การให้ลูกและภรรยาเป็นทานของพระเวสสันดร ชอบธรมหรือไม่

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 28 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ทานของพระเวสสันดร
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" border=0>

    “ ข้าแต่พระนาคเสน พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
    ย่อมให้บุตรภรรยาเป็นทานเหมือนกันหมดหรือ หรือให้เฉพาะพระเวสสันดรเท่านั้น ”
    “ ขอถวายพระพร เหมือนกันหมด ไม่เฉพาะแต่พระเวสสันดร ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ให้ทานบุตรและภรรยาเหมือนกันหมด ก็ขอถามว่าให้ด้วยความยินยอมของบุตรภรรยาเหล่านั้นหรือไม่ ? ”
    “ ขอถวายพระพร สำหรับภรรยานั้นยินยอม แต่ว่าบุตรนั้นยังเป็นทารกอยู่ ก็ร้องไห้เพราะยังไม่รู้จักอะไร ถ้ารู้ความดีแล้วก็ยินดีตาม ไม่ร้องไห้รำพันเช่นนั้น ”

    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]คำถามที่กระทำได้ยาก ๗ ข้อ [/color]</CENTER>
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
    “ ข้าแต่พระนาคเสน การที่พระโพธิสัตว์ได้ให้บุตรอันเป็นที่รักของตน เพื่อไปเป็นทาสพราหมณ์ เป็นการกระทำได้ยาก ข้อที่ ๑
    การที่พระโพธิสัตว์ได้เห็นพราหมณ์ผูกมัดพระเจ้าลูกทั้งสอง ด้วยเครือไม้แล้วเฆี่ยนตีไป แต่ทรงเฉยอยู่ได้นั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๒
    การที่พระโพธิสัตว์ได้ยกพระเจ้าลูกทั้งสองที่สลัดเครื่องผูกให้หลุดออก แล้ววิ่งกลับไปหาพระองค์อีกนั้น พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้พราหมณ์ ผูกมัดไปด้วยเครือไม้อีก เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๓
    การที่พระโพธิสัตว์ทรงได้ยินเสียงพระเจ้าลูกทั้งสองร่ำร้องไห้ว่า “ พราหมณ์ นี้เป็นยักษ์จะนำหม่อมฉันทั้งสองไปกินเสีย ” ก็ทรงเฉยอยู่ไม่ทรงปลอบโยนว่า “ อย่ากลัวเลยลูกเอ๋ย ” อันนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๔
    การที่พระชาลีกุมาร ได้หมอบกราบลงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่พระบาทว่า “ ขอให้พระน้องนางกัณหากลับมาอยู่กับพระองค์เถิด หม่อมฉันผู้เดียวจะไปกับยักษ์ ยักษ์จะกินหรืออย่างไรก็ช่าง ” แต่พระเวสสันดรไม่ทรงรับคำอ้อนวอนอันนี้ ข้อนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๕
    เมื่อพระชาลีกุมารร้องไห้คร่ำครวญว่า “ ข้าแต่พระบิดา พระหทัยของพระองค์ช่างแข็งกระด้างแผ่นศิลา เมื่อข้าพระองค์ทั้งสองกำลังได้ทุกข์ พระองค์ยังเพิกเฉยอยู่ได้ พระองค์ไม่ทรงห้ามยักษ์ ที่จักนำหม่อมฉันทั้งสองไปในป่าใหญ่ อันไม่มีมนุษย์นี้เลย ” ดังนี้ พระเวสสันดรก็ไม่ทรงกรุณา อันนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่ ๖
    เมื่อพระเจ้าลูกทั้งสองร้องไห้ด้วยเสียงอันน่าสยดสยอง จนลับคลองพระเนตรไป แต่พระหฤทัยของพระเวสสันดร ซึ่งควรจะแตกออกเป็นร้อยเสี่ยง พันเสี่ยง ก็ไม่แตก ข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๗
    พระนาคเสนเฉลยว่า
    “ ขอถวายพระพร เพราะเหตุที่พระเวสสันดร ได้กระทำสิ่งที่ทำได้ยาก จึงมีเสียงสรรเสริญทั่วหมื่นโลกธาตุ เหล่าเทพเจ้า อสูร ครุฑ นาค พระอินทร์ v ยักษ์ ต่างก็สรรเสริญ อยู่ในที่อยู่ของตน ๆ กลองทิพย์ก็บันลือขึ้นเอง จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังมีผู้คิดกันอยู่ว่า ทานของพระเวสสันดรนั้น ดีหรือไม่ดี
    กิตติศัพท์อันนั้นย่อมแสดงให้เห็นคุณ ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์ ผู้มีสติปัญญาละเอียด ผู้รู้แจ้งในคุณ ๑๐ ประการนั้น

    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]คุณ ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์ [/color]</CENTER>
    ๑. ความไม่ติดอยู่ในของรักของชอบใจ
    ๒. ความไม่อาลัยเกี่ยวข้อง
    ๓. ความสละ
    ๔. ความปล่อย
    ๕. ความไม่หวนคิดกลับกลอก
    ๖. ความละเอียด
    ๗. ความเป็นใหญ่
    ๘. ความเป็นของรู้ตามได้ยาก
    ๙. ความเป็นของได้ยาก
    ๑๐. ความเป็นของไม่มีใครเสมอ ”
    “ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลเหล่าใด ทำผู้อื่นให้เป็นทุกข์ด้วยการให้ทาน ทานของบุคคลเหล่านั้นจะให้ผลเป็นสุข จะทำให้ไปเกิดในสวรรค์ไดมีอยู่หรือ? ”
    “ มีอยู่มหาบพิตร ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอจงแสดงเหตุการณ์เปรียบเทียบ ”
    “ ขอถวายพระพร ถ้ามีสมณะหรือพราหมณ์ผู้มีศีลธรรมอันดี เป็นโรคมีร่างกายตายไปแถบหนึ่ง หรือเป็นโรคง่อยเปลี้ยหรือหรือเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งเดินไม่ได้ มีผู้อยากได้บุญคนใดคนหนึ่ง ยกสมณพราหมณ์นั้นขึ้นสู่ยานพาหนะ นำไปส่งให้ถึงที่ประสงค์ บุคคลผู้นั้นจะได้ผลเป็นสุข ได้ไปบังเกิดในสวรรค์หรือไม่ ? ”
    “ ได้ไปเกิดทีเดียว พระผู้เป็นเจ้า อย่าว่าแต่ยานทิพย์เลย ถึงผู้นั้นจะเกิดในที่ใด ก็จะได้ยานพาหนะสมควรแก่ที่นั้น ๆ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้ยานช้าง ยานม้า ยานรถ ยานทางบก ยานทางน้ำ เมื่อเกิดในสวรรค์ก็จะได้ยานทิพย์ ความสุขจักต้องเกิดแก่เขาตามสมควรแก่ชาติกำเนิด ชาติสุดท้ายเขาก็จักได้ขึ้นยานฤทธิ์ ไปถึงเมืองพระนิพพานเป็นแน่ ”
    “ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นทานที่ให้ด้วยทำให้เกิดทุกข์แก่ผู้อื่นก็มีผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ได้ พระเวสสันดรทำให้พระเจ้าลูกทั้งสองต้องเป็นทุกข์ ด้วยการผูกมัดด้วยเถาวัลย์ ก็จะได้สุขเหมือนอย่างนั้น
    แต่ขอมหาบพิตรจงทรงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก เพื่อให้เห็นว่าการให้ทานด้วย การทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ก็มีผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ได้ คือ
    พระราชาที่เก็บพลีกรรม ( ส่วย ) โดยชอบธรรม มาทรงบริจาคทานตามอำนาจนั้นมีอยู่ พระราชานั้นจะได้ความสุข อันเกิดจากการทรงให้ทานนั้นบ้างหรือ ทานนั้นจักทำให้ไปเกิดในสวรรค์ได้หรือไม่ ? ”
    “ได้ พระผู้เป็นเจ้า พระราชานั้นจักต้องได้ รับผลแห่งทานนั้นหลายแสนเท่า จักได้เกิดเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา จักได้เกิดเป็นเทวดายิ่งกว่าพระราชา จักได้เกิดเป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา เกิดเป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม เกิดเป็นพราหมณ์ยิ่งกว่าพราหมณ์ เกิดเป็นพระอรหันต์ยิ่งกว่าพระอรหันต์เป็นแน่ ”
    “ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นทานที่ให้ด้วยการทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ ก็ต้องมีผลเป็นสุขต้องให้เกิดในสวรรค์ได้ เพราะพระราชาทรงบีบคั้นประชาชนมาให้ทาน ยังได้เสวยยศและสุขอย่างนั้นได้ ”

    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]อติทาน [/color]</CENTER>
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
    “ ข้าแต่พระนาคเสน ทานที่พระเวสสันดร ทรงกระทำนั้นเป็นอติทาน คือเป็นทานอย่างยิ่ง เพราะพระเวสสันดรได้ทรงให้ทานพระอัครมเหสีของพระองค์ เพื่อไปเป็นภรรยาของผู้อื่น ทรงให้ทานพระเจ้าลูกทั้งสอง เพื่อให้ไปเป็นทาสของพราหมณ์
    ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อันธรรมดาการให้ทานเกินไป ผู้รู้ทั้งหลายในโลกก็ตำหนิติเตียน เปรียบเหมือนเกวียนที่บรรทุกหนักเกินไปเพลาเกวียนก็หัก เรือบรรทุกหนักเกินไปก็จมอาหารที่กินมากเกินไปก็ไม่ย่อย ข้าวในนาเมื่อฝนตกมากเกินไปก็เสีย การให้ทานเกินไปสิ้นทรัพย์ แดดร้อนเกินไปในแผ่นดินก็ร้อน รักเกินไปก็บ้า โกรธเกินไปก็มีโทษ
    หลงเกินไปก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ โลภเกินไปก็ทำให้ลักขโมย พูดมากเกินไปก็พลาด น้ำเต็มฝั่งเกินไปก็ล้น ลมแรงเกินไปสายฟ้าก็ตก ไฟร้อนเกินไปน้ำก็ล้น เอาใจใส่ต่อการเรียนเกินไปก็บ้า กล้าเกินไปก็ตายเร็ว ฉะนั้น ข้าแต่พระนาคเสน พระเวสสันดรให้ทานเกินไป ก็ไม่มีผล ”
    พระนาคเสนถวายวิสัชนาว่า
    “ขอถวายพระพร อติทาน คือทานอันยิ่งเป็นของผู้รู้ทั้งหลายในโลกสรรเสริญ พวกใดให้ทานเป็นเช่นนั้นได้ พวกนั้นย่อมได้รับความสรรเสริญในโลก คนปล้ำย่อมทำให้คนปล้ำ อีกฝ่ายหนึ่งล้มลงด้วยกำลังแรงกว่า แผ่นดินย่อมทรงไว้ได้ซึ่งคนและสัตว์ ภูเขา ต้นไม้ ทั้งหลาย เพราะแผ่นดินเป็นของใหญ่ยิ่ง
    มหาสมุทรไม่รู้จักเต็ม เพราะมหาสมุทรเป็นของใหญ่ยิ่ง เขาสิเนรุไม่รู้จักหวั่นไหว เพราะเขาสิเนรุเป็นของหนักยิ่ง อากาศไม่มีที่สุดเพราะอากาศเป็นของกว้างยิ่ง ดวงอาทิตย์จำกัดเมฆหมอกเสียได้ เพราะรัศมียิ่ง ราชสีห์ไม่มีความกลัว เพราะมีชาติกำเนิดยิ่ง แก้วมณีให้ความสำเร็จปรารถนาทั้งปวง เพราะเป็นของคุณยิ่ง
    พระราชาย่อมเป็นใหญ่ เพราะเป็นผู้มีบุญยิ่ง ไฟย่อมเผาสิ่งทั้งปวงได้ เพราะมีความร้อนยิ่ง เพชรย่อมเจาะแก้วมณี แก้วมุกดาแก้วผลึกได้ เพราะเป็นของแข็งอย่ายิ่ง เทพยดา มนุษย์ ยักษ์ อสูร ทั้งหลาย ย่อมหมอบกราบภิกษุ เพราะมีศีลยิ่ง พระพุทธเจ้าไม่มีผู้เปรียบเพราะเป็นผู้วิเศษยิ่ง
    ข้อความเหล่านี้ฉันใด ทานอันยิ่งก็เป็นที่สรรเสริญของผู้รู้ทั้งหลายฉันนั้น
    ทานอันยิ่งของพระเวสสันดรนั้น มีผู้สรรเสริญทั่วหมื่นโลกธาตุ เพราะทานอันยิ่งนั่นแหละ พระเวสสันดรจึงได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้ล้ำเลิศใน มนุษยโลก เทวโลก ขอถวายพระพรทานที่ไม่ควรให้มีอยู่หรือ ? ”
    “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ทานที่ไม่ควรให้นั้นมีอยู่ ๑๐ อย่าง ผู้ใดให้ทานเหล่านั้น ผู้นั้นก็ไปสู่อบาย มีดังนี้

    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]ทาน ๑๐ อย่างที่ไม่ควรให้ [/color]</CENTER>
    ๑. หญิงให้เมถุนธรรมเป็นทาน
    ๒. ปล่อยโคตัวผู้เข้าไปในฝูงแม่โคเพื่อเมถุนธรรม
    ๓. ให้น้ำเมา คือสุราเมรัยเป็นทาน
    ๔. ให้รูปเขียน อันประกอบด้วยเมถุนธรรมเป็นทาน
    ๕. ให้ศาตราวุธเป็นทาน
    ๖. ให้ยาพิษเป็นทาน
    ๗. ให้โซ่ตรวน ขื่อคา เป็นทาน
    ๘. ให้ไก่เพื่อให้เขาไปฆ่า
    ๙. ให้สุกรเพื่อให้เขาไปฆ่า
    ๑๐. ให้ทานเครื่องตวง ตาชั่ง ทะนาน เพื่อใช้โกง
    เหล่านี้ บัณฑิตไม่สรรเสริญ ทำให้ผู้ให้ให้แล้วไปสู่อบายนะ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่ได้ถามถึงสิ่งที่ไม่ควรให้ทาน ถามถึงสิ่งที่ควรให้ทาน แต่เมื่อทักขิไณยบุคคล (ผู้ควรรับประทาน ) ยังไม่เกิดก็ยังไม่ควรให้ ว่าทานอย่างนั้นมีอยู่หรือดังนี้ต่างหาก ”
    “อ๋อ...ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า เพราะเมื่อจิตเลื่อมใสเกิดขึ้นแล้ว คนบางพวกก็ให้ทานโภชนะแก่ทักขิไณยบุคคล บางพวกก็ให้ทานเครื่องนุ่งห่มก็มี ให้ทานที่นอนก็มี ให้ทานที่อยู่อาศัยก็มี ให้ทานเครื่องปูก็มี ให้ทานเครื่องนุ่งห่มก็มี ให้ทานทาสีและทาสก็มี ให้ทานเรือกสวนไร่นาที่ดินก็มี ให้ทานสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้าก็มี ให้ทานทรัพย์ตั้งร้อยตั้งพันก็มี ให้ทานราชสมบัติใหญ่ก็มี ให้ทานชีวิตก็มี ”
    “ขอถวายพระพร ถ้าหากว่าในโลกนี้ผู้อื่นยังให้ทานชีวิตได้ เหตุใดจึงมีผู้ติเตียนพระเวสสันดร ผู้เป็นทานบดีอย่างร้ายแรง เพราะเหตุพระราชทานพระราชทานพระราชโอรส ธิดาอัครมเหสี
    อีกประการหนึ่ง เมื่อว่าตามปกติโลกแล้ว บิดาให้บุตรเป็นค่าใช้หนี้ หรือเป็นค่าเลี้ยงชีพ หรือขายไป เพื่อเหตุใดเหตุหนึ่งก็ได้ไม่ใช่หรือ?”
    “ ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ถ้าได้ พระเวสสันดรเมื่อยังไม่สำเสร็จพระสัพพัญญุตญาณก็เป็นทุกข์ เพื่อต้องการพระสัมพัญญุตญาณนั้น จึงได้ให้โอรส ธิดา อัครมเหสี เป็นทาน แต่เหตุใดมหาบพิตร จึงทรงติเตียนพระเวสสันดรอย่างร้ายแรงล่ะ ? ”
    “ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้ติเตียนทานของพระเวสสันดรเลย เป็นแต่ติเตียนการที่พระเวสสันดร ได้ให้ทานโอรสธิดากับอัครมเหสีเท่านั้น เพราะเมื่อว่าตามที่ถูกแล้วเวลายาจกมาทูลขอโอรส ธิดา อัครมเหสี พระเวสสันดรควรพระราชทานตัวของพระองค์เอง จึงสมควร ”
    “ขอถวายพระพร ข้อนั้นไม่ใช่การกระทำของสัตบุรุษ คือเมื่อเขาขอบุตรภรรยา จะให้ตัวเองนั้นไม่ถูก เมื่อเขาขอสิ่งใด ๆ ก็ควรให้สิ่งนั้น ๆ อันนี้เป็นการกระทำของสัตบุรุษทั้งหลาย
    ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่ามีบุรุษคนหนึ่งมาขอน้ำ ผู้ใดให้ข้าวแก่บุรุษนั้นจะเรียกว่าผู้นั้นเป็นกิจจการี คือผู้กระทำตามหน้าที่แล้วหรือ ? ”
    “ไม่เรียก พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเขาขอสิ่งใดก็ให้สิ่งนั้น จึงเรียกว่ากระทำถูก ”
    “ข้อนี้ก็เหมือนฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือเมื่อพราหมณ์ทูลขอโอรส ธิดา อัครมเหสี พระเวสสันดรผู้เป็นทานบดี ก็ไม่พระราชทานตัวของพระองค์เอง ได้พระราชทานโอรสธิดาอัครมเหสีไปแก่พราหมณ์นั้น ถ้าพราหมณ์นั้นขอพระสรีระทั้งสิ้นของพระเวสสันดร พระบาทท้าวเธอไม่ห่วงใยเสียดายพระองค์ ต้องทรงบริจาคพระองค์ไปแล้ว
    ถ้านักเลงสะกา หรือสุนัขบ้าน สุนัขป่าเข้าไปทูลขอพระเวสสันดรว่า ขอจงให้พระองค์ยอมเป็นทาสของข้าพระองค์ พระเวสสันดรก็จะทรงยินยอมทีเดียว ทั้งที่ไม่ทรงเดือดร้อนเสียใจภายหลัง เพราะว่าพระวรกายของพระเวสสันดรเป็นของทั่วไปแก่คนหมู่มาก
    เหมือนกับต้นไม้มีผล อันเป็นของทั่วไป แก่หมู่นกต่างๆ ฉะนั้น ด้วยพระเวสสันดรทรงเห็นว่า เมื่อเราปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ
    อีกอย่างหนึ่ง บุรุษผู้ไม่มีทรัพย์ ผู้ต้องการทรัพย์ ย่อมเที่ยวแสวงทรัพย์ ย่อมเที่ยวหาไปตามทางดงทางเกวียน ทางน้ำ ทางบก เพื่อให้ได้ทรัพย์ฉันใด พระเวสสันดรผู้ไม่มีทรัพย์คือพระสัพพัญญุตญาณ ก็ได้แสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ ด้วยการพระราชทานทรัพย์และธิญชาติ ยาน พาหนะ ทาสี ทามา ทรัพย์ สมบัติ บุตร ภรรยา ตลอดถึงหนัง เลือดเนื้อ หัวใจ ชีวิตของพระองค์ฉันนั้น
    อีกประการหนึ่ง อำมาตย์ผู้ต้องการความเจริญ ต้องการเป็นใหญ่เป็นโต คือต้องการเป็นพระราชา ย่อมสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ทั้งสิ้นของตนแก่คนอื่นๆ ฉันใดพระเวสสันดรก็ทรงสละสิ่งของภายนอกตลอดจนถึงชีวิตแก่ผู้อื่น เพื่อให้ได้พระสัมมาสัมโพธิญาณฉันนั้น
    ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง พระเวสสันดรทานบดีทรงดำริว่า พราหมณ์ขอสิ่งใดเราควรให้สิ่งนั้น จึงจะเรียกว่าเราทำถูก ทรงดำริอย่างนี้จึงได้พระราชทานโอรส ธิดา อัครมเหสี
    การที่พระองค์พระราชทานโอรส ธิดาอัครมเหสี ให้แก่พราหมณ์นั้น ไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง หรือเห็นว่ามีอยู่มาก หรือเพราะไม่อาจเลี้ยงได้ หรือเพราะรำคาญ ได้พระราชทานไปเพราะทรงมุ่งหวังพระสัพพัญญุตญาณต่างหาก ทรงรักพระสัพพัญญุตญาณมากกว่า
    ข้อนี้สมกับที่ตรัสไว้ใน จริยาปิฎก ว่า “ ไม่ใช่ว่าลูกทั้งสองเป็นที่เกลียดชังของเราไม่ใช่มัทรีไม่เป็นที่รักของเรา พระสัพพัญญตญาณเป็นที่รักของเรา เราจึงได้ให้ทานบุตรธิดาภรรยา อันเป็นที่รักของเรา ”
    ขอถวายพระพร ครั้งพระเวสสันดร พระราชทานโอรสธิดาไปแล้ว ก็ได้เสด็จเข้าไปภายในบรรณศาลา ทรงกรรณแสงด้วยความรักยิ่ง ดวงหทัยได้ร้อนขึ้น เมื่อพระนาสิกไม่พอหายใจก็ได้ปล่อยลมหายใจร้อย ๆ ออกมาทางพระโอษฐ์ มีน้ำพระเนตรเจือด้วยพระโลหิต ไหลนองเต็มสองพระเนตร
    เป็นอันว่า พระเวสสันดร ทรงรักพระราชโอรสธิดาอย่างยิ่ง แต่ได้ทรงอดกลั้นความโศกไว้ได้ ด้วยทรงดำหริว่า อย่าให้ทานของเราเสียไปเลย
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]อานิสงส์ ๒ ประการ [/color]</CENTER>
    ขอถวายพระพร คราวนั้น พระเวสสันดรได้เล็งเห็นอานิสงส์ ๒ ประการ จึงได้ทรงพระราชทานพระเจ้าลูกทั้งสอง เพื่อให้ไปเป็นทาสของพราหมณ์ อานิสงส์ ๒ ประการนั้นคือประการใดบ้าง
    ประการที่ ๑ ว่า อย่าให้ “ ทานตบะ ” เครื่องเผากิเลส คือ ทานของเราเสียไปเลย
    ประการที่ ๒ ว่า ลูกเล็กทั้งสองของเราเป็นทุกข์ ด้วยได้กินแต่ลูกไม้หัวมัน เมื่อเราให้ทานไป พระเจ้าปู่ทรงจะได้ทรงรับไปเลี้ยง เพราะพระเวสสันดรทรงทราบดีอยู่ว่า คนอื่น ๆ ไม่อาจใช้ลูกของเราให้เป็นทาสทาสีทาสาได้ พระเจ้าปู่จะต้องไถ่ลูกทั้งสองของเราไว้ ทั้งจักมารับเราด้วย
    เป็นอันว่า พระเวสสันดรเล็งเห็นคุณวิเศษ คืออานิสงส์ ๒ ประการนี้ จึงได้พระราชทานลูกทั้งสองไป
    อีกประการหนึ่ง พระเวสสันดรทรงทราบอยู่ว่า พราหมณ์ผู้นี้แก่เฒ่าเต็มทีแล้วใกล้จะตายอยู่แล้ว คงไม่อาจใช้ลูกทั้งสองของเราเป็นทาสได้ บุรุษอาจจับดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ อันมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากลงมาใส่ไว้ในชะลอมหรือในผอบ หรือทำให้หมดรัศมีได้ ด้วยกำลังปกติหรือไม่ ? ”
    “ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พราหมณ์เฒ่าผู้มีบุญน้อยนั้น ก็ไม่อาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็นทาสได้เหมือนกันฉะนั้น
    อีกอย่างหนึ่ง ขอจงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือแก้วมณีโชติของพระเจ้าจักรพรรดิอันมีรัศมีแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์นั้น ไม่มีใครอาจเอาผ้าหุ้มห่อปิดไว้ได้
    อนึ่ง ช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมไม่มีใครขึ้นขี่ได้ หรืออาจปกปิดไว้ได้ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งฉันใด พระเจ้าลูกทั้งสองของพระเวสสันดร ก็ไม่มีใครอาจใช้เป็นทาสทาสีได้ฉันนั้น
    อีกอย่างหนึ่ง มหาสมุทรอันกว้างใหญ่หาประมาณมิได้ ย่อมไม่มีใครอาจปิดให้มีแต่เพียงท่าเดียวได้ พระยานันโทปนันทนาคราชที่สามารถพันรอบเขาสิเนรุราชได้ ๗ รอบนั้นย่อมไม่มีใครสามารถจับมาใส่ชะลอมหรือผอบไปเล่นละครได้
    พระยาเขาหิมพานต์อันสูงถึง ๕๐๐ โยชน์ กว้างยาวถึง ๓๐๐ โยชน์ มียอดถึง ๘ หมื่น ๔ พันยอด อันเป็นแดนเกิดแห่งมหานที ๕๐๐ สาย อันเป็นที่อาศัยของหมู่ภูตใหญ่ ๆ เป็นที่ทรงไว้ซึ่งไม้หอมต่าง ๆ สล้างสลอยไปด้วยทิพยโอสถตั้งร้อย ๆ อย่างย่อมแลดูสูงตระหง่านเหมือนกับเมฆอันลอยในท้องฟ้าฉันใดพระเวสสันดรก็สูงด้วยพระเกียรติยศ เหมือนกับพระยาเขาหิมพานต์ฉันนั้น ใครเล่าจักอาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็นทาสได้
    อีกประการหนึ่ง กองเพลิงที่ลุกรุ่งเรืองอยู่บนภูเขา ในเวลากลางคืนมืด ๆ ย่อมปรากฏเห็นแต่ไกลฉันใด พระเวสสันดรก็ปรากฏเห็นไกลฉันนั้น
    อีกอย่างหนึ่ง กลิ่นดอกกากะทิงบนภูเขาหิมพานต์ เมื่อมีลมพัดมา ย่อมส่งกลิ่นไปไกลถึง ๑๒ โยชน์ฉันใด กลิ่นความดีของพระเวสสันดร ก็หอมฟุ้งไปทั่วแดนอสูร คนธรรมพ์ ยักษ์ รากษส นาค ครุฑ กินนร อินทร์พรหมทั้งหลายทุกชั้นฟ้าฉันนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้น ใครเล่าจักอาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองของพระเวสสันดร ให้เป็นทาสทาสีได้
    ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง พระเวสสันดรได้ทรงกำชับสั่งพระชาลีกุมารไว้ว่า
    “ลูกเอ๋ย....พระเจ้าปู่จักต้องไถ่เจ้าทั้งสองด้วยทรัพย์จากพราหมณ์ไป แต่เมื่อจะทรงไถ่นั้น จงให้ไถ่ตัวเจ้าด้วยทองคำพันตำลึง ให้ไถ่น้องกัณหาด้วยทาส ทาสี ช้าง ม้า โค ทองคำ อย่างละร้อย ๆ ถ้าพระเจ้าผู้จะทรงบังคับเอาเปล่า ๆ พวกเจ้าจงอย่ายอม จงติดตามพราหมณ์ไป” ทรงสอนอย่างนี้แล้ว จึงได้พระราชทานไป
    ผ่ายพระชาลีกุมารที่พระเจ้าปู่ตรัสถามว่าจะต้องไถ่เจ้าทั้งสองอย่างไร จึงกราบทูลว่า
    "พระบิดาของหม่อมฉันได้ตีราคาหม่อมฉันไว้พันตำลึงทอง ได้ตีราคาน้องกัญหาไว้ด้วยทรัพย์อย่างละร้อย มีช้าง ๑๐๐ เชือก เป็นต้น พระเจ้าข้า" เรื่องมีอย่างนี้แหละมหาบพิตร"
    “ข้าแต่พระพนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้ทำลายข่ายทิฏฐิ ย่ำยีถ่อยคำของผู้อื่นได้แล้วได้แสดงเหตุผลไว้เพียงพอแล้ว ทำให้เข้าใจปัญหาข้อนี้ได้ง่ายแล้ว” <TBODY></TBODY>​
    </TABLE>​
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]

    [/FONT]
     
  2. กระติ๊บ

    กระติ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +940
    ยาวจริงๆ แต่ก็มีประโยชน์มาก .......อนุโมทามิ
     
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ขออนุโมทนาสำหรับบทความดีๆครับ

    ผมไม่เคยสงสัยในการกระทำของพระพุทธองค์เลยครับ แต่คนที่จะตัดสินใจแบบนั้นได้บารมี (กำลังใจ) ต้องดีมากๆ ซึ่งก็เป็นชาติสุดท้ายก่อนที่พระองค์จะประสูตรเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าครับ
     
  4. jasonma

    jasonma สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ในชาดก ทุกเรื่อง ข้าพเจ้าเชื่อ และเข้าใจตลอด ยกเว้นชาติพระเวสสันดร
    ถ้าสมัยนี้มีใครขอภรรยาและลูกข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าให้เขาไปจิตคิดเป็นทาน
    แต่ไม่ทราบหรอกว่า เขาจะนำภรรยาและลูกข้าพเจ้าไปทำอะไร
    (และเลือกคนรับทานไม่ได้ด้วย เพราะพระเวสสันดร ก็ยังให้ทานกับชูชก)
    ข้าพเจ้าจะถือว่า ทำทาน หรือทำบาป

    ข้าพเจ้ายังเลื่อมใส พระพุทธศาสนา
    ข้าพเจ้าเลื่อมใส่ ทั้ง9ชาดกชาติ และชาติที่เป็นพระพุทธชาติ
    แต่ยังสงสัยชาดกชาติที่10

    ถ้าพระเวสสันดรทำ ท่านไม่บาปแถมเป็นบุญ แต่ถ้าคนธรรมดาทำ นั้นคือบาปนะหรือ ยังไงก็ไม่เข้าใจ
    คนที่ทิ้งลูกทิ้งเมีย สมัยนี้มีเยอะมาก เขาบาปหรือไม่บาป?

    ที่ข้าพเจ้ารู้มา คือ การให้ธรรมเป็นทานอันประเสริฐ แต่ทำไมชาดกกลับบอกว่า การให้ทานวัตถุ คือภรรยาและลูกประเสริฐยิ่งกว่าเล่า
    ในชาดกชาติก่อนหน้านี้ ก็ยังมีที่ให้ธรรมเป็นทาน ถึงแม้จะไม่คลอบคลุมจนสามารถเป็นศาสนาได้ แต่ก็คือธรรมทานเช่นกัน ทำไมถึงได้บุณน้อยกว่าวัตถุทานเล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...