็ได้ปฎิบัติธรรม ปัดกวาดศาลาโรงฉัน ตั้งน้ำใช้น้ำฉันเป็นต้น
    อานิสงส์ของการกวาดลานวัด
    คนโบราณเขาเชื่อถือกันมาว่า ผู้ที่มีโรคผิวหนังพุพองหรือโรคเรื้อน ถ้าได้มาเก็บขยะเก็บใบไม้ที่
    ล่วงหล่นปัดกวาดลาดวัดให้สวยงามสอาดตาแล้วนั้น เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวพรรณวรรณะงดงามและ
    ทำให้โรคร้ายหายไปได้ การกวาดวัดนี้มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่างคือ

    ๑. บุคคลเห็นเข้าก็เลื่อมใส
    ๒. เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใส
    ๓. จิตของผู้กวาดตั้งสมาธิได้เร็ว
    ๔. ผิวพรรณวรรณผ่องใส
    ๕. เมื่อตายดับสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปบังเกิดในภพภูมิสวรรค์


    นี่ คือผลอานิสงส์ของการเก็บปัดกวาดลานวัด ส่วนพระนางโรหิณีกวาดศาลาที่พระนางสร้างเองนั้น

    เมื่อพระนางสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดบนสวรรค์ดาวดึงส์ แต่สถานที่พระนางไปเกิดนั้นแปลกกว่าคนอื่น
    คือ ไม่ได้ไปเกิดในวิมานของใคร พระนางไปเกิดอยู่ในระหว่างพรหมเทพบุตรทั้ง ๔ จึงเกิดปัญหา
    ขึ้น เทพบุตรทั้ง ๔ ต่างก็พูดว่า นางเทพธิดานี้เป็นสมบัติของตน ต้องการจะเอามาเป็นภรรยา เมื่อ
    ตกลงกันไม่ได้ ในที่สุดก็นำเรื่องไปกราบทูลท้าวสักกเทวราชเพื่อให้ทรงตัดสิน ท้าวสักกเทวราช
    ทรงเห็นพระนางแล้วก็เกิดความรักขึ้นจึงตรัสถามเทพบุตรทั้ง หลายว่า ท่านทั้งหลายเห็นนางแล้ว
    รู้สึกอย่างไร เทพบุตรองค์หนึ่งได้กราบทูลว่า เมื่อเห็นนางแล้ว จิตของข้าพระองค์เต้นแรงเหมือน
    กับกลองศึก ไม่อาจจะสงบนิ่งอยู่ได้

    เทพบุตรอีกองค์ที่สองก็กราบทูลว่า เมื่อเห็นนางแล้ว จิตของข้าพระองค์ถลนออกมาเหมือนตาปู

    เทพบุตรอีกองค์ที่สามกราบทูลว่า เมื่อข้าพระองค์เห็นนางแล้ว จิตของข้าพระองค์เป็นไปโดยรวด
    เร็ว เหมือนกับน้ำที่ตกจากภูขา เทพบุตรองค์ที่สี่กราบทูลว่า เมื่อข้าพระองค์เห็นนางแล้ว ใจเต้น
    เหมือนกับธงที่ปักไว้บนยอดเจดีย์ สะบัดอยู่ ไม่หยุดนิ่ง ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ท่านทั้งสี่เห็นนาง
    เทพธิดานี้แล้วยังพออยู่ได้ แต่ข้าพเจ้านี้ ถ้าหากไม่ได้นางเทพธิดาองค์นี้เป็นพระชายาแล้วจะต้อง
    ตาย เทพบุตรทั้งสี่นั้นก็กราบทูลว่า พวกข้าพระองค์ไม่ต้องการให้พระองค์ถึงสวรรคต ขอมอบนาง
    เทพธิดาองค์ให้เป็นสิทธิ์ของพระองค์ ดังนั้น พระนางโรหิณีที่ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ได้เป็น
    ที่โปรดปรานของท้าวสักกเทวราช
     
  3. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    สาธุ ในธรรมทานของท่าน

    ชอบการกวาดลานวัด ได้ข้อคิดดี

    อานิสงส์ของการกวาดลานวัด
    คนโบราณเขาเชื่อถือกันมาว่า ผู้ที่มีโรคผิวหนังพุพองหรือโรคเรื้อน ถ้าได้มาเก็บขยะเก็บใบไม้ที่

    ล่วงหล่นปัดกวาดลาดวัดให้สวยงามสอาดตาแล้วนั้น เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวพรรณวรรณะงดงามและ
    ทำให้โรคร้ายหายไปได้ การกวาดวัดนี้มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่างคือ

    ๑. บุคคลเห็นเข้าก็เลื่อมใส
    ๒. เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใส
    ๓. จิตของผู้กวาดตั้งสมาธิได้เร็ว
    ๔. ผิวพรรณวรรณผ่องใส
    ๕. เมื่อตายดับสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปบังเกิดในภพภูมิสวรรค์

     
  4. ลุงชาลี

    ลุงชาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,958
    ค่าพลัง:
    +4,763
    <TABLE class=tborder id=post3234231 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175></TD><TD class=alt1 id=td_post_3234231 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->สาธุ สาธุ ขอโมทนา
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    http://palungjit.org/forums/ขம.ml#post3146526[.179/COLOR]<!-- google_ad_section_end --> ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคท่อส่งน้ำถวาย วัดเขาชี จ.พิษณุโลก<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาตินี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดีขอเจ้ากรรมนาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>เวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ และจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

    <st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข"></st1:personName><st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข"></st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข">และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เทพยดาทั้งหลายที่ปกปักษ์รักษาข้าพเจ้า เทพยดาทั้งหลายทั่วสากลพิภพและพระยายมราช ขอเทพยดาทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้และจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด</st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข"></st1:personName><st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข"></st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข">และขอแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาตินี้ ให้แก่ท่านทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ก็ดีที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี ที่เสวยความทุกข์อยู่ก็ดีเป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี อาทิ บิดามารดา เป็นต้นขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด</st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข"></st1:personName><st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข"></st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข">[COLOR=red][COLOR=blue][COLOR=red]และขอถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว [/COLOR][COLOR=red]สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ ทุก ๆ พระองค์[/COLOR][COLOR=red]ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน [/COLOR][COLOR=red]มีพระราชประสงค์สิ่งใดขอให้สำเร็จตามพระราชประสงค์ทุกประการเทอญ[/COLOR][/COLOR][/COLOR]</st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข"></st1:personName><st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข"></st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="เวรทั้งหลาย จงมีความสุข">ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้ว ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด หากไม่สามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ได้ ขอให้คำว่า ไม่มี ไม่รู้ ไม่เป็น ไม่สำเร็จ จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ</st1:personName><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    [​IMG]
     
  6. acspclubs

    acspclubs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +579
    แล้วทำไมองคุลีมาล ถึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้อ่าครับ

    ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เครียกรรมให้

    อนุโมทนาครับ
     
  7. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    อานิสงส์ของการกวาดลานวัด
    คนโบราณเขาเชื่อถือกันมาว่า ผู้ที่มีโรคผิวหนังพุพองหรือโรคเรื้อน ถ้าได้มาเก็บขยะเก็บใบไม้ที่

    ล่วงหล่นปัดกวาดลาดวัดให้สวยงามสอาดตาแล้วนั้น เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวพรรณวรรณะงดงามและ
    ทำให้โรคร้ายหายไปได้ การกวาดวัดนี้มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่างคือ

    ๑. บุคคลเห็นเข้าก็เลื่อมใส
    ๒. เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใส
    ๓. จิตของผู้กวาดตั้งสมาธิได้เร็ว
    ๔. ผิวพรรณวรรณผ่องใส
    ๕. เมื่อตายดับสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปบังเกิดในภพภูมิสวรรค์
     
  8. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ถ้าปฏิบัติตามอริยมรรค และละความยึดมั่นถือมั่นได้ก็บรรลุธรรม
    กรรมที่องคุลีมารฆ่าคนเป็นปาณาติบาต กรรมชนิดนี้เวลาส่งผลจะทำให้บาดเจ็บล้มตายทุกข์ทรมานทางกายเป็นหลัก แต่มิได้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมโดยตรง พระองคุลีมาลจึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ แต่กรรมนี้ก็ทำให้ท่านต้องถูกหินขว้างจนศรีษะแตก
     
  9. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    อานิสงส์ของการกวาดลานวัด
    คนโบราณเขาเชื่อถือกันมาว่า ผู้ที่มีโรคผิวหนังพุพองหรือโรคเรื้อน ถ้าได้มาเก็บขยะเก็บใบไม้ที่
    ล่วงหล่นปัดกวาดลาดวัดให้สวยงามสอาดตาแล้วนั้น เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวพรรณวรรณะงดงามและ

    ทำให้โรคร้ายหายไปได้ การกวาดวัดนี้มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่างคือ

    ๑. บุคคลเห็นเข้าก็เลื่อมใส
    ๒. เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใส
    ๓. จิตของผู้กวาดตั้งสมาธิได้เร็ว
    ๔. ผิวพรรณวรรณผ่องใส
    ๕. เมื่อตายดับสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปบังเกิดในภพภูมิสวรรค์
     

แชร์หน้านี้

Loading...