ขอเชิญร่วมเสวนาวิชาการ “บั้งไฟพญานาค เป็นหรือไม่เป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติ” ม.จุฬาฯ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สมภพ, 6 พฤศจิกายน 2012.

  1. สมภพ

    สมภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +606
    “บั้งไฟพญานาค เป็นหรือไม่เป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติ”
    เสวนาวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    วันพฤหัสที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

    “ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ยังรอการพิสูจน์จากนักท่องเที่ยว จึงอยากขอเชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสปรากฏการณ์มหัศจรรย์แห่งลุ่มน้ำโขงด้วยตัวท่านเอง” คำประกาศเชิญชวนในช่วงเทศกาลออกพรรษา ให้ประชาชนทั่วทุกภูมิภาคเดินทางไปสัมผัสกับ “ปรากฏการณ์ธรรมชาติ” ที่เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู พวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขง ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพียงปีละครั้ง ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
    ในช่วงวันที่ 30-31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมานี้ มีผู้คนจากทั่วทุกภาคเกือบ 3 แสน แห่กันไปจับจองที่นั่งริมฝั่้งแม่น้ำโขง จังหวัดหนองคาย เพื่อดูบั้งไฟพญานาค และคาดว่ามีเงินสะพัดในช่วง 2 วันถึงกว่า 600 ล้านบาท และ “บั้งไฟพญานาค” ก็มาตามนัด โดยพบว่ามีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นทั้งหมดถึง 439 ลูก ที่ อำเภอรัตนวาปี 368 ลูกและอำเภอโพนพิสัย 71 ลูก โดยจุดที่เกิดบั้งไฟพญานาคมากที่สุด คือ บ้านน้ำเป อำเภอรัตนวาปี 112 ลูก
    การเสวนาทางวิชาการเรื่อง “บั้งไฟพญานาค เป็นหรือไม่เป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติ” ในวันนี้ เป็นการอภิปรายเชิงวิทยาศาสตร์ถึงที่มาของบั้งไฟพญานาค ว่าเป็นไปได้จริงหรือที่จะเกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติดังที่นิยมอ้างกัน โดยจะไม่กล่าวถึงความเชื่อศรัทธาของประชาชน ดังเช่น พญานาคมีจริงหรือไม่ พญานาคเป็นผู้ทำบั้งไฟนี้หรือเปล่า รวมถึงประเด็นทางศาสนา วัฒนธรรม และสังคมศาสตร์อื่นๆ แต่อย่างไร
    “บั้งไฟผี” หรือที่ถูกเปลี่ยนชื่อในปี พ.ศ. 2529 เป็น “บั้งไฟพญานาค” นั้นมักนิยามว่า เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู มีขนาดเท่าไข่ไก่ พุ่งขึ้นมาจากใต้แม่น้ำโขง แล้วหายเข้าไปในบรรยากาศเหนือลำน้ำโดยไม่โค้งกลับลงมา ช่วงต้นจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่จะเห็นชัดเจนเมื่อลูกไฟพุ่งขึ้นมาเหนือระดับน้ำ 20-30 เมตร ลูกไฟไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ลูกขนาดเท่าเดิมในช่วงขณะที่อยู่ในอากาศแล้วหายวับไปเฉย ๆ การไต่ระดับความสูงจะใช้เวลาประมาณ 5-30 วินาทีต่อ 50-150 เมตร
    โดยทั่วไป สมมติฐานที่อธิบายว่าบั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้นบอกว่า เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของก๊าซมีเทน (methane) ระเบิดจากหลุมอินทรียวัตถุขนาดเล็กที่สะสมทับถมกันอยู่ในแอ่งแม่น้ำโขง โดยได้รับการสนับสนุนต่อมาจากรายงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปี พ.ศ. 2546 ที่สรุปว่าน่าจะเกิดจากก๊าซมีเทนที่ติดไฟได้ง่าย เป็นเชื้อเพลิงหลัก ร่วมกับก๊าซฟอสฟีน (phosphine) ที่ติดไฟได้เองเมื่อสัมผัสกับก๊าซออกซิเจนในอากาศ ถึงแม้ว่าทีมวิจัยจะยังไม่เคยทำการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานนี้ก็ตาม และยังไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดมากในวันออกพรรษา
    สมมติฐานเรื่องบั้งไฟพญานาคเป็นลูกไฟของก๊าซมีเทนนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นที่นิยมนำไปกล่าวอ้างกัน แต่ก็ได้สร้างข้อสงสัยเป็นคำถามคาใจเป็นจำนวนมากแก่นักวิทยาศาสตร์และผู้ที่สนใจในเรื่องนี้ เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากในฤดูน้ำหลาก ไม่ใช่น้ำนิ่ง สภาพดินใต้แม่น้ำโขงก็พบว่าเป็นหินดินดานหรือหินโคลน โอกาสที่จะเกิดก๊าซมีเทนสะสมและติดไฟได้เหมือนอย่างในห้วยหนองคลองบึงจึงเป็นไปได้น้อยมาก และที่สำคัญคือ ถ้าบั้งไฟพญานาคเกิดจากก๊าซจริง เมื่อติดไฟแล้วก็ไม่น่าที่จะลอยขึ้นไปเป็นลูกไฟกลางอากาศสูงหลายเมตรได้อย่างที่เห็น เนื่องจากคุณสมบัติทางกายภาพของก๊าซ เมื่อติดไฟก็จะกระจายตัวออก ไม่เกาะกันเป็นกลมแล้วลอยขึ้นบนอากาศ ยิ่งกว่านั้น ถ้าเป็นก๊าซมีเทนที่ติดไฟจริง ก็ควรที่จะให้ลูกไฟเป็นแสงสีฟ้าอมเหลือง หรือเขียว ไม่ใช่แสงสีแดงอมชมพูอย่างที่เห็นกัน
    ขณะเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2545 รายการ “ถอดรหัส” ของสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ได้นำเสนอคำอธิบายใหม่ของบั้งไฟพญานาค ว่าไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่เป็นผลจากประชาชนชาวลาวที่อยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ฝั่งตรงข้ามกับประเทศไทย ได้ใช้ปืนอาร์กายิงกระสุนส่องวิถี (tracer round) ขึ้นบนท้องฟ้าเพื่อเฉลิมฉลองการไหลเรือไฟในวันออกพรรษาลาว โดยทำกันมานานมากแล้วโดยใช้ปืนคาร์บินในสมัยก่อน ซึ่งตรงกับคำกล่าวอ้างในฝั่งไทยว่ามีผู้เฒ่าผู้แก่เห็นบั้งไฟพญานาคนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก และลักษณะของกระสุนส่องวิถีที่ถูกยิงขึ้นฟ้านั้นยังมีความคล้ายคลึงเป็นอย่างมากกับลูกไฟสีชมพูอมแดงที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าได้เป็นสิบๆ เมตร
    เป็นที่น่าประหลาดใจว่า ถึงแม้จะมีผู้ที่ไปเยี่ยมชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคแล้วเป็นหลักล้านคน แต่กลับไม่มีหลักฐานภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอใดๆ เลยที่จะช่วยพิสูจน์ได้ว่า บั้งไฟพญานาคที่เห็นเกือบห้าร้อยลูกในแต่ละปีนั้น เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากก๊าซผุดขึ้นกลางลำน้ำโขงจริง หรือว่าเป็นกระสุนส่องวิถียิงขึ้นจากฝั่งตรงข้าม แล้วความมืดรวมทั้งเงาสะท้อนของลำน้ำได้หลอกตาผู้ชมว่า เหมือนมันผุดขึ้นจากน้ำ
    จนมาถึงปี พ.ศ. 2554 คุณสมภพ ขำสวัสดิ์ หรือนามแฝง “สมภพ เจ้าเก่า” สมาชิกคนดังจาก “ห้องวิทยาศาสตร์หว้ากอ เว็บบอร์ดพันทิป” ได้เสนอแนวคิดและสาธิตให้ดูถึงวิธีการง่ายๆ ในการพิสูจน์ว่าบั้งไฟพญานาคนั้นขึ้นจากลำน้ำโขงหรือจากฝั่งตรงข้ามกันแน่ โดยการตั้งกล้องถ่ายรูปแบบเปิดหน้ากล้องนานๆ 15-30 วินาที เพื่อให้สามารถบันทึกเส้นทางการเคลื่อนที่ของลูกไฟได้อย่างต่อเนื่อง จนดูเหมือนแสงเลเซอร์ยิงขึ้นฟ้า
    คำตอบที่ได้สร้างความตกตะลึงและตามมาด้วยคำถกเถียงมากมาย คือ ภาพบั้งไฟพญานาคทุกภาพที่ “สมภพ” ถ่ายได้จากบ้านท่าม่วง ในวันออกพรรษาปีที่แล้วนั้น ปรากฏว่าพุ่งขึ้นจากฝั่งลาว ไม่ได้ขึ้นจากลำน้ำ !!
    และในวันออกพรรษาปีนี้ “สมภพและคณะ จากห้องหว้ากอ” ได้ออกไปถ่ายภาพบั้งไฟพญานาคกันอีกครั้ง โดย 2 ทีมได้ไปตั้งกล้องถ่ายภาพที่บริเวณบ้านน้ำเปและบ้านตาลชุม และอีก 1 ทีมถ่ายภาพจากฝั่งลาวที่อยู่ตรงข้าม ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ช่วยยืนยันอย่างชัดเจนว่า ลูกไฟสีแดงอมชมพูกว่าร้อยลูกที่ทีมงานเองก็เห็นว่าขึ้นจากน้ำในคืนนั้น แต่เมื่อถ่ายภาพแบบเปิดหน้ากล้องนานๆ แล้ว กลับไม่พบภาพใดเลยที่ได้ลูกไฟพุ่งขึ้นมาจากน้ำ (ยกเว้นรูปพลุยิงจากกระทง) ขณะที่ทีมที่ถ่ายจากฝั่งลาว นอกจากจะถ่ายภาพลูกไฟที่ถูกพุ่งออกมาจากป่าละเมาะริมน้ำและจากเรือไฟที่แล่นผ่านไปแล้ว ยังสังเกตพบผู้ที่อาจจะเป็นผู้ยิงกระสุนส่องวิถีก็เป็นได้ !!
    หลักฐานอันแน่นหนาที่ได้จากศึกษาของ “สมภพและคณะ” ประกอบกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ทำให้เชื่อได้ว่า ณ ปัจจุบันนี้ ลูกไฟสีแดงอมชมพูที่ประชาชนจำนวนมากแห่แหนกันไปดูนั้น ส่วนใหญ่แล้วหรือแทบทั้งหมดนั้น น่าจะไม่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของมนุษย์เป็นผู้กระทำขึ้น ด้วยการใช้กระสุนส่องวิถียิงขึ้นฟ้า (ส่วนใครยิงและยิงด้วยสาเหตุใด เป็นประเด็นที่อยู่นอกความสนใจของทีมงาน)
    ปริศนาของเรื่องนี้จึงอยู่ที่ว่า แล้วบั้งไฟพญานาค “ของจริง” นั้น ยังมีอยู่อีกหรือไม่ ? ตามที่ผู้คนอีกจำนวนหนึ่งอ้างกันว่า “เห็นผุดขึ้นจากน้ำกับตา ต่อหน้าใกล้ๆ เลย เห็นมาตั้งแต่สมัยหลายปีก่อนแล้ว” รวมถึงคำกล่าวอ้างถึงสถานที่อื่นๆ บริเวณอื่นๆ ที่บอกว่ามีบั้งไฟพญานาคขึ้นมาเช่นกัน
    คำตอบที่ทุกคนจะช่วยกันได้ คือ ร่วมกันไป “ตามล่าหาบั้งไฟพญานาคของจริง” ด้วยการเลิกจุดพลุ จุดประทัด โคมลอยในงานไหลเรือไฟวันออกพรรษา แล้วตั้งกล้องถ่ายภาพแบบเปิดหน้ากล้องนานๆ 30 วินาที เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองว่า มีบั้งไฟพญานาคที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติผุดขึ้นจากน้ำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าได้จริงๆ หรือเป็นเพียงแค่แสงจากกระสุนส่องวิถีที่หลอกตาเรา
    ปล. ทางทีมงานห้องวิทยาศาสตร์หว้ากอ ฝากบอกด้วยว่า จะมีเงินรางวัลให้กับคนที่สามารถถ่ายภาพพิสูจน์ได้อย่างไม่มีข้อกังขาเป็นคนแรกด้วยนะ

    PANTIP.COM : X12884844 [
     
  2. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ท่านสมภพ น่าจะไปถามเจ้าพ่อหลักเมืองดูนะ จะได้รู้กันเสียที ว่าจริงหรือไม่จริงเรื่อง "บั้งไฟพญานาค" เนี่ย แต่ท่านสมภพต้องล็อคคอเจ้าพ่อหลักเมืองไว้ให้ดีนะครับเวลาตอบคำถาม อย่าให้ท่านได้ ออกไปดูก่อนละ (อย่าโกรธกันนะครับ) ชอบเรื่องที่ท่านเขียนจริง ๆ ครับ ผมยังติดตามเรื่องการสัมภาษณ์เจ้าพ่อหลักเมืองของท่านอยู่นะครับ พักหลังนี้ท่านหายไปเลย
     
  3. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    เจ้าพ่อท่านไม่ติดต่อมาหรือเปล่าครับ แฟนกระทู้คุณ(เจ้าของกระทู้นะครับ)
     
  4. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +733
    จัดเสวนา ?? ใครจะลงทุนไปบ้างล่ะครับ วันธรรมดาอีก

    แต่ถ้าใครคิดจะไปจริงๆผมก็ฝากไปบอกเค้าหน่อยละกัน ว่าเรื่องภาพถ่ายแนวแสงนั้นผมว่าเขาถ่ายไม่ติดบั้งไฟ (เคยโพสต์ไปครั้งหนึ่งละในกระทู้กำเนิดบั้งไฟพญานาคของคุณอุรุเวลา ขอยกมาพูดอีกครั้ง)

    - ผมได้ตั้งข้อสังเกตว่า คนถ่ายน่าจะถ่ายไม่ทัน เพราะเวลาที่ไปดูจริงๆไม่สามารถคาดเดาว่าบั้งไฟจะขึ้นตรงไหน และเวลาที่ปรากฏก็ไม่นาน แค่หันไปดูทันก็ดีแล้ว ซึ่งจะเห็นประมาณ 5-10 วินาทีก่อนจะหายไป ดังนั้นช่างภาพต้องไวมากๆ ส่วนใหญ่จึงเป็นการตั้งกล้องวิดีโอไว้มากกว่า (การจะมาตั้งกล้อง 30 วินาทีอะไรนั่นมันจะทันยังไง นอกจากถ่ายแบบสุ่มเอาซึ่งโอกาสพลาดสูง)

    ดังนั้น การจะพิสูจน์ว่าถ่ายติดบั้งไฟจริงหรือไม่ จึงควรใช้กล้อง 2 ตัว
    1. กล้องถ่ายภาพที่เปิดชัตเตอร์นานๆอย่างที่เคยทำเพื่อดูแนวแสง (อาจต้องใช้กล้องหลายตัว ช่วยกันถ่าย จะได้มีโอกาสถ่ายติดยั้งไฟมากขึ้น)
    2. กล้องวิดีโอที่ตั้งถ่ายไว้ตลอดเวลา ณ จุดเดียวกับกล้องถ่ายภาพ(ถ่ายบริเวณเดียวกัน) เพื่อนำมาเปรียบเทียบว่าแนวแสงที่เห็นนั้นเป็นแนวแสงของบั้งไฟจริงหรือไม่ โดยเทียบภาพทั้ง 2 ในเวลาเดียวกัน เพราะถ้าถ่ายบั้งไฟไม่ทัน ภาพที่ออกมาก็จะเห็นแค่แนวแสงที่เกิดจากการยิงปืน

    - ผมดูรูปที่ยิงปืนเป็นแนวเฉียง แต่ถ้าเคยดูบั้งไฟจะรู้ว่าขึ้นตรงๆ ไม่ว่าจะขึ้นฝั่งซ้าย หน้า ขวา หรือหลัง จึงไม่ได้เห็นเป็นแนวตรงเพราะยืนแนวเดียวกับคนยิง

    - ลักษณะบั้งไฟก็ขึ้นแนวดิ่งตรงๆ ไม่สะเปะสะปะแบบการยิงปืน และไม่ได้ขึ้นจากจุดเดียว ต่างจากยิงปืนที่เขายิงทีหลายนัด (ดูคลิป itv ก็เห็นชัดเจนว่าเขายิงปืนธรรมดา ไม่ได้ใช้กระสุนส่องแสงด้วยซ้ำ ยังสรุปเอาดื้อๆได้ เหนื่อยใจกับสารคดีข่าวบ้านเรา - -")

    - ถ้าอยากรู้ว่าขึ้นเฉียงจากที่คนยิงรึเปล่าก็ไปตั้งกล้องบนสะพานข้ามแม่น้ำก็ได้ อยู่กลางแม่น้ำจะเห็นแนวชัดว่าขึ้นจากไหน (แต่ไม่แน่ใจว่าแถวสะพานข้ามโขงเป็นบริเวณที่บั้งไฟขึ้นมั้ย ไม่งั้นก็ไปที่วัดอาฮงที่เป็นสะดือน้ำโขง เห็นว่าขึ้นเยอะ อาจจะเอากล้องใส่ไว้ในเรือที่ลอยกลางน้ำก็ได้)

    - ส่วนเรื่องที่คิดว่าเกิดจากก๊าซ ถ้าก๊าซมันเยอะจนติดไฟได้เอง พวกจุดประทัดในงานไม่ไฟลุกท่วมตัวเหรอ (ขอประชดหน่อย -*-)

    ปล. ถ้าจะนิมนต์พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่รู้จริง ไม่โกหกหลอกลวง พวกนักวิชาการก็ไม่รู้จะเชื่อรึเปล่า เพราะดูแล้วเป็นพวกหลงวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น อะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่เชื่อ บาปบุญคุณโทษจะรู้จักหรือไม่ก็ไม่รู้ มองว่าศาสนาเป็นเรื่องงมงาย จะให้นั่งสมาธิพิสูจน์ด้วยตัวเองก็คงยากเพราะไม่ได้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ขนาดนักวิทยาศาตร์เก่งๆของอเมริกาเขายังมีศาสนา บางคนนับถือพุทธด้วยซ้ำ มีแต่บ้านเราที่นักวิชาการดูถูกศาสนาตัวเอง (แต่เข้าใจนะเพราะพระดีๆก็หายากเต็มที)

    ยังไงก็ฝากคนที่ไปในงาน ลองพิจารณากันให้ดีว่าสิ่งที่เขาทดลองนั้นมันอธิบายปรากฎการณ์ได้จริงหรือ หรือได้แค่บางส่วนแล้วสรุปเอาดื้อๆ รบกวนนำมาเล่าสู่กันฟังก็ดีนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2012
  5. สมภพ

    สมภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +606
    การตั้งกล้องดักรอ เปิดหน้ากล้องแช่ 30 วิ หรือ 15 วิ ก็สามารถทำได้ทั้งนั้นหละครับ ขอเพียงแต่ขยัน ถ่ายเอา ๆ ๆ ๆ ครบเวลาแล้วถ่ายต่อ เรื่อยๆไม่ย่อท้อ โอกาสพลาดมี แต่โอกาสได้ก็มีเหมือนกัน ได้รูปความว่างเปล่าก็เยอะแต่ก็ไม่นำมาโพส
    เว้นแต่ไม่พยายามถ่ายเลยนี่ ไม่ติดแน่นอนครับ

    เรื่องที่ว่าบั้งไฟขึ้นแล้วค่อยหันไปถ่ายนั้น ลืมการกระทำอย่างงั้นไปได้เลย เพราะจะทำให้ถ่ายไม่ทันจุดขึ้นแน่นอน

    --------------------------------

    ขออภัยแฟนๆบทสัมภาษณ์เจ้าพ่อหลักเมือง ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มีเวลาเลย แต่กะว่าศุกร์ที่จะถึงนี้จะเกิดขึ้นอีกรอบครับ
    รอบนี้กะจะถามถึง ริว และ เจน ด้วยครับ (แต่ท่านต้องออกไปดูก่อนนะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2012
  6. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    คุณสมภพปีหน้าจะมีไปถ่ายอีกหรือเปล่าครับ อยากรู้ เพราะว่ายังเห็นมีหลายๆ คนบอกว่าบั้งไฟพญานาคแต่ก่อนไม่เป็นอย่างนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...