การฝึกพลังจิตชั้นต้น

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Esper_name, 30 มิถุนายน 2007.

  1. Esper_name

    Esper_name สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +7
    ถ้าจะฝึกพลังจิตชั้นต้นต้องทำยังไงอะครับ
    แล้วผมเคยลองเอามือมาประสานแต่ไม่ชิดกัน
    สักพักก็รู้สึกเหมือนมีพลังคล้าย ๆว่าจะเป็นแม่เหล็ก
    มันดันเอามือออกจากกันอยากทราบว่านี่คือพลังจิตรึ
    เปล่าครับขอบคุณครับ(b-oneeye)
     
  2. ThesLong

    ThesLong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +827
    ผมก็อ่านมาเหมือนกันครับ ลองอ่านดูนะครับ
    พลังจิตนั้น แท้ที่จริงเป็นเรื่องธรรมดามากๆ คนธรรมดาทั่วไปทุกคน(และผมหมายถึงคุณด้วย!)เกิดมาพร้อมศักยภาพในการใช้พลังจิตอยู่แล้วครับ เหมือนกับที่คนปกติทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะสามารถขับรถหรือพูดภาษาอังกฤษได้นั่นแหละครับ ซึ่งในทางกลับกัน ถ้าเราไม่เคยพูดภาษาอังกฤษ มันก็พูดไม่ได้ หรือไม่ได้พูดนานๆสักสิบปี มันก็พูดไม่ได้
    พลังจิตก็เหมือนกันแหละครับ ถ้าเราไม่เคยใช้ หรือไม่ได้ใช้นานๆ มันก็ใช้ไม่ได้ แค่นั้นเองจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วถ้าคุณยังไม่เคย ผมกำลังจะให้คุณลองใช้พลังจิตตอนนี้เลย พร้อมใหมครับ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเลย!

    1.นั่งหลังตรง ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย
    2.หายใจช้าๆ ลึกๆ เบาๆ นุ่มนวล
    3.ค่อยๆเอานิ้วชี้มือขวาแตะที่กลางฝ่ามือซ้าย ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ มันจะยังไม่พบอะไรเป็นพิเศษตรงนี้ ไม่ต้องกังวล
    4.ค่อยๆเปลี่ยน เอานิ้วชี้ซ้ายแตะที่กลางฝ่ามือขวาลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ เช่นกัน
    5.เอามือมาใกล้ๆกันคล้ายกับประคองลูกบอล
    ให้มือห่างกันประมาณ1ฟุต ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือแล้วค่อยๆ เอามือเข้าใกล้กันช้าๆ สังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือเสมอ คุณอาจรู้สึกคล้ายสัมผัสอะไรจางๆ บางคนอาจรู้สึกถึงความร้อน ความหนา หรือบางคนอาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ยินดีด้วย คุณได้ใช้พลังจิตสำเร็จไปแล้ว!! ในวงการเราเรียกสิ่งนี้ว่า PSI BALL

    เห็นใหมครับ พลังจิตไม่ยาก...เอ่อ เอาล่ะ ที่ยากมันก็มีครับ แต่ที่ผมอยากให้คุณรู้ในครั้งแรกนี้ก็คือ ทุกคนสามารถใช้พลังจิตได้ คุณสามารถใช้พลังจิตได้ ก่อนที่จะบอกคุณว่าพลังจิตคืออะไร ผมอยากให้คุณรู้ว่า พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์ เท่านั้นแหละ

    เอาล่ะ ผมยังไม่ลืมหรอกครับ บทนี้ชื่อว่า พลังจิตคืออะไร ครับผมคงอธิบายได้แล้ว พลังจิตก็คือความสามรถตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจากศักยภาพของจิตครับ แค่นั้นเอง หมายความว่าถ้ามีคนอ่านใจคนอื่น เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นพลังออร่า เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นเพื่อนคุณที่อยู่คนละจังหวัดกับคนที่ทำการมอง เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนใช้เวทย์มนต์คาถา เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนกำหนดเหตุการณ์ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขากำลังใช่พลังจิต

    โดยเฉพาะอันสุดท้าย การกำหนดให้สิ่งต่างๆเป็นไปตามที่เราต้องการ เป็นพลังจิตครับ ที่จริงทุกคนเคยใช้พลังจิตมาแล้วทั้งนั้น เวลาเราสอบ เรากำลังใช้พลังจิตทำให้ตัวเราทำข้อสอบได้ เวลาเราเตะฟุตบอล เรากำลังใช้พลังจิตทำให้เราเตะได้ดี แต่พวกเราไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังจิต เราไม่รู้ว่าเรากำลังใช้พลังจิตได้แล้ว เราเลยไม่เคยพัฒนาพลังจิตแบบต่างๆนั่นเอง

    สรุป
    1.พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะใช้พลังจิตได้
    2.พลังจิตฝึกได้ พัฒนาได้ และลืมได้


    ผม COPY เขามาครับ
     
  3. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    การสร้างพลังจิตตานุภาพที่สมบูรณ์แบบนั้น ประกอบด้วย สิ่งเหล่านี้ครับ

    1.การรักษาศีล คนมีศีลธรรม ย่อมมีจิตใจที่บริสุทธิ์ คนไม่มีศีลทำย่อมไม่มีพลังจิตตานุภาพ / จึงมีผลต่อจิตโดยตรง
    2.ทำบุญทำทาน ไม่ใช่เพื่อการหวังขึ้นสวรรค์ แต่การทำบุญทำทาน เป็นอานิสงค์อย่างหนึ่งที่ ช่วยทำให้บาปกรรมมากวนเราได้ช้าลง และยังช่วยให้เราสบายใจขึ้นการให้ชีวิตกับสัตวืที่กำลังจะตายเป็นการต่อชีวิตตัวเอง การให้อภัยทานเป็นทานที่ทำได้ยากที่สุดและมีผลต่อเจ้ากรรมนายเวรด้วย การให้ธรรมะเป็นทานคือการให้ที่มีบุญกุศลสูงสุด จึงมีผลต่อจิตโดยตรง
    3.การสวดมนต์ ไม่ใช่สวดแล้วหวังเป็นเทวดา แต่การสวดมนต์ ทำให้เราสบายใจและได้กุศลที่ทำให้ เจ้ากรรมนายเวรลดแรงอาฆาตเราลงไป จากหนักก็เป็นเบาบางลง การสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกและชินบัญชรมีอานิสงมากกว่าการสวดมนต์อย่างอื่นถึง 100 ปี จึงมีผลต่อจิตใจโดยตรง
    4.การฝึกฤทธิ์อภิญญาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรู้เห็นในสิ่งที่สายตาธรรรมดามองไม่เห็น เป็นองค์ความรุ้อย่างหนึ่ง ที่มีผลต่อจิตโดยตรง แต่ต้องมีปัญญาคอยกำกับดูแล
    5.การเดินในสายปัญญาโดยตรง...สิ่งนี้ถือว่าประเสริฐโดยแท้...ผลจากปัญญาก็นำมาพิจารณาถึงสิ่งต่างๆได้ ผลจากการฝึกปัญญานอกจากได้ปัญญาแล้ว อีก 4 ข้อ ก็รวมอยุ่ด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้มีปัญญาย่อมมีผลต่ออำนาจจิตด้วยเป็นอย่างมาก
    6.มีความสามารถมาแต่ดั้งเดิม...คนที่มีความสามารถแบบดั้งเดิมนี้ ถ้าหากสามารถรื้อฟื้นออกมาได้และหมันขวนขวายเพิ่มเติมอยุ่เสมอ ไม่มีวันเสื่อมแน่นอน แต่หากมีพลังมาจากอดีตชาติ แต่ลุ่มหลง หยิ่งทรนงว่าตัวเองเก่งเป็นเทพเหนือเทพ นั่นย่อมหมายถึงความเสื่อมเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องหมันฝึกฝนและกำกับด้วย 5 ข้อข้างบน
    7.ถ้านำทั้ง 5 หรือ 6 ข้อข้างบนมาอยุ่ในคนๆเดียวกันได้ พลังจิตตานุภาพที่สมบูรณ์แบบจึงได้กำเนิดขึ้นมาในบุคคลผู้นั้นได้...ใน 6 ข้อข้างบนนั้น จะทำทีละข้อสลับกันไปก็ได้...ไม่จำเป็นต้องทำพร้อมกันหมดในคราวเดียว...แต่ทำเป็นกิจวัตรประจำก็จะดียิ่ง สาธุ สาธุ ทั้งหมดนี้ เรียกง่ายๆว่า การสร้างสมบารมีไงครับ

    --------------------------------------
    สุดยอดวิชาเดินธาตุ โดย สำเร็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์
    เริ่มตั้งแต่...การบูชาพระ คำนมัสการพระรัตนตรัย คำนมัสการพระพุทธเจ้า คำขอขมาพระรัตนตรัย คำพรรณาพระบรมธาตุ บทไตรสรณคมน์ อาราธนา ศีล 5 คำนมัสการพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ บทบูชาบิดามารดาและครูบาอาจารย์ บทชุมนุมเทวดา ธรรมจักรกัปวัตนสูตร ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก ชินบัญชร พาหุงมหากา บารมี 30 ทัศ อุณหิสวิชัยคาถา แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์
    จากนั้นจึงนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อรับพลังปราณจักรวาลที่ไหลจากทิศใต้มาสู่ทิศเหนือ ด้วยการนั่งพนมมือเพื่อรวมพลังปราณทั้ง 6 สายที่นิ้วมือเพื่อเพิ่มพลังปราณให้กับตนเอง พร้อมกับการท่องมนต์ตราแห่งวิชาเดินธาตุ ซึ่งมีทั้งวิชาเดินธาตุแบบขั้นต้น แบบขั้นกลางและแบบขั้นสูง ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป...เมื่อฝึกวิชาเดินธาตุแล้ว จะออกจากวิชาเดินธาตุเพื่อผ่อนคลายพลัง เพราะวิชาเดินธาตุนั้นเป็นวิชาที่มีพลังมหาศาล เมื่อฝึกไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่า ใจจะเย็นเหมือนมีน้ำทิพย์ชโลมใจแต่กายจะร้อนดั่งไฟเผากาย ดังนั้นจึงต้องมีการนั่งสมาธิแบบธรรมดาทั่วไป คือ ท่องพุทโธ หรือ ยุบหนอพองหนอ เพื่อผ่อนคลายพลังอันมหาศาลในการและใจของผู้ฝึก จากนั้นจึงท่องบทอัญเชิญเทวดากลับ ที่ต้องอัญเชิญเทวดากลับทีหลังนั้น เพราะเมื่อฝึกวิชานั้นๆ ก็จะได้มีเทพเทวดาต่างๆมาช่วยปกปักษ์รักษาและช่วยส่งเสริมการฝึกวิชา นั่นเอง

    วิชาเดินธาตุแบบฉุกเฉิน ใช้ในยามคับขัน เมื่อนึกอะไรไม่ออกให้ให้ นะโมพุทธายะ จิเจรูนิ

    วิขาเดินธาตุขั้นต้นนั้นจะใช้ หัวใจของธาตุทั้ง ๔ ไฟ ดิน ลม น้ำ บังเกิดสรรพสิ่งในจักรวาล
    ธาตุทั้ง4 ไฟ ดิน ลม น้ำ ตามหลักแล้วธาตุที่อยู่ตรงข้ามกันจะเกื้อหนุนกัน เช่น ดินกับน้ำ ไฟกับลม นะ โม พุท ธา ยะ นี้เปรียบเสมือนธาตุใหญ่ เป็นรากเหง้าของธาตุทั้ง4
    นะ คือ พระกุกกุสันโธ คือ ธาตุน้ำ หล่อเลี้ยงร่างกายและดวงจิต กำลังธาตุ 12
    โม คือ พระโกนาคม คือ ธาตุดิน ให้กำลังวังชา กำลังธาตุ 21
    พุท คือ พระกัสสป คือ ธาตุไฟ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กำลัง ธาตุ 6
    ธา คือ พระสมณโคดม คือ ธาตุลม หล่อเลี้ยงชีวิต ดูดพลังปราณมาหล่อเลี้ยงดวงจิต กำลังธาตุ 7
    ยะ คือ พระศรีอริยเมตตรัย คือ อากาศธาตุ เป็นที่ตั้งของวิญญาณ กำลังธาตุ 10

    เมื่อรวมกำลังธาตุ นะโมพุทธายะ จะได้ 56 คือกำลังพุทธคุณ ส่งผลให้เกิดกำลังธรรมคุณ 38 และกำลังสังฆคุณ 14 รวมกำลัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณได้ 108 เชื่อว่าหากกระทำการใดเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่น ปลุกเสกลงเลขยันต์ให้ครบ 108 ครั้งจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากได้ผลตามใจปรารถนา

    เมื่อถอดจากพระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ จึงบังเกิดเป็นธาตุทั้ง 4 คือ
    นะ(ธาตุน้ำ)
    มะ (ธาตุดิน)
    พะ(ธาตุไฟ)
    ธะ (ธาตุลม)
    นะ มะ พะ ธะ ธาตุทั้ง4นี้ เป็นธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวธาตุ ที่ถอดจากแม่ธาตุใหญ่ คือ นะ โม พุท ธา ยะ

    ถอดลงไปอีกบังเกิด ธาตุพระกรณี(ธาตุพี่เลี้ยง)คือ
    จะ(ธาตุน้ำ)
    ภะ(ธาตุดิน)
    กะ(ธาตุไฟ)
    สะ(ธาตุลม)
    จะ ภะ กะ สะ คือธาตุพี่เลี้ยง นะ มะ พะ ธะ ที่ท่านจัดเป็นกองธาตุทั้ง4กอง คือเมื่อจะตั้งธาตุทั้ง4กองนี้ ต้องมีธาตุพระพุทธเจ้าคือธาตุพระกรณีตั้ง กำกับลงไปด้วย คือ จะ ภะ กะ สะ เพื่อเป็นพี่เลี้ยงคุมธาตุลงไปอีกทีหนึ่ง

    เมื่อตั้งธาตุได้บริบูรณ์แล้ว จากนั้นก็มีการหนุนธาตุ การหนุนธาตุนั้นท่านให้หนุนด้วยแก้ว4ดวง คือ นะ มะ อะ อุ
    นะ คือแก้วมณีโชติ (ธาตุน้ำ)
    มะ คือแก้วไพฑูรย์ (ธาตุดิน)
    อะ คือแก้ววิเชียร (ธาตุไฟ)
    อุ คือแก้วปัทมราช (ธาตุลม)

    เมื่อรวมพระเจ้า 5 พระองค์ ธาตุทั้ง 4 ธาตุพระกรณีและดวงแก้วทั้ง 4 เข้าด้วยกันจึงจะสมบูรณ์ครบถ้วน ทำให้เกิดเป็นอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ตามหลักวิชาแปรโลกธาตุ คือการปลุกเสกของกายสิทธิ์ให้มีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับเหล็กไหลชั้น 1 คือมีสีเปลี่ยนไปจากเดิมจนกลายเป็นสีเขียวปีกแมลงทับ หรือยืดหดกินน้ำผึ้งได้เองเมื่อใช้คาถากำกับหรือใช้อำนาจกำลังของตบะฌานประจุลงไป ณ ธาตุนั้น ๆ

    หลักการใช้ธาตุอย่างกว้าง ๆ คือ ธาตุน้ำเด่นทางเสน่ห์และเมตตา ธาตุดินเด่นทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ คงกระพันชาตรี ธาตุไฟใช้ทำลายสิ่งชั่วร้ายและหลอมรวมวัตถุ ธาตุลมใช้ทางล่องหนหายตัว สะกด เมื่อได้ในพื้นฐานแล้วยังต้องรู้จัก การเดินธาตุ หนุนธาตุ อัดธาตุ ซ้อนธาตุ แยกธาตุ สลับธาตุ ย้อนธาตุและพลิกแพลงธาตุต่าง ๆ ซึ่งยังแบ่งแยกออกตามระดับความยากง่ายอีกด้วย คล้ายกับการเรียนหนังสือ เริ่มจากชั้นประถม มัธยม ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เพราะถ้าขั้นประถมก็อาจใช้พระคาถาว่า นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะมะมะนะ นะอะอะนะ นะอุอุนะ

    วิชาเดินธาตุขั้นกลาง
    ปฐวีธาตุ หรือ ธาตุดิน ให้ว่าดังนี้
    มะ กะ ทะ นะ พะ กะ สะ จะ
    มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
    จิ ตะ ติ จะ พะ กะ สะ
    มุ ตะ ติ มะ นะ อะ อุ

    อาโปธาตุ หัรือ ธาตุน้ำ
    นะ มะ ทะ จะภะ กะ สะ
    ริ ตะ ติ นะ อะ อิ อุ
    ริ ตะ ติ สะ มะ นิ ทุ
    ริ ตะ ตะ วิ กะ วิ ตะ ติ

    วาโยธาตุ หรือ ธาตุลม
    พะ ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ
    ริ ตะ ติ ทะ พะ มะ นะ
    มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
    วิ ตะ ติ พะ สะ กะ สะ

    เตโชธาตุ หรือ ธาตุไฟ
    ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ วะ
    มิ ตะ ติ พะ จะ สะ กะ
    มุ ตะ ติ นะ มะ อะ อุ
    จุ ตะ ติ กะ ระ มะ กะ

    นอกจากคาถาธาตุตัวเต็มนี้แล้ว สามารถถอดเอาไปใช้เฉพาะเรื่อง
    ทำให้ร่างกายให้โตว่า
    มะ นะ อุ อะ นะ มะ อะ อุ
    ทำให้มีข้าวของเครื่องใช้มากว่า
    อะ อุ มะ นะ นะ มะ อุ อุ
    ทำให้วิ่งเดินเร็วว่า
    อุ อะ มะ นะ นะ มะ อะ อุ
    ทำให้หายตัวไม่มีใครเห็น
    อะ อุ นะ มะ มะ นะ อะ อุ
    ทำให้ฝนตก
    นะ มะ อะ อุ มะ นะ อุ อะ

    และขั้นสูงสุดคือ วิชาเดินธาตุทั้ง 7 อันประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ จิตธาตุ อันเป็นวิชาอันเล้นลับและซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซึ่งเมื่อเดินถึงวิชา 7 ธาตุนี้แล้วจึงจะครอบคลุมทั้ง กสิน ฌาณ มโนมยิทธิ อภิญญา 6 และคือครบวิชชา 8 ประการ แถมด้วยพลังลมปราณและพลังจักรวาลอันเป็นเลิศเพื่อเสริมพลังให้กับร่างกายอีกด้วย
    ---------------------------------------------
    ทำไมต้องพอกกายทิพย์
    เพราะตกใจขณะจิตสงบในสมาธิ เรียกว่ากายทิพย์สะเทือน
    ภาวะตกใจแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีจากที่นั่ง เรียกว่า กายทิพย์สะเทือน ถึงขั้นกายทิพย์แตกกระจาย อาจเสียสติได้
    ตกใจในขณะทำสมาธิ.......เกิดเพราะ
    เห็นวิญญาณหรือสิ่งน่ากลัว ต้องมีสติคุมอารมณ์ไม่ให้ตกใจกลัว และไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งเป็นอันขาด ต้องวางใจให้นิ่ง ๆ ระลึกถึงครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วอุทิศส่วนบุญกุลศลให้ วิญญาณนั้นก็จะหาย
    ตกใจเพราะเหตุอื่น ทำให้สะดุ้งตกใจ เช่น เสียงดัง ๆ ให้ค่อย ๆ ลืมตาดูช้า ๆ นั่งปรับจิตใจให้สงบดีขึ้นแล้ว จึงจะลุกจากที่นั่งได ้

    วิธีปรับจิตให้สงบ เพื่อรักษากายทิพย์สะเทือน
    ในขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น เมื่อตกใจ หัวใจจะเต้นแรงผิดปกติ อาจจะมีอาการปวดเสียวเป็นระยะ ๆ หน้าซีด มือที่วางซ้อนอยู่ด้วยกัน อาจจะถูกสลัดออกจากกัน ให้วางซ้อนให้เหมือนเดิม หลับตาลง ถอนหายใจลึก ๆ ช้า ๆ ๕ ครั้ง เริ่มต้น ตั้งจิตใจ ส่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว หายใจเข้าภาวนาว่า "พุท" หายใจออกว่า "โธ" (คำอื่นก็ได้) ทำอยู่ ๑๕ นาที หัวใจที่เต้นแรงผิดปกตินั้นจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมได้ เมื่อหายกลัวแล้วจึงจะออกจากสมาธิได้

    วิธีรักษากายทิพย์ที่ถูกสะเทือนถึงขั้นแตกกระจาย
    หาครูบาอาจารย์ หรือพี่เลี้ยงใจเย็น ๆ มาช่วยควบคุมให้ผู้นั้นนั่งสมาธิใหม่ ด้วยการมองพระพุทธรูป ให้จำ รูปนั้นแม้หลับตาก็ให้จำภาพนั้นให้ชัดเจน ถ้าภาพหายไปให้ลืมตาดู จนหลับตาก็จำภาพพระพุทธรูปได้ นับว่า เริ่มมีสติรู้สึกตัว ควบคุมตัวเองได้ ต่อด้วยการพอกกายทิพย์ให้สมบูรณ์ ด้วยการส่งความรู้สึกนึกคิดทั้งมวล เพ่งส่งไป ที่พระพุทธรูป เมื่อฝึกทำมาก ๆ ครั้งเข้า ภาพพระพุทธรูปจะค่อย ๆ ชัดขึ้นจนเห็นชัดทุกสัดส่วน เหมือนลืมตา จนพระพุทธรูปนั้นมีความสว่างไสว จนเป็นวงรอบองค์พระเหมือนดวงแก้ว จนมีความปิติสุข เกิดขึ้น แสดงว่า "ท่านหายแล้ว"
    การพอกกายทิพย์นี้ เป็นการดึงเก็บรวบรวมเอา มวลสาร ของอะตอมในโมเลกุลซึ่งเป็นส่วนส่วนละเอียดที่สุด ของส่วนประกอบดวงจิต ที่เหมือนดวงแก้วที่แตกกระจากออกไปนั้น มารวมตัวสมานกันอีกครั้ง เมื่อเพ่งมองพระพุทธรูปจนเป็นนิมิต นั้นทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งก็จะเกิดอำนาจดึงดูด เหมือนแม่เหล็ก ยิ่งส่งความนึกคิดเข้าไปในองค์พระพุทธรูปมากเท่าใดแล้ว เหมือนเสริมพลังให้กับแม่เหล็ก อำนาจแม่เหล็ก ที่ศูนย์กลาง คือพระพุทธรูป จะยิ่งเพิ่มพลังดึงดูดมากขึ้น จึงเกิดกำลังทวีคูณดึงดูด เก็บรวบรวมชิ้นส่วนอัน ละเอียดของดวงจิต (ดวงแก้ว) ที่แตกซ่านกระจายนั้นรวมตัวเข้าเป็นวงกลม(ดวงแก้ว) ที่สมบูรณ์ ใหม่ ๆ ดวงแก้วจะไม่ค่อยสว่างและไม่ค่อยกลมด้วย สุดท้ายอำนาจดึงดูดสูงขึ้น ๆ เศษส่วนต่าง ๆ ของดวงแก้วก็ จะติดแน่น สมานจนไม่มีรอยตำหนิ
    (เรียบเรียงจากหนังสือแนวคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต โดยแสง อรุณกุศล )
     
  4. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +10,787
    แฮรี่ พอตเตอร์ เมืองไทย ร้ายจริง ๆ
     
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ปางมือเก้าคำศักดิ์สิทธิ์
    “ตี” แปลว่า กด ทำให้เข้ากัน “ลัญจกร” แปลว่า รูปแบบ หรือตราที่ประทับ “ตีลัญจกร” จึงเป็นศัพท์บัญญัติที่หมายถึง การทำมือเป็นตรา เป็นรูปแบบ“ลัญจกร” ที่นำมา “ตี” นั้นมาจากหัตถ์พระพุทธองค์ หรือ “ปางมือ” ของพระอรหันต์ 500 องค์ ในพุทธศาสนานิกายมหายานและวัชรยานในทิเบต ซึ่งแตกต่างจากปางมือในพุทธศาสนานิกายหินยาน “ปางมือ” ในพุทธศาสนาหินยานเป็นปางมืออย่างหนึ่ง ในสายวัชรยานก็อีกอย่างหนึ่ง ทั้งหมดมี 590 กว่าท่า แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ รักษาโรค, แผ่เมตตา และเจริญปัญญา ซึ่งก็คือเคลื่อนลมปราณนั่นเองส่วนปางมือเก้าคำศักดิ์สิทธิ์นั้นมาจากตำราลัทธิเต๋าผอพ่อจื่อ แต่งโดยเก๋อหงสมัยราชวงศ์ตังจิ้น มีเนื้อความว่า "ผู้เผชิญกองทัพส่วนเรียงรายอยู่เบื้องหน้า มองอย่างพินิจโดยไม่หลีกลี้" โดยเก้าคำศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาเป็นปางมือนั้นคือ"ผู้เผชิญทัพล้วนเรียงรายเบื้องหน้า" ริน - เบียว - โต - ฉะ - ไค - จิน - เร็ทสุ - ไซ - เซ็น(ออกเสียงตามสำเนียงภาษาญี่ปุ่น)เก้าคำศักดิ์สิทธิ์เน้นที่จิตวิญญาณ ไม่เน้นรูปลักษณะ เคล็ดการฝึกปางมือเก้าคำศักดิ์สิทธิ์มีดังต่อไปนี้"ยามเคลื่อนปางมือไปข้างหน้าให้ผ่อนลมหายใจออกยามดึงปางมือกลับมาให้สูดลมหายใจเข้ายามยกปางมือขึ้นบนให้ผ่อนลมหายใจออกยามดึงปางมือกลับมาให้ผ่อนลมหายใจเข้าขณะฝึกปางมือให้รวมศูนย์ประสาทและจิตสำนึกไปที่ปลายนิ้วตลอดขณะฝึกจะต้องเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไม่ให้ขาดตอนดุจสายน้ำตอนยกปางมือไปข้างหน้า หรือเหนือหัวจะต้องใส่แรงเข้าไปชั่วพริบตาด้วย ฝึกปางมือได้ทุกเวลา และไม่จำกัดสถานที่"ความหมายของปางมือทั้งเก้าคือริน (เผชิญ) - คือการมุ่งใจที่ไม่หวั่นไหว เรียกว่า ปางพื้นฐานไม่เคลื่อนเพื่อไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากทั้งปวงและมีพลังกายที่เข้มแข็งเบียว (ทัพ) - คือการทำให้มีอายุยืน ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เรียกว่า ปางวัชระโต (สู้) - คือความกล้าหาญที่จะยืนหยัดต่อสู้ เรียกว่า ปางราชสีห์นอกฉะ (ผู้) - คือการช่วยเยียวยา รักษา หรือบำบัดผู้อื่น เรียกว่าปางราชสีห์ในไค (ล้วน) - คือการเข้าใจจิตใจของผู้อื่น เรียกว่า ปางร้อยรัดนอกจิน (เรียง) - คือการรู้จักชะตากรรมของตนเองและเปลี่ยนแปลงมันได้ เรียกว่า ปางร้อยรัดในเร็ทสุ (แถว) - คือการมุ่งช่วยเหลือผู้อื่นเป็นหลักเพราะสำเร็จกิจของตนแล้ว เรียกว่า ปางหมัดปัญญาไซ (อยู่) - คือการดิ่งลึกลงเรื่อยๆ ในการช่วยเหลือผู้อื่น เรียกว่า ปางดวงสูรย์เซ็น (เบื้องหน้า) - คือการกลายเป็นพุทธะ เรียกว่า ปางกุณฑีการผนึกปางมือต้องรวมกาย - วาจา - ใจ ให้เป็นหนึ่งเดียว เป็นการทำสมาธิและฝึกลมปราณรูปแบบหนึ่ง ในนิยายกำลังภายในหรือแม้แต่การ์ตูนหลายเรื่องก็นำวิชาปางมือนี้ไปใช้ เช่น ฉีจื่อหลิง (มังกรคู่สู้สิบทิศ : หวงอี้)ลุ้ยซุ่ง (ชุดสุยอดศัสตราวุธ : อุนสุ่ยอัน)รวมไปถึงการใช้กระบวนท่าฝ่ามือยูไลที่เคยนำเสนอไปแล้วจะเห็นว่าก่อนจะใช้แต่ละกระบวนท่าตัวเอกก็ต้องผนึกปางมือก่อนเช่นกันการทำปางมือนั้นผู้ใช้ต้องสวดมนต์หรือออกเสียงควบคู่ไปด้วย เพราะเชื่อว่าเสียงจะช่วยปรับการทำงนของอวัยวะภายในร่างกายให้เคลื่อนไหวกลับมาทำงานอย่างเป็นระเบียบ (ในกรณีฉีจื่อหลิงการตวาดคำศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นการทำลายสมาธิคู่ต่อสู้ด้วยเช่นกัน)การทำปางมือก็เปรียบเสมือนตัวเชื่อมระหว่างเสียงสวดกับอวัยวะภายใน ซึ่งก่อนอื่น ต้องมีพื้นฐานความเข้าใจก่อนว่าตามภูมิปัญญาตะวันออกนั้น
    ในร่างกายของเราที่เคลื่อนไหวได้นั้น เกิดจากทำงานได้ด้วยระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    การขับดันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอวัยวะในร่างกายแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย
    ฝ่ายหนึ่งให้พลังหยิน อีกฝ่ายหนึ่งให้พลังหยาง ฝ่ายที่ให้พลังหยิน คือ
    หัวใจ ปอด ไต ม้าม ตับ เยื่อหุ้มหัวใจ ฝ่ายที่ให้พลังหยาง คือ กระเพาะอาหาร
    กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ถุงน้ำดี ฯลฯ
    หยาง-หยินคือขั้วบวก-ขั้วลบนั่นเอง
    ในหัวใจจึงมีโมเลกุลที่เรียงตัวเป็นเหนือ-ใต้ เหนือ-ใต้
    เรียงตัวเป็นระเบียบมันก็จะสั่นสะเทือนและจะเป็นคลื่นวิ่งไปตามเส้นลมปราณต่าง ๆ
    ในฝ่ามือเราจะเหมือนกับฝ่าเท้า คือ มีจุดสะท้อนของอวัยวะภายใน,
    มีเส้นลมปราณ 6 เส้น ด้านหน้า 3 เส้น ด้านหลัง 3 เส้น มือข้างหนึ่งมี 6 เส้น
    ถ้ามือสองข้างรวมกันเป็น 12 เส้น การประนมมือเป็นท่าต่าง ๆ คือ กด รัด พับ เชื่อม
    เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาที่เส้นลมปราณสะท้อนไปถึงอวัยวะภายในร่างกายเมื่อได้รับการกด รัด พับ เชื่อม
    ในการทำปางมือต่างๆ ตามที่ได้ฝึกฝนมาแล้ว จะเกิดการเคลื่อนไหว
    เมื่อถึงจุดหนึ่งมือจะหมุนขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำปางมือแบบนี้ญี่ป่นเรียกว่า คุจิ-อิง
    ในสมัยก่อนถือเป็นหัวใจของการฝึกวิชานินจาเลยทีเดียว
    ซึ่งการฝึกปางมือนี้ก็คือการฝึกจิตของตนให้เข้าถึงแก่นแท้สรรพสิ่งทั้งมวล
    เมื่อเข้าใจถึงแก่นแท้แล้วก็จะเข้าใจความสัมพันธ์ของที่มาแห่งพลังต่างๆ
    และสามารถนำพลังนั้นออกมาใช้ได้โดยไม่เกิดอันตรายกับตนเองศาสตร์แห่งนินจาเชื่อว่าการประสานมือเป็นการโอบล้อมทำให้เกิดพลัง
    อันประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ (ชิ - ซุย - ฟุ - กะ)
    เมื่อผู้ใช้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิอันแน่วแน่จะสามารถบังคับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอารมณ์
    สภาพบรรยากาศอันกดดัน และผนึกสมาธิให้ตั้งมั่นได้อย่างสูงสุด
    ซึ่งรากฐานของการประสานมือนี้ก็ถูกผนึกให้เข้ากับการกำหนดลมหายใจแบบวิปัสนาของพุทธ
    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการทำปางมือในแบบของนินจา
    หรือนิยายกำลังภายในก็ล้วมมีที่มาเหมือนกัน
    นั่นคือการทำสมาธิและฝึกจิตในแบบพุทธศาสนา
    เป้าหมายสูงสุดของการทำปางมือไม่ใช่เพื่อให้เอาไว้สู้กับใคร
    แต่มีไว้เพื่อมุ่งชำระใจของตนให้ถึงซึ่งพุทธะนั่นเอง
     
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ใช่...สู้ๆๆ..ไอ้มดแดง...^o^
     
  7. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    ริน - เบียว - โต - ฉะ - ไค - จิน - เร็ทสุ - ไซ - เซ็น ใช่คาถาของเซเล่อร์มาร์ตอนเอายันต์ขว้างออกไปใช่หรือปล่าว
     
  8. pangpond288

    pangpond288 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +204
    การฝึกพลังจิตหรือพลังต่าง ๆ ขั้นต้นนั้นก็เริ่มจากการฝึกสมาธิ โดยวิธีที่มนุษย์ทั่วไปสามารถทำได้และทำง่ายสุดก็คือการเจริญสมถวิปัสสนาหรือกัมมัฏฐานที่เป็นอุบายให้ใจสงบ เช่น การบริกรรมต่าง ๆ หรือ การควบคุมจิตใจให้ระงับจากความฟุ้งซ่าน จับจิตของเราที่เปรียบเสมือนลิงให้หยุดอยู่กับที่แล้วฝึกให้ลิงตัวนี้เชื่องและเชื่อฟังตัวเรา ต่อจากนี้ผมจะสอนวิธีการฝึกสมาธิขึ้นแรกเพื่อจะเป็นการฝึกพลังจิตในขั้นต่อไปนะครับ ซึ่งวิธีที่ได้สอนต่อจากนี้เป็นวิธีที่ผมเคยฝึกมาด้วยตัวของผมเองจนสำเร็จ ภายในเวลา 1เดือน
    การจัดหาสถานที่ในการฝึกการใช้พลังจิตที่จะทำให้สำเร็จได้ไวคือ
    1.มีเสียงรบกวน อาจจะเป็นห้องนอน หรือที่ที่มีเสียงแต่ไม่มีคนมารบกวน
    2.หาที่นั่งที่คิดว่านั่งแล้วสบายไม่ปวดไม่เมื่อยจนบ่อยเกินไป
    3.บางครั้งอาจจะเป็นท่านอนให้ใช้สถานที่ภายในห้องนอนก็ได้
    4.ทุก ๆ ที่ ที่เราไป ในขณะที่เราไม่ว่างที่จะกลับมาฝึกที่บ้าน
    การเริ่มต้นฝึกคือ
    1.การนั่งนั้นจะต้องทำอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้ผ่อนคลายมีวิธีการคือ
    1.1.นั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มเกร็งตั้งแต่ปลายเท้าทั้ง2 ไปเป็นลำดับจนสุดนิ้วมือ(ปลายเท้า-ข้อเท้า-ลูกน่อง-เข่า-ต้นขา-ก้น-ท้อง-ต้นแขน-ข้อศอก-ท่อนแขน-ข้อมือ-ฝ่ามือ-นิ้วมือ)แล้วคลายออก จากนั้นหลับตาแล้วภาวนา
    1.2.การนั่งนั้นเราจะนั่งแบบไหนก็ได้ที่คิดว่าร่างกายทุกส่วนของเราจะไม่มีการเกร็ง แต่ห้ามนั่งหลังค่อม หรือนั่งคู้ไปด้านหน้าจะทำให้ปวดสะเอว(นั่งพิงหรือเอาหมอนมารองสะเอวไว้ก็ได้เพราะถ้านั่งหลังตรงเราจะเกร็งที่ตรงสะเอว)

    2.นั่งสมาธิเจริญภาวนา อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้า "พุท" ออก "โธ"(หรือคำอื่นแล้วแต่ถนัด) จากนั้นเราก็จะเกร็งขึ้นมาอีกตรงที่คอ ที่โคนลิ้น และริมฝีปาก ให้เราคลายตรงนั้นให้ได้เพราะจะเป็นที่คลายยากที่สุด
    3.หายใจเข้า-ออก ลึก ๆ ช้า ๆ สม่ำเสมอ และพยายามคลายส่วนที่เกร็งอีก
    4.อย่าตั้งใจนั่งจนเครียดเกินไป และอย่าหย่อนเกินไป
    5.จะมีเรื่องคิดมากเข้ามาในสมอง พยายามตัดภาพนั้นออกไปถ้าตัดออกไม่ได้ก็ให้คิดถึงต้นตอของเรื่องที่เข้ามาทำให้เราคิด เช่น เห็นภาพรถ เราก็หาสาเหตุที่ทำให้เราคิดถึงภาพรถ คือ เรากำลังเครียดกับการหาเงินจะแต่งรถ เมื่อรู้สาเหตุของภาพแล้วเราก็ตัดภาพนั้นออกไปอีกครั้งหนึ่ง(เมื่อรู้ต้นตอของภาพจะทำให้ตัดภาพออกได้ง่ายกว่าเดิม)
    6.ถ้าในห้องเรามีเสียงรบกวน ผมแนะนำให้เปิดวิทยุ หรือ ทีวี ไว้นะ เราจะต้องควบคุมจิตให้ตัดเสียงเหล่านั้นด้วยสมาธิของเราให้ได้ ด้วยวิธี หายใจเข้า - ออกลึก ๆ แล้วให้สม่ำเสมอ รักษาช่วงเข้าออกให้เท่ากันให้ตลอด
    7.เมื่อตัดเสียงได้แล้วก็นั่งต่อไปสังเกตุลมหายใจเราจนกว่าจะเข้าพวังค์ หรือ เข้าสมาธิ แล้วนั่งต่อไปเรื่อย ๆ จากนี้ผมจะบอกอาการเมื่อเราเข้าภวังค์นั้นจะรู้ได้อย่างไร
    สังเกตุการหายใจเข้าออก ตอนแรกที่เรากำหนดหายใจเข้าออกลึก ๆ น่ะ เราจะต้องฝืนและเผยอตัวและหัวไหล่ขึ้นและพอหายใจออกเราก็จะหดตัวลง แต่เมื่อเราเข้าภวังค์แล้วเราจะรู้สึกว่าระบบการหายใจของเราได้เป็นไปโดยที่เราไม่ได้บังคับให้หายใจเข้าออกลึก ๆ แล้วนี่ แต่ร่างกายเราสั่งงานโดยอัตโนมัติ ในตอนนี้แหละครับที่เรียกว่า การเข้าถึงสมาธิ และเป็นการฝึกพลังจิตขั้นแรกแล้วครับ ส่วนขั้นต่อไปผมค่อยสอนใหม่ถ้ามีคนสนใจครับ
    **ศิษย์อ.สายเขาอ้อ จ.พัทลุง
     
  9. pangpond288

    pangpond288 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +204
    **อ่อ ลืมบอกไปอย่างนึง เพิ่มเติมอีกนิดนึงนะคับ
    ก่อนการฝึกสมาธิทุกแบบ จะต้องปลอดจากสารเสพติดที่เกี่ยวพันกันสมองนะคับ ยกเว้นบุหรี่จะไม่เป็นไรแต่อย่างอื่น ต้องหยุดเสพหรือหยุดกิน 2-3 วัน ถ้าจะให้ดีก็ 1 อาทิตย์นะคับ สารเสพติดเช่น เหล้า ยาต่าง ๆ หรือของมึนเมาทุกชนิด ยกเว้นบุหรี่นะคับ หลังจากการฝึกจนสำเร็จแล้ว พยายามทำให้ชำนาญ หรือเรียกตามภาษาผมว่า การลัดขั้นของสมาธิ จะสอนในครั้งต่อไปนะคับ
    ศิษย์ เขาอ้อ พัทลุง
     

แชร์หน้านี้

Loading...