กสิณ แสงอาทิตย์

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ิbutwanna, 26 สิงหาคม 2010.

  1. ิbutwanna

    ิbutwanna Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +26
    คือผมมักจะใช่เวลาว่างในขณะนั่งรถไปทำงาน ชอบทำสมาธิจนกว่าจะถึงโรงงาน บังเอิญผมรู้เรื่องกสิณเลยเกิดความสนใจ เลยทำสมาธิสักพักก็จับเอาแสงอาทิตตอนเช้าที่ส่องมาเข้าตาผม เพ่ง และ พิจารณา จนตอนนี้ ควบคุมแสงนั้นให้ ขยาย หมุน เล็ก ภายในการหลับตาของผมได้แล้ว แม่แต่ตอนลืมตา ถ้าเกิดมีสมาธิขึ้นมา ก็จะมีแสงประมาณนั้น ให้ผมเห็นเสมอ อยากทราบว่า มีโทษ หรือทำผิดประการใดช่วยบอกผมด้วยนะคับ
     
  2. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    กสิณมี 10 รูปแบบ ตามคำโบราณจารย์

    กสิณดวงอาทิตย์ไม่มี ครับ และไม่ใช่เป็นเตโชกสิณด้วย การจ้องมองดวงอาทิตย์ให้โทษถึงตาบอดถาวรได้ ฉะนั้นอย่าผิดครู ครับ

    อยากศึกษาเรื่องกสิณที่ถูกต้อง ในเวปนี้ มีแนะนำอยู่แล้ว ครับ
     
  3. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    กสิน ๑๐ เป็นกรมฐาน ในหมวดของ กรรมฐาน ๔๐ สามารถ ทำจิตให้เข้าถึงฌาณได้ง่าย โดยใช้ นิมิตเครื่องหมาย ในรูปแบบ ต่าง ๆ และเป็นพื้นฐาน ของ วิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ

    ดวงอาทิตย์ ก็จัดว่าเป็นอาโลกสิน คือกสินแสงสว่าง อยากทราบว่า การเพ่ง นี่เพ่งอย่างไร ใช่การ จำหรือเปล่า ? การปลูกบ้าน ย่อมอิงแบบแปลน ฉันใด นักปฏิบัติ ควรอิงปริยัติ ฉันนั้น .. โมทนา ด้วยครับ
     
  4. ิbutwanna

    ิbutwanna Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +26
    วิธีทีผมเพ่ง

    ใช่ครับผมไม่ได้จ้องดวงอาทิตย์ แต่ผมเพ่งแสงสว่างที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์ โดยวิธีการหลับตา แล้วพิจารณาคับ แล้วก็หัดควบคุม อยากจะถามว่าถ้าผม
    - มีสมาธิที่สูงขึ้น
    - มีปัญญาที่เจริญจนเป็นญาณแล้ว ผมจะควบคุมและทำอะไรได้บ้าง
    - ผมบอกตามตรงคับ ผมเป็นฆราวาสนี่มันแสนจะลำบากในการผึกจิตใจ เพราะต้องเจอกับการทำงานเอ๋ย เพื่อนฝูงเอ้ย สิ่งเย้ายวนกิเลส ต่าง ๆจนทำให้ความมานะ ความตั้งใจ มันลดน้อยลงไป ผมพิจารณาแล้วว่าถ้าคืนปล่อย จิต ปล่อย ใจ ให้ลอยไปตามกิเลส จะไม่สามารถปีนขึ้นมาจากความอยากทั้งหลายได้เลย หรือไม่ก็แสนลำบาก
    -ทำยังไงมผถึ้งจะมี ตบะ ความอดทน ความตั้งใจ ความพยายามคับ
    ผม อนุโมทนาให้แล้วนะคับ ขอบคุณ
     
  5. คิเคียว

    คิเคียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2006
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +459
    ฟังไปฟังมาถ้าจะคล้ายคลึงที่สุดก็กับกสิณแสงนี่ล่ะค่ะ
    เห็นว่าท่านให้นั่งในห้องมืด และให้มีแสงลอดผ่านเข้ามา อะไรทำนองนี้นะคะ ลองหาดูเอง
    :boo:
    ท่านว่าให้เพ่งความรู้สึกของความสว่าง แต่ไม่ให้เพ่งสีของแสงสว่างนั้น
    ถ้าได้กสิณแสงก็จะได้ทิพยจักขุญาณค่ะ เนรมิตความมืดให้สว่างได้


    ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยค่ะ
     
  6. สิงห์แดง

    สิงห์แดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +153
    ฝึกมองเพียงแว๊บเดียวแล้วจำให้แม่น ให้ฝึกตอนหกโมงไม่เกินเจ็ดโมงเช้า ดวงอาทิตย์กำลังกลมโตสุกใส มองไปนานๆ ตาจะพร่า แต่สักพักพอได้องค์ฌาณแล้ว จะเห็นเป็นดวงแล้ว พอก่อน คราวต่อไปเหลือบตาไปมองแล้วจำให้แม่นอย่างหัวข้อข้างต้น ทำซ้ำไปสักหลายๆ วัน พอหลับตาตอนนั่งสมาธิในช่วงกลางคืน ให้นึกถึงตอนเช้าที่เรามอง ดวงอาทิตย์ที่สุกใสจะผุดขึ้นมาในมโนสำนึก คราวนี้ลองหยั่งจิตไปที่ดวงนี้ ทำไปสักสองสามคืน ฝึกไปเรื่อยๆ จิตจะตึงแข็ง ทำต่ออีก ผ่านจากการตึงแข็ง แล้วจิตจะคลายตัว ตานี้ล่ะ สติจะตามกำกับทุกอริยาบท พลิกกลับมานั่งพิจารณาร่างกายไปที่ละส่วน เริ่มที่เกศาฯ คิดเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ทำไปทุกๆ วัน ฐานจิตแน่น ฐานปัญญาพิจารณาได้แยบคาย สุดท้ายจิตจะพัฒนาไปเอง สำคัญคืออย่าไปเร่ง อย่าไปอยาก เพราะทำได้่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว จิตจะทรงตัวอยู่ตลอดไป จนกว่าจะตาย "ตักบาตรทุกวันจนขันข้าวทะลุ ยังไม่เท่านั่งสมาธิแล้วเห็นแสงสุกใสเท่าปลายหัวไม้ขีดเพียงครั้งเดียว"

     
  7. เส้นเล็ก

    เส้นเล็ก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +96
    ทำยังไง......ผมหลับตาทีไรก็มืด แล้วที่บอกว่าดูแผ่นกสิณเพียงแค่จำได้
    แล้วก็ใช้การนึกเอา การนึกของคนเรา นึกยังไงก็ไม่มีภาพ ดูเหมือนจะมีภาพ
    แต่ไม่ใช่ แล้วฝึกนึกยังไงให้มีภาพในใจ ถ้าบอกว่าเหมือนนึกถึงใครคนหนึ่ง
    ก็นึกกันได้ทุกคน แต่ภาพที่ได้มันเป็นแค่การนึก ถ้าอย่างนั้นก็นึกภาพที่เป็น
    ดาวประกายใสไม่ดีกว่าหรือ เพราะณาน 4 ก็เป็นประกาย.... แล้วทำไม
    ต้องมานั่งนึกจุดเริ่ม ..... คงเข้าใจที่ผมถามนะครับ
    บางท่านก็บอกว่าให้ใช้วิธีแบบเพ่งมองแล้วอาศัย ภาพที่ได้จากเงาสะท้อน
    ในขณะหลับตา ทำซ้ำอยู่อย่างนี้ ดูจนมึน......
    บางท่านก็บอกว่าให้ดูแค่จำได้ แล้วใช้การนึกเอา ก็นึกทีไรมันมืด ภาพไม่มี
    สรุปแล้ว ฝึกยังไงให้มีนิมิตเกิดขึ้นในใจ ส่วนใหญ่ที่ตอบก็อ่านจาก.......
    มีใครที่ฝึกได้มั่ง อยากได้คนที่ฝึกจากเริ่มแรกแล้วพัฒนาไปได้เรื่อยๆ
    ประเภทมีของเก่าแล้วนั่งมอง.....ก็ได้ อย่างนี้ก็อธิบายให้คนที่จะฝึก เข้าใจได้ยากมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2010
  8. เพกลา

    เพกลา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    ลองดูดีๆคราบเราอยู่ในเมืองเป็นคนธรรมดาเจอสิ่งเล้าต่างๆลองจับมาพิจารนาเรานี้โชคดีที่ได้ทดสอบจิตอยู่ทุกวันขอเพียงเรามีสติที่จะพิจารนาในวันๆนึง เกิดขึ้นตั่วอยู่ดับไปดูอารมตัวที่เกิดตั่งอยู่ที่ใดดับไปเพราะอะไรพิจารนามันไป ลองดูนะคราบเราก็ใช้วิธีนี้อยู่ในเมืองมันก็ได้อะไรเยอะทีเดียว
     
  9. เพกลา

    เพกลา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่ต้องดูไม่ต้องจำไม่ต้องนึกนั่งมันนิ่งๆให้มันสบายใจเสียก่อน หลังจากนั้นว่าแสงไฟมันมีองประกอบอะไรมีสีอะไรรู้สึกอย่างไรทำไมถึงรู้สึกพิจารนาตามมันไปแต่ไม่ต้องมาจดจำสิงที่เห็นที่เกิดขึ้น ถ้าจิตมันจดจำไม่ต้องเพ่งไม่ต้องมองไม่ต้องนึกมันก็เกิดขึ้นเองเปนไปตามสภาวะสัญญาของมัน
     
  10. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ตอบคุณเส้นเล็ก

    เพราะมันอาจเป็นนิมิตหลอกตา ไม่เชื่อลองอธิษฐานฤทธิ์ดูสิ มันจะแป๊กแน่นอน

    ลองเปรียบเทียบกับการขับรถดูสิ ต้องเริ่มจากเกียร์1 ตอนออกตัว จากนั้นก็ค่อยไล่เกียร์ ขึ้นไปตามรอบเครื่อง ใช่มั้ย 1-2-3-4 แบบนี้

    ถ้ารถจอดอยู่ ไปเข้าเกียร์4 รถมันจะวิ่งมั้ยล่ะ มันไปไหนหรอก เครื่องมันก็ดับ รถก็อยู่ที่เดิม

    สมาธิก็คล้ายๆกัน เริ่มจาก อุปจารสมาธิ -ฌาน1-ฌาน2-ฌาน3-ฌาน4 เวลาถอยก็ 4-3-2-1 ฝึกไปเรื่อยๆ นะ
    พอมีความคล่องแล้ว บางทีใช้เวลาแค่ 1 วินาที ก็ถึงฌาน4 แล้ว

    พอจะเห็นภาพมั้ย ว่าทำไมต้องเริ่มจากภาพนิมิตปกติก่อน
    ก็เพื่อให้สัมพันธ์กับลำดับฌาน นั่นล่ะ

    และตามคำสอนของหลวงพ่อปาน และ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    ต้องเข้า ฌาน4 แล้วถอย มาอุปจารสมาธิ แล้วอธิษฐานฤทธิ์ แล้วเข้าฌาน4
    แล้วถอยมา อุปจารสมาธิ แล้ว อธิษฐานฤทธิ์ ซ้ำอีกรอบ ฤทธิ์จึงบังเกิดผล


    เจริญพร
     
  11. ta_sepia

    ta_sepia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +179
    ถึงคุณเส้นเล็ก ครับ

    ถ้าหากต้องการจะตั้ง กรรมฐานเป็นอารมณ์ (ไม่ใช่ใช้ตาเนื้อจับภาพ แต่ใช้ความรู้สึกในการจับภาพ),

    ต้องถามว่า ปฏิบัติได้ถึงขั้นที่เรียกว่า "รู้อารมณ์" หรือยังน่ะครับ? (จริง ๆ ครูบาอาจารย์ไม่ถาม แต่จะสอบจิตแล้วบอกเลย)

    จริง ๆ มันเป็น "สภาวะ" ของจิตที่ละเอียด ที่เรียกว่า "ขั้นรู้อารมณ์" (ยังไม่ถึงฌาณ) คือ สามารถดึง ตัวสติ ออกมาให้เห็นหน้าเห็นตากันแล้ว ว่าเจ้า ตัวสติ เนี่ยมันเป็นตัวยังไง

    บอกเล่าเป็นคำได้ยาก เพราะเป็นปัจจัตตัง


    จากประสบการณ์ส่วนตัวครั้งแรกที่ถึงตรงนี้นะ ผมอยู่วัดประมาณสองเดือนกว่า ๆ (ขอโทษถ้าจำเวลาผิด) โดยนั่งภาวนาทุกวัน สะสมไปเรื่อย ๆ ในใจก็อยากได้ฌาณ ... แต่มันก็ไม่ได้สักที และผลปรากฏว่า มาถึงตรงที่เรียกว่า "รู้อารมณ์" แทน (เรียกตัวสติ ขึ้นมาได้)


    ตื่นเช้าขึ้นมาวันหนึ่ง มีอาการแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นกับตัวเอง (เล่าเป็นคำพูดยาก)

    และแล้วอาจารย์แม่ (ผู้คุมกรรมฐาน) ก็เข้ามาทักทาย ล้อเล่นด้วย
    "ไหน ๆ ขอดูลูกตาหน่อยสิจ๊ะ.... ฮ่า ฮ่า รู้แล้วใช่มั้ย ว่ามีอยู่จริง ๆ ให้ตั้งใจทำต่อไปนะ"

    ก็คือ มีแต่ท่านคนเดียวที่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับผม เพราะท่านมีญาณที่สูงกว่า

    ส่วนคนอื่น ๆ ในวัด ไม่มีใครรู้เลยจ้า?

    ตอนนั้นถึงได้เข้าใจว่าผมนี่โง่มาก ไปคิดว่า นั่งปุ๊บอยากได้ฌาณเหมือนคนอื่นเขาเลย

    แต่จริง ๆ แล้ว ก็เปรียบเหมือน อยู่กรุงเทพฯ จะนั่งรถไปเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมันก็ต้องผ่าน นครสวรรค์ พิษณุโลก ฯลฯ ก่อน

    เหมือนกันว่า อยากจะเข้าฌาณสมาบัติได้ฉันใด (ไล่ไปจนถึงมรรคผล) ก็ต้องไล่กันเป็นขั้นตอนฉันนั้น


    จากนั้นเป็นต้นมา (ด้วยจิตละเอียดถึงขั้น "รู้อารมณ์")
    ก็เริ่มเข้าใจ การตั้งฐานของจิตไว้ที่ต่าง ๆ ได้ (เช่น ตั้งฐาน ๗ ฐาน, หรือลองเอาจิตไว้ปลายนิ้ว เป็นต้น)

    หรือจะเริ่ม จับองค์พระไว้กลางหน้าอก --- ก็เห็นเป็นองค์มาเลย โดยไม่ต้องนั่งนึกแล้ว
    หรือจะมองกสิณ กองใด --- ก็มีขึ้นมาได้โดยอัติโนมัติ
    หรือจะพิจารณาร่างกาย --- ก็เริ่มเห็นเนื้อหนัง น้ำเลือด น้ำเหลือง (พอเห็นได้บ้าง)
    หรือกองอื่น ๆ อีกมากมาย ฯลฯ


    ขั้นต่อไป ก็หัดประคอง ไว้ (สติต้องแน่นหน่อย) โดยหลักการเดิมคือ หมั่นทำเอา, ทำไม่มาก ไม่ฝืนกำลังตัวเอง (ฝืนบ้าง แต่ไม่ฝืนมาก) แต่อาศัยการทำบ่อยไว้ก่อนน่ะครับ

    นี่ยังไม่ถึงฌาณสมาบัติครับ


    ที่โพสต์ไป ก็ขอให้มีกำลังใจและมีความสุขมาก ๆ ในการสะสมบุญภาวนานะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจเอง เพราะมันเป็นสภาวะปัจจัตตัง น่ะครับ

    และขอฝากว่า ให้ตั้งใจปฏิบัติแบบคนโง่ ตามที่ครูบาอาจารย์สอนครับ (อย่างน้อยก็ได้บุญแน่นอน ถึงแม้จะไม่สงบ) เหมือนการหยอดกระปุกออมสิน หมั่นหยอดไปทุกวัน ๆ ค่อย ๆ สะสม จนเต็ม (มีขั้นมีตอน)

    ตั้งใจหยอดเหรียญนะครับ

    สู้ ๆ นะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2011
  12. ta_sepia

    ta_sepia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +179
    ฝากถาม ท่านผู้รู้เป็นวิทยาทานด้วยนะครับ ว่า

    (อันนี้เป็นภาษาทั่ว ๆ ไป ที่ครูบาอาจารย์มักพูดแทน ภาษาวิชาการ)

    ขั้น "รู้อารมณ์" ภาษาวิชาการเขาเรียกว่า อุปจารสมาธิ รึเปล่า

    ส่วนคำว่า "แยกกายแยกจิต" ภาษาวิชาการคือคำว่า ฌาณ (ฌาณลำดับไหนไม่รู้นะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...