การบรรลุธรรมแบบเซนต้องอาศัยอาจารย์ แต่วัชรยานคือการตรัสรู้เอง ต่างกันมาไฉน?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 10 มิถุนายน 2011.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมสองสายที่ใกล้เคียงแต่แตกต่างกันมาก คือ เซน และวัชรยาน เช่นเดียวกันกับเซนกับมหายานที่ต่างกันมาก กล่าวคือ มหายานเน้นเพียงบรรลุโพธิจิต ก็พอ ดังนั้น ท่านพุทธทาสจึงกล่าวว่า "เซนเหยียดมหายาน" เพราะเซนเน้นบรรลุธรรม ไม่เน้นแต่เพียงการบรรลุโพธิจิตเท่านั้น นอกจากนี้ เซนยังแตกต่างจากวัชรยานมาก เรื่อง "การบรรลุธรรม" ที่ทั้งสองสายต่างบรรลุธรรมได้สูงสุดทั้งคู่ แต่เซนจะเน้นสืบสายธรรมผ่านอาจารย์ มีอาจารย์ถ่ายทอดธรรมสู่ศิษย์จึงจะบรรลุได้ ทว่า "วัชรยาน" เน้น "ตรัสรู้พุทธะ" หรือ "เข้าถึงพุทธสภาวะ" ด้วยตนเอง แม้มีอาจารย์ แต่อาจารย์จะไม่ช่วยในยามบรรลุธรรม กระบวนการบรรลุธรรมของเซน ไม่พิสดารนัก เพราะอาจารย์สอนธรรมแล้วศิษย์ก็บรรลุ แต่ธรรมะของเซนได้ชื่อว่า "เหนือการอธิบาย" สามารถทำให้ศิษย์บรรลุได้ในฉับพลันที่ได้ฟังธรรม แต่ในบทความต่อไปนี้ จะขอกล่าวถึง "การตรัสรู้พุทธะ" ด้วยตนเอง ที่ไม่มีในเซน แต่มีเฉพาะใน "วัชรยาน" หรือ "วัชระตันตระ" ดังต่อไปนี้
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การบรรลุธรรมแบบวัชรยาน เหมือนกันการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า กล่าวคือ จะมีองค์ประกอบต่างๆ คล้ายการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เช่น มีคุรุ ผู้สอนวิธีการทำสมาธิให้ก่อน, มีองค์ธรรมมารดา (ของพระโคดมคือ พระแม่ธรณี), และมีองค์ธรรมบิดา (ของพระโคดมคือ ท้าวมหาพรหม) เมื่อครบสามองค์ประกอบนี้ "พุทธะ" จึงจะ "ถือกำเนิดได้" ไม่เช่นนั้น ก็จะได้ธรรมระดับล่างลงไป คือ เพียงระดับเซนเท่านั้น (ไม่ได้ตรัสรู้เอง) ในขณะจะบรรลุพุทธะนั้น "ภาคมาร" จะเข้ามาผจญด้วย และจะมี "องค์ธรรมมารดา" มาร่วมในกระบวนการนี้ ทางทิเบตใช้ชื่อเรียกว่า "กุนตูซังโม" (องค์ธรรมมารดา) และหลังจากตรัสรู้แล้วจะไม่คิดทำกิจใด ปล่อยวางทุกอย่างจริงๆ จากนั้น จะมี "องค์ธรรมบิดา" หรือที่ทางทิเบตเรียกว่า "กุนตูซังโป" (องค์ธรรมบิดา) มาให้ "สมมุติ" ห่อหุ้มเพื่อทำกิจตามควรต่อไป เช่น บางท่านตรัสรู้พุทธะแล้ว ได้สมมุติเป็นสังฆราช ก็มี, ดาไลลามะ ก็มี, ราชครู ก็มี (เช่น ท่านจี้กงราชครูของพระเจ้าเหลียงบู๊ตี่) ฯลฯ องค์ประกอบเหล่านี้ ทำให้ "มั่นใจได้ว่าบรรลุพุทธะจริงๆ" เพราะต่างจากการบรรลุแบบเซนอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะถึงอรหันตผลเช่นเดียวกันก็ตาม
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    องค์ธรรมบิดาและองค์ธรรมมารดา ต่างไม่ได้บรรลุธรรม แต่สามารถให้กำเนิดพุทธะได้ด้วยบารมีแห่งความเป็นพุทธบิดาและพุทธมารดาซึ่งทำมายาวนาน ท่านเหล่านี้ มักจะสำเร็จ "เซียน" หรือ "พราหมณ์ฤษี" และมักประทับทรง หรือประสานพลังกับพุทธะหรือแม่องค์ธรรมเบื้องบน เพื่อนำธรรมที่ใกล้เคียงที่สุด ลงมายังภาคพื้นดิน ซึ่งจะไม่มีใครเข้าถึง หรือเข้าใจได้ นอกจาก "พระบุตรผู้ตรัสรู้พุทธะนั้น" ปัจจุบัน มีผู้ทำหน้าที่ "พระแม่องค์ธรรม" และ "องค์ธรรมบิดา" มากมาย ท่านเหล่านี้ มักเปิดสำนักปฏิบัติธรรมใหญ่ ไม่ได้บรรลุธรรมจริงๆ แต่จะมีธรรมที่สื่อจากเบื้องบน ใกล้เคียงสัจธรรมที่สุด รอถ่ายทอดให้พระบุตร เพราะท่านเหล่านี้บรรลุธรรมเองเป็นเซียนบ้าง อาศัยธรรมจากเบื้องบนบ้าง จึงมีสักกายทิฐิ ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ไม่ยอมเป็นศิษย์ใคร ตั้งตนเป็นองค์ธรรมบิดา, องค์ธรรมมารดา เรียกตนเองว่า "พ่อครู" บ้าง, "อาจารย์พ่อ" บ้าง, "หลวงพ่อ" บ้าง ฯลฯ ทว่า ท่านเหล่านี้ ก็ต้องมี ต้องเกิดขึ้นก่อนการกำเนิดของพระบุตร จะไม่มีไม่ได้ (พระบุตรไม่มีพ่อแม่ทางธรรมจะเกิดไม่ได้) ท่านไม่ได้ผิดอะไร แต่ท่านทำหน้าที่เพียงแค่ "ธรรมบิดา, ธรรมมารดา" เท่านั้น ไม่ใช่ "พระศาสดา" ไม่ใช่ "พระบุตร" ผู้สืบสายธรรมได้อย่างแท้จริง และท่านจะมี "ลูกทางธรรม" จำนวนมากมาย ในจำนวนนี้ จะมี "พระบุตรผู้บรรลุพุทธะ" อันแท้ เพียง ๑ เดียวเท่านั้นเอง
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การตรัสรู้เองในสายวัชรยานนั้น อาจารย์ทางวัชรยานจะเหมือนคนไม่เหลียวแลลูกศิษย์และทอดทิ้งลูกศิษย์ เพื่อให้เข้าถึงธรรมด้วยตนเอง เมื่ออาจารย์นำไปถึงฝั่งใกล้พญามารที่สุดแล้ว แม่องค์ธรรมและพ่อองค์ธรรม จะทำหน้าที่ต่อไปเอง เช่น ถ้ายามใกล้ตรัสรู้ มีพ่อองค์ธรรมเป็นพระเถรวาท พระบุตรก็ต้องใช้สมมุติของพระเถรวาท จะแตกหน่อแตกกอ เป็นสังฆเภทไม่ได้ แต่ถ้ายามใกล้บรรลุ ได้พ่อองค์ธรรม เป็นพระลามะ ก็ต้องสืบสายธรรมแบบพระลามะ จะแตกหน่อแตกกอ เป็นสังฆเภทไม่ได้ ดังนี้ การ "เลือกสายธรรม" จึงจำเป็นมาก ก่อนที่จะเข้าศึกษาธรรม เพราะสิ่งนี้ จะกำหนดวิถีชีวิตของเรา ว่าจะทำอะไรได้บ้าง อะไรไม่ได้บ้าง เพื่อไม่ให้แตกหน่อแตกกอ หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้อง "ตั้งนิกายใหม่" เสียเอง ด้วยกำลังบารมีของตนนั้น ก็จะต้องแบกรับวิบากกรรมและบุญเอาเอง (ซึ่งมากพอควรอยู่) ดังนี้ การเลือกคุรุ, พ่อองค์ธรรม และแม่องค์ธรรม จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก เช่น บางท่านคิดโปรดสัตว์ สร้างวัดสร้างวา ก็ไม่ควรเลือกเข้าสายธรรมยุติ ที่เคร่งครัด ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็น "สังฆเภท" ในสายธรรมยุติได้ แม้ว่าการบรรลุธรรม มีได้ทุกสาย ไม่อาจยึดมั่นในลัทธินิกายได้ก็ตาม แต่ลัทธิและนิกายเหล่านี้ เป็น "สมมุติ" ที่พ่อองค์ธรรม ได้สร้างขึ้นมารองรับปวงสัตว์ไว้ หากแตกแยกแนวทางออกไป ผู้นั้น ก็ต้องรับวิบากกรรมนั้นเอง ทำให้ขวางนิพพาน แม้บรรลุธรรมก็ยังไม่อาจนิพพานได้ เป็นต้น
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การจะถ่ายทอดธรรมในส่วน "ปัญญา" และในส่วน "กรรมฐาน" ได้นั้น จำต้องบรรลุพุทธะ คือ วัชรยานก่อน หากบรรลุเพียงเซน ก็จะไม่อาจถ่ายทอดกรรมฐานได้ เพราะจะเกิดปัญหาบางประการ ดังนั้น เซนจะไม่ถ่ายทอดกรรมฐาน ไม่ทำสมาธิ แต่จะอาศัยครูอาจารย์ท่านอื่น สอนสมาธิคนทั้งหลาย ปูรากฐานไว้ให้ดีแล้ว จึงมาใช้ "ปัญญา" ช่วยให้เข้าถึงธรรม โดยไม่ต้องอาศัยสมาธิแบบใดๆ นั่นเอง สำหรับบางท่านที่ถ่ายทอดกรรมฐานอยู่นั้น หลายท่าน ไม่อาจทำให้ผู้ฝึกบรรลุธรรมได้อย่างแท้จริงเลย เพราะเป็นได้เพียงระดับ "พราหมณ์ฤษี" เท่านั้น กล่าวคือ หลายท่านมีนิรมาณกายเป็นพราหมณ์ฤษี จึงถ่ายทอดสมาธิและกรรมฐานได้ แต่ไม่อาจทำให้บุคคลบรรลุถึงธรรมได้อย่างแท้จริง หากธรรมกายไม่มีบารมีถึงพุทธะ (ธรรมกายคือ กายทิพย์ที่มีธรรม อยู่ชั้นในสุดลึกจากนิรมาณกาย) นอกจากนี้ ในกระบวนการบรรลุพุทธะนั้น แม้ได้อาจารย์ที่ทำหน้าที่ได้เต็มที่แล้ว ก็ยังต้องเข้าสู่กระบวนการตรัสรู้ด้วยตนเอง จะมีแม่องค์ธรรมและองค์ธรรมบิดาร่วมด้วยเสมอ จึงจะเกิดพุทธะขึ้นได้ และพุทธะที่เกิดนั้น จะไม่ติดภาวะ "พ่อหรือแม่" จะเป็น "สหตันตระ" คือ พ้นจากทวิภาวะ ไม่มีความเป็นชายหรือหญิงติดเหลืออยู่อีก ดังนั้น พุทธบุตร จึงมีลักษณะไม่มีความเป็นพ่อและแม่แบบองค์ธรรมบิดา หรือองค์ธรรมมารดาเลย แต่จะพ้นแล้วจากความเป็นชายและหญิง, ความเป็นพ่อและแม่อีกด้วย คือ "พุทธะ" อย่างเดียวเท่านั้นเอง
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ในขณะที่เซน ใช้ปัญญาเข้าถึงธรรม ถ่ายทอดตัวต่อตัว บุคคลสู่บุคคลอยู่นั้น ย่อมกล่าวถึงการเข้าถึงฉับพลันไม่ต้องไปปฏิบัติอะไรอีก ไม่ต้องอาศัยสมาธิอะไรอีก ในขณะเดียวกันนั้น วัชรยานกลับมอบกรรมฐานและสมาธิแบบต่างๆ ให้แก่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งก็ไม่มีใครผิดแต่อย่างใด เนื่องจาก "วิถีแตกต่างแต่เป้าหมายเดียวกัน" ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติเอง จะพึงเลือกเอาว่าจะต่อสายธรรมแบบใด เพราะต่อสายแบบใด ก็ต้องใช้รูปแบบการดำรงอยู่อย่างสมมุติแบบนั้น จะแตกหน่อแตกกอไม่ได้ (เพราะจะเป็นสังฆเภท) นั่นเอง
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ลมหายใจแห่งกายสังขาร ย่อมผ่านจมูกสู่ปอด ผู้ฝึกลมปราณเดินลมปราณลึกลงสู่ท้องน้อย หายใจเข้าลึกสุดแล้วหมุนวกรอบสะดือกลับตามลมหายใจ สะสมพลังปราณที่จุดตันเถียน (ท้องน้อย) นั่นคือ แบบหนึ่ง


    แต่ลมหายใจแห่งกายทิพย์ ยังมีอยู่ โดยไม่ผ่านจมูกและปอด และมีศูนย์กลางอยู่ที่ "หน้าอก" แผ่ลมปราณ (ลมหายใจแห่งกายทิพย์) จากหน้าอก ออกและเข้า ดุจลมหายใจ เมื่อยามลมปราณแผ่ออก แผ่รัศมีออกทุกรูขุมขนดุจดวงอาทิตย์แผ่แสง เมื่อลมปราณไหลเข้ารวบรวมจากรอบกายสู่ศูนย์กลางคือ หน้าอก เป็นดวงกลม ดุจดวงอาทิตย์ประจำกาย


    "ยามหายใจเข้าถึงที่สุด จะหยุดเล็กน้อย ลมปราณแห่งกายทิพย์เริ่มแผ่ออกทุกรูขุมขน ยามหายใจออกถึงที่สุด จะหยุดเล็กน้อย ลมปราณแห่งกายทิพย์ก็เริ่มไหลเข้าสู่หน้าอก"
     

แชร์หน้านี้

Loading...