การสวดมนต์เป็นฌาน

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย Scorpius, 14 มิถุนายน 2011.

  1. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    [​IMG]
    ;36

    วันนี้พี่จะสอนเรื่องการสวดมนต์เป็นฌาน

    พี่เค้าถามว่า : ตอนนี้ใครสวดมนต์อยู่บ้าง

    หิ่งห้อย : ยกมือ

    พี่เค้าถามว่า : เวลาเราสวดมนต์เราสวดด้วยความตั้งใจมั้ย? สวดมนต์ด้วยความนอบน้อมพระพุทธเจ้าหรือเราสวดมนต์เพราะเป็นหน้าที่ที่เรา ต้องสวด ผลมันต่างกันนะ ตอนนี้เราสวดแบบไหน?

    ทุกคน…เงียบสนิท!

    เราสวดมนต์แล้วตอนนี้ เราลงทุนแล้ว การลงทุนของเราเริ่มต้นแล้ว ลงทุนทวนกระแสจิตใจของตัวเองที่ไม่เคยสวดมนต์ มาเริ่มสวดมนต์ ในเมื่อเราสวดแล้ว เราสวดมนต์ อย่าสวดแบบขาดทุน เราสวดมนต์แบบไม่ตั้งใจ มันก็เหมือนการลงทุนแล้วไม่ได้ผลกำไร มันจะขาดทุนย่อยยับ เรา ทำทุกวันๆ เราทวนกระแสความง่วงของตัวเอง ทวนกระแสในการอยากไปดูทีวี อยากจะไปเล่นเกม อยากจะไปทำทุกอย่างที่เราชอบ เพื่อที่จะมาสวดมนต์ แต่ผลของการสวดมนต์เราไม่ได้รับเลย เราไม่ได้อานิสงฆ์แห่งการสวดมนต์นี้เลย เพราะฉะนั้นมันไม่คุ้มค่า

    เมื่อเราตั้งใจสวดมนต์แล้ว พี่ก็จะสอนในการสวดมนต์เป็นฌาน การที่เราจะสวดมนต์เป็นฌานได้ อย่างแรกเลยเราต้องจำตัวมนต์ในหนังสือสวดมนต์เล่มสีเหลืองให้ได้หมดก่อน ได้หมดรึยัง? (หิ่งห้อยตอบว่ายังค่ะ... มันจำยาก)

    พี่เค้าบอกว่า: แรกๆ ก็เป็นกันอย่างนี้ทุกคน เราอาจจะจำได้ไม่หมด พี่ก็เป็นเหมือนกัน อาจจะ กุก กุก กัก กัก เพียงแต่ว่าที่เราสวดบ่อยๆ มันจะเกิดความคล่อง เหมือนเพลง บางเพลงที่ร้องย๊ากยาก พี่ฟังเพลงแล๊ปๆ โย่วๆ มันฟังไม่ออก ไม่รู้มันพูดว่าอะไร ถามคนที่เค้าฟังอยู่ด้วยกันว่า เขาพูดว่าอะไร มันฟังไม่ออกเลย พี่เค้าก็ร้องให้ฟัง ถึงจะรู้ว่ามันเป็นแบบนี้ คือคนที่ใส่ใจ มีความชอบเขาก็จะฟังออก ส่วนคนที่ไม่ได้ใส่ใจก็จะไม่รู้ว่ามันบ่นอะไรของมันนักหนา

    เพราะฉะนั้นพี่จึงบอกว่าเราต้องทำให้ได้ เราต้องมีความพอใจ จริงๆแล้วพี่เคยบอกว่า สมาธิเวลาเราทำเป็น เราสนุกนะ สนุกกว่าการเล่นเกมอีก สนุกมากๆ ในการที่จะทำสมาธิ พี่จะมีความสุขมากๆ ในการทำสมาธิ เพราะพี่รู้สึกเหมือนกับว่าได้ทำในสิ่งที่เราชอบ การที่เรามองลมหายใจ จับลมหายใจ พอเราจับได้ปุ๊บ เราจะมีความสนุกที่เราจับได้ แต่ถ้าเราบังคับลม เราจะมีความรู้สึกมันอึดอัด

    ก่อนที่เราจะเรียนรู้การสวดมนต์เป็นฌาน เราลองอยู่เฉยๆ นั่งขัดสมาธิขวาทับซ้าย ยังไม่ต้องจับลมหายใจเข้าและออก (ยังไม่ต้องบังคับลมหายใจ) นั่งเฉยๆ เงียบๆ หลับตา หลังตรง แล้วดูว่า เราเห็นลมหายใจเข้า... ที่เป็นธรรมชาติของเราไหม เมื่อเราเห็นลมหายแล้ว ให้เราดูลมหายใจไปเรื่อยๆ ดูว่าช่วงไหนเราตามและเราไม่ตามบ้าง ให้ดูว่าลมหายใจเราสั้นหรือยาว หายใจสั้นรู้ว่าสั้น หายใจยาวรู้ว่ายาว เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราตามลมหายใจ เมื่อเราตามลมหายใจ เราจะรู้ว่าลมวิ่งเข้าจมูกเรา วิ่งลงไปที่อก ถ้าใครลึกมากกว่านั้นให้ตามไป ถ้าใครไม่ลึก ก็เห็นลมหายใจออก

    ถ้าเรานั่งสมาธิแล้วอึดอัดแสดงว่าเรากำลังบังคับลม ถ้าเราตามลมหายใจไปเรื่อยๆ เราจะไม่ง่วง ไม่มีความรู้สึกว่ามันเบื่อ แต่ถ้าเราไม่ตามลมหายใจ เราจะวูบ วุ๊บๆ เป็นพักๆ ปล่อยให้หายใจเป็นธรรมชาติ อย่าไปเกร็ง อย่าไปเกร็งกับลมหายใจ ใครรู้สึกแน่นหน้าอกให้ไล่ลมโดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ อย่าเกร็งตัว หายใจออกช้าๆ อย่าเกร็งตัว แล้วก็หายใจเข้าใหม่ช้าๆ ลึกๆ ถ้าจับลมแล้ว ลมหลุดไป แล้วพอจับใหม่หลุดไปอีก แสดงว่าเรายังทำสมาธิไม่ได้

    การสวดมนต์เป็นฌานต้องสวดมนต์ควบคู่กับการกำหนดรู้ลมหายใจ แต่สิ่งที่สำคัญที่เราจะสวดมนต์เป็นฌานได้ เราต้องอาศัยการท่องจำบทสวดมนต์ให้ได้หมดก่อน เราต้องไปหัดท่องบทสวดมนต์ให้คล่อง เราต้องบอกตัวเองเลยว่าจะต้องทำให้ได้

    เหมือนกับพี่ พี่ใช้เวลาในการท่องมนต์บท โยโส ได้ภายใน 1 วัน พี่จะเป็นคนมีความมุ่งมั่น ถ้าจะทำอะไรแล้ว ต้องตั้งใจทำให้ได้ให้สำเร็จ เพราะฉะนั้นวันเดียวพี่ท่องได้ บทสวดมนต์เล่มเหลือง 1 อาทิตย์ พี่สามารถท่องได้หมด ใช่ว่าพี่จะทำได้คนเดียว ทุกคนสามารถทำได้หมด อยู่ที่ว่าเราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ

    สังเกตเวลาเราอ่านหนังสือเล่มไหนที่เราชอบ การ์ตูนเรื่องไหนที่เราชอบ ทำไมเราจำได้ แต่ที่เราจำไม่ได้เป็นเพราะเราไม่ชอบ ใจเราอยากหลีกหนี แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่เราไม่ชอบได้สำเร็จ ต่อไปเรื่องอื่นๆ ที่เข้ามาแล้วเราไม่ชอบ เราจำเป็นต้องทำ เราก็จะทำได้สำเร็จเช่นกัน


    อยากได้ดีต้องทวนกระแสตัวเองเหมือนที่ท่านอาจารย์สอน ก็คือว่าวันนี้เรากลับไปท่องก่อน ท่องบทสวดมนต์ให้ได้หมดภายใน 2 อาทิตย์ คือ อาทิตย์ปลายเดือนหิ่งห้อยทุกคนต้องสวดมนต์ได้ทุกบท (อย่าลืมนะที่พี่สั่ง) ต้อง ท่องเหมือนที่เด็กท่องหนังสือไปสอบ พี่ท่องแบบเอาหนังสือมาปิดแล้วดูทีละตัว เหมือนพระอรหัตถ์ทั้งแปดทิศ สัมพุธโธ ทิปะทัง เทฏโฐ นิสินโน เจวะ มัชฌิเม พี่ก็จะท่องทีละบรรทัด พอได้บรรทัดที่หนึ่งแล้ว พอเราท่องบรรทัดที่ 2 เราต้องย้อนกลับไปท่องบรรทัดที่ 1 ใหม่ พอจะท่องบรรทัดที่ 3 พี่ก็จะต้องกลับไปท่องบรรทัดที่ 1 , 2 ใหม่แล้วก็ 3 พอจะท่องบรรทัดที่ 4 ก็จะกลับไปท่องบรรทัดที่ 1 , 2 , 3 แล้วก็ 4 เพราะถ้าเราท่องทีละบรรทัด ทีละบรรทัด เราก็จะลืมบรรทัดบน แล้วลืมลงมาเรื่อยๆ จนถึงบรรทัดสุดท้าย เราก็จะจำได้แต่บรรทัดสุดท้าย บรรทัดบนก็จะจำไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นพี่จะใช้เวลาในการท่อง ไม่ว่าจะทำอะไร จะเดินไปไหน ห้องน้ำ ทำอะไรก็แล้วแต่ที่ได้อยู่คนเดียว พี่ก็จะเอาบทสวดมนต์กางออกมาแล้วท่อง ปิดไว้ทีละบรรทัดแล้วก็ท่อง อาทิตย์เดียวเองได้หมดเลย เสร็จแล้วพอเราสามารถจำบทมนต์ได้ เราจะจำเป็นแบบนกแก้วนกขุนทองไม่ได้ ถ้าเราจำเป็นแบบนกแก้วนกขุนทอง เราก็จะสวดมนต์เป็นแบบนกแก้วนกขุนทองเหมือนกัน

    คราวนี้การจำบทมนต์เราต้องจำลักษณะของมนต์ คือ จดจ่อในตัวมนต์ มนต์ตัวนี้ คำว่า อิติปิโส จะต้องเห็นคำว่า ตัว อ สระอิ ตัว ต สระอิ ตัว ป สระอิ ส สระโอ คือต้องเห็นเลยว่า อิติปิโส สะกดด้วยอะไรบ้าง มีสระ มีพยัญชนะ อะไรบ้าง ภะคะวา ต้องเห็น ภ สระอะ ค สระอะ ว สระอา เราต้องเห็นอย่างนี้เลย

    เพราะฉะนั้นถ้าเราสอนตัวเองตั้งแต่แรก เวลาที่เราฝึกสวดมนต์เป็นฌาน เราจะไม่ต้องไปหลับตาแล้วนึกถึงมนต์ ถ้า เราสอนอย่างนี้ตั้งแต่แรก พอเราไปหลับตาแล้วนึกถึงมนต์ ในการที่เราจะฝึกสวดมนต์เป็นฌาน ในคำว่า โยโส ในบางทีเราจะเพ่งให้เห็น สระโอ ย ยักษ์ สระโอ ส เสือ เพ่งอยู่ตั้งนาน ใจเราที่สวดโยโสไปแล้วแต่ สระโอ ย ยักษ์ สระโอ ส เสือ ยังไม่โผล่มาเลย จะทำให้เราช้า

    แต่ถ้าเราฝึกตั้งแต่ตอนแรกเลย เราฝึกให้หนัก โดยการที่เราจำบทมนต์ เห็นลักษณะของมนต์ทุกตัวว่าตัวนี้สะกดยังไง พยัญชนะ และสระอะไร เมื่อเห็นอย่างนี้ปุ๊บเวลาเราสวดมนต์เป็นฌาน พอหลับตาปุ๊บมนต์ลอยขึ้นมาให้เห็นเลย มนต์จะลอยขึ้นมา จิตของเราที่จดจ่อกับการสวดมนต์ กับการที่เราจ้องมนต์ในขณะที่เราหลับตากับลืมตาจะเห็นเป็นภาพเดียวกัน

    แต่ถ้าเกิดว่าเราท่องมนต์เป็นนกแก้วนกขุนทอง พอเราหลับตา เสียงนกแก้วนกขุนทองก็ท่องเจอะแจะ เจอะแจะไปเรื่อยๆ แต่นกแก้วอ่านหนังสือไม่ออก พอเราเอาหนังสือมากางให้มันอ่าน มันก็อ่านไม่ออก แต่เราสอนให้มันพูดได้ เพราะฉะนั้นเราอย่าเป็นนกแก้วนกขุนทอง เราต้องหลับตาปุ๊บ เราต้องเห็นเลย โยโสเลื่อน เหมือนที่สปอร์ตโฆษณา ที่มันวิ่ง ให้เห็นอย่างงั้นเลย พอคราวนี้เมื่อเราท่องได้แล้ว

    ;aa47
     
  2. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    [​IMG]

    หิ่งห้อยถามว่า: ไม่ได้สวดคาถากะระณียะเมตตะสุตตังได้ไหมค๊ะ...?

    พี่เค้าก็ตอบว่า: ไม่เป็นไร เอาแค่นั้นก่อนก็ได้ แล้วบทนั้นก็ค่อยมาหัดทีหลัง ถ้าเราเป็นคนไม่กลัวผีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเรากลัวผีก็พกไปด้วย เพราะบทนั้นช่วยกันผี กันเภทภัย จริงๆแล้วพี่ก็ไม่ค่อยได้สวดเมตตัญจะ เพราะว่าเวลาพี่ไปนอนที่อื่น สิ่งสำคัญของพี่ก็คือว่านึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

    พอนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ตัวมนต์ก็จะอยู่กับเรา ก็จะสวดมนต์มีรูปพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่งไปนอนโรงแรมไหนไม่รู้ ด้วยความที่พี่กำหนดภาพพระตลอดเวลา พร้อมกับสวด อิติปิโส พี่สวด อิติปิโส เป็นอารมณ์ เดินไปไหนก็สวดอยู่ตลอด ไม่ใช่ อิติปิโส อิติปิโส อิติปิโส อย่างนี้ไม่ใช่นะ คือ อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา... ด้วยความที่สวดเป็นอารมณ์กับการกำหนดรู้ลมหายใจ กำหนดภาพพระเป็นอารมณ์

    มีอยู่วันหนึ่งไปนอนที่โรงแรม ขณะที่สวดมนต์ กำหนดภาพพระสวดมนต์ไป ด้วย พอลืมตาขึ้นมา เห็นกำแพง วอลเปเปอร์ เป็นรูปพระพุทธเจ้าแปะรอบห้องเต็มไปหมดเลย เพราะฉะนั้นเราต้องหัด พอเราหัดปุ๊บ เราก็จะได้เจอในสิ่งที่เราไม่เคยได้เจอ เราก็จะมีความรู้สึกว่า อื๊มที่ท่านอาจารย์บอกเนี่ย มันมีจริงๆนะ มีจริงๆเลย ถ้าเราจำบทมนต์ได้แล้ว เราก็จะเริ่มโดยการ นั่งตรงหน้าพระพุทธเจ้า นั่งตรงหน้าหิ้งพระ
     
  3. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    พี่เค้าถามว่า: ทุกคนสวดมนต์บนหน้าหิ้งพระหรือบนเตียงนอน

    หิ่งห้อยตอบว่า: บนเตียงนอนค่ะ....

    พี่เค้าก็พูดว่า: ช่างมีความสุขเหลือเกิน มันถึงได้เกิดนิวรณ์ไง

    พี่เค้าถามว่า: แล้วทำไมไม่สวดหน้าหิ้งพระ ไม่มีห้องพระหรือ

    หิ่งห้อยตอบว่า: ห้องพระน่ากลัวค่ะ เพราะว่าเวลาไปไหว้ ต้องไปไหว้คนเดียว

    พี่เค้าก็พูดว่า: ถ้าเราคิดว่าห้องพระน่ากลัว แสดงว่าเราไม่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระ ใจเรามีวิจิกิจฉาโดยที่เราไม่รู้ตัว

    หิ่งห้อยตอบว่า: แต่หนูไม่ได้กลัวในห้องพระ แต่หนูกลัวข้างนอกค่ะ

    พี่เค้าพูดว่า: ถ้าเกิดเรามีพระในบ้าน พี่ว่าวิญญาณที่จะอยู่ในบ้านเราได้ ท่านต้องเป็นเทวดาชั้นสูงอย่างดี เพราะอาจารย์ไปตั้งพระให้ เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์จะตั้งให้ก็มี ท้าวเวสสุวรรณให้กับพวกเรา เพราะฉะนั้นท่านจะปกปักรักษาผีตนไหนก็เข้าไม่ได้ แล้วก็เป็นเทวดาชั้นสูงที่คุ้มครอง เรา ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านอาจารย์ทำ เราต้องเชื่อว่าสิ่งไม่ดีทั้งหลายเข้ามาไม่ได้ อย่ากลัวแบบไร้เหตุผล พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีเหตุและมีผล ถ้าเรากลัวในสิ่งที่ไร้เหตุไร้ผล กลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็น ยังมองไม่เห็น แสดงว่าเรามีวิจิกิจฉาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว การที่เราจะประสบความสำเร็จในการที่เราจะปฏิบัติธรรม โอกาสมันน้อย ดังนั้นอย่ากลัว ตัดใจ อย่ากลัว กลัวข้างนอกมืดก็เปิดไฟ

    หิ่งห้อยพูดว่า: ไฟมันเสียหมดแล้วค่ะ

    พี่เค้าพูดว่า: ไฟมันเสียหมดแล้ว เราก็เดินท่ามกลางความมืดนั่นแหละ ถ้าเรากลัวความมืด เมื่อเราตาย ท่านอาจารย์บอกว่า เราจะมองไม่เห็นอะไรแล้วนะ วิญญาณของเราจะมองไม่เห็นแสงสว่างของพระอาทิตย์ วิญญาณของเราจะมองไม่เห็นอะไรเลย แม้มันจะสว่างมากแค่ไหน ก็จะมองไม่เห็น ก็ เหมือนที่ท่านอาจารย์ท่านบอก เห็นแค่ตะเกียง อยู่ที่ปลายโลง แต่ในระยะทางไม่เกิน 3 เมตร แล้วเราจะไปไหนไม่ได้ เราฝึกเอาไว้ว่าวันใดวันหนึ่ง ถ้าความตายมาถึงเรา ในขณะที่เราอายุยังแค่นี้ เราต้องพร้อมที่จะอยู่ได้ในความมืด โดยที่เราไม่กลัว

    สมัยก่อนพี่ก็กลัว ไม่ใช่ไม่กลัวความมืด แต่พี่ก็ฝึกไปเรื่อยๆ ปิดไฟนั่งสมาธิบ้าง เวลาสวดมนต์ไหว้พระเสร็จก็ต้องไปปิดไฟ เดินเข้าห้องนอน สมัยก่อนปิดไฟเสร็จวิ่งจู้ด ไปหาลูกบิด คว้าก็ไม่ค่อยถูกตอนที่มันกลัว คว้าผิดด้าน ประตูก็เปิดไม่ได้ก็ผลักอยู่นั่นแหละ แต่ ด้วยความที่ครูบาอาจารย์สอนเราแล้วนะ ก็คิด เราต้องตั้งสติให้มั่น ถามว่าตอนนี้ความกลัวยังมีไหม ก็ยังอาจจะมีบ้าง ต้องตั้งสติให้มั่น กำหนดรู้ให้ได้เลยว่าในความมืดมีอะไร ถ้าเรากลัวที่มืดเราคิดเลยว่า เวลาเราตายเราเป็นวิญญาณ

    แค่ประตูตรงนี้ไม่กี่ก้าวเอง ประมาณ 5-6 ก้าวเองของพี่ ถ้าเรากลัวจนตัวสั่น แล้วหลังตาย เราต้องเดินยาวกว่านั้น เราจะเดินได้ยังไง เราต้องเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนแล้วไม่กล้าไปไหน อยู่ตรงที่เดิม สัมภเวสีที่ไม่กล้าไปไหนเพราะเขามองไม่เห็นทาง แต่ ถ้าเราฝึกใจของเรามีพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องนำทาง เชื่อมั่นในพระพุทธองค์อย่างแน่วแน่นว่าท่านจะปกปักรักษาเราทุกที่ในบ้านของ เรา เราฝึกเช่นนี้ ต่อไปความกลัวในใจเราจะน้อยลง

    พี่เค้าถามว่า: บ้านใครไม่มีหิ้งพระ (ไม่มีใครไม่มี) มีกันทุกคนแต่ไม่มีใครไหว้พระในห้องพระเลย

    หิ่งห้อยพูดว่า: ห้องพระเสียงดัง เหมือนกับฝั่งตรงข้ามเขาเป็นบาร์ เบียร์ มันเสียงดัง

    พี่เค้าพูดว่า: ดี...เพราะถ้าต่อไปเราฝึกอย่างนั้นนะ ต่อไปสมาธิของเราจะแน่นยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด เหมือนที่ท่านอาจารย์เปิดเพลงแล้วสวดมนต์ เพราะฉะนั้นเราต้องหัด เราอย่าเดินหนีความเป็นจริง การที่เราเดินหนีความเป็นจริง เราก็จะเข้าไม่ถึงความเป็นจริง เพราะ ฉะนั้นเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน เราต้องทำในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น ถ้าเราไหว้พระบนที่นอน การไหว้พระของเราไม่ตั้งมั่น ไม่มีความตั้งมั่นและศักดิ์สิทธิ์เหมือนหน้าหิ้งพระ แต่ถ้าเรามีความจำเป็นที่จะต้องสวดมนต์ในห้องนอน เราต้องกำหนดภาพพระนั้นได้แล้ว ใจของเราต้องน้อมต่อพระพุทธเจ้าได้แล้วแน่นอน ถึงจะมีความศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้น

    เพราะว่าก่อนที่เราจะไหว้พระ เรานั่งให้ตัวตรง ยกมือขึ้นมาพนม หลับตาหรือไม่หลับตาก็ได้ คิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงความดีของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ตรัสรู้แล้วนำธรรมมาสั่งสอนเรา พอเราระลึกถึงพระพุทธองค์ เราน้อม จิตของเรากราบลงข้างหน้า ขอนอบน้อมบูชาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอ ลุกขึ้นมาเราขอนอบน้อมต่อพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องน้อมด้วยใจ พอครั้งที่ 3 ขอนอบน้อมต่อพระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลาย เพราะว่าท่าน เป็นพระอริยสงฆ์ที่ทำให้เรามีครูบาอาจารย์ที่ดี

    ถ้าไม่มีหลวงปู่ปาน ไม่มีหลวงพ่อ วันนี้เราก็จะไม่มีท่านอาจารย์มาให้ธรรมะกับเรา มาทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ พอเรากราบไป เรานึกถึงพระอริยสงฆ์ นึกถึงหลวงปู่ปาน นึกถึงหลวงพ่อ เพราะเรายังนึกถึงองค์อื่นๆ ไม่ได้ เราไม่รู้ว่าพระอริยสงฆ์ท่านทั้งหลาย ท่านมีความดียังไง เราก็นึกไม่ได้ ก็นึกได้แต่หลวงปู่ปานกับหลวงพ่อ เราก็ก้มไปกราบ ขณะที่เราก้มไปกราบเราต้องนึกถึงท่านอาจารย์เป็นที่สุด เพราะว่าท่านเป็นคนให้แสงสว่าง ให้ดวงธรรมแก่เรา

    เมื่อเรากราบลงไปแล้ว ลุกขึ้นมานั่งอย่างพึ่งรีบไหว้พระสวดมนต์ นั่งนิ่งๆ กำหนดภาพพระ แล้วค่อยกล่าวคำว่า อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจจะชามิ ก่อนที่จะเอ่ยคำว่าข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตนี้ แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะเอ่ย ต้องน้อมจิตของตัวเองจริงๆ เลยว่า ร่างกายของเรานี้จะน้อมถวายแด่พระพุทธองค์ จะถวายชีวิตจิตใจ แด่พระพุทธองค์ ตอนนี้ขณะนี้ที่เราจะไหว้พระ เมื่อเราน้อมไปแล้ว เราต้องมีจิตที่ตั้งมั่นต่อการสวดมนต์ไหว้พระ

    ถ้าเกิดเราไม่ตั้งมั่น การที่เราตั้งจิต ตั้งใจมอบกายถวายชีวิตจะไม่มีผลอะไร ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อะไรเกิดขึ้นกับมนต์ที่เราสวด ชีวิตของเราจะไม่ได้รับสิ่งที่ดี ที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก พอ เรา อิมาหัง ไปแล้ว เราจะเริ่มต้นโดย โยโส ภะคะวา ก่อนที่จะ โยโส ภะคะวา เข้าลมประมาณสัก 1-2 ลมก็ได้ กำหนดลมหายใจนิ่งๆ ช้าๆ พร้อมกำหนดภาพพระ ว่าตอนนี้เรากำลังจะบูชาพระรัตนตรัย เรากำลังจะบูชา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้า

    เราก็นึกอีกนึกถึงภาพพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรมคำสอนที่ท่านอาจารย์สอน ไม่ต้องไปนึกอย่างอื่น ไม่ต้องไปนึกถึงตู้พระไตรปิฎก เรานึกถึงเวลาที่ท่านอาจารย์ให้ธรรมะเรา นั่นคือพระธรรมคำสอน นึกถึงพระอริยสงฆ์เจ้า นึกถึงหลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน แล้วนึกถึงท่านอาจารย์เป็นที่สุดของเราเหมือนกัน แล้วถึงจะสวด โยโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทธโธ ขณะ ที่สวดที่พี่บอก ถ้าเราจำตัวมนต์ได้ จำลักษณะของตัวมนต์ได้หมด ขณะที่เราสวด โยโส ภะคะวา มนต์จะวิ่งผ่านตา พร้อมกับมนต์ที่เราสวดอยู่ในใจ จะวิ่งไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อเราสวดไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ สักวันหนึ่งกับการที่เราควบกับการทำสมาธิไม่ขาดเลยเหมือนกัน เราจะค่อยๆเห็นลมมาพร้อมกับคำสวดมนต์

    วิธีการนี้เหมือนกับการที่พี่สอนให้เดินจงกลม ลักษณะตอนแรก คือ กำหนดลมหายใจ นิ่งๆ สัก 3 ลมก่อน แล้วค่อยก้าวขวาหนึ่ง ซ้ายสอง ให้จิตรู้เฉพาะเท้าทำไปเรื่อยๆ จนถึงจุดจบ แล้วค่อยกำหนดลม รู้เฉพาะลม การที่เราทำอย่างนี้ มันไม่หนักจนเกินไป การ สวดมนต์ไหว้พระก็เหมือนกัน ที่พี่ให้ทำอย่างนี้เพราะจะไม่หนักจนเกินไปสำหรับเด็กๆทั้งหลาย จะสวดมนต์แล้วมีความสุข พอเราสวดมนต์จบบทที่หนึ่งคือ โยโส เราก็กำหนดลมนิ่งๆ กำหนดสัก 3 ลม แล้วเราก็ต่อด้วยบทสัพพัง

    ขณะที่เราสัพพัง เราต้องนึกถึงตัวมนต์ นึกถึงลักษณะของตัวมนต์ ให้มนต์วิ่งไป จนสัพพังทั้ง 3ครั้งจบ การที่เราสัพพัง อย่าสักแต่กราบ เมื่อเราขอขมาพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็สัพพังต่อพระธรรม จนไปถึงจบการขอขมาพระสงฆ์ เวลา เราจะสัพพังพระพุทธเจ้า เราต้องสัพพังด้วยใจ สิ่งใดที่ข้าพระพุทธเจ้าได้เคยกระทำล่วงเกินแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี แรกๆจะออกมาเป็นคำพูดที่เราพูดออกจากปาก แต่ถ้าเรามีจิตที่น้อมต่อพระพุทธองค์ที่เราต้องเคยทำผิดต่อพระพุทธองค์อย่าง แนวแน่น ถ้าเราน้อมไปอย่างนี้ สักวันหนึ่งการที่เรานอบน้อมอย่างนี้จะทำให้เราเข้าถึงการขอขมา จะเข้าถึงการทำผิดที่เราเคยกระทำต่อพระพุทธเจ้า แล้วเราจะมีความสำนึกผิดว่า เราเคยทำผิดมาหลายชาติแล้วนะ ต่อ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้า แต่นี้เป็นต้นไปเราจะไม่ทำผิดอีก เราจะมีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นในใจเรา เมื่อวันที่เราเข้าถึงในบทมนต์

    มาถึงบท อิติปิโส ก็เหมือนกัน จบสัพพัง ก่อนจะอิติปิโส ก็เหมือนกัน เข้าลมสัก 3 ลม แล้วค่อยเริ่ม นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ จบนะโม ตัสสะ ก็เข้าลมอีกสักลมหนึ่ง เพื่อที่จะขึ้น พุธธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    แล้วก็เข้าลมอีกสักลมหนึ่ง เพราะว่า อิติปิโส นั้นยาว ถ้าเราไม่เข้าลมสักลมหนึ่ง เวลาเราสวด เราจะเผลอใจลอยออกไปข้างนอก แต่ถ้าเราดึงตัวเองกลับมาที่ลม สติของเราก็จะเรียกกลับมา สติที่เราหายไปก็จะกลับมา พอ เริ่มต้น อิติปิโส อิติปิโสจะมี 3 บท มีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สวดพุทธคุณเสร็จให้เข้าลมสักลมหนึ่ง ธรรมคุณเสร็จก็ให้เข้าลมอีกสักลมหนึ่ง พอจบสังฆคุณ ก็เข้าลมอีกครั้ง เข้าลมคราวนี้เข้าลมยาวนิดนึงสัก 3 ลม
     
  4. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    คราวนี้บทต่อไปคือกราบผู้มีคุณ ทั้ง 7 ท่าน ขณะที่กราบ เราอย่าสักแต่กราบ อิมินา สักกาเรนะ พุธธัง ปูเชมิ แล้วก็กราบ อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง ปูเชมิ แล้วก็กราบ

    หิ่งห้อยได้ถามว่า: ต้องกราบด้วยหรอคะ

    พี่เค้าตอบว่า: ท่านอาจารย์บอกพี่ว่าต้องกราบ ที่เราต้องกราบเพราะใจเราจะมีความนอบน้อม ถ้าเราไม่กราบเราก็เหมือนนกแก้วนกขุนทอง คือเราท่องไปเรื่อย ถ้าเรากราบลงไปในคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระอริยสงฆ์เจ้า คุณของครูบาอาจารย์พี่ เอาคุณของครูบาอาจารย์มาไว้ด้านหน้าของบิดาและมารดา เพราะว่าเมื่อก่อนพี่ไม่รู้จักคุณของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ท่านทำให้เห็นคุณของบิดามารดา คุณของครูบาอาจารย์จึงมีมาก พี่จึงนำมาไว้ด้านหน้า พี่จึงต้องกราบ อาจาริยคุณัง ปูเชมิ มาเป็นอันดับที่ 4

    แล้วกราบพ่อแม่ เป็นอันดับที่ 5 เวลาจะกราบนึกถึงหน้าพ่อแม่ นึกถึงคุณของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่เราเกิด ท่านทำให้เราทุกอย่าง หาเงินให้เราไปโรงเรียน พาเราเข้าโรงเรียน จนปัจจุบันนี้เรายังเป็นภาระท่านอยู่ นึกถึงคุณตรงนี้ นึกถึงข้าวทุกเม็ดที่เรากิน มาจากแรงกาย แรงใจของพ่อแม่เราทั้งหมดทั้งสิ้น นึกถึงแล้วก็กราบ วัน แรกๆเราอาจไม่รู้สึกอะไร แต่พอเรากราบไปเรื่อยๆ เราจะรักท่าน สิ่งที่เราทำผิดต่อท่านเราอยากที่จะเลิก แล้วก็กราบผู้มีคุณของเรา นึกถึงใครที่เคยให้ความช่วยเหลือเราบ้าง ทั้งทางโลก และทางธรรม แล้วเราก็กราบบุคคลผู้นั้น แล้ว ก็กราบอันที่7 คือกราบเทวดา เทวดาสำหรับพี่ที่กราบคือ เทวดาผู้ที่นำพาข้าพระพุทธเจ้ามาได้รับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีท่านอาจารย์เป็นผู้สอน เพราะเทวดาองค์นี้มีความสำคัญกับพี่เป็นอย่างยิ่ง ถ้าเทวดาองค์นี้ไม่เปิดทาง พี่จะไม่มีทางได้มาเจอกับท่านอาจารย์ ดังนั้น เทวดาองค์นี้พี่จึงให้ความเคารพอย่างสูงที่สุดตั้งแต่วันแรก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังกราบอยู่ไม่เคยห่าง แล้วก็กราบเทวดาผู้เป็นเจ้าชะตา

    บทต่อไปก็คือกราบพระอรหันต์ทั้งแปดทิศ ก่อนที่เราจะสวดพระอรหันต์ทั้งแปดทิศ เหมือนเดิมคือ กำหนดลมหายใจสัก 3ลม พอกำหนดเสร็จค่อยเริ่ม ข้าพระพุทธเจ้าน้อมเกล้าสักการะ บูชา ต่อองค์พระอรหันต์ทั้งแปดทิศทุกๆพระองค์ องค์พระวิสุทธิเทพ พอ กล่าวคำเหล่านี้เสร็จ ก่อนจะเข้าบทสวด เข้าลมอีกสัก 1 ลมเพื่อเรียกสติให้กลับมาอยู่กับบทสวดมนต์ แล้วก็สวดไปเรื่อยๆ บทพระอรหันต์ทั้งแปดทิศก็ยาว พอเรารู้สึกใจเราไม่ได้จับที่ตัวมนต์แล้ว เราก็หยุดเข้าลม แต่ถ้ากลัวว่าหยุดแล้วต่อไม่ได้ ก็พยายามให้อยู่กับตัวมนต์ จนกระทั่งจบ แล้วก็เข้าลมอีกสักหนึ่งลม จากนั้นค่อยตั้งจิตอธิษฐาน

    พอจบจากบทนี้ เราก็ไปเริ่มบทชุมนุมเทวดา ก่อนจะเริ่มก็เข้าลมอีกสัก 3 ลม การที่เราทำอย่างนี้ จะทำให้เราจับลมได้เร็ว แต่ถ้าเราเข้าแค่ลมเดียว เราจะจับลมได้ช้า ถ้าเราเข้า 3 ลม จิตของเราจะเป็นสมาธิ มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา การที่เรารู้สึกตัวตลอดเวลาจะทำให้เราจับลมได้ง่าย ซึ่งมันจะมีประโยชน์

    แต่บางคนจะมีความรู้สึกว่ามันช้า มันช้าเหลือเกิน อยากให้มันเสร็จเร็วๆ คนที่มีความรู้สึกอย่างนี้พี่จะบอกไว้เลยว่าจะไม่มีความสำเร็จในการสวดมนต์ เป็นฌาน ถ้าเราทวนกระแส มันช้านะ แต่มันมีผลดี เหมือนพี่ที่เคยเล่าให้ฟังว่าการปฏิบัติแบบรีบๆเร่งๆแต่มันไม่ได้อะไร มันไม่ใช่รีบๆ เร่งๆ แล้วมันมีคุณค่า แต่มันไร้คุณค่าเลย

    แต่ถ้าเราทำอย่างนี้ ถึงแม้มันจะช้าในวันนี้ แต่จะเร็วในวันหลัง แล้วก็ดีด้วย ทำได้ดีเลย พอมาถึงชุมนุมเทวดาเสร็จ ก็ต่อด้วยบทสวดพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ก็ทำเหมือนเดิม พอก่อนที่จะขึ้นบทใหม่ทุกครั้ง ให้เราเข้าลม ถ้าบทไหนยาว ก็เว้นวรรคให้เข้าลมสักลมหนึ่ง พอก่อนจะ อิทัง ปุญญะ ผะลัง เราก็นั่งนิ่งๆ สักพักหนึ่ง เพื่อทำใจให้สงบ

    ถ้าเราไม่กล่าวคำสมาทานพระกรรมฐาน เราก็ตั้งจิตเหมือนมาเข้าพระกรรมฐาน คือ ข้าพเจ้าขอน้อมเกล้าสักการะต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลาย ครูบาอาจารย์เจ้าทั้งหลายที่สืบๆกันมา มีองค์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน และท่านอาจารย์เป็นที่สุด ข้าพเจ้าขอน้อมถวายการปฏิบัติ สมาธิ ภาวนานี้เพื่อน้อมบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลาย ครูบาอาจารย์เจ้าทั้งหลาย มีองค์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน และท่านอาจารย์เป็นที่สุด ขอได้โปรดเมตตา มาอนุโมทนาและเป็นสักขีพยาน ขอการปฏิบัติของข้าพเจ้านี้จงเป็นเหตุปัจจัยให้ข้าพเจ้านี้มีความเจริญทาง ธรรม ขอให้มีจิตใจสงบเยือกเย็น มีความตั้งมั่นในการประพฤติปฏิบัติ ในการบรรลุดวงตาเห็นธรรม พ้นทุกข์ทั้งปวง ขอให้ข้าพเจ้าเจริญด้วยสติสัมปัญชัญญะ รู้เห็นในความผิดของตัวเอง ขอให้ข้าพเจ้าเจริญในสติปัญญา รู้แจ้งในพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้บรรลุดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงพระอริยมรรค พระอริยผล และพระนิพพาน แล้วก็นั่งสมาธิ

    ถ้าเราไม่สมาทานพระกรรมฐานนะ เราใช้วิธีนี้ เมื่อเรานั่งสมาธิเสร็จ เราก็อุทิศส่วนกุศล เมื่อเราได้นั่งสมาธิมาแล้ว ก็จะเกิดจิตใจที่สงบ พอเรามาอุทิศส่วนกุศลเราก็อุทิศส่วนกุศลยาวเลยจนจบ แล้วถึงจะกราบลาพระ เวลา เรากราบลาพระ เริ่มต้นกราบแบบนอบน้อม ตอนหลังจวนจะเสร็จแล้วไม่ต้องรีบอีก 3 กราบก็จบแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าดีตอนต้น แล้วเสียตอนปลาย เมื่อดีตอนต้นแล้ว ตอนปลายจะต้องยิ่งดีกว่าตอนต้น ก่อนที่จะกราบลาต้องน้อมใจต่อพระพุทธองค์อย่างมีความสุขว่าวันนี้ได้เข้า เฝ้าพระพุทธเจ้า เป็นโอกาสอันดีของชีวิตเลยในวันนี้

    แล้วเราจะรู้เลยว่าการสวดมนต์ไหว้พระอย่างนี้จะแตกต่างกับการที่เราไหว้แบบ ที่ผ่านๆมา อย่างสิ้นเชิงแบบฟ้ากับเหว การที่เราสวดมนต์อย่างนี้ได้ การเรียนของเราจะดีขึ้น สมาธิของเราในการที่ฟังครูบาอาจารย์สอนในห้องเรียน จากเดิมที่เราเรียนแบบไม่มีความตั้งใจ ความตั้งใจของเราจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว เมื่อก่อนจากการที่ครูสอน 1 คาบ เราอาจจะจับอะไรไม่ได้มากเลย แต่พอเราทำอย่างนี้แล้วเราจะจับได้เยอะมากเลยที่ครูบาอาจารย์สอน

    เหมือนที่พี่จดธรรมะสมัยก่อน อาจารย์สอน 1 ชั่วโมง พี่ก็จดได้1- 2 หน้า หน้าครึ่งบ้าง สมุดเล็กๆสั้นๆด้วยนะ ไม่ใช่เล่มใหญ่ แต่เดียวนี้ท่านอาจารย์สอน พี่จดได้ถึง 8 หน้า ซึ่งมันต่างกัน ที่พี่จดได้เยอะเพราะใจของเราที่มีสมาธิจดจ่อในคำพูดของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์พูดไปแล้วนะแต่ยังอยู่ในหู และหัวเราเลย เราสามารถจดได้ เราจดอันนั้นไปเสร็จ ก็สามารถรับอันใหม่ที่ท่านอาจารย์พูดได้ มันเหมือนมีmemory สามารถประติประต่อธรรมะได้ถึงแม้ว่ามันจะขาด โดยไม่ผิดเพี้ยน ดังนั้นลองไปทำดู แล้วจะได้ผล ถ้าทุกคนหวังว่าจะเรียนเก่ง เอนซ์ติด ไม่ต้องมีติวเตอร์มาก ให้ทุกคนลองกลับไปทำดูว่าจะได้ผลจริงอย่างที่บอกไหม

    ขอขอบพระคุณ ...

    ที่มา : http://www.okasinung.com/ชมรมหิ่งห้อย/การสวดมนต์เป็นฌาน.html
     
  5. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    ครั้งนี้ ผมใคร่ขออนุญาตนำเสนอในเรื่อง “การสวดมนต์เป็นฌาน” ตาม แนวทางที่ท่านอาจารย์ขจรสอนและผมได้นำไปประพฤติปฏิบัติอยู่ เพื่อให้ท่านผู้อ่านบางท่านที่ยังมีความสงสัยอยู่ มีความปรารถนาอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร? สวดอย่างไร? สวดแล้วจะได้อะไร?.... โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติธรรม และเพื่อให้ท่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันของเราได้อย่าง มีความสุข…..



    เรื่อง ของการสวดมนต์เป็นฌานนั้น บางท่านอาจจะเพิ่งเคยได้ยิน แต่ไม่เป็นไรครับ.... ก่อนอื่นเราจึงต้องทำความเข้าใจกับความหมายของคำว่า “การสวดมนต์เป็นฌาน” เสียก่อน..... ฌาน แปลว่า เพ่ง.... การ เพ่งก็คือ การที่เราจดจ่อเป็นสมาธิ เหมือนเราที่เรากำลังตั้งใจอ่านบทความนี้อยู่ ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่ โดยที่เราไม่ไปคิดเรื่องอื่นเลยในขณะนั้นๆ ดังนั้น การ สวดมนต์เป็นฌาน ก็คือ การสวดมนต์เป็นสมาธิ โดยที่เราไม่ไปคิดเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าเรื่องงาน หรือเรื่องอะไรก็ตามในเรากำลังสวดมนต์อยู่นั่นเอง......



    หลักการของการสวดมนต์เป็นฌานนั้น ได้แก่…..



    1. ท่านจะต้องท่องจำ และจดจำตัวมนต์ที่เป็นภาษาบาลีในบทนั้นๆ ให้ได้ทุกถ้อยคำอย่างไม่ผิดเพี้ยน….. นั่น แปลว่า ท่านจะต้องท่องจำ โดยต้องพยายามจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เดี๋ยวท่านก็จำได้เอง แต่ท่านไม่ต้องไปตั้งความอยากว่า จะต้องท่องให้ได้ภายในเวลานั้นเวลานี้นะครับ บางคนอาจจำได้ภายใน 1 เดือน แต่บางคนท่องมา 3 ปีก็ยังจำไม่ได้เลย! คนอื่นเขาไม่เกี่ยวกับเราครับ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใครเขาหรอก... เพราะจะทำให้เราเกิดความกังวลและหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัว เกิดความฟุ้งซ่าน หรือที่เรียกว่า “เกิดนิวรณ์” นั่นเอง เป็นผลทำให้ใจของเราไม่สงบ และไม่อยากจะท่องต่อไปครับ!!!



    2. ท่านจะต้องสวดมนต์ตามข้อ 1 ภายในใจเท่านั้น โดยไม่ต้องอ่านออกเสียงดัง ขณะที่ท่านสวดอยู่ ก็หลับตานิ่ง พร้อมทั้งนึกถึงตัวมนต์ให้ได้ทุกถ้อยคำทุกตัวอักษรไปในขณะเดียวกัน ใช้เวลาไม่นานหรอกครับ ท่านก็จะเห็นตัวอักษรวิ่งออกมาเองในขณะที่ท่านหลับตาสวดมนต์บทนั้นๆ อยู่ครับ.....

    3. ท่านจะต้องสวดมนต์ พร้อมกับที่ท่านจะต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออกไปในคราวเดียวกันด้วย (อันนี้ไม่ง่ายครับ แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ครับ!) ถ้าเราสร้างกำลังใจบอกกับตัวเองว่า เราจะต้องพยายามทำให้ได้ โดยอย่าเพิ่งไปรู้ก่อนว่า ทำแล้วจะได้อะไร ท่านจะต้องทำให้ได้ก่อน แล้วท่านจะทราบด้วยตัวของท่านเองว่า มีความมหัศจรรย์มากขนาดไหน!!!....



    4. ท่านจะต้องหมั่นฝึกฝนปฏิบัติด้วยตัวของท่านเองนะครับ และท่านอาจารย์ก็ย้ำอยู่เสมอว่า ท่านจะต้องกระทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน อย่าขี้เกียจหรือผัดวันประกันพรุ่งนะครับ!!!



    จากหลักการทั้ง 4 ข้อข้างต้นนั้น.... เราสามารถแยกออกได้เป็น 2 กรณีง่ายๆ คือ การท่องจำตัวมนต์ กับ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก (อานาปานุสสติกรรมฐาน) เท่านั้น….



    อนึ่ง.... บางท่านก็สวดมนต์เป็นประจำอยู่แล้ว โดยคุ้นเคยกับการสวดมนต์ออกเสียงดัง โดยเข้าใจผิดคิดว่า ยิ่งสวดดังมากเท่าไหร่ เสียงที่ดังนั้นจะดังไปถึงสวรรค์ เพื่อให้พระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ยิน!!!.... แต่ บางท่านก็สวดมนต์ในใจ โดยการเปิดหนังสือดู (ระยะแรกที่กำลังท่องตัวมนต์อยู่ ก็คงต้องเปิดหนังสือดูไปก่อน จนกว่าจะท่องจำได้ครับ).... แต่บางท่านก็สามารถสวดมนต์ได้โดยที่ไม่ต้องเปิดหนังสือดู.....



    ท่านอาจารย์สอนว่า..... “บท สวดมนต์ใดๆ ก็ตามที่เป็นบทสวดมนต์ของพระพุทธเจ้านั้น ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของบทนั้นๆ อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับ....ความบริสุทธิ์ใจของคนที่สวดต่างหาก”



    จากประสบการณ์การฝึกปฏิบัติธรรมของท่านอาจารย์ขจรเอง ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีเต็มที่ผ่านมานั้น ท่านอาจารย์จะสวดมนต์ตามบทต่างๆ ในหนังสือสวดมนต์เล่มสีเหลือง (หน้าปกเป็นรูปพระพุทธชินราช และแจกให้กับท่านที่สนใจฟรี โดยไม่คิดมูลค่า)... ท่านอาจารย์บอกว่า... หนังสือสวดมนต์เล่มสีเหลือง เป็นหนังสือสวดมนต์สำหรับฆราวาสอย่างพวกเราที่ยังต้องทำมาหากินอยู่ มีความศักดิ์สิทธิ์มาก....



    ท่านได้เรียบเรียงมาจากครูบาอาจารย์ต่างๆ.... โดยท่านได้เรียงลำดับการสวดมนต์ของท่าน ดังนี้…..

    1. เริ่มต้นด้วย... “อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจจชามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้า ทั้งหลายขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”…..ซึ่งข้อความนี้ก็มีปรากฎอยู่บนหน้าปกสีเหลืองครับ….



    2. บทบูชาพระรัตนตรัย (ขึ้นต้นด้วย..... โยโส ฯ อยู่หน้าที่ 8-9)

    บทนี้เราไม่ต้องสวดคำแปลเป็นภาษาไทยนะครับ….



    3. บทขอขมาพระรัตนตรัย (ขึ้นต้นด้วย.....สัพพังฯ อยู่หน้าที่ 10-11)

    บทนี้ต้องสวดทั้งภาษาบาลีและคำแปลภาษาไทยครับ)....



    4. บทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ....

    (ขึ้นต้นด้วย.....อิติปิโส ฯ อยู่หน้าที่ 12-13)



    5. บทบูชาผู้มีคุณ (ขึ้นต้นด้วย.....อิมินา ฯ อยู่หน้าที่ 15)



    6. บทบูชาพระอรหันต์แปดทิศ (ขึ้นต้นด้วย.....สัมพุทโธฯ อยู่หน้าที่ 14-15)

    บทนี้เราสวดตามหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาบาลีครับ….



    7. บทบูชาชุมนุมเทวดา (ขึ้นต้นด้วย.....สะรัชชัง ฯ..อยู่หน้าที่ 16-17)

    บทนี้เราสวดตามหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาบาลีครับ….



    8. บทบูชาพระโพธิสัตว์ (ขึ้นต้นด้วย.....นำโมไต่ซือฯ ..อยู่หน้าที่ 18)

    บทนี้เราสวดตามหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาบาลีครับ….



    9. บทคาถากะระณียะเมตตะสุตตัง (ขึ้นต้นด้วย.....เมตตัญจะฯ..อยู่หน้าที่ 24

    บทนี้เราสวดตามหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาบาลีครับ สวดก่อนออกจากบ้านทุกวันและในกรณีที่ไปค้างแรมต่างจังหวัดตามสถานที่ต่างๆ ครับ



    10. บทแผ่เมตตา (ขึ้นต้นด้วย.....สัพเพฯ อยู่หน้าที่ 20)

    บทนี้เราสวดตามหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาบาลีครับ….



    11. บทอุทิศส่วนกุศล (ขึ้นต้นด้วย.....อิทัง อยู่หน้าที่ 21)

    บทนี้เราสวดตามหนังสือทั้งภาษาบาลีและภาษาไทยครับ….



    เมื่อ ท่านท่องจำตัวมนต์ทั้ง 11 บท ดังกล่าวได้แล้ว ก็จะเป็นการง่ายในการสวดมนต์เป็นสมาธิ โดยสวดมนต์ไปพร้อมกับการกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออกครับ….



    สำหรับ ท่านที่ยังที่มีฐานะความเป็นอยู่ที่ยังขัดสนอยู่ ท่านก็สามารถตั้งจิตอธิษฐานขอถวายปัจจัยตามกำลังทรัพย์ที่มีอยู่ โดยใช้บทสวดมนต์ตามหน้า 27 แต่ต้องสวดมนต์เป็นฌานนะครับ ท่านอาจารย์ยังแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า...ทุกครั้งก่อนที่นำเงินเข้าหรือออก จากกระเป๋าสตางค์ของท่านเอง ให้ท่อง “มิเตพาหุหะติ” (คาถาเงินล้าน) ในใจ 3 ครั้ง จากนั้นจึงหยิบเงินเข้าออกตามอัธยาศัยครับ....คาถานี้ใช้ได้ผลมาหลายท่าน แล้ว เงินทองเขาเหล่านั้นไม่เคยขาดจากกระเป๋าสตางค์เลยครับ!!! แต่ต้องอย่าตั้ง “ความอยาก” ไว้ล่วงหน้าก่อนนะครับ!!!...... (อันนี้เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลนะครับ....แต่อย่าถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระ...ไม่ลองดู ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันครับ)



    เคล็ดลับอย่างง่ายๆ ของการสวดมนต์ พร้อมทั้งการกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออกนั้น ได้แก่



    1. ให้เอา “จิต” มาไว้ที่ปลายจมูก เฝ้ามองดูลมหายใจเข้า-ออก แต่ละคนจะมีอัตราการหายใจเข้าออกที่ไม่เหมือนกัน…



    2. ท่านต้องอย่าบังคับลมหายใจที่ไหลผ่านเข้า-ออกที่ปลายจมูกของท่านนั้น ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อลมหายใจผ่านเข้าที่ปลายจมูก-เราก็รู้.... เมื่อลมหายใจผ่านออกที่ ปลายจมูก-เราก็รู้ ต้องพยายามตัดความกังวลทั้งหลายทั้งปวง ทุกครั้งที่จะกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก (เพื่อสร้างสมาธินั้น) ท่านจะต้อง “ไล่ลมหยาบ” ออก เสียก่อน ด้วยการสูดลมหายใจเข้าให้ลึกๆ แล้วกลั้นไว้ 2-3 วินาที จากนั้นจึงค่อยๆ หายใจออกตามธรรมดาจนลมหายใจได้ไหลออกจนหมด ให้ท่านทำอย่างนี้สัก 3-5 ครั้งก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เนื้อปอดของเราได้มีการขยายตัวอย่างเต็มที่นั่นเอง....



    3.. ขณะ ที่กำลังกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่นั้น หากเกิดอาการผิดปกติใดๆ ขึ้น เช่น รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เกร็งลมหายใจ หายใจลำบาก หรืออื่นๆ ขึ้น ผมขอแนะนำว่าให้หยุดกำหนดรู้ลมหายใจและเลิกสวดมนต์ชั่วคราว ผ่อนคลายจิตใจและอารมณ์ของเราด้วยการไปทำอย่างอื่นก่อน เช่น ออกไปเดินเล่น ดู TV ฟัง เพลงเบาๆ แล้วแต่ท่านจะเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม... เมื่อร่างกายท่านกลับสู่สภาวะปกติแล้ว จึงค่อยกลับมาสวดมนต์และกำหนดรู้ลมหายใจต่อไปใหม่ครับ....



    4. ขณะ ที่สวดมนต์อยู่นั้น ใหม่ๆ ผมขอแนะนำให้ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือของท่านเสียก่อน หรือนำไปฝากให้บุคคลอื่นให้รับโทรศัพท์แทนท่านชั่วคราว จนกว่าท่านจะสวดมนต์เสร็จ ท่านจะได้มีสมาธิในการสวดมนต์เป็นฌานครับ….



    การสวดมนต์เป็นฌาน จะยังประโยชน์ให้แก่บุคคลที่ตั้งใจฝีกได้อย่างมากมายมหาศาล สุดคณานับ (ไม่ลองทำดูเอง ไม่ทราบหรอกครับ!!!) อาทิเช่น…..



    1. การสวดมนต์เช้าเย็น เป็นการเจริญความดีอย่างหนึ่ง เปรียบเสมือนหนึ่งว่า...เราได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเช้าเย็น และยังเป็นเคล็ดลับอันชาญฉลาดของครูบาอาจารย์ที่สอนให้เราทำจิตของเราให้ผูก อยู่กับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์เจ้า... จะทำให้เรามีโอกาสบรรลุธรรมหรือการเข้าถึงตามความเป็นจริงได้ง่าย แม้ว่าความเป็นจริงนั้นๆ เราจะแก้ไขไม่ได้ก็ตาม….



    2. คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ว่า การสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เช้าเย็น จะช่วยสร้างจิตของตนเองให้มีพลังอำนาจ ใจสงบ สุขภาพจิตดี….เป็นยันต์คุ้มภัยประจำตัวมากกว่าจะเป็นยันต์ประจำบ้าน “เป็นยันต์ประจำใจ” ช่วยป้องกันตัวเราเองให้พ้นจากเภทภัยทั้งหลายได้ (โดยเฉพาะบทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ คือ บทอิติปิโสฯ นั่นเอง) นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการเจรจาธุรกิจต่างๆ กับลูกค้า (โดยการนึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เราชอบ) แม้กระทั่งนักเรียน นักศึกษายังสามารถนำไปใช้ในการเรียนหนังสือ ช่วยให้ไม่เกิดความสับสน เพราะมีสมาธิคอยกำกับอยู่.....



    3. เมื่อจิตของเราผูกกับลมหายใจ รู้ลมเข้าออกตลอดเวลา จนเป็นเอกัตคารมณ์ (เป็นหนึ่งเดียวแล้ว) เราจะเกิด “สมาธิ” ที่แนบแน่น เราจะไม่วุ่นวายกับเรื่องอื่นๆ จิตผู้รู้จะเกิดขึ้น มีสติสัมปชัญญะในการตรึกตรองและพิจารณาให้เรารู้ว่า อะไรผิด? อะไรถูก? จะช่วยให้เราสามารถชำระล้างกิเลส (รัก โลภ โกรธ หลง) ในตัวเราเราท่านท่าน ลดตัณหาต่างๆ ที่มีอยู่ให้เบาบางลงได้…..



    4. เมื่อจิตของเราผูกอยู่กับพระพุทธเจ้าจนเป็นกิจวัตร นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ (ที่เรียกว่า ปฏิบัติ “พุทธานุสสติกรรมฐาน”) จิตของเราจะตั้งอยู่ในส่วนของกุศล หรือที่เรียกว่า “กุศลาธรรมา” จนเป็นอนุสัยหรือสัญญาแล้ว หากมีอันเมื่อถึงเวลาต้องจากโลกนี้ไป ภพภูมิใหม่ของเราย่อมสู่สุคติ โอกาสจะลงอบายฯ แทบจะไม่มี ดังที่หลวงพ่อฯ และท่านอาจารย์สอนอยู่เสมอว่า... ผู้ใดที่ ตายด้วยจิตที่สงบ ย่อมไปสู่สุคติ แต่หากตายด้วยจิตที่ไม่สงบ เร่าร้อน อาฆาต พยาบาท ปล่อยวางความตายไม่ได้แล้วไซร์ จิตผู้นั้นย่อมไปสู่ทุคติอย่างแน่นอน.....



    5. เมื่อ เกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น เช่น ลูกอ่อนร้องไห้กระจองอแง การเจ็บไข้ได้ป่วยของตัวเรา นึกแก้ไขปัญหาเรื่องงาน หาทางออกไม่ได้ เป็นต้น... การเข้าห้องพระสวดมนต์ไหว้พระ พยายามทำใจของเราให้สงบ ทำใจให้สงบ แล้วอธิษฐานขอพรจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ลูกเล็กๆ ของเราหายจากอาการงอแง หายจากอาการไม่สบายได้ และยังอาจช่วยบรรเทาอาการที่เราเจ็บป่วยเองโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือที่เรียกว่า “เป็นธรรมโอสถ”.... ทำให้เราเกิดสติสัมปชัญญะสามารถหาทางออกในแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ (ถ้าปัญหานั้นๆ ไม่ร้ายแรงมากนัก ไม่เกินวิสัย ไม่เหลือบ่ากว่าแรง และไม่เกินกว่ากฎแห่งกรรมแล้ว)... บ่อยครั้งที่เรามักพบว่า ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นคลี่คลายอันตรธานหายไปได้เอง.... ฯลฯ



    บทความ “การสวดมนต์เป็นฌาน” นี้ ผมเองพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะนำสิ่งที่ท่านอาจารย์ได้เมตตาทุ่มเททั้ง แรงกายและแรงใจ โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย แม้แต่ในยามที่ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย... ท่านสอนผมและเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายให้ได้รู้แจ้งเห็นจริง...ท่านพูดอยู่เสมอ ว่า.... ตายแล้วยังไม่จบ! หลังตายมีจริง! ท่านได้พิสูจน์มาแล้ว ถ้าพวกเราอยากรู้ว่า มีจริงไหม? ให้ปฏิบัติตามท่านอย่างโง่ๆ ไปก่อน... แต่ต้องทำจริง ทำให้ถูก ทำให้พอดี และ ท่านยังต้องการให้พวกเรารู้ให้ได้ก่อนตาย อย่าตายแล้วจึงรู้ เพราะเราแก้ไขไม่ได้แล้ว!... เราเคยมามืด ตอนนี้สว่างแล้ว อย่ากลับไปมืดอีกอย่างเด็ดขาด.... เมื่อมองเห็นความผิดของตนที่ผ่านมา อย่ากลับไปทำอีก..... และยังมีคำสอนที่ทรงคุณค่าอีกมากมาย.... มานำเสนอและถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ.....



    ดัง นั้น หากมีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องประการใดแล้ว ผมขอยินดีน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่ความดีที่จะบังเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดก็ตาม ผมขอน้อมบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านอาจารย์ขจรสืบไป.....

    ที่มา : http://www.sripiboon.com/article-th...+ตอนที่+3++:+เรื่อง....การสวดมนต์เป็นฌาน.html
     
  6. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    ยินดี สาธุครับ ผมเพิ่งทำมาได้สองสามวัน มีผลดีขึ้นจริง ๆ ครับ
     
  7. testykhun

    testykhun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +90
    เป็นไงบ้างครับ เล่าอาการให้ฟังกันหน่อย แบ่งปันเป็นธรรมทานครับ
     
  8. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    จิตจดจ่อได้มากขึ้น เป็นการฝึกสติอีกวิธีหนึ่งที่ดีและไม่เสียเวลาเปล่าครับ ปกติจะสวดไปเรื่อย ๆ สติจะล่องลอย แต่พอกำหนดเห็นอักษรด้วยแล้วสตินิ่งมากขึ้นเห็นได้ชัดครับ

    อีกอย่างหนึ่ง เสียงสวดจะปรับให้อยู่นระดับปกติโดยอัตโนมัติ เสียงจะเพราะขึ้นครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...