ของดีจากพระไตรปิฏก : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต (ป.ธ. ๙)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 21 มีนาคม 2008.

แท็ก: แก้ไข
  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]
    [​IMG]
    ธรรมดาของชีวิตมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมไปตามกฏของไตรลักษณ์ ชีวิตหลังความตาย เป็นสิ่งทีน่าสะพรึงกลัว สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ เหมือนภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา มีผู้คนมากมายที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ในบ้าน เหตุการณ์อันไม่คาดคิดมาก่อนก็บังเกิดขึ้น เมื่อนํ้าป่าไหลบ่าลงมาจากภูเขา พัดพาเอาบ้านทั้งหลัง จมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของแม่นํ้า ต้องสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยยังไม่ได้ทันตั้งตัวเลย โศกนาฏกรรมที่เกิดจากภัยธรรมชาตินับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งนอกจากเป็นเพราะภัยธรรมชาติแล้ว อีกส่วนหนึ่งต้องถือว่าเกิดจากกรรมที่มนุษย์เป็นผู้ก่อเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้เช่น การตัดไม้ทำลายป่า หรือเคยทำบาปอกุศลในภพชาติอดีตเอาไว้
    เมื่อกรรมส่งผลจึงทำให้ต้องประสบเคราะห์กรรมที่ใครๆ ก็คาดไม่ถึงมาก่อนว่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว มีวาระพระบาลีที่กล่าวเอาไว้ในฐานะสูตรว่า
    สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง ใครทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ก็จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
    กฏแห่งกรรมเป็นกฏสากล ที่มีความเที่ยงธรรมที่สุด สิ่งใดก็ตามที่เราได้ทำเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล สักวันหนึ่งต้องส่งผลให้เราอย่างแน่นอน ความสุขหรือความทุกข์ที่เราได้รับในปัจจุบัน ล้วนเป็นผลมาจากกรรมที่เราได้ทำเอาไว้ในอดีตทั้งสิ้น


    ผลของการกระทำที่แสดงออกทั้งทางกาย วาจา ใจนี้ ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดซับซ้อน เป็นสิ่งที่พัวพันกันข้ามภพข้ามชาติ จะพิสูจน์กันตามหลักวิทยาศาตร์หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ทำไม่ได้ วิธีการเดียวเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ คือต้องทำใจให้หยุดนิ่งตามหลักพุทธศาสตร์ อาศัยใจที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างเดียว จึงจะสามารถเปิดเผยความลี้ลับของโลกและชีวิต และเข้าใจไปตามความเป็นจริง เหมือนที่สุภมาณพเคยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้พวกมนุษย์ปรากฏความเลวและความประณีตต่างกัน มนุษย์บางพวกปรากฏมีอายุสั้น มีอายุยืน มีโรคมาก มีโรคน้อย มีผิวพรรณทราม มีผิวพรรณงาม มีศักดาน้อย มีศักดามาก มีโภคะน้อย มีโภคะมาก เกิดในสกุลต่ำ เกิดในสกุลสูง ไร้ปัญญา มีปัญญา ขอพระองค์ได้ทรงชี้บอกข้าพระองค์ด้วยเถิด”


    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมเท่านั้นที่จำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีหรือบุรุษก็ตาม เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหด ไม่เอ็นดูเกื้อกูลในหมู่สัตว์มีชีวิต เขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมที่ได้ทำไปแล้วนั้น หากตายไป แม้ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุสั้น ดูก่อนมาณพ ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อมีอายุสั้นนี้ คือ เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
    จากนั้นพระองค์ก็ทรงยกตัวอย่างสมัยที่ยังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เกิดเป็นลูกของพราหมณ์มหาศาลมีสมบัติมากมาย มีชื่อว่า ทีปายนะ ท่านมีเพื่อนรักคนหนึ่ง ชื่อมัณฑัพยะ เมื่อโตขึ้นไม่เห็นสาระในการที่จะต้องอยู่ครองเรือน จึงชักชวนเพื่อนทำบุญให้ทานเป็นการใหญ่ ได้ขนสมบัติที่มีอยู่ทั้งหมด มากองไว้หน้าบ้าน ประกาศให้มหาชนมาขนเอาไป โดยไม่เสียดายเลย เนื่องจากทั้งสองท่านเป็นที่เคารพรักของคนทั้งเมือง การตัดสินใจออกบวชของท่าน ทำให้มีผู้คนร้องห่มร้องไห้ไม่อยากให้ออกบวช เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่เมื่อท่านตัดสินใจที่จะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีแล้ว แม้จะมีใครมาหน่วงเหนี่ยวอ้อนวอนเอาไว้ ก็ไม่ใส่ใจ ไม่ห่วงใยอาลัยอาวรณ์ในสิ่งใดทั้งสิ้น


    ทั้งสองท่านได้ออกไปสร้างอาศรม บวชอยู่ในป่าหิมพานต์ได้ ๕๐ ปี ก็ชักชวนกันออกจากป่า เพื่อเข้ามาเสพรสเค็มรสเปรี้ยวในเมือง จึงได้เที่ยวไปตามชนบทจนถึงเมืองพาราณสี อาศัยอธิมุตติกสุสานเป็นที่พักบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่หลายวัน ทีปายนดาบสก็เห็นว่าได้พำนักอยู่ที่ป่าช้าหลายวันแล้ว ก็ออกเดินทางไปหมู่บ้านอื่นเพื่อแนะนำมหาชนให้รู้จักสั่งสมบุญ เหลือเพียงมัณฑัพยะดาบสเท่านั้นที่อยู่ในสุสานนั้นตามลำพัง
    อยู่มาวันหนึ่ง พวกโจรเข้าไปได้ขโมยของภายในเมือง เมื่อเจ้าของบ้านและ เจ้าหน้าที่ตื่นขึ้น รู้ว่ามีขโมยแอบเข้ามาก็พากันตามจับ โจรรีบวิ่งเข้าป่าช้าทิ้งห่อทรัพย์ไว้ที่ประตูบรรณศาลาของพระดาบสส่วนหนึ่ง แล้วก็รีบหลบหนีไป พวกมนุษย์ที่ตามมาติดๆ เห็นห่อทรัพย์วางอยู่หน้าบรรณศาลาเข้า จึงตรงเข้าจับท่านดาบสซึ่งกำลังทำภาวนาอยู่ในห้อง ต่างก็รุมทุบตีท่าน แล้วจับส่งพระราชา
    พระราชาเองยังไม่ทันทรงพิจารณาเสียก่อน ก็รับสั่งให้ราชบุรุษเอาตัวท่าน ไปเสียบที่หลาว พวกราชบุรุษจึงนำตัวท่านไปเสียบหลาวไม้ตะเคียนในป่าช้า

    เนื่องจากว่าดาบสเป็นผู้มีฤทธิ์มีเดชมาก ไม่มีใครสามารถฆ่าท่านได้ หากท่านจะเหาะหนี ก็กลัวเจ้าหน้าที่จะเหมารวมนักบวชทั้งหมดว่า เป็นผู้ไม่มีศีล ต่อไปก็จะอยู่อย่างไม่มีความสุข ท่านจึงยอมให้เขาทรมาน แต่หลาวไม้ตะเคียนที่เอามาเสียบร่างกายของท่านนั้น จะเสียบ จะแทงยังไงก็ไม่เข้า จึงเปลี่ยนเอาหลาวไม้สะเดาก็ยังไม่เข้าอีก เอาหลาวเหล็กเสียบก็ไม่เข้า
    ท่านดาบสจึงใคร่ครวญดูบุพกรรมของตนเอง ระลึกชาติไปดูว่า กรรมอะไรหนอ ทำให้ต้องได้รับโทษทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำความผิดเลย ท่านก็รู้ในญาณว่า ในภพชาติก่อน ได้เกิดเป็นลูกชายของช่างไม้ ได้ไปถากไม้กับบิดา จับแมลงวันมาตัวหนึ่งแล้วเอาหนามไม้ทองหลางมาเสียบ บาปกรรมนั้นจึงตามมาทันแล้ว ท่านก็รู้ตัวว่า ไม่อาจพ้นบาปกรรมนี้ได้ จึงบอกพวกราชบุรุษว่า “ถ้าท่านต้องการจะเอาหลาวเสียบเราจงใช้หลาวไม้ทองหลางเถิด” พวกราชบุรุษก็ทำตาม แล้วก็วางคนซุ่มรักษาอยู่ เพื่อคอยดูผู้ที่จะแอบมาช่วยเหลือดาบส
    ในวันนั้นเอง ทีปายนดาบสนึกถึงเพื่อน ไม่ได้เจอกันมาหลายวัน จึงเดินทางกลับมาเยี่ยมท่านที่ป่าช้า ในระหว่างทางเมื่อท่านทราบข่าวนั้น จึงรีบเข้าไปในป่าช้า ก็ได้เห็นเพื่อน ถูกทรมานแสนสาหัส เลือดท่วมตัว ก็บังเกิดความสงสัย ไต่ถามว่า “เพื่อนเอ๋ย ท่านได้ทำผิดอะไรหรือ ทำไมถึงโดนทรมานถึงเพียงนี้” เมื่อรู้ว่าเพื่อนไม่ได้ทำผิด จึงถามต่อไปว่า ท่านอาจจะรักษาใจของตนเองไม่ให้มีความขุ่นมั่วได้หรือไม่ มัณฑัพยะดาบสตอบว่า เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้มีใจขุ่นมัวหรือขัดเคืองเลย”


    ทีปายนดาบสฟังแล้วก็ชื่นใจ บอกเพื่อนว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ร่มเงาของผู้มีศีลเช่นท่านเป็นความสุขสำหรับเรา แล้วเข้าไปนั่งพิงหลาวอยู่เป็นเพื่อน หยาดโลหิตที่ออกจากร่างกายของมัณฑัพยะดาบสก็หยดลงถูกตัวของทีปายนดาบส สรีระที่ผ่องใสดุจทอง ก็เปรอะเปื้อนด้วยเลือด แต่ก็ไม่รู้สึกรังเกียจ ท่านนั่งพิงหลาวตลอดคืนยันรุ่งโดยไม่ได้สะทกสะท้านว่า จะถูกจับไปฆ่าเหมือนเพื่อน วันรุ่งขึ้น พวกราชบุรุษก็ได้ไปกราบทูลเหตุการณ์นั้นให้พระราชาทรงทราบ

    พระราชาจึงรีบเสด็จไปหาแล้วตรัสถามทีปายนดาบสว่า ดูก่อนบรรพชิต เหตุไรท่านจึงนั่งพิงหลาวอยู่ ทีปายนดาบสตอบว่า มหาบพิตร อาตมภาพนั่งรักษาดาบสนี้อยู่ ก็มหาบพิตรทรงทราบแล้วหรือว่าดาบสนี้ทำผิด หรือไม่ได้ทำผิด จึงได้ลงอาญาอย่างนี้ เมื่อทราบว่ายังไม่ได้ทันพิจารณา จึงกล่าวสอนว่า ธรรมดาว่าคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ถ้าเป็นคนเกียจคร้านแล้วไม่ดี พระราชาควรจะพิจารณาก่อนแล้วจึงกระทำ จึงจะเป็นที่พึ่งของมหาชนได้

    เมื่อพระราชาทรงทราบว่า มัณฑัพยะดาบสไม่มีความผิด จึงรับสั่งให้ถอนหลาวออก พวกราชบุรุษก็ไม่สามารถจะถอนหลาวออกได้ ฝ่ายดาบสทูลพระราชาว่า มหาบพิตร อาตมภาพถึงความพินาศย่อยยับอย่างนี้ก็ด้วยอำนาจกรรมที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน ไม่มีใครถอนหลาวออกจากตัวอาตมภาพได้ ถ้าพระองค์มีพระราชประสงค์จะพระราชทานชีวิตแก่อาตมภาพ ก็โปรดให้เอาเลื่อยมาตัดหลาวนี้ให้เสมอหนังเถิด พระราชารับสั่งให้กระทำตามนั้น ภายในร่างกายของดาบสจึงมีหลาวติดอยู่ตลอดเวลา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะที่เอาหนามทองหลาง เสียบก้นแมลงวันแต่ก็ยังไม่ตาย จะตายก็ต่อเมื่อหมดอายุขัยของมัน
    เพราะฉะนั้น ดาบสนี้จึงไม่ตาย แต่ปลายหลาวก็ฝังติดอยู่ในร่างกายของท่านเรื่อยมา พระราชาทรงนมัสการพระดาบสทั้งสองให้งดโทษ แล้วนิมนต์ให้อยู่ในพระราชอุทยาน ทำการรักษาแผล ให้ท่านบำเพ็ญสมณธรรมอย่างมีความสุขตลอดอายุขัย


    เราจะเห็นว่า บาปกรรมแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ล้วนส่งผลทั้งสิ้น ทุกอย่างที่เราทำเอาไว้ไม่ว่าดีหรือชั่ว ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในใจของเราเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอวันส่งผลเท่านั้นเองเหมือนระเบิดเวลา ที่นับถอยหลัง เมื่อถึงกำหนดก็ต้องระเบิดอย่างแน่นอน แล้วในอดีตที่ผ่านมานั้น เราไม่รู้ว่าได้ทำบาปอกุศลอะไรเอาไว้บ้าง ทำให้โศกนาฏกรรมบังเกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว จึงอยากจะฝากข้อคิดว่า เราไม่ควรประมาทในชีวิต เพราะชีวิตในโลกนี้แสนสั้น แต่ชีวิตหลังความตายช่างยาวนานนิ่งนัก เราควรเร่งรีบสั่งสมบุญกัน ก่อนที่จะหมดโอกาส จะได้ไม่ต้องมาเสียดายภายหลัง ดังคำสุภาษิตที่กล่าวว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งนํ้าตา แต่สำหรับนักสร้างบารมีแล้ว แม้เห็นโลงศพก็จะไม่หลั่งนํ้าตา ไม่กลัวต่อพญามัจจุราช ที่มาพรากชีวิตเราไป เพราะการตายเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวไปสู่ชีวิตที่ละเอียดและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

    ความตายดูเหมือนจะเป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายและน่ากลัวที่สุด แต่โศกนาฏกรรมอย่างหนึ่ง ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ เกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่ได้สั่งสมบุญเอาไว้ติดตัวเลย มัวแต่แสวงหาทรัพย์สมบัติหรือสร้างแต่บาปอกุศลเอาไว้ เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก เพราะกว่าจะได้กลับมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสดีๆ เช่นนี้ ไม่รู้อีกกี่ภพกี่ชาติ ผู้ฉลาดจึงควรเร่งรีบสั่งสมบุญบารมีก่อนที่ชีวีจะหาไม่ ใจของเราดวงนี้ควรมีแต่ภาพของกุศลกรรม เก็บเกี่ยวเอาแต่สิ่งที่ดีงามไว้ให้มากๆ แม้ว่าเราจะมีกรรมเป็นตัวควบคุม ก็ให้มีแต่กุศลกรรมติดตัวไปล้วนๆ กันทุกคน
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]

    [​IMG]
    จากอดีตถึงปัจจุบันนับล้านๆ ปี ที่เรื่องราวของโลกและชีวิตยังเป็นความลี้ลับที่ไม่อาจนำมาเปิดเผยได้หมด มนุษยชาติที่เกิดมายุคแล้วยุคเล่า ต่างก็ยกย่องชื่นชมผู้ที่ค้นพบสิ่งที่มนุษย์ด้วยกันเองยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบทวีปต่างๆ ยกย่องผู้ที่สามารถผลิตเครื่องบินหรือยานอวกาศไปนอกโลก ผู้ที่สามารถปีนป่ายจนพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกก็ได้รับยกย่องว่าเป็นฮีโร่ มีผู้คนมากมายที่แสดงความสามารถ สร้างชื่อเสียงเกียรติยศ จนมีการจารึกชื่อลงในหนังสือกินเนสบุ๊ค เนื่องจากมนุษย์มีธรรมชาติของการแสวงหาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ผู้คนมากมายที่ออกผจญภัยเอาชีวิตเข้าแลกเพื่ออยากสัมผัสกับความเร้นลับของโลกและชีวิตโดยใช้วิทยาการใหม่ๆ เข้ามาช่วย

    ก่อนสมัยพุทธกาล มนุษย์ทั้งหลายต่างพยายามแสวงหาที่สุดโลก ว่าไปสุดที่ตรงไหน เหมือนอย่างนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ที่ต้องการรู้ว่าจักรวาลกว้างใหญ่เพียงใด จึงได้สร้างยานอวกาศไปสำรวจนอกโลก พยายามไปให้ไกลที่สุด ว่านอกจากกาแล็กซี่ของเราแล้ว ยังมีที่อื่นอีกไหม ก็พบไปเรื่อยๆ ว่ามีอีกยังไม่สิ้นสุด


    ส่วนคนในสมัยก่อน แม้ไม่มียานอวกาศ แต่มีสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือ อาศัยการฝึกสมาธิ ฝึกจิตให้ชำนาญจนเป็นวสี แล้วเข้าลหุสัญญา ทำกายเบาเท่ากับใจ ก็สามารถเหาะไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ ไปถึงโลกอื่นได้ด้วยกายเนื้อ อาศัยฌานสมาบัติเป็นบาท การไปโดยวิธีนี้มีความรวดเร็วมากกว่ายานอวกาศหลายเท่า แล้วยังไปได้ไกลไม่มีประมาณอีกด้วย ทั้งไปได้เร็วและไกล แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่สามารถพบคำตอบที่สุดของโลกได้


    ดั้นด้นค้นหาที่สุดโลก

    ในพระไตรปิฏกมีจารึกเอาไว้ว่า สมัยก่อนพุทธกาล มีมาณพหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ“โรหิตัสสะ” อยากจะรู้ความเป็นจริงของโลก ว่าที่สุดของโลกหรือที่สุดของจักรวาลอยู่ที่ไหน เมื่อเรียนจบศิลปวิทยาทั้ง ๑๘ สาขาแล้ว ก็พยายามศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง โดยออกบวชเป็นฤาษี ตั้งใจฝึกสมาธิอย่างจริงจัง จนสามารถทำฌานสมาบัติให้เกิดได้ เป็นฤาษีที่มีฤทธิ์มีเดช สามารถเหาะเหินเดินอากาศไปได้ตามความปรารถนา เวลาจะไปแสวงหาอาหารและผลไม้ ท่านก็จะเหาะไปยังป่าหิมพานต์ หรือไม่ก็เหาะข้ามไปยังอุตตรกุรุทวีป แล้วก็กลับมาบำเพ็ญภาวนาต่อในมนุษย์โลก

    ท่านฝึกทำสมาธิจนใช้งานได้แคล่วคล่อง นึกอยากไปไหนก็ไปได้ทันที เมื่อมีฤทธานุภาพมากแล้ว จึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปให้สุดโลก ได้เข้าฌานสมาบัติ แล้วเหาะไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดพักในระหว่างทาง มีปีติสุขอยู่ในฌานเป็นภักษาหาร ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยไม่ต้องเสียเวลานอนหลับพักผ่อน ท่านใช้เวลาเดินทางอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานถึง๑๐๐ ปี จากจักรวาลหนึ่งไปยังอีกจักรวาลหนึ่ง ถึงแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ก็ยังไปไม่สุด


    ลูกธนูที่นายขมังธนูยิงออกจากแล่ง ว่ามีความเร็วปานใด ท่านยังมีความเร็วยิ่งกว่านั้นเป็นแสนเป็นล้านเท่า แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่สามารถไปให้สุดจักรวาลได้ ต้องหมดอายุขัยลงในระหว่างทางนั่นเอง เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ได้ไปบังเกิดในโลกสวรรค์ เป็นเทพบุตร ผู้มีรัศมีกายสว่างไสว เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก โรหิตตัสสเทพบุตรได้ออกจากวิมาน มาถวายบังคมพระพุทธองค์ ซึ่งกำลังประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร ได้กราบทูลถามปัญหาที่ค้างคาใจมานานว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสถานที่ใด ที่ไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายบ้างไหมหนอ ข้าพระองค์ได้เดินทางตลอดชีวิตเมื่อเป็นมหาฤาษี แต่ต้องตายเสียในระหว่างทาง ยังไม่สามารถเดินทางให้พ้นจากโลก พ้นจากภพได้เลย แล้วจะมีมนุษย์ที่สามารถไปให้ถึงที่สุดโลก ได้หรือเปล่า พระเจ้าข้า”


    พระพุทธองค์ตรัสว่า “ท่านเทพบุตร ที่สุดโลกนั้น บุคคลไม่อาจไปได้ด้วย การเดินทางไกล ถ้าหากตถาคตยังไม่บรรลุถึงที่สุดของโลกแล้ว ก็จะไม่กล่าวถึงการกระทำที่สุดทุกข์ ก็แต่บัดนี้ ตถาคตบัญญัติโลก เหตุให้เกิดโลก การดับของโลก และทางที่ให้ถึงความดับโลก ว่ามีอยู่ในเรือนกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ที่มีใจครองนี้”


    ที่สุดแห่งโลก ที่สุดทุกข์

    จากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงสอนวิธีการที่จะไปให้ถึงความดับโลก ถึงหนทางที่ไม่ต้องเกิดแก่เทพบุตร โดยแนะนำหนทางสายกลาง ให้นำใจกลับเข้ามาสู่ภายใน ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ทรงสอนให้ทำใจหยุดอยู่ที่กลางกาย เมื่อจบกระแสพระดำรัส เทพบุตรก็สามารถทำใจหยุดนิ่ง จนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระโสดาบันในขณะนั้นเอง แล้วได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธองค์ ว่าเป็นผู้รู้แจ้งโลก รู้ถึงที่สุดโลก ที่สุดแห่งทุกข์ ไม่มีใครที่จะเลิศยิ่งกว่าพระองค์อีกแล้ว ทั้งในเทวาและมนุษย์ทั้งหลาย
    ท่านผู้รักการหยุดนิ่งทั้งหลาย ความเร้นลับของโลกและจักรวาลนั้นมีมากมายนัก

    หากแสวงหานอกตัวกันตลอดทั้งชีวิตก็คงไม่หมด เพราะมีสิ่งนอกตัวนั้นยังมีอีกมากมายที่เรา ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพียงแต่ว่า สิ่งเหล่านั้นมีความจำเป็นมากพอที่เราจะต้องไปรู้ไปเห็นเพียงไรเล่า...
    มีสิ่งใดบ้างเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตที่เราจำเป็นต้องรู้ ? ไม่รู้ไม่ได้ ไม่รู้ถือว่า ชีวิตนี้ยังไม่ปลอดภัย
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยได้สอนเอาไว้เสมอว่า “เราเกิดมาภพชาติหนึ่ง ก็เพื่อแสวงหาที่พึ่งที่ระลึกอันแท้จริง คือพระร้ตนตรัยเท่านั้น เราแสวงหาสิ่งที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นสุขได้ด้วยตัวเองและเป็นตัวตนที่แท้จริง สิ่งที่เราต้องการนี้ รวมประชุมอยู่ในธรรมกายทั้งหมด ธรรมกายคือแก่นของชีวิต เป็นชีวิตในระดับลึก ที่อยู่ภายในตัวของเรา ที่ทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติและเข้าถึงให้ได้ ถ้าเข้าถึงไม่ได้ ชีวิตนี้ยังปลอดภัย ถ้ามนุษยชาติหยุดใจได้เมื่อไหร่ก็เข้าถึงได้เมื่อนั้น ไม่จำกัดด้วยกาลเวลา เมื่อเข้าถึงธรรมกายแล้ว ชีวิตเราจะเกิดสันติสุขที่แท้จริง เป็นสุขที่ไม่มีประมาณ...”


    การค้นพบอันยิ่งใหญ่

    หลวงพ่อวัดปากนํ้าภาษีเจริญ บรมครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านได้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แล้วมีความปรารถนาไม่เพียงแต่จะไปให้ถึงที่สุดโลกเท่านั้น แต่ใจของท่านมุ่งไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม มุ่งที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งนิพพานให้หมด ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้รู้จักเส้นทางที่ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป คือต้องเอาใจกลับมาหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เท่านั้น การค้นพบศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้จึงนับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ เพราะเปรียบเสมือนแผนที่นำทางสู่เส้นทางอันเป็นอมตะคืออายตนนิพพาน ฐานที่ ๗ นี้เท่านั้น จะเป็นจุดเชื่อมโยงถึงอายตนนิพพาน พอหยุดถูกส่วนเข้าก็จะดูดเข้าหากัน จะพบดวงธรรมต่างๆ ผุดเกิดขึ้นมา จนกระทั่งเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เห็นตัวเองอยู่ข้างใน เป็นชีวิตภายในที่ละเอียดกว่า ซ้อนอยู่ข้างใน หยุดต่อไปอีก ก็จะเข้าถึงกายทิพย์ กายพรหมและกายอรูปพรหม ละเอียดขึ้นไปตามลำดับ

    หยุดในหยุดต่อไปอีก ในที่สุดก็จะเข้าถึงกายที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนา คือเข้าถึงกายธรรม ลักษณะสวยงามกว่ากายที่ผ่านมาทั้งหมด เป็นพุทธรัตนะ กายของท่านใสเป็นแก้ว เริ่มตั้งแต่กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และกายธรรมพระอรหัต ทั้งหมดนี้คือเส้นทางที่เราจะต้องดำเนินจิตเข้ากลางของกลาง เพื่อไปให้ถึงที่หมายให้ได้


    เป้าหมายนั้นไม่ได้อยู่นอกตัวอย่างที่นักวิทยาศาตร์ทั้งหลายที่ทุ่มเทชีวิตจิตใจ สละเงินทองมากมายก่ายกองเพื่อแสวงหาทางที่จะหลุดออกจากโลกใบนี้เลย แม้จะไปค้นพบโลกและจักรวาลอื่น นั่นก็ยังไม่ชื่อว่าถึงที่หมาย เพราะตามหลักพุทธศาสนาแล้ว ไม่ว่าโลกและจักรวาลหรืออนันตจักรวาลที่เรายังค้นไปไม่ถึง ต่างก็ตกอยู่ในภพสามนี่เอง ยังไม่หลุดจากวังวนแห่งสังสารทุกข์ไปได้


    มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

    เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำใจหยุดนิ่ง ทำตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อวัดปากนํ้าผู้เป็นบรมครูของเรา หนทางแห่งสารวัฏจะย่นย่อลง ทางที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ เป้าหมายคือที่สุดแห่งธรรมก็ไม่ไกลเกินฝันอีกต่อไป แสดงว่าเรากำลังจะได้พบสันติสุขอันเป็นนิรันดร์ ดังนั้นการทำใจหยุดนิ่ง จนเข้าถึงกายธรรมอรหัตซึ่งอยู่ในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี่เอง จึงเป็นเป้าหมายปลายทางของทุกชีวิต นับเป็นทางที่ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
    “แต่ไหนแต่ไรมา ยังไม่มีใครบรรลุถึงที่สุดโลกด้วยการเดินทาง และเพราะยังบรรลุถึงที่สุดโลกไม่ได้ จึงไม่พ้นไปจากทุกข์
    เหตุนั้นแล คนมีปัญญาดี รู้แจ้งโลก ถึงที่สุดโลกแล้ว
    อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว เป็นผู้สงบแล้ว จึงไม่หวังโลกนี้และโลกอื่น”


    จะเห็นได้ว่า วิธีการของพระพุทธองค์ ที่จะไปให้ถึงที่สุดของโลกนั้น ต้องทำใจหยุดนิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องมัวเสียเวลาแสวงหายานพาหนะใดๆ ถ้าฝึกใจให้หยุดได้ เป็นสำเร็จหมด รู้ได้หมดโลก หมดภพ ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ภพสาม นิพพาน โลกันตร์ จะอยู่ที่ตรงไหน หรือละเอียดลึกซึ้งเพียงใด ใจไปถึงได้ทั้งนั้น
    ใจที่หยุดนิ่งดีแล้ว จะมีอานุภาพยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลกและจักรวาล ไม่มีสิ่งใดที่เร็วกว่าใจและไกลเกินกว่าที่ใจจะไปถึงได้ เพราะทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ

    ดังนั้นเราจึงควรหมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่ง ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากนํ้าและหลวงพ่อธัมมชโยท่านสอนเอาไว้ ขอเพียงอย่ายอมแพ้ตั้งแต่ต้นเสียก่อน เส้นทางสายนี้มิใช่จะเข้าถึงได้อย่างง่ายๆ เพราะศิลปะแห่งใจหยุดนิ่งเป็นสุดยอดแห่งศิลปะทั้งปวง แต่ผลที่ได้คือเข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะ จึงเขียนจึงได้แต่เพียงมอบบทกลอนเป็นกำลังใจแด่ผู้รักการทำใจหยุดนิ่ง เพื่อมุ่งไปสู่ทางที่ไม่ต้องเกิดเอาไว้ว่า

    ยอมแพ้ ย่อมแพ้ พญามาร สันดาน ขี้แพ้ พ่ายเสมอ
    ยอมชนะ ย่อมชนะ นะเออ คือเธอ ผู้ชนะ นิรันดร์....

     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]
    [​IMG]
    ฉบับที่แล้ว ผู้เขียนได้กล่าวถึงกฏแห่งกรรมว่า เป็นกฏสากลที่มีความยุติธรรม และเป็นผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่ได้เที่ยงตรงที่สุด ทำบาปกรรมเอาไว้แม้เพียงเล็กน้อย โดยไม่ได้เจตนา ไม่น่าเชื่อว่า บาปอกุศลนั้นจะตามส่งให้มาทนทุกข์ทรมานเพราะวิบากกรรมเล็กๆ น้อย แม้ดูแล้วจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ใครทำกรรมใดไว้ ตนจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น อย่างที่เราได้สวดมนต์ทำวัตรเย็นทุกวันนั่นแหละ โลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นตลาดกลางการค้าบุญและบาปที่ใหญ่ที่สุด ผลของบุญและบาปจะตามส่งผลให้เสมอ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการกระทำในสมัยที่เป็นมนุษย์นี่แหละ ยิ่งถ้าหากทำบาปอกุศลเอาไว้มาก เกิดมามัวแต่แสวงหาความสุขโดยตั้งอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น ผิดศีลผิดธรรมหนักเข้า ผลกรรมที่จะต้องไปทนทุกข์ทรมานในสัมปรายภพนั้น ยิ่งน่าสะพรึงกลัวทีเดียว

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ในทิฏฐิสูตรว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้ เหมือนถูกนำมาโยนลงในนรก ธรรม ๔ ประการ คือ บุคคลผู้มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้ที่ประพฤติธรรม ๔ ประการนี้เหมือนถูกโยนลงในนรก


    นรกเป็นอบายภูมิที่รองรับผู้มีบาปในตัวมาก เป็นดินแดนสำหรับคนบาป เมื่อละโลกไปแล้วจะต้องไปทนทุกข์ทรมาน เสวยวิบากกรรมที่ตัวเองทำเอาไว้ ถ้าอยู่ลึกที่สุด ก็คืออเวจีมหานรก ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่มหาตาปนนรก ตาปนนรก มหาโรรุวนรก โรรุวนรก สังฆาฏนรก กาฬสุตตนรก สัญชีวะนรก แต่ละขุมนี่ใหญ่มากทีเดียว เป็นภพๆ หนึ่งที่กักขังสัตว์นรกเอาไว้ เหมือนเป็นเมืองนรก แต่เขาเรียกว่า ขุมนรก แล้วยังมีนรกขุมย่อยๆ อีกเยอะแยะมากมาย ขุมเล็กเรียกว่า อุสสทนรก จะอยู่ล้อมรอบขุมใหญ่ๆ ทั้ง ๘ เอาไว้ ล้อมรอบขุมละ ๔ ทิศ ทิศละ ๔ ขุม รวมแล้วก็เป็น ๑๒๘ ขุม ขุมเล็กเป็นบริวารของขุมใหญ่ เหมือนดาวล้อมเดือน จะมีดาวดวงเล็กๆ เป็นบริวารของดาวดวงใหญ่อย่างงั้นแหละ


    นอกจากนี้ ยังมีนรกขุมย่อยๆ อีก เป็นที่รองรับผู้ที่ทำบาปเอาไว้ ไม่มากพอที่จะตกไปในอุสสทนรกหรือมหานรกทั้ง ๘ ขุม เขาเรียกว่ายมโลกนรก ซึ่งเราจะได้ยินชื่อนี้กันบ่อยๆ ยมโลกนรกนี้จะล้อมรอบมหานรกทั้ง ๘ เอาไว้อีกชั้นหนึ่ง อยู่ห่างออกไป ทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง ทิศละ ๑๐ ขุม รวมแล้วก็เป็น ๓๒๐ ขุม เมื่อรวม มหานรก ๘ ขุม อุสสทนรกอีก ๑๒๘ ขุม และยมโลกนรกอีก ๓๒๐ ขุม ก็เป็น ๔๕๖ ขุม


    นรก ๔๕๖ ขุมนี้ เขาเรียกว่านิรยภูมิเป็นหนึ่งในอบายภูมิทั้ง ๔ เป็นกามภพชั้นตํ่า คือภูมิที่ปราศจากความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีแต่ไฟลุกท่วมตัว การตกไปในอบายภูมิ จึงเป็นดินแดนที่หาความเจริญไม่ได้ ถ้าหากเราประมาทพลาดพลั้ง แล้วพลัดไปเกิดในนิรยภูมิ ก็ต้องรับกรรมทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลานานตามแต่กรรมที่ทำเอาไว้ อกุศลกรรมที่ทำเอาไว้ เป็นเครื่องวัดอายุของสัตว์ในอบายภูมิ


    แล้วลักษณะการถูกทรมานของนรกแต่ละขุม ก็มีลักษณะแตกต่างกันไป ตามแต่กรรมชั่วที่เคยทำเอาไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ตั้งแต่สัญชีวมหานรก คือนรกที่ไม่มีวันตาย สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลเอาดาบนรก ฟาดฟันกายให้ขาดเป็นท่อนๆ บางทีก็เอามีดเอาขวานมาถาก เฉือนเนื้อทีละน้อยๆ จนสิ้นใจตาย ทันใดนั้นเองก็มีลมกรรมพัดโชยมาถูกต้องกาย ให้กลับฟื้นขึ้นมาเป็นสัตว์นรกเหมือนเดิมอีก นายนิริยบาลเห็นดังนั้น ก็ลงโทษให้ได้รับความเจ็บปวดจนกระทั่งถึงตายอีก รับกรรมอยู่อย่างนี้นานถึง ๕๐๐ ปีนรกทีเดียว


    ขุมที่ ๒ ชื่อกาฬสุตตนรก เป็นนรกด้ายดำ นายนิริยบาลจะเอาเส้นด้ายดำ มาตีเป็นเส้นตามร่างกายของสัตว์นรก ที่จับให้นอนบนแผ่นเหล็กแดงที่ร้อนระอุ แล้วเอาเลื่อย มาเลื่อย เอาขวานมาผ่า หรือเอามีดมาตัดตามเส้นที่ตีเอาไว้ แม้จะดิ้นทุรนทุรายอย่างไรก็ไม่หลุด ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก สัตว์นรกจะถูกเลื่อยตัดร่างกายจนตาย แล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ทรมานอยู่อย่างนี้ จนกว่าสัตว์นรกจะหมดกรรม ซึ่งต้องใช้เวลานานถึงพันปีนรก


    มหานรกขุมที่ ๓ ชื่อสังฆาฏนรก หมายถึงนรกที่ถูกภูเขาเหล็กบดขยี้ร่างกาย ให้ได้รับทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกขุมนี้มีรูปร่างหน้าตาประหลาด บางตนมีหน้าเป็นวัว แต่ตัวเป็นมนุษย์ หรือหน้าเป็นมนุษย์ แต่ตัวเป็นช้าง เป็นเสือ ก็จะถูกนายนิรยบาลเอาโซ่เหล็กร้อนระอุมัดคอเอาไว้ ฉุดกระชากลากมาลากไป แล้วเอาฆ้อนเหล็กทุบกระหนํ่าลงบนศีรษะ ร่างกายก็ป่นปี้จนกระดูกแหลกละเอียด พอตายแล้วก็มีลมกรรมพัดมาให้ฟื้นคืนชีพอีก ต้องมาใช้กรรมนานสองพันปีนรก ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเมื่อเป็นมนุษย์ ไร้ความเมตตากรุณาต่อสัตว์ ชอบทำการทารุณเบียดเบียนผู้อื่น


    นรกขุมที่ ๔ คือโรรุวนรก ที่ได้ชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่าเต็มไปด้วยเสียงร้องระงมครวญครางอย่างน่าเวทนา ศีรษะ มือ เท้าของสัตว์นรก จมลงไปในดอกบัวเหล็ก นอนควํ่าหน้า เปลวไฟก็เผาไหม้ดอกบัวเหล็กพร้อมกับสัตว์นรก จะตายก็ไม่ตาย ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นจนหมด ๔,๐๐๐ ปีนรก เพราะในอดีต ชอบนำสัตว์มาทรมาน หรือเคยเป็นตุลาการผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีความโดยขาดความยุติธรรม หรือเป็นเพราะไปลักขโมยสมบัติของพระศาสนา


    ขุมที่ ๕ คือมหาโรรุวนรก ก็คล้ายๆ กับนรกขุมที่ ๔ นั่นแหละ แต่มีเสียงร้องครวญครางมากกว่า ได้รับทุกข์ทรมานมากกว่า สัตว์ในขุมนี้ต้องเข้าไปยืนในดอกบัวเหล็ก ที่คมกริบ มิหนำซ้ำยังร้อนแรงด้วยไฟนรกอีกด้วย เผาไหม้สัตว์ตั้งแต่เท้าจนถึงศีรษะ เปลวไฟเข้าไปในทวารทั้ง ๙ จะตายก็ไม่ตาย ได้รับทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นนานถึง ๘,๐๐๐ ปีนรก เพราะกรรมในอดีตได้ตัดศีรษะสัตว์และมนุษย์เอาไว้มาก ทำโจรกรรมด้วยความอาฆาต พยาบาท ปล้นสมบัติในพระศาสนา ปล้นทรัพย์สิ้นของผู้มีพระคุณ พ่อแม่ครูบาอาจารย์และผู้ทรงศีลทั้งหลาย


    ขุมที่ ๖ คือตาปนรก สัตว์นรกจะได้รับความเร่าร้อนอย่างน่าเวทนา เพราะถูกหลาวเหล็ก ที่ร้อนโชติช่วงด้วยเปลวไฟ เสียบแทงสัตว์ทั้งหลายไว้ แล้วยังมีสุนัขนรกตัวใหญ่เท่าช้างสาร รุมทึ้งจนเหลือแต่กระดูก ชดใช้กรรมอยู่อย่างนี้ถึง ๑๖,๐๐๐ ปีนรก


    ขุมที่ ๗ คือมหาตาปนรก เป็นขุมที่สัตว์นรกได้รับความเร่าร้อนเหลือประมาณ ด้วยการถูกบังคับให้ขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่ร้อนลุกเป็นไฟ แล้วจะถูกลมกรดที่ร้อนแรงพัดกระหนํ่าสัตว์ให้ตกลงมาข้างล่าง ซึ่งมีขวากหนามเหล็กที่ร้อนแดงด้วยไฟนรก ปักเรียงรายอยู่ เสียบทะลุร่างกาย ดูแล้วน่าหวาดเสียวสยดสยอง ต้องทนทรมานอย่างนี้ถึงครึ่งอันตรกัป ก็คือการนับอายุจากที่มนุษย์อายุยืนเป็นอสงไขยถอยลงมาถึงอายุ ๑๐ ปี แล้วขึ้นไปถึงอสงไขยเป็น ๑ อันตรกัป ฉะนั้น ครึ่งอันตรกัป ก็ถือว่ายาวนานมาก


    ขุมสุดท้าย คืออเวจีมหานรก เป็นนรกที่สัตว์ถูกทรมานโดยไม่มีการหยุดพักเลย อยู่ลึกที่สุดและก็เสวยวิบากกรรมยาวนานที่สุดถึง ๑ อันตรกัป กรรมที่ทำให้เกิดในขุมนี้ เพราะทำอนันตริยกรรมเอาไว้ ตั้งแต่ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต และก็ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน


    นอกจากนี้ยังมีโลกันตนรก ซึ่งเป็นอีกภพหนึ่งที่พิเศษ สำหรับผู้ที่ทำกรรมชั่วมาก เป็นพิเศษ เช่นเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ จะไปอยู่สุดขอบปากจักรวาลโน่น ตรงนั้นจะมีความมืดมนอนธการ ไม่มีแสงเดือนแสงดาวให้เห็น มืดสนิทและก็เย็นยะเยือก โลกันตนรก ก็คือนรกที่อยู่สุดโลกสุดจักรวาล จะเห็นแสงสว่างทีก็ต่อเมื่อมีพระพุทธเจ้ามาเสด็จอุบัติขึ้นในโลก แสงสว่างแห่งพุทธธรรม จะโชติช่วงไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างไปถึงโลกันตนรก
    ถ้าร้อนที่สุดก็ไม่มีที่ไหนเกินอเวจีมหานรก แต่ถ้าเย็นที่สุดก็คือโลกันตนรกนี่แหละ แล้วสัตว์นรกในขุมนี้ก็มีรูปร่างใหญ่โตมาก เล็บมือเล็บเท้ายาวเฟื้อย ต้องใช้เล็บมือเท้าเกาะอยู่ที่ขอบจักรวาล ห้อยโหนตัวไปมาเหมือนค้างคาวห้อยหัวอยู่ตามกิ่งไม้ ห้อยโหนไปก็บ่นเพ้อรำพึงรำพันกับตัวเองว่า “ทำไมเราถึงมาทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่คนเดียวหนอ” เพราะมืดสนิทจนไม่เห็นสัตว์นรกที่อยู่ใกล้ๆ พอมือคว้าไปถูกเพื่อนซึ่งเป็นสัตว์นรกด้วยกัน ก็สำคัญว่าเป็นอาหาร ต่างคนต่างกัดกินเลือดกินเนื้อกัน จนพลัดตกลงไปข้างล่างที่เป็นทะเลนํ้ากรด
    ร่างกายจะถูกนํ้ากรดกัดจนเปื่อยแหลกเหลวไปทันที พอสิ้นใจตายก็กลับมาเกิด เป็นสัตว์นรกอีก แล้วรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นไปเกาะขอบจักรวาลตามเดิม ทนทรมาน อยู่อย่างนี้ จนกว่าจะครบชั่วหนึ่งพุทธันดร ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าทำกรรมบาปหยาบช้า มีความเห็นผิด อกตัญญูต่อบิดามารดา เป็นผู้มีดวงใจมืดบอด ใครทำคุณด้วยก็มองไม่เห็น แถมยังทำร้ายผู้ทรงศีล ด้วยอำนาจกรรมนี้ ทำให้มาอยู่ในสถานที่อันมืดมิดอย่างนี้


    ฉบับนี้ผู้เขียนคงขอจบเรื่องมหานรกทั้ง ๘ ดินแดนสำหรับคนบาปซึ่งเป็นภาคทฤษฏี เอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน การจะศึกษาเรื่องนรกสวรรค์ได้อย่างละเอียดและมีความเชื่อมั่นร้อยเปอร์เซนต์ ต้องอาศัยการทำใจให้หยุดนิ่ง เหมือนอย่างหลวงพ่อวัดปากนํ้า หรือคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ผู้เป็นครูอาจารย์ของพวกเราทั้งหลาย คุณยายท่านพูดเสมอว่า “นรกมีจริง เพราะยายลงไปช่วยพ่อขึ้นจากนรกมาแล้ว เปลวเพลิงในนรกสูงกว่าลำตาลหลายเท่านัก”


    ขณะนี้เรามีครูดีที่สามารถชี้ทางที่จะทำให้ได้ศึกษาเรื่องราวความลี้ลับของโลกและจักรวาลแล้ว เหลือแต่นักเรียนคือพวกเราต้องหมั่นนั่งสมาธิเจริญภาวนาทำตามอย่างครู แล้วเราจะได้ตระหนักว่า ชีวิตในโลกนี้แสนสั้น แต่ชีวิตหลังความตายช่างยาวนานนิ่งนัก จึงไม่ควรประมาทในชีวิต แม้ยังปฏิบัติไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราเชื่อเอาไว้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าเสียหายแต่อย่างไร เพราะความเชื่อใดที่ตั้งอยู่บนสัมมาทิฏฐิและอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องดีงาม พลังแห่งศรัทธานั้นจะส่งผลให้เราอยากงดเว้นจากบาปอกุศล ทำแต่สิ่งที่เป็นบุญกุศล ผลแห่งความเชื่อนั้น จะทำให้เราไม่ต้องพลัดตกไปทนทุกข์ทรมานในมหานรกทั้ง ๘ ขุม ที่น่าสะพรึงกลัว มีแต่เวียนวนอยู่ในสุคติภูมิอย่างเดียวเท่านั้น

     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]

    [​IMG] โลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นตลาดกลางการค้าบุญและบาปที่ใหญ่ที่สุด ผลของบุญและบาปจะตามส่งผลให้เสมอ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการกระทำในสมัยที่เป็นมนุษย์ ถ้าทำแต่ความดี ก็จะบันเทิงอยู่ในโลกทั้งสอง คือมีความสุขทั้งโลกนี้ แม้ละโลกไปแล้วก็ไปบันเทิงในโลกหน้า เหมือนการที่ตึกทวินเทาเวอร์ หรือตึกเวิลด์เทรดในสหรัฐอเมริกา ได้ถูกเครื่องบินสองลำพุ่งชน ทำให้เกิดการพังพลายลงมาภายในไม่กี่ชั่วโมง
    ซึ่งนับเป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนขวัญและช๊อคคนทั้งโลก ที่ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณ์นี้จะบังเกิดขึ้นได้ นึกว่าคงเป็นเพียงแค่ในภาพยนต์ที่เขาได้ถ่ายทำมาหลอกสายตาผู้ชมเท่านั้น แต่ความจริงก็คือความจริง ทุกสิ่งในโลกล้วนตกอยู่ในกฏของไตรลักษณ์ไม่ช้าก็เร็ว สักวันหนึ่งก็ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุด
    ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นสิ่งที่ยากจะคำนวนด้วยตัวเงิน เพราะชีวิตของมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย เวลาแม้เพียงน้อยนิด สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นสมบัติได้มากมายมหาศาล

    แต่สมบัติแม้มีมากมายก็ไม่อาจสามารถหยุดยั้งเวลาและลมหายใจที่กำลังจะหมดไปของเราได้ จะมีสักกี่คนไหมที่มีโอกาสเตรียมตัวตาย จะมีสักกี่คนไหมหนอ ที่มั่นใจว่า ถ้าตายไปแล้วจะมีบุญพอที่จะเป็นเสบียงนำทางไปสู่สุคติสวรรค์ เพราะพญามัจจุราชไม่เคยปราณีใคร ความตายจึงเป็นสิ่งที่ใครๆ จะหลบหนีพ้นได้ยาก

    ดังนั้น ผู้มีปัญญาเห็นคุณค่าของชีวิต จึงไม่ควรประมาทในชีวิต มุ่งสั่งสมบุญเพื่อเป็นเสบียงในการเดินทางข้ามวัฏสงสารให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้สั่งสมบุญ ไม่เห็นแก่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว และก็ไม่แสวงหาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แต่จะสร้างบุญบารมีในทุกโอกาส ส่วนผู้ไม่รู้ก็ปล่อยชีวิตไปวันๆ ไม่ได้มองไปในอนาคต ไม่ทำบุญกุศลอะไร นอกจากจะไม่ทำแล้ว ยังขัดบุญของคนอื่นอีกด้วย เมื่อละโลกไปแล้ว ก็ต้องไปเป็นเปรต ผู้หิวโหย ไม่ได้รับความอิ่มหนำสำราญใจแม้แต่วันเดียว


    มีวาระพระบาลีที่ปรากฏในคาถาธรรมบทว่า
    ผู้ทำบุญแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้ ละโลกไปแล้ว ย่อมบันเทิงยิ่งขึ้นไป
    ย่อมชื่อว่าบันเทิงในโลกทั้งสอง เมื่อมองเห็นกรรมอันบริสุทธิ์ของตนแล้ว
    ย่อมร่าเริงบันเทิงใจมากยิ่งขึ้น


    ในสมัยหนึ่ง พระสังกิจจะเถระ ได้พาลูกศิษย์ประมาณ ๕๐๐ รูป ไปนมัสการสถานที่แสดงปฐมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวบ้านเห็นพระภิกษุมากันมากมาย ก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ได้ชักชวนกันมาถวายภัตตาหารเป็นประจำ

    แต่มีพราหมณ์สองสามีภรรยาคู่หนึ่ง ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้สั่งสอนลูกทั้ง ๓ คนว่า อย่าไปทำบุญให้ทาน แต่ทุกๆ ท่าน เป็นคนมีบุญมีปัญญา เมื่อได้ฟังธรรมจากพระเถระ ก็เกิดดวงปัญญา เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมาก จึงได้นิมนต์พระมาฉันที่บ้านเป็นประจำ
    ส่วนหลานชายเมื่อได้ฟังธรรมะเป็นประจำ ก็พิจารณาเห็นโทษเห็นภัยในวัฏสังสาร จึงขออนุญาตพ่อแม่ออกบวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้วท่านก็ไปฉันภัตตาหารที่บ้านบ่อยๆ

    เนื่องจากไม่สำรวมอินทรีย์ จึงอยากลาสิกขาออกมาแต่งงาน สามเณรกลับมาวัดบอกพระอาจารย์ ว่าอยากลาสิกขาแล้ว พระเถระท่านเห็นว่าสามเณรเป็นผู้มีบุญพอที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ จึงบอกให้สามเณรเลื่อนเวลาออกไปอีกหนึ่งเดือน พอครบหนึ่งเดือนสามเณรก็เข้ามาหาใหม่ พระอาจารย์ก็บอกว่า ให้รอไปอีกหนึ่งอาทิตย์ คืนหนึ่งบ้านของลุงป้าเกิดพายุพัดกระหนํ่าเข้าใส่ จึงพังลงมาทับคนในบ้านตายหมดทั้งครอบครัว

    ผู้ที่เป็นลูกชายลูกสาวของพราหมณ์ได้ไปบังเกิดเป็นภุมมเทวา มีรัศมีกาย สว่างไสวทีเดียว ลูกคนโตมีช้างเป็นพาหนะ ลูกคนเล็กมีรถเทียมม้าเป็นพาหนะ ส่วนลูกสาว มีวอทองเป็นพาหนะ เพราะผลบุญที่เกิดจากการฟังธรรม และถวายทานเป็นประจำนั่นเอง ส่วนพราหมณ์พ่อแม่ไปบังเกิดเป็นเปรต ตัวสูงเท่าลำตาล รูปร่างผอมโซ ต่างคนก็ต่างถือเอาฆ้อนเหล็กขนาดใหญ่มาทุบตีกัน ที่ที่ถูกทุบจะมีฝีประมาณเท่าหม้อลูกใหญ่ ผุดขึ้น เมื่อหัวฝีแก่เต็มที่ก็แตกออก นํ้าเลือดนํ้าเหลืองใหลไม่หยุด ทั้งสองคนคคอยดูดกินนํ้าเลือดนํ้าหนองของกันและกันด้วยความหิวกระหาย


    คืนต่อมา สามเณรก็เข้าไปลาพระเถระเป็นครั้งที่ ๓ พระเถระจึงพาสามเณร ไปหลังวิหาร แล้วอธิษฐานจิตให้เทพบุตรทั้ง ๒ กับเทพธิดาที่เป็นญาติมาปรากฏกายให้เห็น สามเณรเมื่อได้เห็นเทพบุตรเทพธิดาที่เป็นญาติของตัว เป็นผู้มีรัศมีกายสว่างไสวแวดล้อมด้วยบริวาร พากันมาทางอากาศ มีดนตรีทิพย์บรรเลงไพเราะเสนาะโสต ก็ปลื้มปีติร่าเริงบันเทิงใจ
    แล้วสามเณรก็ได้เห็นเปรตสองตายายที่เที่ยวเอาฆ้อนไล่ทุบตีกัน รูปร่างดำทะมึน มีผมยาวรกรุงรังน่าเกลียดน่ากลัว มีนํ้าเลือดนํ้าหนองไหลออกมาไม่ขาด ร่างกายก็น่าขยะแขยง เที่ยวติดตามเหล่าเทพบุตรเทพธิดาที่เคยเป็นลูกไปทุกหนทุกแห่ง สามเณรยืนดูด้วยความตะลึง เพราะไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน จึงร้องถามเปรตไปว่า ไปทำกรรมอะไรมา ถึงต้องมาดื่มกินโลหิตของกันและกันอย่างน่าเวทนาอย่างนี้


    เปรตก็เล่าให้สามเณรฟังว่า เทพบุตรที่ขี่ช้างเผือกชาติกุญชรนำหน้าไปนั้น เป็นลูกชายคนโต สมัยที่เป็นมนุษย์เขามีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ถวายทานกับพระสงฆ์หมู่ใหญ่ จึงได้รับความสุขความบันเทิงใจ ผู้ที่นั่งรถเทียมม้าอัสดรเป็นลูกชายคนกลาง เขาไม่ตระหนี่เป็นทานบดีผู้ใจบุญ ส่วนนางฟ้าผู้มีดวงตางดงามนั้นเป็นลูกสาว เมื่อเป็นมนุษย์นางได้ถวายทานแด่พระสงฆ์ด้วยความเคารพ
    ส่วนพวกเราสมัยเป็นมนุษย์ก็คือลุงกับป้าของสามเณรนั่นแหละ มีความตระหนี่ ไม่ได้ให้ทาน แล้วยังเที่ยวด่าบริภาษสมณพราหมณ์ผู้มาฉันภัตตาหารที่บ้าน มีทรัพย์แล้วแต่ไม่ได้ให้ทาน มัวแต่สะสมเก็บตุนเอาไว้ แล้วยังห้ามลูกๆ ไม่ให้ทำบุญให้ทานอีกด้วย ผลบาปนั้น ทำให้ต้องมาทนทุกข์ทรมานในอัตภาพของเปรต ขอให้สามเณรช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ด้วยเถอะ เพราะขณะนี้ทุกข์มากต้องกินนํ้าเลือดนํ้าหนองของกันและกัน กรรมนั้นก็บังคับให้ทุบตีกันด้วยความโกรธอีก ไม่เคยได้รับความสุขเลย เพราะความตระหนี่ จึงไม่เคยให้อะไรแก่ใครเลย ผลก็คือต้องมาลำบากเป็นทุกข์อย่างที่เห็นนี้แหละ


    สามเณรได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็บังเกิดความสลดสังเวชใจ สงสารลุงกับป้าจับใจ จึงเข้าไปกราบพระอาจารย์แล้วเรียนท่านว่า จะไม่ลาสิกขาแล้ว แต่นี้ต่อไปจะตั้งใจปฏิบัติธรรมส่งบุญให้โยมลุงโยมป้าให้พ้นจากอัตภาพของเปรต สามเณรได้มุ่งมั่นทำความเพียร ไม่ให้ใจ ออกห่างจากศูนย์กลางกายเลย ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แล้วก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ลุงป้าเป็นประจำ ทำให้ท่านพ้นจากอัตภาพของเปรตไปบังเกิดบนสวรรค์


    เราจะเห็นว่า สิ่งที่เราได้ทำเอาไว้ไม่สูญหายไปไหน ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว จะก่อตัวเป็นดวงบุญและดวงบาปติดอยู่ในกลางกายของเรา คอยวันเวลาที่จะส่งผล เหมือนผลไม้ที่สุกงอมแล้วก็ต้องร่วงหล่นจากต้น หรือเหมือนฝนที่ตกลงมาเต็มลำธาร แล้วจะไหลไปสู่แม่นํ้า เอ่อล้นไหลต่อไปถึงทะเลมหาสมุทร เพราะฉะนั้น บุญบาปที่สั่งสมในสมัยที่เป็นมนุษย์ แม้ไม่ทันส่งผลในชาตินี้ ก็จะตามไปให้ผลในภพชาติต่อไป
    คนเราแม้ไม่อาจจะกำหนดความตายได้ แต่เราก็สามารถเลือกเกิดได้ ชีวิตของเราจะให้เป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับใจของเรา เมื่อเราละจากโลกนี้ไป โอกาสที่เราจะเลือกเกิดในสุคติภพก็ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้ใช้โอกาสที่เป็นมนุษย์นี้ ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับชีวิตของเราหรือเปล่า หากมีบุญเสียแล้วต้องเลือกเกิดได้ จะไปเป็นเศรษฐีหรือเป็นสหายแห่งเทพในโลกสวรรค์ หรือจะไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในอบายภูมิ ก็อยู่ที่ตัวของเราเอง ชีวิตนี้แล้วแต่เราจะเลือกเดิน


    เรารู้แล้วว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก เพราะกว่าจะได้อัตภาพนี้มา จะต้องมีกำลังบุญมากพอที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ากำลังบุญน้อยๆ มาเกิดไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่เราได้มาด้วยความยากลำบากนี้ ส่วนใหญ่มักจะใช้กันอย่างไม่ทะนุถนอม ใช้กันอย่างถล่มทลายโดยไม่รู้คุณค่าของกายมนุษย์ว่าสำคัญแค่ไหน เหมือนคนหาเงินมาได้ด้วยความยากลำบาก เพื่อจะได้ซื้อรถดีๆ สักคัน พอได้มาแล้วก็ไม่ได้ดูแลรักษา ใช้อย่างไม่ทะนุถนอม ใช้ไปไม่กี่ปีก็พังเสียแล้ว ไม่คุ้มกับเงินทองที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยากลำบากเลย
    เพราะฉะนั้น พวกเราทุกคนควรให้ความสำคัญกับการสั่งสมบูญให้มากๆ เพราะบุญเท่านั้นที่จะไปเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

    นักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลาย ท่านรู้คุณค่าบุญ ลมหายใจของท่านเป็นไปเพื่อการสั่งสมบุญกุศลล้วนๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยได้กล่าวเอาไว้ว่า “ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็ต้องสั่งสมบุญและก็ฝึกฝนอบรมตนเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมทั้งวิชชาและจรณะ เราจะต้องมีหัวใจของนักสร้างบารมีอย่างพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย คือไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติก็ตาม ต้องสร้างความดีไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท้อก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่เป็น เป็นแต่สร้างความดีให้เต็มที่ ในทุกที่ ทุกเวลานาที เราต้องสั่งสมบุญตลอดเวลาเหมือนกับการหายใจ ให้มีกระแสบุญคอยหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา เหมือนไฟไม่ขาดเชื้อ ถ้าหมดบุญก็หมดลม เราจึงไม่ควรหายใจเข้าออกฟรี เพราะเราเป็นนักสร้างบารมีพันธุ์อกาลิโก คือสั่งสมบุญกันทุกที่ ทุกเวลานาที เป็นนักสร้างบารมีพันธุ์อจินไตย ลมหายใจนี้มีไว้เพื่อการสร้างบารมีอย่างเดียว...
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]
    [​IMG]
    บุญเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่จะอำนวยความสุขให้เราทั้งในภพนี้ และในสัมปรายภพ ความสำเร็จสมปรารถนาจะบังเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยบุญกุศลที่เราได้ทำไว้ อย่างดีแล้วเท่านั้น เราจะเข้าถึงความเป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีได้ก็เพราะบุญ จะเข้าถึง ความเป็นพระราชา เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีเสนาที่เกรียงไกร ท่องเที่ยวไปได้ทั่วทวีปทั้ง ๔ ก็เพราะบุญ
    เราจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือเป็นพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าได้ ก็เพราะบุญ เพราะฉะนั้นบุญจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้เราได้บรรลุเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต คือได้บรรลุมรรคผลนิพพาน

    พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ในนิธิกัณฑสูตรว่า
    อสาธารณมญฺเญสํ อโจรหรโณ นิธิ
    กยิราถ ธีโร ปุญฺญานิ โย นิธิ อนุคามิโก
    ขุมทรัพย์ คือ บุญนี้ ไม่ทั่วไปแก่ชนเหล่าอื่น โจรก็ลักไปไม่ได้ ธีรชนพึงกระทำบุญทั้งหลาย อันเป็นขุมทรัพย์ที่ติดตามตัวไปได้


    การดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนมีความแตกต่างกันในสภาพ ของความเป็นอยู่ บางคนใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เกิดมาก็มีสมบัติบังเกิดขึ้นรอคอย เป็นผู้พรั่งพร้อมทั้งรูปสมบัติ จะใช้จ่ายทรัพย์สมบัติ ก็มีมากมายเหลือเฟือที่จะแบ่งปันสงเคราะห์ผู้อื่น สิ่งที่คอยส่งเสริมสนับสนุนให้เป็นผู้มีชีวิตที่สมบูรณ์อย่างนี้ได้ ก็เพราะอานุภาพบุญที่ได้สั่งสมเอาไว้ดีแล้วในอดีต ขุมทรัพย์คือบุญนี้จึงเป็นของเฉพาะตน ใครทำคนนั้นก็ได้ ไม่สาธารณะสำหรับบุคคลทั่วไปที่ แล้วยังขโมยเอาไปเหมือนเงินทองของมีค่าก็ไม่ได้ เพราะบุญเป็นของละเอียดติดอยู่ในกลางกายของผู้เป็นเจ้าของ


    บุญที่เราสั่งสมเอาไว้มากๆ นั้น ถ้าเป็นที่สุดของความเป็นใหญ่ในทางโลกคือ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หากเป็นคนรํ่ารวย ก็เริ่มตั้งแต่เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี บรมเศรษฐีมีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง ที่สุดในชีวิตทางธรรมคือเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรืออรหันตสาวกที่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์
    รัตนะทั้ง ๗ ของพระเจ้าจักรพรรดิ


    ฉบับนี้ผู้เขียนขอนำเอาเรื่องราวของพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นใหญ่ในโลกทั้ง ๔ มาเล่าสู่ท่านผู้อ่านได้รับประดับความรู้กันว่า พระเจ้าจักรพรรดิที่แท้จริงนั้น มีความยิ่งใหญ่ สามารถปกครองคนทั้งโลกได้อย่างไร ในมหาสุทัสสนสูตรได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่ามหาสุทัสสนะ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ปกครองทวีปทั้ง ๔ ตั้งแต่ชมพูทวีปคือโลกที่เราอาศัยอยู่ รวมไปถึงโลกอื่นๆ ที่เรียกว่าอุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหะทวีป และอปรโคยานทวีป แต่ละทวีปก็มีสิ่งมีชีวิตมีมนุษย์อาศัยอยู่เหมือนกัน แต่มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไป ผิวพรรณวรรณะ รูปร่างหน้าตาก็แตกต่างกันไป จะไปรู้ไปเห็นหรือติดต่อสื่อสารถึงกันได้ ในสมัยนี้ต้องอาศัยใจที่หยุดนิ่งอย่างเดียว จะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างไรก็ไปไม่ถึง แต่ในสมัยก่อนพระเจ้าจักรพรรดิ ท่านไปถึงได้ เพราะท่านเป็นผู้มีบุญที่อำนวยความสะดวกให้ท่าน มีช้างแก้ว ม้าแก้ว สามารถนำพระองค์พร้อมด้วยบริวารออกตรวจตราดูความสงบเรียบร้อยของคนทั้งโลก ปกครองด้วยทศพิธราชธรรม มนุษย์สมัยนั้นมีศีล ๕ ทำให้โลกเกิดความสงบร่มเย็น


    พระเจ้าจักรพรรดิมหาสุทัสสนะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก เมื่อพระองค์ท่านสนานพระเศียร ชำระพระวรกาย แล้วตั้งใจรักษาอุโบสถในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ คํ่า ทรงประทับอยู่บนปราสาทชั้น ๗ ชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ เมื่อถึงคราวจักกรัตนะคือจักรแก้ว ก็บังเกิดขึ้น มีกำกงดุมบริบูรณ์ด้วยรายละเอียดทุกอย่าง พอจักรแก้วเกิดขึ้น พระองค์ก็เสด็จลุกจากที่ประทับนั่ง แล้วใช้พระหัตถ์ขวาชูจักรแก้วขึ้น ตรัสว่า จักรแก้วจงหมุนไปเถิด จักรแก้วจงพิชิตเถิด ทันใดนั้นจักรแก้วก็หมุนไป ในทิศต่างๆ พระองค์พร้อมทั้งหมู่เสนา ก็เสด็จไปพรัอมกับจักรแก้ว ถึงประเทศใด ประเทศนั้น ก็ยอมสวามิภักดิ์ โดยไม่ต้องรบราฆ่าฟันให้เสียเลือดเสียเนื้อ ยอมรับด้วยกำลังบุญ


    พระองค์ก็จะประทานโอวาท ให้รักษาศีลห้า คืออย่าฆ่าสัตว์เบียดเบียนซึ่งกันและกัน อย่าลักขโมยสิ่งของคนอื่น อย่าประพฤติผิดในกาม อย่าพูดโกหกหลอกลวง ให้เว้นจากการดื่มนํ้าเมาซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท และให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เมื่อจักรแก้วหมุนไปทวีปไหนเมืองไหน พระราชาเมืองนั้นก็ยอมสวามิภักดิ์หมด ครั้นพิชิตจนหมดทุกทวีปแล้ว ก็เสด็จกลับสู่พระนครตามเดิม


    หัตถีรตนัง คือช้างแก้ว เป็นพญาช้างชื่ออุโบสถ ตัวขาวปลอด สวยงามมาก มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ แคล่วคล่องว่องไว ต่างจากช้างในปัจจุบันนี้มาก เมื่อบุญบันดาล พญาช้างอุโบสถจะเหาะมาจากป่าหิมพานต์มาเป็นหัตถีมงคลคู่พระทัยของพระองค์ พระเจ้าสุทัสสนะปรารถนาจะทดลองช้างนั้น ตอนเช้าก็เสด็จประพาสเลียบพระนครในชมพูทวีป ไปจนจรดขอบมหาสมุทร แล้วเสด็จกลับมาเมืองหลวงคือกรุงกุสาวดี ก็ยังทันเสวยพระกระยาหารเช้า


    อัสสรตนัง คือม้าแก้ว เป็นพญาม้าชื่อวลาหก ลักษณะสวยงามมาก มีหางเป็นพวง ตรงปลายเหมือนดอกบัวตูม มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ พระองค์จะทรงทดลองอานุภาพของม้าแก้ว ก็ทรงทดลองเหมือนอย่างช้างแก้ว ควบไปทั่วแผ่นดินจนจรดขอบมหาสมุทร แล้วเสด็จกลับกรุงกุสาวดีมาทันเสวยพระกระยาหารเช้า


    พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีมณิรตนังคือแก้วมณี เปล่งแสงสุกสกาว ใสแวววาว คอยบันดาลความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่างให้บังเกิดขึ้น ดึงดูดสมบัติทั้งหลายมาใช้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบาย สามารถเลี้ยงคนได้ทั้งชมพูทวีป โดยไม่ต้องทำมาหากิน ดวงแก้วมณีนี้ มีรัศมีแผ่ออกไปโดยรอบถึง ๑ โยชน์ พระองค์ทรงทดลองดวงแก้วมณี ด้วยการให้ตระเตรียมกองทัพ ๔ เหล่า แล้วนำเอาแก้วมณีวางไว้บนยอดธง เสด็จออกไปในยามคํ่าคืนที่มืดมิด แสงของแก้วมณีนั้นก็สว่างไปทั่ว ทำให้กองทัพเดินไปได้อย่างสะดวกสบาย เหมือนเดินทางในเวลากลางวัน


    นอกจากนี้ยังมีอิตถรัตนังคือนารีรัตน์ เป็นนางแก้วคอยปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าจักรพรรดิอย่างดี เป็นหญิงที่มีบุญญาธิการ รูปงามน่าดูชม ผิวพรรณเปล่งปลั่งผ่องใส สวยงามกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ก็ไม่ถึงกับทิพย์ มีกลิ่นจันทน์หอมฟุ้งออกจากกาย กลิ่นอุบลหอมฟุ้งออกจากปาก จะคอยดูแลเรื่องส่วนตัวของพระเจ้าจักรพรรดิ นางแก้วนี้จะตื่นก่อนนอนหลังพระเจ้ามหาสุทัสสนะเสมอ คอยฟังรับสั่ง ประพฤติชอบพระหฤทัยเพ็ดทูลด้วยคำที่น่ารัก


    คหปติรัตนัง คือขุนคลังแก้วของพระองค์ สามารถนำทรัพย์สมบัติมาถวายเป็นบรรณาการ ขุมทรัพย์อยู่ที่ไหน ขุนคลังแก้วก็เห็นหมด มีเรื่องเล่ากันว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนะ จะทรงทดลองคฤหบดีแก้ว จึงเสด็จขึ้นประทับเรือ หยั่งลงสู่กระแสกลางแม่คงคา มีรับสั่งกับคฤหบดีแก้วอย่างนี้ว่า “คฤหบดี ฉันต้องการเงินทอง” คฤหบดีทูลว่า “มหาราชเจ้า ถ้ากระนั้น โปรดเทียบเรือเข้าไปริมตลิ่งเถิด” แต่พระเจ้าจักรพรรดิทรงยืนกรานว่าอยากได้ตรงนั้นแหละ คฤหบดีแก้วจึงเอามือทั้งสองข้างจุ่มลงน้ำ แล้วก็ยกเอาหม้อที่เต็มไปด้วยเงินทองขึ้นมาถวายได้ด้วยกำลังบุญของตัวเอง
    และสุดท้ายคือปริณายกรัตนังคือขุนพลแก้ว เป็นขุนศึกคู่ใจ คอยดูแลบ้านเมืองช่วยพระเจ้าจักรพรรดิ และก็เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ ให้คำปรึกษาแก่พระเจ้าจักรพรรดิในสิ่งที่ควร ที่นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป


    ความพิเศษของพระเจ้าจักรพรรดิ


    นอกจากนี้พระเจ้าจักรพรรดิยังมีบุญที่พิเศษอีก ๔ อย่าง ซึ่งปุถุชนคนธรรมดา ไม่มี คือ ๑. พระเจ้าจักรพรรดิจะมีรูปงาม น่าเลื่อมใส ฉวีวรรณผ่องใส ยิ่งกว่ามนุษย์ทุกคนในโลก ๒. มีพระชนมายุยืนนานยิ่งกว่าใครๆ ๓. มีอาพาธน้อย มีโรคน้อย สุขภาพแข็งแรงกว่าคนอื่น และประการสุดท้าย พระองค์จะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวาทั้งหลาย แม้เทวดาก็เกรงใจ
    นี่คือบุญพิเศษที่เป็นอสาธารณะ ไม่ทั่วไปแก่คนเหล่าอื่น แต่แม้พระองค์ท่านจะมีบุญบารมีมาก มีมหาสมบัติถึงขนาดนี้ ท่านก็ไม่ประมาทในการสร้างบารมีเลย ยังทรงให้ทานแก่สมณพราหมณ์ ตั้งโรงทานแก่ประชาชนทั่วไป บำเพ็ญประโยชน์ บำบัดทุกข์บำรุงสุข ดูแลเอาใจใส่ทุกข์สุขของเหล่าอาณาประชาราษฏร์


    พระเจ้าจักรพรรดิมหาสุทัสสนะ ท่านใช้เวลาถึง ๘๔,๐๐๐ ปีในการรักษาศีล ประพฤติธรรม และบำเพ็ญภาวนาอยู่บนชั้นบนสุดของธรรมปราสาท เพราะพระองค์พิจารณาว่า มหาสมบัติที่บังเกิดขึ้นมานี้ ก็ด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ ทาน การให้ ทมะ การฝึกใจ สัญญมะ การสำรวมระวังจิต คือรักษาใจให้ผ่องให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรมนั่นเอง ท่านจึงไม่ประมาทในการสร้างบารมี ได้รักษาอุโบสถศีลจนตลอดพระชนมายุ เมื่อละโลกก็ทิ้งสมบัติจักรพรรดิในเมืองมนุษย์ แล้วไปเสวยทิพยสมบัติในสุคติโลกสวรรค์ต่อไป


    เราจะเห็นว่า พระเจ้าจักรพรรดิที่แท้จริงนั้น ทรงเป็นผู้นำแห่งสันติภาพ การรบไม่ต้องเสียเลือดแม้เพียงหยดเดียว แล้วพระองค์ก็ไม่ประมาท สั่งสมบุญอยู่เป็นประจำ พวกเราเองก็ควรเจริญรอยตามแบบอย่างที่ดีงามของบัณฑิตในกาลก่อน โดยเฉพาะเราสร้างบารมีกันเป็นทีม เมื่อถึงคราวจะเป็นมหาเศรษฐี ก็เป็นกันทั้งทีมจะมีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่องเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันเลย ไม่มีใครน้อยหน้ากว่ากัน แต่เราจะมีกันพร้อมหน้า จะได้ช่วยกันสร้างโลกแก้ว โลกแห่งสันติสุขให้บังเกิดขึ้นแก่มวลมนุษยชาติ ให้เหมือนกับในสมัยของพระเจ้าจักรพรรดิ สิ่งใดที่ใครว่าเป็นไปไม่ได้ แต่จะเป็นไปได้ในหมู่คณะของนักสร้างบารมีอย่างพวกเรานี่แหละ

    โดยเฉพาะนักสร้างบารมีอย่างพวกเรานั้น สิ่งที่ปรารถนามากที่สุด คือการได้มาเป็นนักรบกล้ากองทัพธรรมของตะวันธรรม ที่จะยํ่าธรรมเภรี มีเป้าหมายเพื่อปราบมารประหารกิเลส ให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ มุ่งที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งนิพพานให้หมด

    เป็นเศรษฐี มีเงินทอง กองท่วมฟ้า
    เป็นมหา- ราชาเจ้า ผู้สูงศักดิ์
    เป็นองค์อินทร์ จอมฟ้า ยิ่งใหญ่นัก
    แต่เราจัก เป็นนักรบ กองทัพธรรม....

     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา แต่ละถ้อยคำที่เปล่งออกจากพระโอษฐ์ เป็นสิ่งที่มีค่าเอนกอนันต์ ทุกถ้อยคำที่พระองค์ได้ทรงแนะนำสั่งสอนชี้แนะหนทางแสงสว่าง ให้แก่เรานั้น มีค่ากว่ารัตนะทั้ง ๗ ที่พระเจ้าจักรพรรดิหยิบยื่นให้เสียอีก เพราะสมบัติจักพรรดิจะทำให้เราสมบูรณ์พร้อม เฉพาะในโลกนี้ที่เป็นมนุษย์อยู่เท่านั้น แต่แสงแห่งธรรมอันเกิดจากรัตนะภายใน ที่ส่องสว่างในกลางใจ จะส่งผลให้เราสมบูรณ์พร้อมทั้งมนุษย์สมบัต ทิพยสมบัติและนิพพานสมบัติ
    เราจะดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ทั้งภัยในโลกนี้ และภัยในสังสารวัฏ ชีวิตเราจะก้าวไปสู่ความเต็มเปี่ยมได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็เพราะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ดังนั้น การปฏิบัติธรรมด้วยการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส จึงเป็นทางมาแห่งรัตนภายนอกและภายใน เป็นทางแห่งความหลุดพ้น

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในเทวทูตสูตรว่า
    นรชนเหล่าใด เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ถูกเทวทูตตักเตือนแล้ว ยังประมาทมัวเมาในชีวิตอยู่ นรชนเหล่านั้นจะเข้าถึงอบายภูมิ เศร้าโศกสิ้นกาลนาน ส่วนผู้เป็นนักปราชญ์บัณฑิต ถูกเทวทูตตักเตือนแล้ว ก็ไม่ประมาทในธรรมของพระอริยเจ้า เห็นโทษภัยในความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นเหตุให้เกิดชาติและมรณะ แล้วไม่ถือมั่นในธรรมเหล่านั้น ย่อมล่วงพ้นจากทุกข์เข้าถึงความสุขอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ


    ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ที่เราเห็นกันอยู่เป็นประจำนี้ พระองค์ตรัสเรียกว่าเป็นเทวทูต ที่จะเตือนใจให้เราไม่ประมาทในชีวิต โดยให้เรามองให้เห็นว่า ทันทีที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่บ่งบอกถึงความทุกข์ที่เราสังเกตเห็นได้ ก็คือเสียงร้องไห้ของเด็กทารกแรกเกิด ความเกิด มาพร้อมกับความแก่ แต่ค่อยๆ แก่เปลี่ยนแปลงไปตามวัยตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน จนกระทั่งวัยชรา เมื่อชีวิตเข้าสู่ความแก่ชรา สังขารก็ร่วงโรย ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างบารมี ลุกนั่งก็ไม่สะดวก แล้วโรคภัยไข้เจ็บ ก็มาเบียดเบียน บางครั้ง ทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้ด้วยความยากลำบากตลอดชีวิต ก็ค่อยๆ หมดไปกับการรักษาสังขารร่างกายนี้ให้อยู่ต่อไป พอถึงคราวความเจ็บป่วยรุมเร้าหนักเข้า ก็ไม่มีใครที่จะมาแบ่งเบาความทุกข์นี้ได้


    โดยเฉพาะเมื่อถึงคราวที่พญามัจจุราชมาเยือน ก่อนจะละโลก ไม่มีใครเลยที่จะมาช่วยเราได้ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง ความดีและบุญกุศลที่เราได้ทำเอาไว้นี่น่ะแหละ จะเป็นที่พึ่งแก่เราในยามนั้น ดังนั้นความทุกข์ต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่เกิด จนกระทั่งตาย นักปราชญ์บัณฑิตท่านมองเห็นว่า เป็นเครื่องเตือนสติให้เราไม่ประมาทในการสร้างความดี เมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหล่านี้แล้ว ก็จะได้หาทางที่จะได้ไม่ต้องเกิด กันอีกต่อไป พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ทางไปพระนิพพาน เป็นทางไปสู่ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นทางแห่งความหลุดพ้น ที่เป็นเป้าหมายปลายทางของมนุษย์ทุกๆ คน


    สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาตรัสให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ที่เกิดตามภพภูมิต่างๆ แล้วทรงทราบว่า หมู่สัตว์ได้เสวยกรรมดี เพราะประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริต เป็นสัมมาทิฎฐิ เชื่อกฎแห่งกรรม ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เมื่อละโลกไปแล้ว ก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ หรือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ถึงพร้อมด้วยสมบัติ ส่วนผู้ที่ทำกรรมชั่ว ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฎฐิ ละโลกก็เข้าถึงเปรตวิสัยก็มี ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็มี เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็มากมาย
    สำหรับผู้ทำกรรมชั่วเอาไว้ เวลาละจากโลกนี้ไปแล้ว จะถูกนายนิริยบาลซึ่งเป็นยมทูตนำไปลงโทษ

    เริ่มตั้งแต่พาไปพบพระยายมราช ซึ่งเป็นใหญ่ในเมืองนรก เป็นเรื่องจริงที่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก เป็นเหมือนผู้พิพากษา คอยทำหน้าที่ตัดสินสัตว์นรก ที่ทำกรรมชั่วให้ไปเสวยกรรม พอนายนิริยบาลนำสัตว์นรกนั้นไปหาพระยายม ก็จะไต่สวนว่า
    พระยายม “ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๑ ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ”
    สัตว์นรก “ไม่เห็นเลย”
    พระยายม “ท่านไม่ได้เห็นเด็กทารกที่เกิดมาบ้างหรือ”
    สัตว์นรก “เคยเห็น”
    พระยายม “พอเห็นอย่างนั้นแล้ว เคยคิดบ้างไหมว่า แม้เราก็มีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้”
    แต่เนื่องจากสัตว์นั้นไม่เคยคิดมาก่อน ก็เลยตอบว่า “ไม่เคยคิดเลย”
    พระยายม “แล้วเคยเห็นเทวทูตที่ ๒ คือ คนชรา หลังค่อม ถือไม้เท้าเดินงกๆ เงิ่นๆ นั้นน่ะ ท่านเคยเห็นบ้างมั๊ย ?”
    สัตว์นรก “เคยเจ้าข้า”
    พระยายม “เมื่อเห็นแล้ว เคยได้สติ มีความคิดที่จะทำความดีบ้างมั๊ย”
    สัตว์นรก “ไม่เคยคิดเลยเพราะกำลังมัวเพลิดเพลินอยู่”
    พระยายมก็จะให้โอกาส ด้วยการถามปัญหาต่อไป จุดประสงค์ของการถาม ก็เพียงเพื่อจะให้ผู้นั้นได้นึกถึงคุณงามความดี ที่เคยทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์ จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีๆ นั่นเอง


    ท่านถามถึงเทวทูตที่ ๓ ว่า “แล้วเคยเห็นคนป่วยหนัก ที่เวลาเดินต้องมีคนคอยพยุงบ้างมั๊ย”
    สัตว์นรก “เคยเห็น”
    พระยายม “เมื่อเห็นแล้ว เคยคิดไหมว่า ตัวเรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้ ควรจะรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ”
    สัตว์นรก “เรื่องนี้ไม่ได้ฉุกคิดเลย เพราะข้าพเจ้ามัวประมาทอยู่”
    พระยายม “ถ้าอย่างนั้น เคยเห็นเทวทูตที่ ๔ คือนักโทษที่ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับตัวมาลงโทษ ให้ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานบ้างมั๊ย”
    สัตว์นรก “เคยเห็นเจ้าข้า”
    พระยายม “พอเห็นแล้ว ได้สติคิดว่า “แม้ถ้าเราทำความชั่วเช่นนี้ คงจะต้องถูกลงโทษ อย่ากระนั้นเลย เราพึงทำแต่ความดี จะได้ไม่ถูกลงโทษ” เคยคิดอย่างนี้บ้างไหม
    สัตว์นรก “ไม่เคยคิดเลย”
    พระยายมราช จะถามถึงเทวทูตที่ ๕ ว่า “ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นคนที่ตายไปแล้ว สองสามวันก็ขึ้นอืด เนื้อตัวเขียวชํ้า มีนํ้าเลือดนำ้เหลืองไหลเยิ้ม ในหมู่มนุษย์บ้างหรือ”
    สัตว์นรก “เคยเห็นมาบ้าง”
    พระยายม “เมื่อเห็นแล้ว เคยคิดบ้างไหมว่า แม้ตัวเราก็มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ควรที่เราจะรีบทำความดี เก็บเกี่ยวบุญกุศลก่อนที่จะที่จะหลับตาลาโลก”


    ถ้าสัตว์ผู้นั้นคิดถึงคุณงามความดีของตัวเองได้ ก็จะได้ไปเสวยสุขในสุคติภูมิตามกำลังบุญ แต่ถ้ายังนึกไม่ได้ พระยายมก็จะกล่าวว่า ท่านไม่เคยทำความดีอะไรเอาไว้เลย มัวแต่ประมาทอยู่ ทำความชั่วเป็นอาจิณ พวกนายนิริยบาลจะลงโทษท่าน บาปกรรมนี้ มารดาบิดาไม่ได้ทำให้ท่าน ญาติพี่น้องก็ไม่ได้ทำให้ท่าน ไม่มีใครในโลกทำให้ท่าน ท่านนั่นแหละเป็นคนทำเอง ท่านก็จะได้เสวยวิบากกรรมด้วยตนเอง


    พอพระยายมราชไต่สวนจบ ก็จะนั่งนิ่งทีเดียว เพราะรู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว พวกนายนิริยบาลก็นำสัตว์นรกนั้นไปรับกรรม เอาตะปูเหล็กที่ลุกเป็นไฟเผาไฟตอกที่มือเท้าทั้งสี่ และที่กลางอก สัตว์นรกนั้นต้องเสวยทุกขเวทนาไปจนกว่ากรรมที่ทำไว้จะสิ้นสุดลง บางตนก็ถูกจับขึงพืด แล้วก็เอาขวานถาก เอามีดคมกริบแล่เนื้อเถือหนัง จับห้อยหัวลง แล้วเอาพร้าที่ทั้งร้อนทั้งคมมาถาก จากนั้นก็จับโยนเข้าไปในมหานรก


    มหานรก มี ๔ มุม ๔ ประตู มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบเอาไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกเป็นเหล็กลุกเป็นไฟ ความร้อนแรงแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์ แล้วในมหานรก มีแต่ไฟลุกท่วมอยู่ตลอดเวลา ถ้าเอาก้อนหินก้อนใหญ่ๆ เท่าบ้านหลังโตๆ โยนเข้าไปในไฟนรก เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หินก้อนนั้นก็จะแหลกละเอียดเป็นจุลทันที แต่ที่สัตว์นรกทนอยู่ได้ ก็เพราะแรงกรรมที่ทำเอาไว้ ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานซํ้าแล้วซํ้าเล่า ส่วนทุกข์ในนรกขุมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่านี้ ยังมีอีกมากมายก่ายกองทีเดียว


    ดังนั้น เมื่อเรามี โอกาสสั่งสมบุญในภาวะที่เป็นมนุษย์นี้แล้ว ก็ควรที่จะรีบขวนขวายสร้างความดี สั่งสมบุญมีให้เต็มที่ เราควรจะใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก่อนที่จะละจากโลกนี้ไป ให้ตั้งปณิธานไว้เลยว่า ต่อจากนี้ไป เราจะประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ให้เป็นอุปนิสัย เป็นอัธยาศรัยที่ดีๆ ติดแน่นอยู่ในใจ แล้วก็หมั่นพิจารณาถึงเทวทูตทั้ง ๕ ที่มาเตือนสติเรา ไม่ให้ประมาท คือว่าให้หาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความทุกข์จากการถูกทรมาน และความตาย มาเป็นอุทาหรณ์สอนตัวเอง แล้วมุ่งสั่งสมบุญ แผ้วถางทางไปสู่สวรรค์นิพพาน ชีวิตเราจะได้ดำรงอยู่อย่างปลอดภัยและมีชัยชนะ เมื่อทุกคนทำได้อย่างนี้ เราจะได้ไม่ต้องไปตอบปัญหาพระยายมราชในเมืองนรกให้เสียเวลา ไปเสวยสุขอยู่ในสุคติกันเลย เพราะผู้สั่งสมบุญเอาไว้อย่างดีแล้ว มีแต่เทวทูตจากทุกสวรรค์ชั้นฟ้าเท่านั้น จะต้องนำวอทองและราชรถอันตระการ มาอัญเชิญไปสถิตย์ในสุคติสวรรค์...



    http://www.dhamma.net/authers/tripitaka/Index-tripitaka.htm

     

แชร์หน้านี้

Loading...