การด่าพระอริยเจ้าห้ามสวรรค์และห้ามมรรค

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปราบผี, 8 ธันวาคม 2013.

  1. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    คำว่า ติเตียนพระอริยเจ้า (อริยานํ อุปวาทกา) ความว่า สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความเห็นผิด
    เป็นผู้ใคร่ซึ่งความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ กล่าวใส่ร้าย มีคำอธิบายว่า
    ด่าทอ ติเตียนพระอริยเจ้าทั้งหลาย คือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
    และพระสาวกของพระพุทธเจ้า โดยที่สุด แม้คฤหัสถ์ผู้เป็นพระโสดาบัน
    ด้วยอันติมวัตถุ หรือด้วยการกำจัดเสียซึ่งคุณ.

    ในการกล่าวใส่ร้าย ๒ อย่างนั้น บุคคลผู้กล่าวอยู่ว่า “สมณธรรมของท่านเหล่านี้ ไม่มี,
    ท่านเหล่านั้น ไม่ใช่สมณะ” พึงทราบว่า ชื่อว่ากล่าวใส่ร้ายด้วยอันติมวัตถุ.
    บุคคลผู้กล่าวอยู่ว่า “ฌานก็ดี วิโมกข์ก็ดี มรรคก็ดี ผลก็ดี ของท่านเหล่านี้ ไม่มี”
    พึงทราบว่า ชื่อว่ากล่าวใส่ร้ายด้วยการกำจัดเสียซึ่งคุณ.
    ก็ผู้นั้นพึงกล่าวใส่ร้ายทั้งที่รู้ตัวอยู่ หรือไม่รู้ก็ตาม ย่อมชื่อว่า
    เป็นผู้กล่าวใส่ร้ายพระอริยเจ้าแท้ แม้โดยประการทั้ง ๒.
    กรรม (คือการกล่าวใส่ร้ายพระอริยเจ้า) เป็นกรรมหนัก
    เป็นทั้งสัคคาวรณ์ (ห้ามสวรรค์) ทั้งมัคคาวรณ์ (ห้ามมรรค).


    เรื่องภิกษุหนุ่มกล่าวใส่ร้ายพระอริยเจ้าชั้นสูง

    ก็เพื่อประกาศข้อที่การด่าเป็นกรรมที่หนักนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย
    จึงนำเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ ดังต่อไปนี้ :-

    ได้ยินว่า พระเถระรูปหนึ่ง และภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านแห่งใดแห่งหนึ่ง.
    ท่านทั้ง ๒ นั้น ได้ข้าวยาคูร้อนประมาณกระบวยหนึ่งในเรือนหลังแรกนั่นเอง.
    แต่พระเถระเกิดลมเสียดท้องขึ้น. ท่านคิดว่า ข้าวยาคูนี้ เป็นของสบายแก่เรา
    เราจะดื่มข้าวยาคูนั้นก่อนที่มันจะเย็นเสีย ท่านจึงได้นั่งดื่มข้าวยาคูนั้นบนขอนไม้
    ซึ่งพวกมนุษย์เข็นมาไว้เพื่อต้องการทำธรณีประตู.
    ภิกษุหนุ่มนอกนี้ ได้รังเกียจพระเถระนั้น ด้วยคิดว่า พระเถระแก่รูปนี้หิวจัดหนอ
    กระทำให้เราได้รับความอับอาย. พระเถระเที่ยวไปในบ้านแล้วกลับไปยังวิหาร
    ได้พูดกะภิกษุหนุ่มว่า “อาวุโส ที่พึ่งในพระศาสนานี้ของคุณมีอยู่หรือ ?”
    ภิกษุหนุ่ม เรียนว่า “มีอยู่ ขอรับ กระผมเป็นพระโสดาบัน.”
    พระเถระ พูดเตือนว่า “อาวุโส ถ้ากระนั้น คุณไม่ได้ทำความพยามยาม
    เพื่อต้องการมรรคเบื้องสูงขึ้นไปหรือ?๑” เพราะพระขีณาสพ คุณได้กล่าวใส่ร้ายแล้ว.”
    ภิกษุหนุ่มรูปนั้น ได้ให้พระเถระนั้นอดโทษแล้ว
    เพราะเหตุนั้น กรรมนั้นของภิกษุหนุ่มรูปนั้น ก็ได้กลับเป็นปกติเดิมแล้ว.


    วิธีขอขมาเพื่อให้อดโทษในการด่าใส่ร้าย

    เพราะฉะนั้น ผู้ใดแม้อื่น กล่าวใส่ร้ายพระอริยเจ้า อันผู้นั้น ถ้ามีตนแก่กว่าไซร้,
    พึงไปให้ท่านอดโทษให้ ด้วยเรียนท่านว่า
    “กระผมได้กล่าวคำนี้และคำนี้กะท่านผู้มีอายุแล้ว ขอท่านได้อดโทษนั้นให้กระผมด้วยเถิด.”
    ถ้าตนอ่อนกว่าไซร้ ไหว้ท่านแล้วนั่งกระโหย่งประคองอัญชลี พึงขอให้ท่านอดโทษให้
    ด้วยเรียนท่านว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมได้กล่าวคำนี้และคำนี้กะท่านแล้ว
    ขอท่านจงอดโทษนั้นให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.”
    ถ้าท่านยังไม่ทันอดโทษให้ หรือท่านหลีกไปยังทิศ (อื่น) เสีย
    พึงไปยังสำนักของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในวิหารนั้น.
    ถ้ามีตนแก่กว่าไซร้ พึงยืนขอขมาโทษทีเดียว
    ถ้าตนอ่อนกว่าไซร้ ก็พึงนั่งกระโหย่งประคองอัญชลี ให้ท่านช่วยอดโทษให้,
    พึงกราบเรียนให้ท่านอดโทษอย่างนี้ว่า
    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมได้กล่าวคำนี้และคำนี้กะท่านผู้มีอายุชื่อโน้นแล้ว
    ขอท่านผู้มีอายุรูปนั้น จงอดโทษให้แก่กระผมด้วยเถิด.”
    ถ้าพระอริยเจ้านั้นปรินิพพานแล้วไซร้, ควรไปยังสถานที่ตั้งเตียงที่ท่านปรินิพาน
    แม้ไปจนถึงป่าช้าแล้ว พึงให้อดโทษให้. เมื่อตนได้กระทำแล้วอย่างนี้
    กรรมคือการใส่ร้ายนั้น ก็ไม่เป็นทั้งสัคคาวรณ์ทั้งมัคคาวรณ์ (ไม่ห้ามทั้งสวรรค์ทั้งมรรค)
    ย่อมกลับเป็นปกติเดิมทีเดียว.


    การกล่าวใส่ร้ายพระอริยเจ้ามีโทษเช่นกับอนันตริยกรรม

    คำว่า เป็นมิจฉาทิฎฐิ (มิจฺฉาทิฏฺฐิกา) ได้แก่ มีความเห็นวิปริต.
    คำว่า ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฎฐิ (มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา)
    ความว่า ก็คนเหล่าใด ให้ชนแม้เหล่าอื่นสมาทาน บรรดากรรมมีกายกรรมเป็นต้น
    ซึ่งมีมิจฉาทิฏฐิเป็นมูล. คนเหล่านั้น ชื่อว่ามีกรรมนานาชนิดอันตนสมาทานถือเอาแล้ว
    ด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ. ก็บรรดาอริยุปวาทและมิจฉาทิฏฐิเหล่านั้น
    แม้เมื่อท่านสงเคราะห์อริยุปวาทเข้าด้วยวจีทุจริตศัพท์นั่นเอง
    และมิจฉาทิฏฐิเข้าด้วยมโนทุจริตศัพท์เช่นกันแล้ว
    การกล่าวถึงกรรมทั้ง ๒ เหล่านี้ซ้ำอีก พึงทราบว่า
    มีการแสดงถึงข้อที่กรรมทั้ง ๒ นั้นมีโทษมากเป็นผล.
    จริงอยู่ อริยุปวาท มีโทษมากเช่นกับอนันตริยกรรม.
    เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
    “สารีบุตรเปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ
    ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงสำเร็จอรหัตผลในภพปัจจุบันนี้แล แม้ฉันใด,
    สารีบุตร เรากล่าวข้ออุปไมยนี้ ฉันนั้น บุคคลนั้น ไม่ละวาจานั้นเสีย
    ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสียแล้ว ต้องถูกโยนลงในนรก
    (เพราะอริยุปวาท) เหมือนถูกนายนิรยบาลนำมาโยนลงในนรกฉะนั้น.”๒
    ก็กรรมอย่างอื่น ชื่อว่ามีโทษมากกว่ามิจฉาทิฏฐิ ย่อมไม่มี.
    เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่เล็งเห็นแม้ธรรมอย่างหนึ่งอื่น
    ซึ่งมีโทษมากกว่า เหมือนอย่างมิจฉาทิฏฐินี้เลย
    ภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหมดมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง.”๓

    คำว่า เพราะกายแตก (กายสฺส เภทา) ความว่า
    เพราะสละอุปาทินนกขันธ์เสีย (ขันธ์ที่ยังมีกิเลสเข้าไปยึดครองอยู่).
    คำว่า เบื้องหน้ามีแต่ตาย (ปรมฺมรณา) ความว่า
    แต่การถือเอาขันธ์ที่เกิดขึ้นในลำดับแห่งการสละนั้น.

    อีกอย่างหนึ่ง คำว่า เพราะกายแตก (กายสฺส เภทา) คือ
    เพราะความขาดสูญแห่งชีวิตินทรีย์.
    คำว่า เบื้องหน้าแต่ตาย (ปรมฺมรณา) คือต่อจากจุติจิต.


    หมายเหตุ ๑. วิสุทฺธิมคฺค. ภาค ๒/๓๓๒ - มีดังนี้คือ
    กสฺมา ภนฺเตติ. ขีณาสโว ตยา อุปวทิโตติ. แปลว่า ภิกษุหนุ่มเรียนว่า เพราะเหตุไร ขอรับ?
    พระเถระพูดว่า เพราะพระขีณาสพ คุณได้กล่าวใส่ร้ายแล้ว.
    กสฺมา ภนฺเตติ ไม่มีในสามนต์.
    ๒. ม.มู. ๑๒/๑๖๗/๑๔๕.
    ๓. องฺ.ติก. ๒๐/๑๙๓/๔๔.


    (เวรัญชกัณฑ์วรรณา พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑
    พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑)

    การด่าพระอริยเจ้าห้ามสวรรค์และห้ามมรรค
     
  2. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    อริยะของคุณ คือพระปราโมช..รึ ชิชะ..น่าอาย..น่าอาย..อิอิ
     
  3. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    คนชี้หน้าด่าพระพุทธเจ้า แต่สำเร็จอรหันต์เยอะแยะนะครับ :D
     
  4. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    คนไหนหรือ
     
  5. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ก็พวกสาวกที่เคยกล่าวตู้ พระพุทธเจ้าไงครับ ลองอ่านดู ถ้าว่างเดี่ยวเอามาให้ดู

    ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็พระองคุรีมาร เคยคิดเอาชีวิตพระองค์ด้วยซ้ำ
    ยังเป็นพระอรหันเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2013
  6. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    อย่างพวกเดรถี หลายคนก็เถียงธรรมกับพระองค์จนแพ้ เลยกลับตัวมาเป็นสาวกพระองค์
    ไม่ทราบมีใครบ้าง ตอนนี้ติดเกมอยู่แปบๆ อีกวัน2วันเดียวหาให้
     
  7. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    ต้องสำนึกผิดและขอขมาก่อน

    แต่ถ้าไม่สำนึกผิดขอขมาก่อนตาย นั่นแหละจึง ห้ามสวรรค์ นิพพาน

    ต่างจาก อนันตอริยกรรม ที่ ไม่สามารถแก้ไขได้

    แต่อย่าทำเลยดีกว่า เพราะ ถึงแม้จะขอขมา แต่ก็ยังมีเศษกรรมที่ต้องได้รับผลอยู่ดี แม้จะบรรลุอรหันต์แล้วก็ตาม
     
  8. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512

    ผมเชื่อแค่
    5 ประเภทเท่านั้น ที่ห้ามสวรรค์ มรรค ผล นิพพาน

    นอกนั้นก็ ตามวารจิตก่อนตาย
    แต่ถ้ากรรมหนัก ก็สวรรค์ยาก เพราะกรรมเหล่านั้นมักมาวนเวียนก่อนตาย
    เหมือนภาพหลอน เพื่อพาลงอบาย ถ้าไม่อยากลงนรกก็อย่าสน ใครสนก็ไปตามนั้น ตามภาพที่เห็น บางคนทำฆ่าสัตว์ ก็เหมือนภาพหลอน แล้วเห่าเสียงหมา ก็มี เพราะเขาหลอนตามภาพที่เห้นไง

    ส่วนเรื่องอื่น ถึงเป้นครู แต่ถ้าไม่ใช่พระพุทะเจ้า ก็ไม่มีทางทำให้ผมปักใจเชื่อหลอก อยากเชื่อก็เชื่อไปเถอะครับ :D
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  9. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512

    wel lcome_pink

    :D
     
  10. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ผมเคยโดนผีเข้า เคยเกือบตาย เรื่องภาพหลอนผมเคยเห็นมาแล้วล่ะครับ :D

    ไปเล่นเกมต่อและ แว๊บๆๆ
     
  11. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..ไอ้นิวรณ์ เอกวีร์ ปราบผี และ ไอ้สมาชิกบุคคลประเภทที่สาม และไอ้ พญาตีนลายจุด ไอ้ ..สมี เอกวีร์ เสียงทอง นักเทศน์มือใหม่ ลูกศิษย์ ..ศุภวรรณกรีน ทอมแอนด์เชอรี่..อิอิ
    มันทั้งหมด ล้วนชื่อเดียว คนเดียวกันครับ
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,367
    พระอริยะก็คือพระอริยะ เสียงติฉินนินทาก็เป็นแค่เพียงสายลมพัดผ่าน ไม่สามารถทำให้ความเป็นพระอริยะลดน้อยลงหรือเสื่อมทรามลงไปได้

    ผู้กล่าวติฉินนินทาต่างหากก็คือผู้ที่เหนื่อยเปล่าอุปมาเหมือนลมปากที่ใช้เป่าสาก อีกทั้งหากผู้กล่าว กล่าวไม่ดี มีมิจฉาทิฏฐิ ก็เป็นการสร้างเวรกรรมแก่ตนเอง เมื่อคิดไม่ดีพูดไม่ดี ทำไม่ดี ผลก็เกิดกับตนเองทั้งนั้น เพราะเป็นกรรมของตนเอง ดังนั้น การว่ากล่าวตำหนินินทาผู้อื่นจึงไม่มีประโยชน์อะไรใดๆเลย จงหยุดการทำทำอันไม่ก่อประโยชน์อะไรใดๆเลย

    การกล่าวสิ่งใดควรคิดพิจารณาให้เหตุปัจจัย ความดีงามประโยชน์ที่จะได้รับทั่วทุกฝ่าย ให้ดี ไม่ใช่พูดเพราะอารมณ์ของตน เพราะทิฏฐิไม่ดีของตน เพราะพยาบาทผู้อื่นหรือง่ายๆคือการพูดเพราะความพอใจไม่อาศัยเหตุผลที่ดีงามเป็นเครื่องพิจารณาอย่างนี้เรียกว่า เป็นผู้ถูกอวิชชาครอบงำ ขาดปัญญา จึงควรแก้ไขตนใหม่ให้ดีงามถูกต้องนะครับ สาธุ

    ส่วนกรณีที่มีผู้ตำหนินินทาพระพุทธเจ้าแล้วได้เป็นพระอรหันต์นั้น ก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นจริง เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้เจตนา อีกทั้งท่านเหล่านั้นต่างเจริญรอยตามคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างตั้งใจจริง จึงสามารถฝึกอบรมตนจนหลุดพ้นทุกข์ได้

    อีกส่วนหนึ่งที่กระทำบาปกรรมไว้ พร้อมทั้งไม่สำนึกและไม่ปฏิบัติตามคำสอน จึงกลายเป็นผู้หลงผิดจนกระทั้งตายไปก็ต้องไปตกนรก นั่นเองครับ สาธุ
     
  13. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ผมว่าพระชอบปลอมตัวเข้ามาเล่นเว็บพลังจิตโดยไม่เปิดเผยตัวตนอยู่หลายรูปน่ะครับ แล้วแบบนี้ถือว่าผิดศีลข้อมุสาหรือไม่ แล้วถ้าเราไปด่า(โดยที่เราไม่รู้ว่าเป็นพระปลอมตัวมา)จะถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยรึป่าว
     
  14. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512

    ขอยกตัวอย่างพระพุทะองค์แล้วกันนะครับ(ที่จรืงไม่อยากยกมาบ่อยๆ เพราะมันเหมือนปรามาสท่าน ต้องขอขมาพระรัตนไตรด้วย)

    ผู้หนึ่งตำหนิพระพุทธองค์ แต่ท่านปราบพยศแล้ว สำเร็จอรหันต์
    กับสตรีนางหนึ่ง ให้ร้ายพระพุทธองค์แล้วโดนธรณีสูบ

    รู้ใหมว่า2คนต่างกันตรงใหน ทำไมผลของการกระทำมันต่างกันขนาดนี้
     
  15. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    น่าจะเป็นเพราะบุญบารมีที่สะสมมาในอดีตชาติต่างกัน

    เปรียบเหมือนดอกบัว 3 เหล่า กระมังครับ
     
  16. ความตาย-1

    ความตาย-1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +44
    พระแบบนี้จะไปสนใจมันทำไม ไอ้พวกไร้สาระ ทำศาสนาเสื่อม
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ด่าใคร ก็เป็นรอยด่างเป็นมลทินกับใจตนเองทั้งนั้นน่ะครับ
     
  18. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512

    เปล่าหรอกครับ
    มันอยู่ที่เจตนา เหล่าคนบางคนที่มาตำหนิพระพุทธองค์
    คนส่วนใหญ่ ตำหนิเพราะความไม่รู้ ตำหนิเพราะถือตน(บาบมากใหมไม่ทราบ)
    ตำหนิเพราะความเขรา หรือ เพราะต้องการหาธรรมที่แท้จริง
    และเพราะไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้ศาสดาเอกโลก

    แต่นางผู้ผู้นั้นตำหนิ เพราะต้องการทำลายศาสนา
    (สำหรับผมว่า กรรมนั้นหนักแลใกล้เคียงกับทำหมู่สงฆ์แตกแยกหรืออาจจะมากกว่า)
    จึงถูกธรรณีสูบ ซึ่งใครหลายๆคนงง ว่าแค่ตำหนิพระพุทธองค์ทำไมโดนธรณีสูบ ทั้งๆที่ใครๆหลายๆคนก็ทำกัน

    ว่าแต่มันคือพื้นฐานของศาสนาพุทธเลยนะครับเนี้ย
    เหมือนการ ฆ่าตัวตายบาบ แต่บริจาคชีวิต เช่นโพธิสัตว์ได้อนิสงค์มาก
    การกระทำคล้ายๆกัน แต่หลายๆครั้งก็หาเหตุผลไม่ได้เหมือนเส้นผมบังภูเขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...