ข้อความจากต่างมิติ - จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 23 มิถุนายน 2014.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    ข้อความนี้ผมอ่านแล้วอึ้งกิมกี่ครับ
    แล้วก็เลยไม่อยากพูดมาก โพสต์เลยละกัน

    แต่อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ทุกๆท่าน
    ใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลเอาเองนะครับ


    .....................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2014
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

    ผู้รับสาส์น: นาย Lee Carroll
    วันที่: 15 พฤศจิกายน 2003

    ที่มา: KRYON - The Interdimensional Universe


    ตอนที่: 1


    สวัสดีที่รักทั้งหลาย ฉันคือครายออนแห่งหน่วยบริการแม่เหล็ก

    พระเจ้าไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรง และพวกคุณเองก็ด้วย
    (หมายเหตุ: คำว่าไม่ได้เป็นแบบเส้นตรง หมายความว่า ไม่ได้คิดแบบเป็นเส้นตรง
    และก็ไม่ได้มีอยู่-เป็นอยู่ ในแบบที่จะใช้เหตุผลแบบที่เป็นเส้นตรงของมนุษย์ไปทำความเข้าใจได้ – ผู้แปล)
    เพราะว่าในตอนที่พวกคุณไม่ได้อยู่ที่นี่นั้น (บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้)
    พวกคุณจะเป็นส่วนหนึ่งของพลังชีวิตหลากมิติชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า “พระเจ้า” (God)
    ซึ่งพวกเราก็ได้พร่ำบอกข้อมูลนี้แก่พวกคุณมานานหลายปีแล้ว
    แต่ว่าก่อนหน้านั้น ข้อมูลนี้มันไม่เคยมีความสำคัญมากเท่ากับในช่วงเวลานี้เลย

    พลังงานของครายออนได้มาอยู่ที่นี่แล้ว และก็จะอยู่ที่นี่ไปจนตลอดทั้งวันนี้
    (พูดถึงการสัมนาที่จะดำเนินไปตลอดทั้งวันนั้น) ซึ่งครายออนก็คือหนึ่งในคณะผู้ติดตามทั้งหลาย
    (entourage – ซึ่งหมายถึงคณะผู้ติดตามบุคคลสำคัญ ซึ่งบุคคลสำคัญที่ว่านั้นก็คือ
    มนุษย์โลกแต่ละคนนั่นเอง – ผู้แปล) ที่ได้พากันมาอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่เมื่อ 3 วันก่อน
    ก่อนที่พวกคุณจะมาถึงที่นี่กันซะอีก และวิญญาณที่อยู่เบื้องบนทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน พวกคุณรู้ไหม?

    เพราะว่าศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ที่ว่าพวกคุณจะมาอยู่ที่นี่นั้น เป็นที่รู้กันของพวกเราดีอยู่แล้ว
    แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการรู้เพราะว่ามันคือสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วแต่อย่างใดหรอกนะ
    แต่มันคือศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ ที่ว่าพวกคุณจะยินยอมให้มันเป็นไปแบบนี้จริงๆในวันนี้
    มันเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกอิสระของพวกคุณเอง ซึ่งก็เหมือนกันกับผู้อ่าน
    ที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ในขณะนี้แหละ ที่ก็ได้ใช้ทางเลือกอิสระของตัวเอง
    ในการเลือกที่จะอ่านหรือไม่อ่านมันด้วยเช่นเดียวกัน

    อย่างที่ฉันได้เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้ว เมื่อเช้านี้ว่า พวกคุณได้รับการทักทายและเฉลิมฉลองไปแล้ว
    ตั้งแต่ตอนที่พวกคุณได้มาถึงที่นี่ ส่วนพวกคุณที่เพิ่งมาถึงหลังจากนั้น
    ก็ได้รับการทักทายและเฉลิมฉลองไปแล้วเช่นเดียวกัน ตั้งแต่ตอนที่พวกคุณมาถึงแล้ว
    ซึ่งพวกคุณบางคนก็สามารถรู้สึกถึงมันได้อย่างลึกซึ้ง แต่บางคนก็ไม่
    และบางทีผู้อ่านบางคนก็อาจจะกำลังรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
    ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบๆตัวของพวกเขาอยู่ในขณะนี้ก็เป็นได้?

    นี่แหละคือหลักการณ์พื้นฐานของ “ทางเลือกอิสระ” (free choice) หละ
    ดังนั้น ไม่ว่าพวกคุณจะอยากที่จะมาร่วมในงานสัมนา
    ที่จะแสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ในตัวของพวกคุณเองแบบนี้หรือไม่ก็ตาม
    นั่นก็เป็นสิทธิ์ของพวกคุณ

    พวกคุณหลายคน ก็มีคนรู้จักที่พวกคุณคิดว่า พวกเขาน่าที่จะเป็น light worker ที่ยอดเยี่ยมได้
    ดังนั้น พวกคุณจึงอยากให้พวกเขาได้อ่านหนังสือเล่มนี้หรือเล่มนั้น แต่ว่าตลอดทั้งชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น
    พวกเขากลับเอาแต่ป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆเรื่องของจิตวิญญาณเท่านั้นเอง
    ไม่เคยคิดที่จะเปิดตู้ล็อกเกอร์ด้านจิตวิญญาณใบนั้นออกมาดู แล้วเอาชุดของ light worker ออกมาสวมใส่เลย

    เพราะว่าพวกเขายังลังเลใจอยู่ แต่ว่าพวกเขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความเหมาะสมทางด้านนี้มากๆ
    แต่เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความเคารพและพิธีการและทางเลือกอิสระของพวกเขา
    ซึ่งพวกเราก็ได้เคยบอกพวกคุณไปแล้วว่า พวกเราจะไม่ไปตัดสินชี้ถูกผิด
    ให้กับสมาชิกในครอบครัวของพวกเราในเรื่องเหล่านี้เลย และมันก็ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ
    ที่จะไปบังคับว่าพวกคุณจะต้องทำให้พวกเขาเปิดตู้ล็อกเกอร์ใบนั้นออกมาให้ได้ด้วย
    เรื่องนี้มันเป็นทางเลือกอิสระของพวกเขาเองในช่วงเวลานั้นๆ

    พวกเขาบางคนก็เป็นผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณซะด้วยซ้ำไป!
    นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้พวกคุณรู้สึกผิดหวังหละ ใช่ไหม๊?
    เพราะว่าพวกคุณมองเห็นอยู่ว่า พวกเขาเป็นเหมือนยักษ์ใหญ่ที่กำลังอยู่ในร่างกายเล็กๆร่างหนึ่ง
    ดังนั้น พวกคุณจึงอยากที่จะให้พวกเขามองเห็น เหมือนอย่างที่พวกคุณมองเห็น ใช่ไหม๊?

    พวกคุณแต่ละคนที่มาทำงานอยู่ที่นี่ (ที่โลกใบนี้ – ผู้แปล) และมาเดินทางอยู่บนดาวเคราะห์โลกใบนี้
    ด้วยการมามีชีวิตแบบมนุษย์โลกแบบนี้ ไม่ใช่งานที่ง่ายๆเลย
    ซึ่งถ้าพวกคุณเลือกที่จะเปิดตู้ล็อกเกอร์แห่งจิตวิญญาณใบนั้นออกมา แล้วกลายไปเป็น “ประภาคาร” แล้วหละก็
    พวกคุณก็จะพบว่าตัวเองกำลังส่องแสงสว่างไปบนโขดหินต่างๆอยู่ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่คนอื่นๆ
    เพื่อให้พวกเขาสามารถพบทางออกสำหรับปัญหาอุปสรรคต่างๆของพวกเขาเองได้
    โดยหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาก็จะมีแสงสว่างอย่างที่พวกคุณมีแล้วเช่นเดียวกัน
    และยิ่งพวกคุณส่องแสงสว่างออกไปมากเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งมีความเมตตากรุณา
    ต่อผู้คนที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณมากขึ้นเท่านั้นด้วย

    ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อที่จะบอกว่า พวกคุณทุกๆคนล้วนเป็นที่รู้จักของพระเจ้าด้วยกันหมดทั้งสิ้น
    เพราะว่าพระเจ้ารู้จักพวกคุณทุกๆคนดี และก็รู้จักอย่างหมดไส้หมดพุงซะด้วย
    เพราะว่าพวกคุณแต่ละคนคือส่วนย่อยส่วนหนึ่งของส่วนรวม

    ดังนั้น คำว่า “เป็นที่รู้จักของพระเจ้า” จริงๆแล้วมันก็เลยหมายความว่า “เป็นที่รู้จักของตัวพวกคุณเอง” นั่นเอง
    ดังนั้น ถ้าไม่มีพวกคุณแล้ว มันก็จะไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
    ดังนั้น พวกคุณจึงไม่ใช่แค่เป็นที่รู้จักของพระเจ้าเท่านั้นนะ แต่พวกคุณยังคือพระเจ้าซะเองด้วยซ้ำไป

    ดังนั้น คำว่า “ฉันเป็นสิ่งที่ฉันเป็น” หรือ “I am that I am”
    จึงดูเหมือนว่าจะเป็นคำพูดที่มีตรรกะวนเป็นวงกลมอยู่ เพราะว่ามันเป็นวลีแบบหลากมิติวลีหนึ่ง
    ที่ส่อให้เห็นถึงการยอมรับในความเป็นพระเจ้าของตัวพวกคุณเอง
    และมันก็เป็นคำศัพท์ที่ยากที่จะอธิบายมากที่สุดคำหนึ่งด้วย ไม่ว่าจะอธิบายด้วยภาษาอะไรก็ตาม
    ที่มีอยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ เพราะว่ามันเป็นคำศัพท์ที่ถูกตั้งขึ้น โดยมิติๆหนึ่ง
    ที่พวกคุณไม่ได้เรียนมา และก็ไม่ได้อยู่อาศัยในมิตินั้นด้วย

    มนุษย์โลกมักจะคิดอยู่เสมอว่าตัวเองแยกขาดจากพระเจ้า
    เพราะว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นทวิภาวะ แต่เรื่องตลกก็คือ มันก็จะเหมือนกับว่า
    มนุษย์โลกเข้าใจไปว่าความคิดของพวกเขา มาจากคนอื่นๆนั่นแหละ
    เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถ “มองเห็น” มันได้

    .............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2014
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

    ผู้รับสาส์น: นาย Lee Carroll
    วันที่: 15 พฤศจิกายน 2003

    ที่มา: KRYON - The Interdimensional Universe


    ตอนที่: 2

    ฉันขอบอกอะไรบางอย่างกับพวกคุณเพิ่มเติมอีกสักหน่อย เกี่ยวกับตัวของพวกคุณเอง
    ว่า..ตอนนี้พวกคุณกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดอีกช่วงเวลาหนึ่งของดาวเคราะห์โลกอยู่
    เพราะว่าเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วนี้ (หมายเหตุ: ข้อความนี้สื่อสารมาตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2003 – ผู้แปล)
    มีพลังงานโหมกระหน่ำเข้ามาอีกระลอกหนึ่งแล้ว ซึ่งพวกคุณหลายคนก็รู้ว่ามันมาแล้วจริงๆ
    (ปรากฎการณ์ Harmonic Concordance – ซึ่งเป็นปรากฎการที่ดวงดาวเรียงตัวกันเป็นรูป Star of David
    เกิดขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2003 – ผู้แปล) ซึ่งสิ่งที่มาพร้อมกับพลังงานที่ว่านี้
    นอกจากจะคือการเรียงตัวกันของดวงดาวเป็นรูป Star of David แล้ว ยังมีคราสเกิดขึ้นอีกด้วย
    ซึ่งพวกคุณบางคนก็ได้สังเกตเห็นมันแล้ว

    และนอกจากนี้ ดวงอาทิตย์ก็ยังมาถึงคราวครบรอบวัฏจักร 11 ปีของการแผ่รังสีของมันพอดีอีกด้วย
    ดังนั้น สนามพลังงานแม่เหล็กโลกของพวกคุณ จึงกำลังได้รับพลังงานปริมาณมหาศาล
    ที่แผ่ส่งออกมาจากดวงอาทิตย์ ผ่านทางพายุสุริยะแบบเต็มๆอยู่

    พอมาถึงตรงนี้ อาจจะมีบางคนพูดขึ้นมาว่า
    “โอ..มันช่างบังเอิญซะจริงๆเลย ที่ปรากฎการณ์นี้
    มันมาเกิดขึ้นพร้อมกันกับปรากฎการณ์ด้านจิตวิญญาณของดาวเคราะห์โลกพอดีเลย”

    ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่มีข้อพิสูจน์อะไรที่จะมาบอกว่าปรากฎการณ์ทั้งสองนี้มีส่วนสัมพันธ์กันอยู่
    แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็อยากจะบอกอะไรบางอย่างแก่พวกคุณ เพื่อให้พวกคุณเก็บเอาไปคิดดู
    ว่า..ปรากฎการณ์การเรียงตัวกันของดวงดาวเหล่านี้ มันจะเป็นเหมือนกับที่กั้นหนังสือ บนชั้นวางหนังสือ

    เช่น ปรากฎการณ์ Harmonic Convergence (รหัส 11:11 ที่พวกเราได้บอกพวกคุณไปมากมายแล้ว)
    และก็ปรากฎการณ์ Harmonic Concordance (ที่พวกคุณเพิ่งผ่านพ้นมาไม่นานนี้) เป็นต้น
    ซึ่งปรากฎการณ์ทั้งสองนี้ จริงๆแล้วพวกมันก็เป็นเหมือนกับที่กั้นหนังสือที่ถ่วงดุลกันอยู่
    เพราะว่าปรากฎการณ์ทั้งสองนี้ มันได้ถามคำถามมากมายแก่มนุษย์โลก
    และพวกมันก็เป็นประตูสู่โอกาสด้วยกันทั้งคู่ด้วย
    และพวกมันก็ยังนำพาพลังงานที่มีความจำเป็นมาสู่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ด้วยกันทั้งคู่

    (หมายเหตุ: ปรากฎการณ์ Harmonic Convergence
    คือปรากฎการณ์การเรียงตัวกันของดวงดาวอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1987 – ผู้แปล)

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    คราวนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ฉันอยากจะขอท้าให้พวกคุณลองค้นข้อมูลย้อนกลับไปดู
    แล้วบอกฉันมาหน่อยซิว่า ครั้งสุดท้ายที่ดวงอาทิตย์เกิดพายุสุริยะ
    ในระดับที่รุนแรงใกล้เคียงกันกับระดับที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วเมื่อ 1 หรือ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้
    มันคือเมื่อไหร่กัน? มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่?

    แล้วพวกคุณก็จะพบว่า มันคือปี 1987! โอ..มันช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้! (มุกตลกของครายออน)
    และในช่วงเวลาที่ว่านี้แหละ คือช่วงเวลาที่พวกคุณกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เป็นที่กั้นหนังสือหละ

    ปรากฎการณ์นี้ ไม่ได้เป็นแค่ปรากฎการณ์ด้านจิตวิญญาณธรรมดาๆอย่างหนึ่งเท่านั้นนะ
    แต่มันเป็นปรากฎการณ์ที่ได้ช่วยนำพาเอาความสมดุลเข้ามาสู่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ด้วย
    ซึ่งนั่นแหละคือวัตถุประสงค์ที่พวกคุณบางคนมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาทำกันหละ!
    มันคือจุดเริ่มต้นของเป้าหมายที่พวกคุณได้บากบั่นทำกันมาโดยตลอด
    มันเกี่ยวโยงถึงสรวงสวรรค์, ระบบสุริยะ, การเรียงตัวกันของดวงดาวต่างๆ
    และรวมถึงพลังงานของพวกมันทั้งหมดรวมกันอีกด้วย

    ฉันขอบอกพวกคุณว่าทั่วทั้งจักรวาลนี้ พวกเขารู้เรื่องนี้กันหมดเลย สมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในสถานที่อื่นๆ
    ผู้ที่ซึ่งฉันไม่สามารถที่จะอธิบายให้พวกคุณเข้าใจได้ ก็รู้เรื่องนี้กันหมดด้วย
    และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็กำลังมองดูดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรีดวงนี้กันอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
    แล้วพวกคุณหละ? พวกคุณพากันนั่งอยู่ที่นี่แล้วก็พากันคิดแต่ว่าตัวเองเป็นมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น

    แต่ว่า..ฉันจะขอบอกพวกคุณอีกครั้งหนึ่งว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาหรือไม่
    ช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ปกติธรรมดาเลย เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่จิตวิญญาณเก่าแก่ทั้งหลาย
    กำลังทะยอยกันตื่นขึ้นมาอยู่ และจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ที่เคยซ่อนเร้นอยู่
    ก็กำลังโผล่ออกมาจากดาวเคราะห์โลกที่แท้จริงอยู่ด้วย เพื่อรองรับสิ่งที่กำลังจะมาถึง

    ..............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2014
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

    ผู้รับสาส์น: นาย Lee Carroll
    วันที่: 15 พฤศจิกายน 2003

    ที่มา: KRYON - The Interdimensional Universe


    ตอนที่: 3

    มนุษย์โลกเอ๋ย พวกคุณบางคนได้เฝ้ารอคอยอยู่ ณ.ฟากฝั่งโน้นของม่านพราง
    และไม่ยอมเข้ามาที่นี่ จนกว่าจะถึงเวลาที่พวกคุณจะสามารถมีอายุได้เท่านี้ในตอนนี้ซะก่อน

    พวกคุณได้ยินที่ฉันพูดไหม๊? ว่า.. “มีอายุได้เท่านี้ ในตอนนี้”

    แต่พวกคุณบางคนก็ชอบพูดว่า “เอ่อ..ตอนนี้ ฉันแก่เกินไปซะแล้วหละ
    ฉันแก่เกินกว่าที่จะสามารถสร้างพลังงานที่จำเป็นออกมา
    เพื่อที่ฉันจะได้มีส่วนร่วมกับสิ่งต่างๆที่ครายออนกำลังพูดถึงอยู่นี้ได้อย่างเต็มที่ซะแล้วหละ”

    โอ..จริงเหรอ? แล้วทำไมพวกคุณไม่หยุดกระบวนการแก่ของตัวเองซะหละ?

    เพราะว่าเรื่องนี้ ซึ่งก็คือเรื่องการชะลอกระบวนการแก่ของร่างกายเนื้อของพวกคุณเองนี้
    มันเริ่มที่จะอยู่ภายใต้ขอบเขตความสามารถที่พวกคุณจะสามารถทำกันได้จริงๆแล้วหละ
    มนุษย์โลกเอ๋ย

    การแก่ เป็นแต่เพียงข้อตกลงอย่างหนึ่ง

    ที่พวกคุณมีไว้กับเซลในร่างกายเนื้อของตัวเองเท่านั้นเอง
    มันเป็นแค่นั้นจริงๆ!
    มันไม่ใช่กระบวนการทางชีวภาพแบบเต็มรูปแบบเสียด้วยซ้ำไป
    มันเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งใน DNA ของพวกคุณ
    ที่ได้ทำข้อตกลงกับตัวตนส่วนที่เป็นพระเจ้าของตัวพวกคุณเองเอาไว้ว่า
    “นี่คือศักยภาพแห่งความเป็นไปได้
    ที่ว่าพวกคุณจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวสักแค่ไหน”

    แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้จริงๆ พวกคุณรู้เรื่องนี้ไหม๊?

    ดังนั้น ในชั่วขณะที่พวกคุณกำลังถอนคำสาบานเก่าๆทั้งหลายทิ้งไปอยู่นั้น
    ทำไมพวกคุณถึงไม่บอกให้ร่างกายเนื้อของตัวเอง
    ปรับตั้งนาฬิกาชีวิตใหม่ซะด้วยเลยหละ?

    พวกคุณคิดว่า พวกเรากำลังล้อพวกคุณเล่นอยู่ยังงั้นเหรอ?
    งั้นก็จงคอยดูว่า สักวันหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณจะสามารถค้นพบความรู้อันนี้ได้ !
    แล้วเมื่อนั้น คำพูดที่ฉันพูดไปแล้วนี้ ก็อาจจะฟังดูไม่แปลกสักเท่าไหร่แล้วก็ได้
    แล้วพวกคุณจะจำได้ไหมหละ ว่าพวกคุณเคยได้ยินได้ฟังมาจากที่ไหนก่อนแล้ว?

    ครั้งต่อไปที่พวกเราจะมาหาพวกคุณอีก พวกเราจะมาพูดถึงเรื่อง “ข้อตกลง” ที่ว่านี้กัน

    จงยินยอมให้พลังงานแห่งการบำบัดรักษาที่พวกคุณมาที่นี่เพื่อมาหามัน หลั่งไหลลงมาสู่ผู้คนกลุ่มนี้
    จงยินยอมให้มันบำบัดรักษาความพร้อมพรั่งบริบูรณ์, สัมพันธภาพ,
    การสื่อสารของเซลในร่างกายของพวกคุณ และพัฒนาการของพวกคุณแต่ละคนเถิด

    ปกติแล้วมันจะต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่เพื่อเยียวยารักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บหนะ?
    บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องโยนทิ้งความคิดเก่าๆที่ได้จากประสบการณ์เดิมๆนั้นทิ้งไปเสีย
    ทำไมพวกคุณถึงไม่ย่นระยะเวลาในการบำบัดรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บที่ว่านั้น
    ให้ลดลงเหลือแค่ครึ่งเดียวหละ?

    ผู้อ่านเอ๋ย..คุณรู้ว่าฉันกำลังพูดกับใครอยู่ใช่ไหม๊? ทำไมพวกคุณไม่พิสูจน์ด้วยตัวเองหละว่า
    พวกคุณก็สามารถที่จะพูดคุยกับเซลในร่างกายเนื้อของตัวเองได้ด้วย?
    เพื่อบอกให้พวกมันบำบัดรักษาตัวเองให้หายเร็วขึ้นกว่าเดิม
    ให้หายเร็วกว่าระยะเวลาที่พวกมันเคยถูกกำหนดให้ใช้ เมื่ออยู่ภายใต้กระบวนทัศน์เก่าๆนั้นหละ
    ซึ่งทั้งหมดที่ฉันพูดมานี้ ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น

    มนุษย์โลกเอ๋ย ฉันขอบอกอะไรบางอย่างที่น่าสนใจกับพวกคุณอีกซักหน่อยเถอะว่า..
    พวกคุณกำลังจะเจาะทะลุความเป็นหลากมิติในหลายๆด้านกันแล้ว
    สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วนี้ (ปรากฎการณ์ Harmonic Concordance)
    ไม่ใช่แค่การนำพาเอาพลังงานมาสู่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้เท่านั้นนะ
    แต่มันยังเกี่ยวข้องกับการยกขึ้นมาอีกเล็กน้อย ของม่านพรางอีกด้วย
    มันหมายถึงการยินยอมให้เห็น ในสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้มาก่อน

    ฉันอยากจะบอกพวกคุณว่า ตอนนี้พวกเรากำลังจะเดินทางท่องเที่ยวกันแล้ว
    พวกเรากำลังจะกลายไปเป็นนักวิทยาศาสตร์กันแล้ว หรืออะไรทำนองนั้น

    ............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    หมายเหตุ: วิธีการติดต่อสื่อสารกับร่างกายของเราเอง
    ดูรายละเอียดได้ในการตอบคำถามข้างล่างนี้นะครับ


    ...........................................................

    ครายออนตอบคำถาม – เรื่องวิธีการพูดคุยกับเซลในร่างกายของเรา

    ที่มา:
    kryon-Q&A 2nd Quarter2005

    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    คำถาม: ครายออนที่รัก ฉันพยายามที่จะพูดคุยกับเซลในร่างกายของฉันเอง
    แต่ฉันไม่รู้ว่าควรจะบอกพวกมันว่าอย่างไรดี! ถ้าจะพูดว่า
    “จงขจัดสารพิษออกไป แล้วฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาใหม่” มันจะเป็นการเพียงพอไหม๊?

    หรือว่าพวกเราจะต้องพูดอะไรที่เฉพาะเจาะจงลงไปกว่านั้นอีก
    และอาจจะต้องพูดจาอย่างสุภาพด้วยหรือเปล่า
    เช่น “กระดูกอ่อนเอ๋ย ได้โปรดเจริญเติบโตขึ้นมาเถิด” อะไรแบบนั้น

    หรือว่าอาจจะถึงกับต้องพูดถึงกรดอะมิโน, วิตามิน และอื่นๆด้วยหรือเปล่า?
    หรือว่าเพียงแค่ความตั้งใจอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว
    หรือว่าคำพูดและสำนวนก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยกันแน่?

    แล้วเราควรจะใช้เวลาพูดคุยกับพวกมันนานสักแค่ไหน สำหรับแต่ละจุดประสงค์
    ถึงจะเป็นการเพียงพอ? เพราะว่าฉันมีปัญหาเรื่องอาการคันที่เกิดจากภูมิแพ้
    ที่รุนแรงมาก ซึ่งเป็นมานานร่วม 10 ปีแล้ว ดังนั้น ฉันควรจะพูดกับผิวหนังของฉัน
    หรือว่าควรจะพูดกับระบบภูมิคุ้มกันของฉัน หรือว่าควรจะพูดกับอย่างอื่นกันแน่ ถึงจะดีที่สุด?


    คำตอบ: อันดับแรก..คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือว่า
    ส่วนต่างๆของ DNA ของคุณ
    ที่คุณกำลังพูดถึงอยู่นั้นหนะ มันเป็นของหลากมิติ?

    พวกเราได้สอนพวกคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว
    และก็สอนมาโดยตลอดด้วย จนกระทั่งถึงบัดนี้ ว่า..


    ระบบประเภทนี้หนะ มันไม่ได้เป็นแบบเส้นตรง!
    มันไม่เข้าใจภาษาของคุณหรอก!
    และมันก็จะไม่แม้แต่จะเริ่มตอบสนอง
    ต่อกระบวนการที่เป็นตรรกะแบบนั้นของคุณด้วย

    ดังนั้น วิธีการพูดคุยกับเซลในร่างกายของคุณ
    จึงเป็น “กระบวนการทางพลังงาน” อย่างหนึ่งด้วย
    เพราะว่าพลังงานเท่านั้นที่มันต้องการ ไม่ใช่ด้วยวิธีการใช้คำพูด

    ดังนั้นการพูดซ้ำไปซ้ำมาจึงจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย
    มีแต่จะทำให้เมื่อยปากเปล่าๆเท่านั้นเอง

    คุณจะต้องใช้จินตนาการ หรือภาพนิมิตร ไม่ใช่ใช้คำพูด
    โดยการใช้เวลาเพื่ออธิบายให้เซลในร่างกายของคุณเข้าใจ
    ในสิ่งที่คุณต้องการ ด้วยการใช้จินตนาการหรือภาพนิมิตร

    โดยการจินตนาการให้เห็นว่าตัวเองไม่มีอาการคันอีกต่อไปแล้ว
    โดยการจินตนาการให้เห็นว่าตัวเองมี DNA ของคนหนุ่มสาวแล้ว
    เพราะอย่าลืมว่า ร่างกายเนื้อของคุณ
    เคยผ่านการมี DNA ของคนหนุ่มสาวมาแล้ว
    และดังนั้น เซลในร่างกายของคุณ จึงยังมีความทรงจำ
    ของ DNA ของช่วงที่คุณเป็นหนุ่มสาวอยู่

    ดังนั้น ในทุกๆวัน จงเริ่มต้นด้วยการแบ่งเวลามาซักช่วงระยะเวลาหนึ่ง
    เพื่อติดต่อสื่อสารกับเซลในร่างกายของคุณเอง
    ซึ่งก็จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง
    แล้วจากนั้นก็ให้สร้างภาพนิมิตรที่คมชัดของเป้าหมาย
    ที่คุณต้องการให้ร่างกายของคุณเป็นขึ้นมา

    เช่น ภาพนิมิตรของการมีผิวหนังที่อ่อนเยาว์,
    มีสุขภาพแบบของคนหนุ่มสาว
    และมีกิริยาท่าทางแบบของคนหนุ่มสาว เป็นต้น

    แล้วจากนั้น ร่างกายของคุณก็จะเริ่มเข้าใจความหมายของคุณ
    และก็จะเริ่มทำตามคำสั่งของ “เจ้านาย” ของมันต่อไป

    นี่แหละคือสิ่งที่คุรุทั้งหลายทำกันหละ และมันก็ได้ผลซะด้วย
    แต่อย่างไรก็ตาม คุณก็จะต้องเรียนรู้ที่จะขจัดความอยาก
    ที่จะใช้คำพูดเพื่อติดต่อสื่อสารกับพวกมันออกไปเสีย
    เพราะว่ามันเป็นกระบวนทัศน์แบบสามมิติ
    และ “การพูดคุยกับเซลในร่างกายของคุณ”
    ก็จะต้องใช้พลังงานแห่งจินตนาการเท่านั้น


    …………………
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

    ผู้รับสาส์น: นาย Lee Carroll
    วันที่: 15 พฤศจิกายน 2003

    ที่มา: KRYON - The Interdimensional Universe


    ตอนที่: 4

    เราจะไปท่องเที่ยวกัน โดยใช้จินตนาการ

    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต - โครงสร้างอะตอม)

    จงตามฉันมา เพื่อเข้ามาสู่ใจกลางของโครงสร้างอะตอมของพวกคุณกัน
    สมมุติว่าตอนนี้ตัวของพวกคุณมีขนาดเล็กเท่ากับขนาดของอนุภาคโปรตอนเท่านั้นเอง
    ซึ่งมันเล็กมากๆพวกคุณก็รู้ใช่ไหม๊? ตอนนี้พวกคุณอยู่ที่นั่นแหละ อยู่ภายในความรุ่งโรจน์ของอะตอมอันนั้นแหละ

    พอมาถึงตรงนี้ พวกคุณก็อาจจะบอกว่า “เอ่อ..ฉันคิดว่าฉันสามารถที่จะจินตนาการได้อยู่นะ
    ว่ามันน่าจะเป็นอย่างไร คือว่า..ถ้าตัวฉันมีขนาดเล็กเท่ากับขนาดของอนุภาคโปรตอนจริงๆหละก็
    ฉันก็น่าจะมองเห็นอนุภาคอิเล็กตรอนจำนวนหนึ่ง กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงมากๆไปรอบๆตัวของฉันอยู่
    ดังนั้น มันก็น่าที่จะมีแสงสว่างสว่างไสวเรืองรองอยู่ และก็อาจจะดูเหมือนกับดอกไม้ไฟก็ได้
    ซึ่งมันก็น่าที่จะเป็นโชว์ที่สวยสดงามงามมากเลยทีเดียว”

    (หมายเหตุ: โครงสร้างของอะตอมจะประกอบไปด้วยจุดศูนย์กลางของอะตอม
    ซึ่งก็คืออนุภาคโปรตรอนและนิวตรอนที่เกาะกันอยู่ตรงศูนย์กลาง
    แล้วล้อมรอบด้วยอนุภาคอิเล็กตรอนที่โคจรอยู่รอบนอก – ผู้แปล)

    คิดใหม่ซะเถอะ..เพราะว่าความจริงแล้ว..มันมืด..มันมืดสนิทเลยหละ

    เพราะว่าถ้าพวกคุณ (ที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์ปกติ)
    คืออนุภาคของโปรตอนที่อยู่ตรงกลางอะตอมจริงๆแล้วหละก็
    อิเล็กตรอนพวกนั้น ก็จะอยู่ห่างจากพวกคุณออกไปเป็นไมล์เลยหละ!

    พวกคุณรู้ไหม๊เนี่ย? ดังนั้น ถ้าพวกคุณอยากจะพบพวกมัน

    พวกคุณก็จะต้องออกเดินทางไกลกันเลยหละ!
    และนั่นแหละ คือสัดส่วนโดยเฉลี่ยของโครงสร้างอะตอมหละ
    ซึ่งมันก็จะมีช่องว่างอยู่มากมายในแต่ละอะตอมเหล่านั้น

    นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ ยังคงงุนงงเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอยู่เลย

    ว่าทำไมโครงสร้างพื้นฐาน ของสิ่งที่เป็นหน่วยพื้นฐาน
    ของโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณนั้น
    จึงมีลักษณะที่สิ่งต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นโครงสร้างอันนี้นั้น
    อยู่ห่างไกลกันเป็นสัดส่วนที่มากเหลือเกินแบบนี้ได้?

    บางทีพวกคุณอาจจะยังไม่รู้ความจริงในข้อนี้เลยก็ได้ ดังนั้น ถ้าพวกคุณ
    มีขนาดเล็กเท่ากับขนาดของอนุภาคโปรตอนที่อยู่ภายในอะตอมของธาตุฮีเลี่ยมจริงๆแล้วหละก็
    พวกคุณก็จะต้องเดิน แล้วก็เดิน แล้วก็เดิน ด้วยขาโปรตอนน้อยๆของพวกคุณเอง
    กว่าจะได้พบกับอะไรบางอย่างที่ดูละม้ายคล้ายกับกลุ่มหมอกของอิเล็กตรอน
    ที่ปกคลุมอยู่รอบๆโครงสร้างของอะตอมดังกล่าวนั้น (กรุณาสมมุติกันต่อไป..ได้โปรด)
    และการเดินทางด้วยเท้าตลอดระยะทางที่ว่านั้น ก็จะเป็นการเดินทางในความมืดซะด้วย!
    แล้วเมื่อนั้น พวกคุณก็จะพูดกับตัวเองว่า
    “เอ่อ..นี่มันไม่ใช่ในแบบที่ฉันคิดเอาไว้นี่นา เพราะว่าจริงๆแล้วมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก”

    ถูกเผ็งเลย! ในการสื่อสารข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ครั้งก่อนๆ พวกเราเคยบอกพวกคุณไปแล้วว่า

    ในระดับจุลภาค และในระดับมหัพภาคนั้น

    มันจะมีอะไรที่เหมือนๆกันอยู่หลายๆอย่าง ทางด้านฟิสิกส์ของพวกมัน
    และแม้แต่ในร่างกายเนื้อของพวกคุณเองก็เช่นกัน
    มันก็จะมีการจัดระบบระเบียบที่คล้อยตามจักรวาลที่ใหญ่กว่าอยู่เช่นเดียวกัน

    ฉันอยากจะบอกพวกคุณว่า สิ่งที่มองไม่เห็น ที่อยู่ภายในช่องว่าง ที่อยู่ระหว่างอนุภาคโปรตอน
    ซึ่งอยู่ตรงใจกลางของอะตอม กับกลุ่มหมอกของอิเล็กตรอนนั้นคืออะไร
    ซึ่งช่องว่างดังกล่าวนี้ ถ้าเทียบเป็นสัดส่วนแล้ว
    ก็จะพบว่ามันเป็นช่องว่างที่ทำให้โปรตรอนและอิเล็กตรอนอยู่ห่างไกลกันมากๆ

    ภายในช่องว่างดังกล่าวนี้ จะเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร!

    และเต็มไปด้วยฟิสิกส์ และมันก็มีสสารอยู่ในนั้นด้วย
    ซึ่งพวกคุณไม่สามารถมองเห็นได้
    ซึ่งบางส่วนของพวกมันพวกเราก็จะเรียกว่า
    “สสารด้านจิตวิญญาณ” (spiritual matter) ด้วยซ้ำไป

    และเพราะว่าตอนนี้ ความตระหนักรู้แบบหลากมิติของพวกคุณ ยังไม่เนรมิตตัวมันเองออกมา
    ดังนั้น เมื่อพวกคุณมองดูสมการคณิตศาสตร์ของสิ่งที่อยู่ตรงกลางอะตอมนั้นแล้ว
    พวกคุณจึงมองเห็นได้แค่ สิ่งที่มิติทั้ง 4 จะบอกพวกคุณได้เท่านั้น
    ( 4 มิติ ได้แก่ กว้าง, ยาว, สูง และ กาลเวลา – ผู้แปล)
    แต่พวกคุณจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้นจริงๆได้

    ความแตกต่างระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงในยุคพลังงานเก่าของพวกคุณ กับในตอนนี้ก็คือ
    ลองสมมุติต่อไปว่าพวกคุณยังคงเป็นโปรตอนตัวนั้นอยู่
    และกำลังออกเดินทางไกลเพื่อไปหาเพื่อนๆตัวจิ๋วของพวกคุณอยู่ ซึ่งก็คืออิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่เร็วมากๆพวกนั้น
    ที่พวกคุณก็รู้ว่าพวกมันกำลังเคลื่อนที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณอยู่ ในยุคที่โลกยังคงอยู่ในพลังงานเก่านั้น
    พวกคุณจะ “มองไม่เห็น” อะไรเลย จนกว่าพวกคุณจะมาถึงขอบนอกสุดของอะตอม
    ซึ่งเป็นที่ๆพวกมันโคจรไปรอบๆอย่างรวดเร็วอยู่นั้นซะก่อน

    แต่ว่า..ในตอนนี้..ภายใต้พลังงานใหม่นี้ และภายใต้สภาวะที่ม่านพรางถูกยกขึ้นมาเล็กน้อยแล้วนี้
    ในระหว่างการเดินทางของพวกคุณ ที่เริ่มจากจุดศูนย์กลางของอะตอมเพื่อไปยังวงรอบนอกสุดของมันนั้น
    พวกคุณก็จะเริ่ม “มองเห็น” อะไรบางอย่างที่อยู่ภายในช่องว่างขนาดมหึมานั้นได้จริงๆซะทีแล้ว
    พวกคุณจะเริ่ม “มองเห็น” มิติอื่นๆได้!

    ซึ่งในช่วงแรกๆมิติเหล่านั้นก็จะแสดงตัวให้พวกคุณเห็นในลักษณะของ “เงา” ที่กำลังสั่นสะเทือนอยู่
    คราวนี้หละ ผู้อ่านและผู้ฟังทั้งหลาย การเดินทางของพวกคุณ
    ก็จะกลายเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยสีสันแล้วหละ ใช่ไหม๊?

    ใช่แล้ว..แต่ว่า..ฉันเพิ่งจะบอกใบ้ให้กับนักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณไปเดี่ยวนี้เองว่า ความเป็นหลากมิตินั้น
    มันจะมีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณก็เริ่มที่จะกล้าจินตนาการถึงมันบ้างแล้วเหมือนกัน

    มนุษย์โลกที่รักทั้งหลาย ในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณ ก็กำลังเริ่มมองเห็นชิ้นและส่วนต่างๆ
    ซึ่งเป็นของหลากมิติจริงๆได้บ้างแล้ว เพราะว่าพวกคุณบางคนก็กำลังจะกลายไปเป็นหลากมิติแล้ว!
    โอ..แต่มันยังไม่ใช่เป็นแบบเต็มตัวหรอกนะ แต่ว่าพวกคุณก็กำลังเริ่มพูดคุยกันถึง “สิ่งที่มองไม่เห็น” บ้างแล้วหละ

    คำถามที่ตลกที่สุดคำถามหนึ่งที่พวกเราถามกันเกี่ยวกับมนุษย์โลกก็คือ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบางส่วนของสิ่งเหล่านี้
    ได้เริ่มเกิดขึ้นจริงๆ จนทำให้พวกคุณสามารถมองเห็นเงาของอะไรบางอย่างได้
    ซึ่งพวกคุณไม่เคยมองเห็นมันมาก่อนเลย ในสถานที่ๆพวกคุณมองหามันมาตลอดหลายปีแล้ว ?
    เช่น หางตาของพวกคุณอาจจะเหลือบไปเห็นการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างเข้า
    ซึ่งในอดีตนั้นอาจจะทำให้พวกคุณรู้สึกกลัว แต่ว่าในตอนนี้กลับไม่แล้ว

    พวกเราได้พร่ำบอกพวกคุณมานานกว่า 10 ปีแล้วว่า “พวกคุณไม่ได้อยู่โดยลำพัง!”
    โอ..มันคงจะเยี่ยมยอดมากเลยทีเดียว พวกคุณว่าไหม๊?
    แต่ว่าสำหรับบางคนแล้ว มันอาจจะฟังดูน่ากลัวก็เป็นได้?

    เมื่อใดที่พวกคุณเริ่มสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงนั้นจริงๆได้แล้ว พวกคุณจะตอบสนองกับมันอย่างไร?
    จะสะดุ้งตกใจกลัว หรือว่าจะเฉลิมฉลองให้กับมัน? พวกเราไม่ได้กำลังพูดถึงผีอยู่หรอกนะ
    แต่พวกเรากำลังพูดถึงความรักของพระเจ้า (วิญญาณเบื้องบน) อยู่ต่างหากหละ
    พวกเรากำลังพูดถึงพวกคุณ กับครอบครัวของพวกคุณอยู่ และพวกเราก็กำลังพูดถึงของหลากมิติทั้งหลาย
    ที่กำลังจะถูกมองเห็นได้อยู่ ซึ่งบางอย่างมันก็อาจจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่บางอย่างก็อาจจะไม่

    พวกคุณแค่ต้องรอให้มันถึงเวลาเท่านั้นเอง และก็ไม่ใช่เฉพาะ Light worker เท่านั้นหรอกนะ
    ที่จะสามารถมองเห็นได้เช่นนี้ เพราะว่าพวกคุณบางคน ก็จะมองเห็นมันได้ในห้องปฏิบัติการ
    แต่พวกคุณบางคนก็อาจจะมองเห็นคุณสมบัติทั้งหมดของมันได้ ด้วยตัวของพวกเขาเอง

    พวกคุณคิดว่ามันมีความสมเหตุสมผลไหม ที่เมื่อระดับความสั่นสะเทือนของดาวเคราะห์โลก
    เพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เพราะว่ามันได้รับพลังงานที่ถูกส่งมาจากระบบการแจกจ่ายพลังงานแบบนี้
    (ปรากฎการณ์ Harmonic Concordance) มันจะมีไว้เพื่อคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งเท่านั้น?
    ไม่เลย..เพราะว่ามันมีไว้สำหรับทุกๆคนที่ต้องการจะพินิจพิเคราะห์ดูมัน
    พลังงานใหม่ของดาวเคราะห์โลกดวงนี้ เป็นของมนุษย์โลกทุกๆคน

    ยังมีอีกนะ ฉันเพิ่งพาพวกคุณท่องเข้าไปในใจกลางของอะตอมธรรมดาๆอะตอมหนึ่งมา
    และเพิ่งจะบอกพวกคุณไปว่า ในนั้นมันมีอะไรอยู่มากมายให้พวกคุณได้เห็น
    นอกเหนือจากที่มันปรากฎให้พวกคุณได้เห็นในระบบ 4 มิตินี้แล้ว

    ฉันขอมอบคำพยากรณ์ข้อหนึ่งให้กับพวกคุณว่า

    “นักวิทยาศาสตร์จะเริ่มเข้าใจเรื่องนี้อย่างกว้างขวางมากขึ้น
    เมื่อพวกเขายังคงจับตาดูจักรวาลอยู่ต่อไป”

    ในการตรวจวัดค่าพลังงานของ “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรอยู่ที่นั่น”
    พวกเขาพบว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ยังขาดหายไปอยู่
    เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวและเพื่อให้มีขอบเขตอย่างที่พวกคุณมองเห็นมันอยู่นั้นได้
    แล้วอะไรหละคือสิ่งที่ขาดหายไป? แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่สามารถมองเห็นมันได้หละ?

    ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณ ได้พากันตั้งสมมุติฐานถึงความเป็นไปได้

    ของการมีอยู่ของ “สสารมืด” (dark matter) กันเรียบร้อยแล้ว
    ว่ามันน่าจะเป็นสสารที่พวกคุณไม่สามารถมองเห็นได้
    แต่มันต้องมีอยู่จริงแน่ๆเพื่อที่จะทำให้สามารถแก้สมการทางพลังงานอันนั้นได้

    แต่ว่ายังไม่มีใครเคยพูดถึงระบบหลากมิติเลย แต่ว่าพวกเขาจะต้องพูดถึงมันแน่ๆ
    เพราะว่าพวกเขาจำเป็นจะต้องพูดถึงมัน เพราะว่าในท้ายที่สุดแล้ว
    ความดีเลิศของคณิตศาสตร์ ก็จะแสดงให้พวกเขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่า
    บางที..สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในจักรวาลแห่งนี้นั้น
    มันกำลังเป็นไปในขอบเขตของความเป็นหลากมิติอยู่
    ดังนั้น สิ่งที่ขาดหายไปในการคำนวณค่าทางพลังงานของพวกเขาก็คือ
    สสารที่เป็นของหลากมิติจริงๆนั่นเอง

    ใครเป็นคนบอกว่าโครงข่ายของเอกภพมีลักษณะเป็นแบบเส้นตรง?
    ใครเป็นคนบอกว่าพลังงานที่พวกคุณไม่สามารถมองเห็นได้
    จะต้องเป็นไปตามกฎเกณพ์ของสิ่งที่พวกคุณสามารถมองเห็นได้?

    โอ..ก่อนที่จะจบการสื่อสารในครั้งนี้ลง ฉันอยากจะขอทิ้งปริศนาอะไรบางอย่างให้กับพวกคุณ
    เพื่อเก็บเอาไปคิดสักหน่อย และนี่ก็เลยจะเป็นคำพยากรณ์อีกข้อหนึ่ง

    “นักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณ จะเริ่มต้นมองหามิติที่ขาดหายไป

    เพื่อที่จะใช้อธิบายถึงพลังงานที่ขาดหายไป!”

    และมันก็จะเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาอันสมควร และนั่นแหละคือวิถีแห่งความเป็นไปของมันหละ
    ดังนั้น มันจึงถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะมาเปิดเผยรูปร่างของจักรวาลให้พวกคุณได้รู้กัน
    และรวมถึงเปิดเผยพฤติกรรมการดูดเข้าและผลักออกของมัน
    เมื่อมีการเปลี่ยนมิติซึ่งเป็นสาเหตุให้จักรวาลของพวกคุณทำและแสดงให้พวกคุณได้เห็น
    อย่างที่มันกำลังทำและแสดงอยู่นี้กัน ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกคุณเฝ้าสังเกตุการณ์ดูพวกมันอยู่นี้
    เป็นแต่เพียงเค้าลางเล็กๆน้อยๆของมันเท่านั้นเอง และมันก็ยังถูกแปลความหมายผิดไปซะอีกด้วย

    ในระบบ 4 มิตินี้ (กว้าง, ยาว, สูง และกาลเวลา – ผู้แปล)

    วิชาฟิสิกส์ของพวกคุณอาจจะมีความสมเหตุสมผลอยู่มาก
    แต่ว่าเมื่อใดที่พวกคุณก้าวออกมานอกขอบเขตของระบบ 4 มิตินี้แล้ว
    จนกลายไปเป็นระบบหลากมิติแล้วหละก็
    กฎทางฟิสิกส์ทั้งหลายที่เคยสมเหตุสมผลมาก่อน ก็จะเปลี่ยนไป

    พวกเรายังเคยบอกพวกคุณไปแล้วด้วยซ้ำไป เมื่อครั้งล่าสุดที่พวกเรามาอยู่ที่นี่ว่า
    เมื่อใดที่พวกคุณลงลึกลงไปจนถึงระดับของอนุภาคที่มีขนาดเล็กมากๆระดับหนึ่งแล้วหละก็
    กฎพื้นฐานทางฟิสิกส์ทั้งหลายก็จะเปลี่ยนไปด้วย
    และในทางตรงกันข้าม เมื่อใดที่พวกคุณขึ้นมาจนถึงระดับที่มีขนาดใหญ่มากๆแล้วหละก็
    มันก็จะเปลี่ยนไปอีกด้วยเช่นเดียวกัน และกฎทางฟิสิกส์ทั้งหลาย
    ก็ยังจะเปลี่ยนไปเมื่อกรอบของกาลเวลา (time frame) เปลี่ยนไปอีกด้วยนะ

    เดี๋ยวอย่าเพิ่งไปไหนนะ เพราะว่าอีกสักครู่ฉันจะอธิบายให้พวกคุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น
    ...........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • atom-1.jpg
      atom-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.7 KB
      เปิดดู:
      1,544
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

    ผู้รับสาส์น: นาย Lee Carroll
    วันที่: 15 พฤศจิกายน 2003

    ที่มา: KRYON - The Interdimensional Universe


    ตอนที่: 5

    ความเร็วของแสง – จงทิ้งกฎฟิสิกส์ข้อนั้นไปซะ


    ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปสู่ปริศนาเรื่องรูปร่างที่แท้จริงของจักรวาลนี้
    ฉันก็ยังมีคำพยากรณ์อีกข้อหนึ่งอยู่ แต่ก่อนที่ฉันจะพยากรณ์ออกมา
    ฉันจำเป็นจะต้องปูพื้นฐานความรู้ให้กับพวกคุณซะก่อน
    ฉันจะขอใช้คำพูดแบบพื้นๆธรรมดาๆ และฉันก็จะบอกให้พวกคุณรู้ว่า
    สมมุติฐานข้อหนึ่งตามแนวคิดของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของพวกคุณ กล่าวเอาไว้ว่า

    “ความเร็วแสง เป็นความเร็วที่คงที่ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเร็ว
    จะถูกวัดค่าเทียบกับมัน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด
    เท่าที่พวกคุณเคยเห็นมาและวัดค่าได้มา
    ดังนั้นมันก็เลยกลายเป็นหน่วยวัดมาตรฐานทางด้านดาราศาสตร์ไป”

    และแนวความคิดที่ว่า “กาลเวลา” ก็สามารถแปรผันได้ (และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ)
    ขึ้นอยู่กับความเร็วในการเคลื่อนที่ของพวกคุณ ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
    ได้ทำให้โลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณ พากันนำเอาตัวเลขมหัศจรรย์ตัวนี้
    ซึ่งก็คือค่าความเร็วของแสงนี้ มาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย

    แต่จงจับตาดูเรื่องนี้ให้ดีนะ เพราะว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

    เพราะว่า..มันจะมีสักวันหนึ่ง ที่จะมีการยอมรับกันว่า
    ความเร็วของแสงก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้เช่นเดียวกัน!

    เพราะว่าความเป็นจริงก็คือ ทั่วทั้งจักรวาลแห่งนี้
    ความเร็วของแสงจะมีค่าที่แตกต่างกันออกไป
    ขึ้นอยู่กับว่า มันถูกวัดค่าในสถานที่ที่มีสภาวะด้านมิติอย่างไร
    ดังนั้น ค่าความเร็วแสงจึงมีอยู่มากมายหลายค่า
    ขึ้นอยู่กับว่า คุณกำลังยืนอยู่ตรงจุดไหน และคุณกำลังมองดูอะไรอยู่

    คราวนี้ คำกล่าวนี้ อาจจะฟังดูค่อนข้างแปลกอยู่สักหน่อย
    เมื่อเทียบกับ เกือบทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณได้ร่ำเรียนกันมา
    และเมื่อเทียบกับ เกือบทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณได้พากันตั้งสมมุติฐานขึ้นมา
    ว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ ดังนั้น แนวความคิดนี้ จึงจะยังไม่มาถึงง่ายๆ หรือ เร็วๆนี้หรอก

    แต่ยังไงๆมันก็จะต้องมาถึงอย่างแน่นอน

    แล้วมันก็จะทำให้วิธีการวัดระยะทาง
    ของวงการดาราศาสตร์ของพวกคุณยุ่งเหยิงไปหมดเลยด้วย
    แต่มันก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลาอันสมควร
    จงคอยจับตาดูให้ดี มันแค่อยู่ใกล้ๆนี้เอง

    แล้วเมื่อถึงเวลานั้น พวกคุณบางคนก็จะเริ่มออกมาแถลงการว่า
    ค่าความเร็วของแสงจะต้องเป็นตัวแปรค่าหนึ่ง
    เพื่อทำให้สิ่งต่างๆเป็นไปในวิถีทางแบบใหม่
    ไม่ใช่แค่เป็นอย่างที่พวกคุณกำลังมองเห็นพวกมันอยู่นั้นเท่านั้น

    เพราะว่าเมื่อสายตาของนักดาราศาสตร์ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว
    (หมายถึงมีเครื่องไม้เครื่องมือดีขึ้นกว่าเดิม) มันก็เลยจะทำให้พวกคุณ
    ต้องเปลี่ยนแปลงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของสิ่งที่พวกคุณกำลังมองเห็นอยู่นั้นตามไปด้วย

    จงคอยดูให้ดี เพราะว่ามันจะมีสมมุติฐานต่างๆเกิดขึ้นมากมาย
    เกี่ยวกับบริเวณต่างๆที่มีความเป็นหลากมิติที่อยู่ในห้วงอวกาศนี้
    และมันก็จะมีสมมุติฐานต่างๆ ที่บอกว่าความเร็วของแสงจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานที่ด้วย
    ขึ้นอยู่กับว่ารูปแบบสภาวะของโลกแห่งความเป็นจริง ณ.สถานที่นั้นๆเป็นอย่างไร
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรอบของกาลเวลา (time frame)

    แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็จะทำให้เริ่มต้นสามารถอธิบายได้แล้วว่า
    ทำไมมันถึงไม่มีปรากฎการณ์ “Big Bang” เกิดขึ้น
    แต่มีปรากฎการณ์ “big revelation” เกิดขึ้นแทน

    อีกครั้งหนึ่ง ฉันขอถามพวกคุณหน่อยว่า
    “ถ้าตอนนี้เราสามารถมองเห็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว
    นั่นแปลว่าสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้เหล่านั้น มันไม่ได้มีอยู่ก่อนหน้านั้นใช่ไหม๊?”
    ลองคิดดูให้ดีนะ

    นักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณได้ตั้งสมมุติฐานเอาไว้ว่า
    “ถ้าพวกคุณเดินทางไปด้วยความเร็วที่เกือบจะเท่ากับความเร็วของแสง
    กาลเวลาของพวกคุณก็จะเปลี่ยนไป”

    เอาหละ..ทีนี้เราจะมาเล่นกับสมมุติฐานนี้แบบย้อนกลับกันบ้างว่า
    “จะเกิดอะไรขึ้นกับความเร็วของแสง เมื่อพวกคุณเปลี่ยนกาลเวลาของตัวเองแทน?”

    ซึ่งมันได้ผลทั้งสองทาง และแรงแม่เหล็ก (magnetics)

    และแรงโน้มถ่วง (gravity) ก็คือผู้ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงกาลเวลา

    “ความสามารถในการมองเห็นใหม่ และ ความเข้าใจใหม่” ทั้งหมดนี้
    จริงๆแล้ว มันเชื่อมโยงอยู่กับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วในรหัส 11:11 เมื่อปี 1987
    ซึ่งในตอนนั้น พวกคุณได้อนุญาตให้ time frame ของพวกคุณเปลี่ยนไปได้
    ถ้าพวกคุณได้สังเกตหนะนะ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นเวลาหลายปีแล้ว
    พวกเราสามารถบอกพวกคุณได้เลยว่า รถไฟสายโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณนี้
    ได้เร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

    พวกเราได้บอกพวกคุณไปแล้วเมื่อปี 1989 ว่า
    ในอนาคตหรือในศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ของโลกนั้น
    จะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสภาวะอากาศครั้งใหญ่ขึ้น
    แล้วตอนนี้พวกคุณได้เห็นมันบ้างหรือยัง?

    ระดับความสั่นสะเทือนของดาวเคราะห์โลกในขณะนี้
    แตกต่างไปจากเมื่อปี 1987 เป็นอย่างมาก ใช่ไหม๊?
    แล้วเกี่ยวกับการรับรู้ของพวกคุณหละ?

    ในสถานที่นี้ และบางที อาจจะรวมถึงบรรดาผู้ที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ในขณะนี้ด้วยก็ได้
    มีใครกล้ายอมรับไหมว่า

    “ใช่แล้ว ฉันรู้สึกว่า เวลามันผ่านไปเร็วขึ้น

    กว่าเมื่อ 2 หรือ 3 ปีที่แล้วจริงๆ?”

    มนุษย์โลกสามารถรู้สึกถึงมันได้ และดาวเคราะห์โลก
    ก็กำลังแสดงมันออกมาให้เห็นทางกายภาพอยู่ด้วย
    และในตอนนี้ พวกคุณก็กำลังอยู่ใน time frame
    ที่แตกต่างไปจาก time frame เดิมที่พวกคุณเติบโตขึ้นมาแล้ว

    แต่พวกคุณยังไม่รู้เลยใช่ไหม๊ว่า ความเร็วของแสงได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นเดียวกัน?
    (ความเร็วแสงเปลี่ยน เพราะว่า time frame เปลี่ยน – ผู้แปล)

    มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาวเคราะห์ดวงใดก็ตาม
    ที่มีระดับความสั่นสะเทือนที่สูงขึ้นหละ
    (และเกิดขึ้นกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆดาวเคราะห์ดวงนั้นด้วย)
    ดังนั้น ศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ของวงการวิทยาศาสตร์ของพวกคุณก็คือ
    จะเริ่มมีความเข้าใจใหม่ๆเกี่ยวกับเรื่อง “สัมพัทธภาพ” (relativity)
    ซึ่งเป็นเรื่องที่ครอบคลุมกว้างไกลเกินกว่าที่ ทฤษฎีสัมพัทธภาพใดๆของพวกคุณ
    จะเคยตั้งสมมุติฐานเอาไว้ซะอีก

    แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเกี่ยวข้องโยงใยอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆแล้วหละก็
    แล้วค่าคงที่ (constant) มันไปอยู่ซะที่ไหน?
    เพราะว่ามันจะต้องมีค่าคงที่อย่างน้อยซักตัวหนึ่งหละน่า
    เพื่อที่จะทำให้นักวิทยาศาสตร์ผู้ชาญฉลาดของพวกคุณ หายใจหายคอได้สะดวกหน่อย
    และเพื่อที่จะทำให้พวกเขารู้ว่า ความไร้ระเบียบ (chaos)
    ไม่ใช่วิถีทางของแผนการที่ใหญ่โตแบบนี้แน่ๆ..

    อันที่จริง มันก็มีค่าคงที่อยู่ตัวหนึ่งเหมือนกันนะ
    ซึ่งพวกเราเรียกมันว่า “ความรักของพระเจ้า”


    ......................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

    ผู้รับสาส์น: นาย Lee Carroll
    วันที่: 15 พฤศจิกายน 2003

    ที่มา: KRYON - The Interdimensional Universe


    ตอนที่: 6

    รูปร่างของจักรวาล

    พวกเราอยากจะขออธิบายถึงรูปร่างของจักรวาลให้พวกคุณฟังสักหน่อย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก
    และพวกเราก็อยากจะบอกอีกครั้งหนึ่งว่า: ในการอภิปรายข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น
    ฉันไม่สามารถที่จะบอกข้อมูลหลากมิติ ให้กับพวกคุณซึ่งอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมิติเดียวโดดๆแบบนี้
    ให้เข้าใจได้หรอกนะ เพราะว่ามันไม่มีทางเลย ที่ฉันจะสามารถบรรยายถึงสิ่งที่มันเป็นจริงๆให้พวกคุณเข้าใจได้
    โดยที่ไม่ใช้วิธีการอุปมาอุปมัย หรือใช้วิธีการเปรียบเทียบแบบง่ายๆ
    ซึ่งพวกคุณบางคนก็จะสามารถเข้าใจการอุปมาอุปมัยนี้ได้ ถึงแม้ว่าความจริงแล้ว
    พวกคุณจะกำลังปฏิบัติการอยู่ในมิติเดี๋ยวโดดๆแบบนี้อยู่ก็ตาม
    และถึงแม้ว่าการอุปมาอุปมัยนี้ จะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงบางส่วนของมันได้เท่านั้นก็ตาม

    พวกคุณมักจะถามกันอยู่เสมอว่า “ครายออน จักรวาลมีรูปร่างเป็นอย่างไร?”

    รูปร่างของจักรวาล ในมิติของพวกคุณ ก็จะคล้ายๆกับโทรอยด์ (toroid) อันหนึ่ง
    ซึ่งถ้าพวกคุณคนใดไม่รู้ว่าเจ้าโทรอยด์ที่ว่านี้คืออะไรหละก็
    ฉันก็จะบอกว่า มันก็คือรูปทรงชนิดหนึ่ง
    ที่มีลักษณะเหมือนกับยางรถยนตร์ หรือเหมือนกับขนมโดนัทนั่นเอง

    a.png
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต – Toroid Shape)

    ภายในรูปทรงแบบโทรอยด์ของระบบ 4 มิตินี้ มันก็จะมีสัดส่วนต่างๆด้านคณิตศาสตร์
    ที่พิเศษเฉพาะเป็นของตัวมันเองอยู่ ซึ่งสัดส่วนเหล่านี้ ก็จะเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพและระยะทางด้วย
    และพวกคุณก็ยังสามารถที่จะพบพวกมัน (สัดส่วน และ รูปทรงแบบโทรอยด์เหล่านี้) ได้
    ภายใน DNA ของพวกคุณเองอีกด้วย

    ที่ฉันพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็แค่อยากจะบอกว่า

    ในธรรมชาตินั้น สิ่งที่เป็นจุลภาค ก็จะเหมือนกับสิ่งที่เป็นมหัพภาคนั่นแหละ
    อย่างที่พวกคุณก็สังเกตเห็นแล้ว มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดเลย
    และพวกเราก็อยากจะขอเชิญพวกคุณให้มาทำการศึกษามันดูด้วย
    ว่ามันทำไมถึงเป็นแบบนี้

    ดังนั้น ฉันเพิ่งบอกรูปร่างของจักรวาลให้พวกคุณรู้ไปเดี๋ยวนี้เอง
    แต่ว่า..มันก็จะไม่ช่วยอะไรพวกคุณเลยแม้แต่น้อย
    มิหนำซ้ำ ฉันยังกำลังจะทำให้มันสลับซับซ้อนขึ้นไปอีกด้วย

    จักรวาลที่พวกคุณรู้จักอยู่นี้

    ถูกแปะติดอยู่บนพื้นผิว ทั้งภายในและภายนอก
    ของท่อรูปทรงโทรอยด์นี้

    แต่ว่าตอนที่พวกคุณมองออกไปข้างนอก พวกคุณกลับมองเห็นว่า
    จักรวาลมีรูปร่างรูปทรงอย่างที่พวกคุณคาดหวังเอาไว้ โดยที่มองไม่เห็นส่วนโค้งของมันเลย
    เพราะว่าพวกคุณคิดแต่ว่า แสงจะต้องเดินทางเป็นเส้นตรงเท่านั้น

    แต่ว่ามันไม่ใช่เลย..และมันก็ไม่เคยเป็นแบบนั้นด้วย

    เพราะว่าในสภาวะหลากมิตินั้น
    พวกคุณสามารถที่จะมองดูอะไรบางอย่าง
    ที่แสงสว่างเดินทางแบบเป็นเส้นโค้ง หรือแบบบิดงอ
    จากวัตถุชิ้นนั้น มาถึงตัวพวกคุณก็ได้

    แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงระบบ 4 มิติของพวกคุณนี้ พวกคุณก็จะสาบานได้ว่า
    แสงที่เดินทางมาจากวัตถุใดๆ จนมาถึงตัวพวกคุณนั้น จะต้องเดินทางแบบเป็นเส้นตรงเท่านั้น
    เพราะว่านั่นคือสิ่งที่พวกคุณคาดหวังว่าจะได้เห็น
    แต่ว่าสิ่งที่มันเป็นจริงๆนั้น มันอยู่นอกเหนือขอบเขตความคาดหวังของพวกคุณ
    หรืออยู่นอกเหนือขอบเขตประสบการณ์ที่พวกคุณเคยเจอะเจอมา
    ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้พวกคุณเข้าใจได้

    คราวนี้ ภายในรูปทรงโทรอยด์ปลายปิด ที่มีขนาดเฉพาะที่อยู่ใน 4 มิตินี้
    มันจะไม่มีเส้นทางจากภายในออกมาสู่ภายนอกเลย
    (ลองคิดดูว่ามันเป็นท่อกลวงรูปวงกลม ที่ปลายทั้งสองด้านเชื่อมต่อเข้าหากัน)
    แต่ว่าฉันเพิ่งบอกพวกคุณไปเมื่อกี้นี้เองว่า จักรวาลของพวกคุณ
    ดำรงอยู่ทั้งบนพื้นผิวด้านในและบนพื้นผิวภายนอกของรูปทรงนี้พร้อมๆกัน
    ดังนั้น พวกคุณอาจจะต้องไปหาโมเดลรูปโทรอยด์มาซักอันหนึ่งแล้วหละ
    แล้วเอามานั่งพินิจพิเคราะห์ดูว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร..
    ที่จะทำให้อะไรบางอย่าง ไปอยู่ทั้งบนพื้นผิวด้านนอก และด้านในของมันในเวลาเดียวกันได้

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกคุณก็จะไม่สามารถทำอะไรได้เลยในระบบ 4 มิตินี้
    ที่จะทำให้มันมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้ แม้ว่าพวกคุณจะตัดเจ้ารูปทรงโทรอยด์นี้ให้ขาด แล้วยืดมันออกมา
    แล้วทดลองโดยการเชื่อมต่อปลายทั้งสองด้านของมันเข้าด้วยกันใหม่ ด้วยวิธีการที่ชาญฉลาดต่างๆแล้วก็ตาม
    แต่ไม่ว่าพวกคุณจะทำอย่างไรก็ตาม พื้นผิวภายในของมัน ก็จะยังคงเชื่อมต่ออยู่กับตัวมันเองอยู่ดี
    และพื้นผิวภายนอกของมันก็เช่นเดียวกัน ก็ยังจะเชื่อมต่ออยู่กับตัวมันเองอยู่ดี
    ไม่ว่าพวกคุณจะพยายามบิดและม้วนปลายทั้งสองด้านของมัน แล้วนำมาเชื่อมต่อกันดูใหม่ซักกี่ครั้งก็ตาม
    นี่แหละคือเรื่องที่แปลกมากๆของมันหละ และนี่แหละคือความเป็นหลากมิติของมันหละ

    เดี๋ยวพวกเราจะอธิบายว่ามันเป็นไปได้อย่างไร แต่ว่าพวกคุณก็คงจะยังไม่เข้าใจอยู่ดี

    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต – Mobius strip)

    พวกคุณบางคน ก็เข้าใจคุณลักษณะของ Mobius strip ดีแล้ว เพราะว่าพวกเราได้เคยพูดถึงมันมาก่อนหน้านี้แล้ว
    ซึ่ง Mobius strip ก็คือริบบิ้นชนิดหนึ่ง เพียงแต่ว่ามันถูกตัดให้ขาดแล้วบิดไปครึ่งรอบ
    แล้วนำเอาปลายทั้งสองด้านของมันมาต่อเข้าด้วยกันใหม่ ซึ่งมันก็จะทำให้เกิดสภาวะที่น่าสนใจมากสภาวะหนึ่งขึ้น

    เพราะว่าถ้าพวกคุณลองสมมุติว่าเจ้าริบบิ้นอันนี้ มันคือถนนสายหนึ่งหละก็
    พวกคุณก็จะสามารถเดินทางไปบนเจ้าริบบิ้นนี้ได้ และเมื่อพวกคุณเดินไปเรื่อยๆๆแล้ว
    ในที่สุดพวกคุณก็จะได้เดินอยู่บนด้าน ที่เคยเป็นทั้งพื้นผิวด้านในและที่เคยเป็นพื้นผิวด้านนอกของเจ้าริบบิ้นอันนี้
    มันเป็นรูปทรงที่มีประสิทธิภาพมากรูปทรงหนึ่ง และเจ้า Mobius strip ที่ว่านี้
    ก็เป็นปรากฎการณ์ที่เป็นที่รู้จักกันโดยแพร่หลายในวงการคณิตศาสตร์ และในวงการฟิสิกส์ด้วย

    ทีนี้ สิ่งที่ฉันกำลังจะบอกกับพวกคุณต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่นิดเดียว
    และก็จะไม่มีอะไรที่ฟังดูแล้วสมเหตุสมผลสำหรับระบบ 4 มิติเลยนับจากนี้ไป
    พวกคุณไม่เคยได้ยินเรื่อง Mobius strip มาก่อนใช่ไหม๊?
    เอาหละ..แต่นั่นแหละคือคุณสมบัติของรูปทรงโทรอยด์หลากมิติหละ ซึ่งก็คือจักรวาลของพวกคุณนั่นเอง

    ฟิสิกส์หลากมิติจะไม่เหมือนกับฟิสิกส์ในระบบ 4 มิติของพวกคุณ
    เพราะว่ามันจะยินยอมให้มีวิถีทางและช่องทางแห่งความเป็นไปได้อื่นๆ
    สามารถเกิดขึ้นได้ด้วย ซึ่งมันก็จะอยู่นอกเหนือขอบเขตของการคิดแบบที่เป็นเส้นตรงของพวกคุณ
    และมันก็ดูเหมือนว่าจะยินยอมให้วัตถุต่างๆ (และแสงสว่าง) ไปอยู่ใน 2 สถานที่ในเวลาเดียวกันได้ด้วย
    ซึ่งจริงๆแล้วพวกมันก็ไม่ได้ไปอยู่ในสองสถานที่ในเวลาเดียวกันจริงๆหรอก
    เพียงแต่ว่า เมื่อใดที่พวกคุณนำเอากาลเวลาแบบเป็นเส้นตรงออกไปแล้ว
    มันก็จะดูเหมือนว่าเป็นเช่นนั้นสำหรับพวกคุณ

    ฉันขอยกตัวอย่างซักตัวอย่างหนึ่ง: พวกคุณคุ้นเคยอยู่กับกาลเวลาแบบเป็นเส้นตรง
    และก็คุ้นเคยอยู่กับธาตุต่างๆที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณดีแล้ว ที่พวกมันมีพฤติกรรม
    อย่างที่พวกมันกำลังเป็นอยู่นั้นแหละ ในทุกๆวัน ดังนั้น ตอนที่พวกคุณนั่งลงบนเก้าอี้ในคืนนี้
    (พูดถึงงานสัมนาในโรงแรมแห่งหนึ่ง) พวกคุณก็จะรู้ถึงรูปร่างรูปทรงของมันได้
    และพวกคุณก็รู้ว่ามันจะต้องรองรับตัวพวกคุณเอาไว้ พวกคุณรู้ว่าจะสามารถหยิบมันขึ้นมา
    แล้วนำไปวางซ้อนกับเก้าอี้ตัวอื่นๆได้อย่างไร ถ้าจำเป็น เพื่อเก็บพวกมัน

    นี่แหละคือสิ่งที่พวกคุณคุ้นเคยหละ แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันบอกพวกคุณว่า
    มันจะมีอยู่สภาวะหนึ่งที่พวกคุณจะสามารถนำเอาเก้าอี้ตัวหนึ่ง
    ไปวางซ้อนทับไว้บนเก้าอี้ตัวอื่นๆที่วางซ้อนกันอยู่เป็นตั้งแล้ว
    แล้วเก้าอี้ตัวนั้นมันจะกลายไปเป็นเก้าอี้ตัวที่อยู่ล่างสุดทันที!
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเลย ใช่ไหม๊?
    เพราะว่าพวกคุณไม่สามารถทำให้สสารทะลุผ่านสสารได้

    พวกคุณไม่สามารถทำให้วัตถุชิ้นหนึ่งไปเชื่อมต่อกับวัตถุอีกชิ้นหนึ่ง โดยการ “ทะลุผ่านตัวมันเอง” ลงมาได้
    ไม่ได้แน่ๆ ไม่ใช่ในระบบ 4 มิตินี้ ฉันขอบอกพวกคุณว่า ทำไมในโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณ
    เก้าอี้ตัวนั้นมันถึงได้ไปอยู่บนชั้นบนสุดของกองเก้าอี้นั้นจริงๆ
    นั่นก็เพราะว่าพวกคุณวางมันเอาไว้ตรงนั้นเป็นลำดับสุดท้ายหนะสิ
    มันมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยมากกับความจริงที่ว่ามันเป็นของแข็ง เมื่อมันอยู่ในกรอบของกาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรงนี้

    แต่สำหรับสิ่งต่างๆที่เป็นของหลากมิติแล้ว “สถานที่” ของพวกมันในจักรวาลแห่งนี้

    จะถูกขับดันโดยกรอบของกาลเวลา (time frame) เสมอ
    ซึ่งวัตถุต่างๆที่อยู่ใน “ปัจจุบันขณะนี้” พวกมันจะคิดว่าพวกมันอยู่ด้วยกันเสมอ
    แม้ว่าพวกคุณจะคิดว่าพวกมันอยู่ห่างไกลกันออกไปอีกกาแล็กซี่หนึ่งก็ตาม!

    ในโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณนี้

    มีคุณลักษณะแห่งความเป็นหลากมิติอย่างแรงกล้าอยู่ 2 ประการ
    ซึ่งคุณลักษณะทั้งสองประการนี้
    ต่างก็แหกกฎทางฟิสิกส์ของระบบ 4 มิติของพวกคุณด้วยกันทั้งคู่
    แต่นั่นก็เป็นเพราะว่า พวกคุณยังไม่รู้ว่ากฎที่แท้จริงมันคืออะไรเท่านั้นเอง
    ซึ่งคุณลักษณะ 2 ประการที่ว่านี้ก็คือ
    แรงโน้มถ่วง (gravity) และ แรงแม่เหล็ก (magnetism)

    มันไม่ใช่ความจริงหรอกเหรอ ที่แรงโน้มถ่วงสามารถทะลุทะลวงผ่านทุกสิ่งทุกอย่างไปได้หมด?
    และมันก็ดูเหมือนว่า ไม่ว่าพวกคุณจะมีอะไรอยู่ก็ตาม หรือไม่ว่าพวกคุณจะพูดถึงธาตุอะไรอยู่ก็ตาม
    แรงโน้มถ่วงก็ยังจะสามารถชนะได้เสมอ (คือสามารถส่งผลกระทบต่อวัตถุนั้นๆได้เสมอ)
    ถ้าพวกคุณได้เคยสังเกตมาบ้างหนะนะ เพราะว่าแรงโน้มถ่วงคือแรงหลากมิติชนิดหนึ่ง
    ที่มีความสัมพันธ์กับกาลเวลา และมีความสัมพันธ์กับรูปร่างรูปทรงของจักรวาลเองอีกด้วย
    มันมีความสัมพันธ์กับรูปทรงโทรอยด์อย่างมากจริงๆ มันสามารถทะลุผ่านเข้าไปในทุกสิ่งทุกอย่างได้
    จนอาจจะพูดได้ว่า มิติเกือบทั้งมิติของพวกคุณไม่ได้อยู่ในสายตาของมันเลย

    แรงแม่เหล็ก มันก็จะมีคุณสมบัติเดียวกันนี้ด้วยในระดับหนึ่ง ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณนั้น
    แรงแม่เหล็กคือแรงพื้นฐานสำหรับการถ่ายทอดสัญญาณข่าวสารของพวกคุณ
    พวกคุณถ่ายทอดสัญญาณคลื่นความถี่ของแม่เหล็กที่ได้รับการปรับจูนแล้วออกไป
    และมันก็สามารถเดินทางทะลุทะลวงผ่านตึกรามบ้านช่อง, ผ่านกำแพง
    และผ่านวัตถุต่างๆส่วนใหญ่ไปได้ทั้งหมด แล้วมันก็ตรงเข้าไปในบ้านของพวกคุณ
    ซึ่งถ้าพวกคุณมีเครื่องรับสัญญาณซักเครื่องหนึ่ง
    พวกคุณก็จะสามารถจัดการกับสิ่งที่มันนำพามาด้วยได้ ในโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณ

    แรงแม่เหล็กที่ว่านี้ มันก็เป็นของหลากมิติอย่างหนึ่ง

    เช่นเดียวกันกับแรงโน้มถ่วงนั่นแหละ
    ซึ่งจนป่านนี้บรรดานักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณ
    ก็ยังคงไม่เข้าใจพวกมันเลยซักแรงเดียว

    ดังนั้น ลองนำเอาหลักการณ์เหล่านี้ ไปใช้กับสิ่งที่ฉันกำลังจะแสดงให้พวกคุณเห็นอยู่นี้แบบอุปมาอุปมัยดูนะ

    รูปร่างรูปทรงของจักรวาลแห่งนี้ จะอยู่ทั้งบนพื้นผิวด้านนอกและด้านในของรูปทรงโทรอยด์
    แต่ว่าพวกมันจะเชื่อมต่อกันอยู่ในรูปแบบที่พวกคุณไม่สามารถที่จะใช้ความคิดแบบ 4 มิติของตัวเอง
    จินตนาการออกมาได้

    ลองคิดดูสิว่าจักรวาลของพวกคุณ ก็มีคุณลักษณะต่างๆ

    เช่นเดียวกันกับแรงโน้มถ่วงและแรงแม่เหล็กด้วย
    ซึ่งดูเหมือนว่าจะสามารถทะลุทะลวงผ่านเข้าไปในเกือบจะทุกสิ่งทุกอย่างได้
    ซึ่งด้วยการระลึกเอาไว้ในใจเช่นนี้ ชิ้นและส่วนต่างๆของระบบหลากมิตินี้
    ก็อาจจะเหมือนกับเก้าอี้ตัวนั้น ที่สามารถลงไปอยู่ที่ก้นแถวได้
    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม
    แม้ว่ามันจะถูกวางซ้อนเอาไว้ที่ชั้นบนสุดของแถวแล้วก็ตาม

    และที่มันสามารถทะลุทะลวงผ่านเก้าอี้ตัวอื่นๆลงมาได้เช่นนี้
    ก็เพราะว่ามันมีกฎทางฟิสิกส์ของระบบหลากมิติอยู่หลายข้อ
    ที่บังคับให้มันต้องหาตำแหน่งแห่งหนที่แท้จริงของมันในจักรวาล
    ซึ่งขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่สิ่งที่พวกคุณคิดว่ามันควรจะเป็น
    เหมือนในระบบ 4 มิติที่มีกาลเวลาแบบเป็นเส้นตรงของพวกคุณนี้

    ...............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mobius-strip-1.jpg
      mobius-strip-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.9 KB
      เปิดดู:
      1,681
    • Toroid-1.png
      Toroid-1.png
      ขนาดไฟล์:
      13.7 KB
      เปิดดู:
      1,604
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

    ผู้รับสาส์น: นาย Lee Carroll
    วันที่: 15 พฤศจิกายน 2003

    ที่มา: KRYON - The Interdimensional Universe


    ตอนที่: 7

    ระยะทางในจักรวาล


    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกคุณสามารถที่จะจินตนาการได้ ซึ่งมันก็จะช่วยให้พวกคุณสามารถเข้าใจสิ่งที่ฉันจะเรียกว่า
    ภาพลวงตาสำหรับผู้ที่อยู่ในมิติหนึ่ง แล้วมองไปยังอีกมิติหนึ่งได้ ฉันกำลังจะแสดงให้พวกคุณเห็นว่า
    จริงๆแล้วจักรวาลแห่งนี้ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย

    ให้นึกถึงรูปทรงโทรอยด์ที่พวกเราได้พากันสร้างกันขึ้นมา ในการอุปมาอุปมัยของพวกเราอันนั้น
    แล้วจากนั้น ก็ให้เปลี่ยนท่อกลวงรูปวงกลมที่ทำด้วยโลหะของมัน ให้กลายไปเป็นทำด้วยผ้านิ่มๆแทนเสีย
    ซึ่งตอนนี้เจ้ารูปทรงโทรอยด์อันนี้ก็จะสามารถยืดหยุ่นได้แล้ว
    แล้วจากนั้น ก็ให้ใช้กรรไกรตัดตามแนวรัศมีของมันตรงจุดไหนก็ได้ แล้วก็ให้ยืดมันออกมา
    เพื่อให้มันกลายเป็นท่อกลวงๆท่อหนึ่งเฉยๆ เหมือนกับส่วนที่หุ้มขาของถุงเท้าอะไรแบบนั้น
    แล้วจากนั้นก็จงทำให้มันใหญ่มากพอ จนพวกคุณสามารถที่จะสอดมือของตัวเองเข้าไปข้างในได้

    แล้วจากนั้นก็ให้สอดมือเข้าไป แล้วก็ใช้มือจับปลายด้านหนึ่งของมัน ที่อยู่ไกลตัวของพวกคุณที่สุดเอาไว้
    แล้วก็ดึงปลายด้านนั้นเข้ามา โดยสอดผ่านเข้ามาด้านในท่อ จนปลายทั้งสองด้านของมันมาบรรจบกัน
    ให้จินตนาการว่าพวกคุณทำเช่นนี้หลายๆครั้ง กับแต่ละด้านของมัน จนกระทั่งว่า
    แทนที่มันจะมีลักษณะเป็นท่อกลวงของถุงเท้าเหมือนดังแต่ก่อน แต่บัดนี้พวกคุณได้พับมัน
    จนเหลือขนาดและรูปร่างเล็กลงกว่าเดิมหลายเท่าตัวแล้ว
    โดยการดึงปลายแต่ละด้านของมันเข้ามาในท่อถุงเท้าหลายๆครั้ง

    และเมื่อพวกคุณทำเสร็จมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ให้พยายามต่อปลายทั้งสองข้างของมันเข้าด้วยกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง
    อย่างชาญฉลาด พวกคุณทำได้! เพราะมันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก!
    พวกคุณสามารถที่จะพับปลายด้านหนึ่งของมันขึ้นมา แล้วต่อมันเข้ากับปลายอีกด้านหนึ่งได้

    แล้วตอนนี้คำถามก็คือว่า มันยังเป็นรูปทรงโทรอยด์อยู่ไหม๊?
    และคำตอบก็คือ ใช่..รูปร่างของมันก็ยังคงเป็นรูปทรงโทรอยด์อยู่เหมือนเดิม
    เพราะว่ามันเพียงแต่ถูกปรับแต่งใน 3 มิติเท่านั้น (กว้าง, ยาว, สูง – ผู้แปล)
    และก็..มันก็ยังคงมีความอัศจรรย์ด้านคณิตศาสตร์ของรูปทรงโทรอยด์อยู่เหมือนเดิม
    เพียงแค่ว่ามันหดเล็กลงเท่านั้นเอง

    คราวนี้ ฉันขอนำพวกคุณเข้าไปยังใจกลางของเจ้ารูปทรงโทรอยด์ที่หดเล็กลงแล้วนี้สักหน่อย
    และตอนนี้ ภายในถุงเท้าอันนี้ สมมุติว่าพวกคุณมีขนาดเล็กเท่ากับขนาดของโมเลกุลๆหนึ่ง
    และสมมุติว่าพวกคุณกำลังอยู่ในจักรวาลที่พิเศษจักรวาลหนึ่งอยู่
    ซึ่งมีความกว้างใหญ่ไพศาลอย่างมาก จนเหลือเชื่อ แต่ว่า..ภายในจักรวาลแห่งนี้
    กลับมีชั้นต่างๆซ้อนและพับกันอยู่เป็นชั้นๆจำนวนมากมาย

    และถ้าพวกคุณเริ่มต้นออกเดินทางไปบนพื้นผิวของมันหละก็ (ไม่ว่าจะเป็นด้านในหรือด้านนอกก็ตาม)
    พวกคุณก็จะต้องเดิน แล้วก็เดิน แล้วก็เดินเป็นระยะทางอันยาวไกลมาก กว่าที่จะเดินไปได้ครบรอบหนึ่งของมัน
    แม้ว่าเจ้าถุงเท้าอันนี้จะถูกพับจนมีขนาดเล็กลงแล้วก็ตาม

    แล้วทำไมจะต้องทำแบบนั้นด้วยหละ ก็ในเมื่อชั้นที่อยู่ถัดไปของมัน
    อยู่ห่างออกไปแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของนิ้วเท่านั้นเอง?

    คำตอบมันคืออะไร? นั่นก็เพราะว่าพวกคุณไม่สามารถที่จะเดินทะลุผ่านชั้นต่างๆเหล่านั้นไปได้หนะสิ
    และพวกคุณก็ยังไม่สามารถมองทะลุผ่านชั้นต่างๆเหล่านั้นไปได้ด้วยซ้ำ
    เพื่อที่จะให้รู้ว่าตอนนี้พวกคุณกำลังอยู่ที่ไหนอยู่
    ดังนั้น พวกคุณก็เลยจำเป็นจะต้องเดินแล้วก็เดินแล้วก็เดินไปเรื่อยๆเพื่อที่จะไปให้ถึงที่ไหนสักแห่งหนึ่ง

    สิ่งที่พวกเรากำลังบอกกับพวกคุณอยู่นี้ก็คือ บรรดานักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณ
    และข้อมูลจากการสังเกตการณ์แบบใช้เหตุใช้ผลของพวกคุณ บอกพวกคุณว่า
    พวกคุณอยู่ห่างจากวัตถุต่างๆเป็นระยะทางหลายร้อยล้านปีแสงจริงๆ

    แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรื่องนี้มันเป็นเพียงภาพลวงตาอย่างหนึ่งเท่านั้นหละ?

    และจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจักรวาลหลากมิติใดๆ
    จะมีคุณลักษณะเหมือนกันกับแบบจำลองของท่อถุงเท้าอันนี้ทั้งสิ้น?
    มันจะเป็นไปได้ไหมว่า สิ่งที่ปรากฎให้เห็นว่า มันอยู่ห่างไกลออกไป
    คิดเป็นระยะทางแบบเป็นเส้นตรงเท่ากับ 100 ล้านปีแสงนั้น
    จริงๆแล้วมันจะอยู่ใกล้แค่ห้องถัดไปนี้เอง?

    ซึ่งคำตอบที่จะตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
    และตอบอย่างเสียงดังฟังชัดก็คือ “ใช่”

    และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ก็ตาม แล้วก็จริงอยู่ ที่ว่า..ความกว้างใหญ่ไพศาลนั้นมีอยู่จริง
    แต่มันก็จะเหมือนกับการรับรู้ของโมเลกุลๆหนึ่ง ที่เชื่อว่ามันจะต้องเดินทางไปเรื่อยๆ
    บนพื้นผิวด้านในทั้งหมดของถุงเท้าอันนั้น เพื่อที่จะไปให้ถึงที่ๆมันต้องการแบบนั้นแหละ

    รูปร่างของจักรวาลก็มีลักษณะโค้งแบบเดียวกันกับโมเดลอันนี้ด้วยเช่นกัน
    ซึ่งมันก็จะมีวิธีการทางคณิตศาสตร์ และวิธีการที่สามารถพยากรณ์ได้อยู่วิธีหนึ่ง
    ที่จะเจาะทะลุ “ผนัง” เหล่านี้ไปให้ได้ (เช่นเดียวกันกับที่แรงโน้มถ่วงทำ)
    ซึ่งก็จะทำให้พวกคุณสามารถกระโดดข้ามไปยังส่วนอื่นๆของถุงเท้าได้
    ทั้งที่อยู่บนพื้นผิวด้านนอกและด้านในของมัน

    นั่นแหละคือรูปร่างของจักรวาลหละ แต่อย่างไรก็ตาม พอมาถึงตรงนี้แล้ว
    ฉันก็ยังอยากจะบอกข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “การเจาะทะลุผ่านกำแพง”
    ที่อยู่ระหว่างชั้นต่างๆของรูปทรงโทรอยด์ที่ถูกพับไว้นี้ ให้พวกคุณได้ทราบอยู่
    (พวกคุณยังอยู่กับฉันอยู่ไหมเนี่ย?)

    จักรวาลคือระบบอย่างหนึ่งที่มีการดูดเข้าและผลักออกของพลังงานอยู่ตลอดเวลา
    มันมีการสร้างตัวมันเองขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา และมันก็ไม่เคยทำลายตัวเองเลย
    มันมีแต่จะเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างมิติต่างๆในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
    เพื่อปรับตัวมันเองให้เข้ากับกาลเวลาและแรงแม่เหล็กและแรงโน้มถ่วง
    ที่บังคับให้มันต้องปรับตัวเองให้อยู่ในสมดุลให้ได้ ตลอดเวลา

    และมันก็มีระบบความช่วยเหลือบางอย่างอยู่ในจักรวาลแห่งนี้
    เพื่อที่จะช่วยให้มันกำจัดสสารออกไป และเติมสสารเข้ามาใหม่ได้

    ดังนั้น กาแล็กซี่ทั้งกาแล็กซี่จึงอาจจะดูเหมือนกับว่า มันหายสาบสูญไป แล้วก็ปรากฎขึ้นมาใหม่อีกก็ได้
    (ตามมุมมองของผู้ที่อยู่ในมิติใดมิติหนึ่ง) ดังนั้น การเปลี่ยนมิติจึงเป็นเครื่องจักรกลของจักรวาลของพวกคุณ
    และก็คือทั้งหมดที่พวกคุณที่อยู่ในระบบ 4 มิตินี้กำลังมองเห็นกันอยู่ในขณะนี้
    มันเป็นต้นเหตุของปรากฎการณ์อย่างหนึ่ง ที่พวกคุณรู้สึกว่าคือจุดเริ่มต้นของจักรวาลของพวกคุณ
    ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องอะไรกับ “การระเบิดอย่างกระทันหัน” (bang) เลยก็ตาม

    และสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “หลุมดำ” (black hole)

    ซึ่งอยู่ที่ใจกลางของกาแล็กซี่ทุกๆกาแล็กซี่นั้น
    ก็เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรกลสำหรับการเปลี่ยนมิติที่ว่านี้ด้วย
    เพราะว่าพวกมันคือช่องทาง ที่จะใช้เพื่อทะลุผ่านกำแพงของท่อถุงเท้าอันนี้ไปได้

    และพวกเราก็ยังได้เคยบอกพวกคุณไปแล้วว่า ณ.ใจกลางของกาแล็กซี่ทุกๆกาแล็กซี่
    มันจะมีหลุมดำอยู่อย่างน้อย 2 หลุมด้วยกันเสมอ เพราะว่าพวกมันจะอยู่กันเป็นคู่ๆเสมอ

    ซึ่งหลุมหนึ่ง จะทำหน้าที่ผลักออก ส่วนอีกหลุมหนึ่งจะทำหน้าที่ดูดเข้ามา
    แต่จะมีเพียงหลุมเดียวเท่านั้นที่พวกคุณจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
    เพราะว่าอีกหลุมหนึ่งนั้นมันจะอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของกำแพง
    และมันก็จะซ่อนตัวอยู่ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม
    พวกคุณก็จะสามารถมองเห็นมันได้เร็วๆนี้แหละ

    การเปลี่ยนมิติดังกล่าวนี้ ยังเป็นเครื่องจักรกลของโครงข่ายเอกภพ (The Cosmic Lattice) อีกด้วย

    มนุษย์โลกเอ๋ย พวกคุณกำลังจะกลายไปเป็นรูปธรรมชีวิตหลากมิติกันแล้ว

    เพราะว่าพวกคุณได้พากันเปลี่ยนโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเอง
    ที่อยู่บนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณไปเรียบร้อยแล้ว
    พวกคุณคือสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวในจักรวาลแห่งนี้ ที่กำลังอยู่ในระบบทวิภาวะ
    แต่ก็ยังสามารถที่จะเปลี่ยนมิติของดาวเคราะห์ของตัวเองได้ด้วย!

    ในจักรวาลแห่งนี้ มีสิ่งมีชีวิตมากมายที่สามารถเปลี่ยนมิติได้
    โดยใช้เครื่องมือเครื่องจักรเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว
    แต่มีเพียงพวกคุณเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองได้ทั้งดุ้น

    ขอให้ฉันได้บอกใบ้เพิ่มเติมแก่พวกคุณอีกสักหน่อยเถอะ เกี่ยวกับกลไกการทำงานของจักรวาลของพวกคุณ
    พวกเราได้พูดถึงกัมมันตภาพของรังสีแกมม่ากันมาโดยตลอด เกือบจะสิบปีแล้ว
    พวกเราได้บอกพวกคุณไปแล้วว่า “ให้จับตาดูความเข้มข้นของกัมมันตภาพของรังสีแกมม่าให้ดี”
    พวกเราบอกพวกคุณไปแล้วว่า เมื่อใดที่พวกคุณเห็นมัน พวกคุณก็จะรู้ได้ทันทีว่า
    ที่นั่นกำลังมีการสร้างสรรค์เกิดขึ้นอยู่ หรือมีบางอย่างที่พิเศษกำลังเกิดขึ้นอยู่
    ซึ่งตอนนี้พวกเราจะเรียกมันว่า “การเปลี่ยนมิติ” (Dimensional Shift)

    ซึ่งทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนมิติเกิดขึ้น มันก็จะมีรังสีแกมม่าเกิดขึ้นด้วยเสมอ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งรังสีแกมม่าที่มีระดับความเข้มข้นรุนแรงสูงมากๆ
    นี่คือลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนมิติหละ และมันก็สามารถบอกพวกคุณได้ด้วยว่า
    กำลังมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ที่นั่น ซึ่งพวกคุณจะสามารถพบลักษณะนี้ได้ที่ขอบของกาแล็กซี่ของพวกคุณเอง
    และพวกคุณก็รู้แล้วว่ากำลังมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ที่นั่นจริงๆ

    มันคือ “mini-big bang” (บิ๊กแบงขนาดจิ๋ว) ถ้าพวกคุณต้องการที่จะใช้ศัพท์ของตัวเองเรียกมันหนะนะ
    มันเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
    จักรวาลที่กำลังมีการเลื่อนไหลไปมาในลักษณะของการดูดเข้าและผลักออกอยู่ตลอดเวลา

    ดังนั้น แม้ว่ามันอาจจะดูเหมือนว่าอยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันๆล้านปีแสงก็ตาม แต่มันไม่ใช่เลย
    เพราะว่าจริงๆแล้วมันอยู่ที่สวนหลังบ้านของพวกคุณนี้เอง แต่ว่ามนุษย์โลกที่รักทั้งหลาย
    พวกคุณก็จะไม่ได้รับอันตรายใดๆจากการยุบตัวลงของกาลเวลาที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณ
    หรือจากการที่มีจักรวาลใหม่อุบัติขึ้นอย่างปุบปับในระบบสุริยะของพวกคุณหรอกนะ
    เพราะว่ากฎทางฟิสิกส์ของมันจะแยกมันออกไปจากพวกคุณ
    และมันก็จะมี time frame เป็นของตัวมันเองด้วย

    ซึ่งนี่ก็หมายความว่า “ใจกลาง” ของจักรวาล อยู่ทุกหนทุกแห่ง


    แต่อย่างไรก็ตาม ในจักรวาลของพวกคุณแห่งนี้

    มันก็ยังมีสถานที่ๆพิเศษและศักดิ์สิทธิ์อยู่สถานที่หนึ่ง
    ที่ดูเหมือนว่า มันจะตั้งอยู่ในตำแหน่งแห่งหนที่ดูแสนจะธรรมดา
    มันเป็นสถานที่ๆพวกคุณเรียกกันว่า “ดาวเคราะห์โลก”
    มันเป็นที่อยู่อาศัยของทวยเทพทั้งหลาย
    ที่เสแสร้งแกล้งปลอมตัวกันมาเป็น “มนุษย์โลก”

    พวกเขามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อที่จะมาฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลาย
    เพื่อทำให้จักรวาลทั้งหลาย ยกระดับขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้คือ
    “ดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี เพียงดวงเดียวเท่านั้นในจักรวาลแห่งนี้”

    มันคือดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวเท่านั้น
    ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองได้
    มันคือดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวเท่านั้น ที่ผู้ที่อยู่อาศัยบนนั้น
    สามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลง time frame
    ของโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองได้
    และสามารถที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนมิติ
    ของโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองได้อย่างแท้จริง

    ดังนั้น มนุษย์โลกที่รักทั้งหลาย
    เพราะว่าความเป็นจริงในข้อนี้เอง
    จึงทำให้เมื่อวานนี้แตกต่างจากวันนี้

    เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วนี้ (ปรากฎการณ์ Harmonic Concordance)
    ก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญมากอีกช่วงเวลาหนึ่ง เช่นเดียวกันกับปรากฎการณ์ Harmonic Convergence
    เพราะว่ามันคือช่วงเวลาที่มนุษย์โลก ได้พากันตัดสินใจเลือกแล้วว่า จะเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งความเป็นไปของตัวเอง
    ซึ่งเรื่องนี้สามารถที่จะรู้สึกถึงมันได้ แม้ในระดับเซลด้วยซ้ำไป เพราะว่าเงื่อนไขสำหรับ “การยินยอม”
    ของ DNA ของพวกคุณ จะเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ อันเนื่องมาจากสิ่งที่พวกคุณได้ทำไปแล้วนั้น

    ฉันจะอธิบายเรื่องนี้ให้พวกคุณเข้าใจยังไงดีนะ? ฉันจะแสดงให้พวกคุณเห็นได้ยังไงนะ?
    ว่าพวกคุณกำลังจะเริ่มสามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นของหลากมิติได้แล้ว
    ซึ่งมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการสร้างสรรค์ร่วม (co-creation) ของพวกคุณเองด้วย

    พวกคุณทุกๆคนล้วนมีความสามารถในการสร้างสรรค์ร่วมด้วยกันทั้งสิ้น
    เพื่อสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองขึ้นมา ซึ่งก็จะเหมาะเจาะกับระดับพลังงานของดาวเคราะห์โลกดวงนี้
    และก็จะเหมาะเจาะกับระดับพลังงานของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆที่อยู่รอบๆดาวเคราะห์โลกของพวกคุณด้วย
    ซึ่งบางทีโลกแห่งความเป็นจริงที่ว่านี้ ก็อาจจะหมายถึงการนำพาสันติสุขมาสู่ชีวิตของตัวพวกคุณเองก็ได้
    ในขณะที่พวกคุณกำลังพยายามฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆซึ่งเป็นความท้าทายสุงสุดของตัวเองไปให้ได้อยู่นี้

    จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกคุณสามารถมองเห็นมิติอื่นๆได้จริงๆ
    ซึ่งเป็นการมองเห็นในแบบที่จะสามารถเปิดเผยให้เห็นสิ่งๆต่างๆที่ก่อนหน้านี้เคยซุกซ่อนอยู่ได้
    และสิ่งต่างๆที่ว่านั้นก็หมายถึงสิ่งที่เป็นรากฐานของสิ่งที่พวกคุณต้องการอย่างแท้จริงซะด้วย?

    จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันบอกพวกคุณว่า ความลับของการสร้างสรรค์ร่วมก็คือ การหักลบออก?
    แล้วพวกคุณก็อาจจะพูดว่า “ครายออน ท่านกำลังพูดเรื่องไร้สาระอีกแล้วนะ”

    ...................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

    ผู้รับสาส์น: นาย Lee Carroll
    วันที่: 15 พฤศจิกายน 2003

    ที่มา: KRYON - The Interdimensional Universe


    ตอนที่: 8

    วูกับแท่งหินแกรนิต

    พวกเรากำลังจะเล่านิทานเปรียบเทียบอีกเรื่องหนึ่งให้พวกคุณฟัง เป็นเรื่องของ “วู”
    เพราะว่าพวกเราไม่ได้พูดถึงนิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้มานานแล้ว
    ดังนั้น พวกเราจึงกำลังจะจบการสื่อสารครั้งนี้ด้วยนิทานสอนใจเรื่องนี้กัน

    “วู” (Wo) คือมนุษย์โลกคนหนึ่งที่ไร้เพศ ดังนั้น เขา/เธอผู้นี้จึงเป็น “มนุษย์-วู” (Wo-man) คนหนึ่ง
    แต่ว่าสำหรับนิทานเรื่องนี้ พวกเราจะขอใช้สรรพนามกับวูว่า “เขา” ก็แล้วกัน

    วูเป็นคนที่ไม่ค่อยพอใจกับชีวิตของตัวเองซักเท่าไหร่นัก โอ..เขาทำงานหนักมาตลอด
    และก็เป็น Light worker คนหนึ่งด้วย แต่ว่าเขารู้สึกหดหู่ใจ เขาพูดขึ้นว่า
    “ฉันต้องการอะไรบางอย่างที่ล้ำค่าในชีวิตของฉัน ฉันต้องการอะไรบางอย่าง
    ที่มีความหมายและสวยงามในชีวิตของฉัน”

    ซึ่งวูก็รู้ดีว่าเขาสามารถที่จะเนรมิตมันขึ้นมาได้ด้วย เพียงแต่ว่าเขาแค่ไม่ค่อยแน่ใจเท่านั้นเอง
    ว่าเขาควรจะเนรมิตอะไรขึ้นมาดี และเขาก็ยังไม่รู้จริงๆอีกด้วยว่า เขาควรจะร้องขออะไรดีในการเนรมิตของเขานั้น
    เขาเคยได้ยินคำเตือนมาว่าอย่าไปร้องขออะไรที่จำเพาะเจาะจงกับวิญญาณเบื้องบนเป็นอันขาด
    แต่ให้พูดว่า “ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเนรมิตเฉพาะสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับข้าพเจ้าจริงๆออกมาได้ด้วยเถิด
    ซึ่งจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมกับแผนการอันศักดิ์สิทธิ์ของข้าพเจ้าเองด้วย”

    และเพราะว่าวูเป็นผู้ที่มีสติปัญญาแบบ light worker อยู่แล้ว ดังนั้น เขาจึงเริ่มอธิษฐานว่า
    “ข้าแต่วิญญาณเบื้องบน ข้าพเจ้าต้องการที่จะเนรมิตอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของข้าพเจ้าขึ้นมาซักอย่างหนึ่ง
    บัดนี้มันถึงเวลาแล้ว พระผู้เป็นเจ้า และ ตัวตนที่สูงส่งกว่าของข้าพเจ้าเจ้าขา
    ขอให้พวกท่านช่วยเลือกให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด ว่ามันควรจะเป็นอะไรดี เพราะว่าพวกท่านมีภูมิปัญญานั้นอยู่แล้ว
    ได้โปรดช่วยเลือกให้ข้าพเจ้าด้วยเถิดว่ามันควรจะเป็นอะไรดี ข้าพเจ้าต้องการอะไรบางอย่างที่ใหญ่โตมโหฬาร
    เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้ประสบผลสำเร็จในชีวิตได้”

    แล้วเขาก็ได้ตามความปราถนา! เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่งที่เขาออกมาจากบ้านของเขา
    เขาก็พบว่ามีแท่งซีเมนต์ขนาดใหญ่มากแท่งหนึ่งวางอยู่หน้าประตูบ้านของเขา!
    มันมีขนาดใหญ่มาก กว้าง 30 ฟุต ยาว 30 ฟุต จนทำให้เขารู้สึกอับอายมาก เขาจึงพูดขึ้นว่า
    “นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจริงๆหนะหรือวิญญาณเบื้องบนเจ้าขา? นี่คืออะไร?

    แล้วตัวตนที่สูงส่งกว่าของวูก็พูดว่า “วู..พวกเรายังทำไม่เสร็จ รอก่อนนะ” แล้ววูก็นั่งรอดูอยู่
    แต่เจ้าบล็อกซีเมนต์นั่นก็ยังคงตั้งอยู่ที่นั่นเหมือนเดิม จนเขาทนไม่ไหวแล้ว อย่างทีเคย
    เขาจึงคิดว่าบางทีข้อความของเขาอาจจะถูกเข้าใจผิดไปก็ได้

    แล้วจากนั้นไม่นานเพื่อนบ้านของเขาก็เริ่มที่จะวิพากวิจารณ์กันถึงเจ้าบล็อกซีเมนต์อันนั้น
    จนทำให้วูยิ่งแน่ใจว่ามันต้องเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้วแน่นอน
    ว่าจริงๆแล้ว วิญญาณเบื้องบนไม่ควรที่จะส่งบล็อกซีเมนต์อันนี้มาให้เขาเลย!
    เพราะดูยังไงๆมันก็ไม่น่าจะใช่ของศักดิ์สิทธิ์สูงค่าอะไรเลย
    ดังนั้นเขาเลยเอารถเครนขนาดใหญ่มาย้ายมันออกไป แต่มันไม่ขยับ

    ดังนั้น เขาก็เลยไปพาผู้เชี่ยวชาญในการย้ายแท่งหินแกรนิตประเภทต่างๆมา
    วูร้องขอว่า “พวกเราจะสามารถย้ายหินแท่งนี้ออกไปได้ไหม?”
    พวกเขาตอบว่า “ไม่ พวกเราทำไม่ได้หรอก เพราะว่ามันใหญ่เกินไป”

    แล้วจากนั้นก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น วูได้ยินเสียงเคาะประตูบ้าน เขาจึงเปิดประตูออกมา
    แล้วเขาก็เห็นชายร่างเล็กคนหนึ่ง ที่มาพร้อมกับสิ่วด้ามหนึ่ง วูจึงถามว่า “คุณเป็นใคร?”
    ชายร่างเล็กจึงตอบว่า “ผมขอโทษที่มาสาย ผมเป็นช่างแกะสลัก”
    วูพูดว่า “ผมไม่ได้เรียกช่างแกะสลักมานี่ เพราะว่าพวกเรากำลังพยายามที่จะย้ายหินแท่งนี้
    ออกไปจากตรงนี้อยู่ คุณจะช่วยทุบมันให้แตกหน่อยได้ไหม๊?”

    ชายร่างเล็กรู้สึกตกใจ เขาจึงพูดว่า
    “โอ..ได้โปรด ได้โปรด นี่คืองานศิลปะชิ้นเยี่ยม คุณไม่สามารถที่จะทำลายมันได้!
    มันไม่ใช่สิ่งที่คุณขอไปหรอกหรือ? มันไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการหรอกหรือ?
    คุณกำลังจะมีอะไรบางอย่างที่ล้ำค่า และทรงคุณค่า และยอดเยี่ยม
    และอยู่ที่ลานหน้าบ้านของคุณไปตลอดกาล มันจะอยู่ในที่ๆคุณจะชอบมัน
    และทุกๆคนก็จะนิยมชมชอบมัน และพวกเขาก็จะหลั่งไหลกันมาจากทั่วสารทิศเพื่อมาดูมัน”
    ชายร่างเล็กหายใจหอบแห็กๆ ส่วนวูแค่มองดูเขาแล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง

    แล้ววูก็ค่อยพูดขึ้นมาช้าๆว่า
    “แต่มันเป็นแค่บล็อกซีเมนต์เท่านั้นเองนะ แล้วใครจะมานิยมชมชอบของพรรณนี้กันหละ?”
    “ไม่ มันไม่ใช่เลย คุณไม่เห็นมันเหรอ?”
    “ฉันเห็นแต่บล็อกซีเมนต์ขนาดใหญ่มหึมา ที่น่าโมโห และไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้ก็เท่านั้น”
    วูตอบ “มันกำลังจะทำให้หญ้าในสนามของฉันตายหมดอยู่แล้ว”

    แต่ถึงแม้ว่าวูจะยังไม่เข้าใจก็ตาม แต่เขาก็ยังอดทนรอให้ชายร่างเล็กคนนั้น
    ทำงานของเขาไปในสนามหน้าบ้านของเขา ไปจนกระทั่งถึงเดือนถัดไปหรือราวๆนั้น
    แล้วเขาก็ค่อยๆเริ่มเข้าใจขึ้นมาทีละน้อยๆ

    ช่างแกะสลักจะมองไม่เห็นว่ามันเป็นแค่บล็อกซีเมนต์แต่อย่างใดเลย แต่เขาจะมองเห็นว่ามันคืองานศิลปะ!
    เขาทำการสกัดเอาเนื้อซีเมนต์ที่ห่อหุ้มชิ้นงานศิลปะที่เขามองเห็นได้อยู่ภายในแท่งซีเมนต์นั้นออกไปจนหมด
    เขาค่อยๆใช้สิ่วสกัดเอาสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งล้ำค่าออกไป จนกระทั่งชิ้นงานศิลปะ
    เริ่มปรากฎเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้เห็นทีละน้อยๆ ซึ่งมันมีขนาดเล็กกว่าบล็อกดั้งเดิมของมันมาก
    โอ..มันสวยสดงดงามมาก!

    และตอนนี้วูก็มีความสุขมาก! “ฉันมีสิ่งล้ำค่าในชีวิตของฉันแล้ว ซึ่งฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
    มันอยู่ในบล็อกซีเมนต์ที่น่าเกลียดของฉันนี่เอง! ฉันแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า
    ฉันเคยพยายามที่จะทิ้งบล็อกนี้ไป ช่างโง่เขลาซะจริงๆเลย!”
    แล้วในทันใดนั้น เพื่อนบ้านของวูก็สังเกตเห็นเข้า พวกเขาเลยพากันมาดู
    แล้วก็พากัน “โอว์” แล้วก็ “อา” ทำให้วูภาคภูมิใจมาก

    และเมื่อช่างแกะสลักทำงานของเขาเสร็จแล้ว เขาก็เดินมาที่ประตู
    แล้วก็พูดว่า “เอาหละ ตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้ว”
    วูจึงถามว่า “ถึงเวลาสำหรับอะไร? คุณจะไปแล้วเหรอ?”
    “โอ..ไม่เลย มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะวู”
    “ถ้างั้นคุณก็หมายความว่าฉันจะต้องอยู่กับคุณที่นี่ ในสวนหน้าบ้านนั้นใช่ไหม๊?”
    “โอ..มันดีกว่านั้นซะอีก” ชายร่างเล็กตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

    และภายในพริบตาเดียวนั้น ช่างแกะสลักก็เปลี่ยนรูปแบบไป กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของวู
    เขากลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมของตัวเอง ภายในสภาวะของทวยเทพ ที่วูรับรู้ว่าคือเทพผู้นำทางของเขาเอง
    เขากลายมาเป็น soul mate และ twin flame ทางจิตวิญญาณ และที่ปรึกษาให้กับวู
    ส่วนร่างกายเนื้อที่เขาแสร้งสวมใส่อยู่นั้น ได้หายไป และความศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ได้สว่างไสวเรืองรองออกมา

    มันตลกดีนะ พวกคุณว่าไหม๊ เพราะว่าวูไม่เคยถามถึงชื่อของช่างแกะสลักคนนั้นเลย
    แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าชื่อของช่างแกะสลักคนนั้นก็คือ “วู” เช่นกัน!
    ดังนั้น ไม่เพียงแต่วูจะได้รับสิ่งเนรมิตที่เขาต้องการเท่านั้น แต่เขายังได้รับคู่ชีวิตที่ทรงภูมิปัญญามาร่วมงานอีกด้วย!
    และวูก็มีความเข้าใจใหม่แล้วว่า:

    บางทีสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด

    และสิ่งที่ได้รับการหักลบอะไรบางอย่างออกจากสภาวะเดิมที่มันเป็นอยู่
    ก็คือสิ่งที่จะสามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์ต่างๆขึ้นมาได้

    ................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

    ผู้รับสาส์น: นาย Lee Carroll
    วันที่: 15 พฤศจิกายน 2003

    ที่มา: KRYON - The Interdimensional Universe


    ตอนที่: 9

    เลข 0 (The Zero)

    มันจะมีซักวันหนึ่งที่วงการวิทยาศาสตร์ของพวกคุณจะให้เกียรติเลข 0
    เมื่อมันอยู่ในวิชาคณิตศาสตร์แบบหลากมิติของพวกคุณ ที่กำลังจะมาถึงนี้
    แต่ตอนนี้พวกคุณจะมองว่าเลข 0 ไม่มีค่าอะไรเลย และบางคนก็จะบอกว่า
    “เอ่อ..พวกเรารู้ว่าเลข 0 ไม่มีความหมายอะไรเลยจริงๆ แต่ว่าในระบบหลากมิติแล้ว
    เลข 0 อาจจะหมายถึงจำนวนอนันต์ก็เป็นได้ นั่นแหละคือเลข 0 หละ”

    ไม่เลย มันไม่ใช่เลย

    เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปีแล้ว ที่พวกเราได้พร่ำบอกพวกคุณไปเกี่ยวกับเลขฐาน 12
    ซึ่งความดีเลิศของมันจะทำให้พวกคุณแปลกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความง่ายด้านการคำนวณของมัน
    มันเป็นระบบคณิตศาสตร์เพียงระบบเดียวที่ “จับมือ” กับธรรมชาติได้
    และพวกคุณก็จะไม่สามารถคิดคำนวณเลขฐาน 12 ได้ถ้าไม่ทำให้เลข 0
    เป็นเลขจำนวนเต็มที่มีค่าพิเศษเฉพาะซะก่อน

    เพราะว่าเลข 0 ไม่สามารถที่จะเป็นตัวเลขที่ไร้ค่าได้
    มันไม่สามารถที่จะเป็น “ความไม่มีอะไรเลย” ได้
    และมันก็ไม่ได้หมายถึงอินฟินิตี้ด้วย

    อีกครั้งหนึ่ง พวกเราจะบอกพวกคุณว่า:

    เลข 0 คือปาฏิหาริย์ของวิชาคณิตศาสตร์หลากมิติ
    และมันก็คือปาฏิหาริย์ของเลขฐาน 12 ด้วย

    เลข 0 คือศักยภาพของทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีอยู่เป็นอยู่ และที่กำลังมีอยู่เป็นอยู่
    และที่จะสามารถมีอยู่เป็นอยู่ต่อไปด้วย มันคือ “ปัจจุบันขณะ” ของวิชาคณิตศาสตร์ของจักรวาล
    มันหมายถึงศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ หรือหมายถึงพลังงานแห่งความเป็นไปได้ชนิดหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นแล้ว เลข 0 จึงสามารถแปรค่าไปได้ ขึ้นอยู่กับสมการ
    พวกคุณยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ เพราะว่าพวกคุณคุ้นเคยอยู่แต่กับ
    สมการทางคณิตศาสตร์ที่เป็นสมการเชิงประจักษ์เท่านั้น
    ดังนั้นพวกคุณจะหวังว่ามันจะยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ต่อไป

    แต่ว่ามันไม่สามารถที่จะเป็นแบบนั้นได้
    เมื่อพวกคุณเริ่มคำนวณออกไปนอกขอบเขตของกาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรงนี้แล้ว
    ซึ่งภายในแบบแผนอันนั้น มันก็จะเปิดเผยความดีเลิศของวิชาคณิตศาสตร์ให้พวกคุณเห็น
    เลข 0 จะเป็นตัวกำจัดสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป และจะเป็นตัวเปิดเผยให้เห็นถึงคำตอบ
    และมันก็จะกลายเป็นผู้ให้ความสะดวกแก่โลกแห่งความเป็นจริงของปริศนาเองอีกด้วย
    และบ่อยครั้งมันก็จะเป็นตัวเลขหลัก

    พวกเราไม่หวังหรอกนะว่าพวกคุณจะสามารถเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ได้
    อันที่จริงแล้ว พวกเราไม่หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจเลยด้วยซ้ำไป

    ยังหรอก..ยังไม่ใช่ตอนนี้

    ..........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: จักรวาลหลากมิติ (The Interdimensional Universe)

    ผู้รับสาส์น: นาย Lee Carroll
    วันที่: 15 พฤศจิกายน 2003

    ที่มา: KRYON - The Interdimensional Universe


    ตอนที่: 10

    ปรากฎการณ์ Harmonic Concordance

    สุดท้ายนี้ ฉันอยากจะบอกพวกคุณว่า จริงๆแล้วมันมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วนี้
    มันมีสถานที่แห่งหนึ่งบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ที่เรียกว่า “ถ้ำแห่งการสรรสร้าง” (the Cave of Creation)
    ซึ่งครั้งที่แล้วที่พวกเรามาอยู่กับพวกคุณที่นี่ พวกเราก็ได้เคยพูดถึงมันไปแล้ว
    นั่นแหละคือชื่อที่พวกเราตั้งให้มันเมื่อครั้งที่แล้ว แต่พวกคุณเรียกมันว่า “บันทึกแห่งฟ้า” (Akashic Record)

    มันเป็นสถานที่ๆล้ำค่ามาก เพราะว่ามันเป็นที่ๆเก็บรักษาเชื้อสายวงศ์ตระกูลของพวกคุณเอาไว้
    ฉันอยากจะพาพวกคุณไปที่นั่นซักประเดี๋ยว ที่นั่นจะมีผนังถ้ำที่สว่างไสวเรืองรอง
    และก็จะมีผลึกคริสตัลอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วย มันเป็นสถานที่ๆเย็น แม้ว่าในทางธรณีวิทยาแล้ว
    มันไม่น่าที่จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ตาม

    มันจะมีผลึกคริสตัลอยู่แท่งหนึ่งสำหรับมนุษย์แต่ละคน

    ที่อยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้
    ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือเด็กเล็กก็ตาม
    ซึ่งผลึกคริสตัลจำนวนมากมายที่อยู่ในนี้
    ก็เป็นผลึกคริสตัลที่มีอายุเก่าแก่มากแล้วด้วย
    แต่ว่าพวกมันจะดูไม่เหมือนเก่าแก่เลยนะ

    เมื่อใดก็ตามที่พวกคุณมาที่โลกใบนี้ แล้วก็จากไป

    ชีวิตหลากหลายภพชาติของพวกคุณ
    ก็จะ update ข้อมูลในแท่งคริสตัลเหล่านี้โดยอัตโนมัติ
    พวกคุณอาจจะพูดได้ว่า มันมีระบบอย่างหนึ่งอยู่ที่นั่น
    ที่มีอะไรมากมายกว่าที่พวกเราได้พูดถึงไปแล้วด้วยซ้ำไป

    พวกคุณบางคนได้เคยบอกว่า พวกคุณรู้สึกว่าภพชาตินี้คือภพชาติสุดท้ายของตัวเองแล้ว
    แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว สำหรับพวกคุณส่วนใหญ่แล้ว มันไม่ใช่เลย
    เพราะว่าสิ่งที่พวกคุณยังไม่รู้ก็คือ สำหรับพวกคุณส่วนใหญ่แล้ว
    “นี่แหละคืองานที่พวกคุณทำ” ในจักรวาลแห่งนี้หละ ทำไมหละ?
    ก็เพราะว่าพวกคุณรักดาวเคราะห์โลกดวงนี้มากหนะสิ! พวกคุณรักครอบครัวนี้มาก!

    ดังนั้น เมื่อใดที่การแสดงในรอบนี้ของพวกคุณจบลงแล้ว และ “ชีวิต” ของพวกคุณสิ้นสุดลงแล้ว
    พวกคุณก็จะพากันเปลี่ยนแปลงพลังงานของตัวเองใหม่ แล้วส่วนหนึ่งของตัวตนของพวกคุณ
    ก็จะไปทำหน้าที่เป็นผู้นำทางให้กับมนุษย์โลกคนอื่นๆต่อไป
    ส่วนตัวตนอีกส่วนหนึ่งของพวกคุณก็จะหวนกลับมาที่ฟากฝั่งนี้ของม่านพรางใหม่
    เพื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

    ดังนั้น กลุ่มของตัวตน ซึ่งทั้งหมดก็คือตัวตนของพวกคุณเองเหล่านี้ จึงกำลังทำงานอยู่ตลอดเวลา
    พวกคุณจะทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะว่าพวกคุณไม่อยากที่จะพลาด “จุดจบ” ของมันไป!

    พวกคุณได้พากันทำแบบนี้มานานแสนนานแล้ว ชาวเลมูเรียทั้งหลาย จนทำให้พวกคุณอดคิดถึงมันไม่ได้
    พวกคุณได้พากันมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้เป็นเวลานานแสนนานเหลือเกินแล้ว
    และพวกคุณก็มองเห็นความรักของพระเจ้า และก็ได้พากันแบ่งปันความรักของพระเจ้าออกไปด้วย
    พวกคุณมองเห็นแล้วว่ามันได้ผล พวกคุณได้พากันอาสาลงมาทำเรื่องที่ยากมากๆ
    (เรื่องการเลื่อนระดับขึ้นของโลก – ผู้แปล) และในตอนนี้พวกคุณก็ได้พากันมาถึง
    ช่วงท้ายๆช่วงหนึ่งของมัน อีกครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นได้

    ในถ้ำแห่งการสรรสร้างแห่งนี้ ตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น พลังงานคริสตัลไลน์
    ซึ่งเป็นพลังชีวิตแท้ๆของตัวตนที่พวกคุณกำลังเป็นกันอยู่ในตอนนี้ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
    และมันก็จะมีแค่สองหรือสามครั้งในประวัติศาสตร์ด้านจิตวิญญาณของดาวเคราะห์โลกเท่านั้นเอง
    ที่พลังงานของถ้ำแห่งการสรรสร้างและพลังงานของบันทึกแห่งฟ้าจะถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไปแบบนี้

    ครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งของมัน และดังนั้นโครงข่ายพลังงานคริสตัลไลน์ของโลก
    จึงกำลังเริ่มถูกบันทึกข้อมูลลงไปใหม่อยู่ และกำลังเริ่มถูกจัดเรียงใหม่อยู่
    และเพราะเหตุนี้ แท่งผลึกคริสตัลที่บรรจุพลังชีวิตของพวกคุณเอาไว้
    และที่บรรจุเชื้อสายวงศ์ตระกูลของพวกคุณเอาไว้
    และที่บันทึกข้อมูลของจิตวิญญาณของพวกคุณที่อยู่บนโลกใบนี้เอาไว้
    จึงกำลังจะถูกบันทึกข้อมูลลงไปใหม่และถูกจัดเรียงใหม่ตามไปด้วย พวกมันก็จะเปลี่ยนไปด้วย
    เพราะว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น

    มันจะมีซักวันหนึ่งที่ความเชื่อลึกลับนี้ จะกลายไปเป็นวิชาฟิสิกส์ด้วย
    เพราะว่ามันเป็นระบบๆหนึ่งที่จะต้องได้รับการ update ด้วย
    เพราะว่าพวกคุณเห็นไหมว่า มนุษย์โลกกำลังเข้าไปใกล้ความเป็นทวยเทพมากขึ้นทุกทีแล้ว

    เมื่อครั้งที่เกิดรหัส 11:11 ขึ้น (ปี 1987 ปรากฎการณ์ Harmonic Convergence – ผู้แปล)
    มันก็ได้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเหมือนกัน พวกคุณเคยรู้เรื่องนี้มาก่อนไหม?
    นั่นแหละที่เป็นสาเหตุให้พวกเราต้องล้างเท้าของพวกคุณหละ
    (หมายถึงเคารพหรือให้เกียรติอย่างสูง – ผู้แปล)

    วันนี้พวกเราได้บอกข้อมูลหลากมิติเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ให้พวกคุณทราบไปแล้ว
    แต่พวกคุณก็อาจจะพูดว่า “เอ่อ..ครายออน นั่นมันไม่ใช่สาขาวิชาของฉันหรอกนะ
    เพราะว่าฉันอยากจะรับรู้แต่ข้อมูลข่าวสารด้านจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

    พวกคุณควรจะทำความคุ้นเคยกับเรื่องนี้เอาไว้ได้แล้วนะ

    เพราะว่าข้อมูลข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์ระดับนี้
    มันจะไม่ถูกมอบให้กับมนุษย์
    ในขณะที่โลกยังอยู่ในระดับความสั่นสะเทือนที่ต่ำกว่านี้เป็นอันขาด

    ดังนั้น มันจึงมีเหตุผลของมันอยู่ ว่าทำไมข้อมูลข่าวสารนี้
    จึงได้ถูกมอบให้ในงานชุมนุมด้านจิตวิญญาณแบบนี้

    ตอนนี้พวกคุณกำลังจะเริ่มทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างขึ้นมาแล้ว
    ซึ่งก็รวมถึงการอธิบายถึงเรื่องราวของจักรวาลในระดับที่สูงกว่านี้ด้วย
    ซึ่งมันก็อาจจะทำให้ ในท้ายที่สุดแล้ว พวกคุณสามารถเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ
    ที่พวกคุณไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะไปได้ได้

    ดังนั้น การอธิบายถึงโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณในระดับที่สูงขึ้นไปอีก
    จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่จะทำให้พวกคุณสามารถใช้ร่างกายเนื้อของตัวเอง
    ทำในสิ่งต่างๆที่พวกคุณไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะสามารถทำได้ได้

    ตอนนี้ดาวเคราะห์โลกกำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพอยู่
    แต่ว่า เมื่อพวกคุณเห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในข่าวแล้ว มันก็อาจจะทำให้พวกคุณรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้าง
    แต่ว่า มันก็มีความหวังอันยิ่งใหญ่ เกี่ยวกับสันติสุขบนดาวเคราะห์อันยิ่งใหญ่ดวงนี้อยู่จริงๆ
    มันมีความหวังเกี่ยวกับการสิ้นสุดของความเกลียดชังอยู่ ซึ่งพวกคุณก็ได้เห็นกันมาแล้วในช่วงหลายปีมานี้
    และมันก็มีความหวังสำหรับความเข้าใจ และภูมิปัญญาที่สูงขึ้นของมนุษย์โลก ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วย

    และในจำนวนของผู้ที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ มันก็มีผู้ที่ส่งพลังงานและแสงสว่างของตัวเอง
    ไปให้กับดาวเคราะห์โลกอยู่ด้วย และพวกเราก็ขอล้างเท้าของพวกคุณสำหรับเรื่องนี้ด้วย

    และเพราะฉะนั้นแล้ว บรรดาผู้ติดตามบุคคลสำคัญทั้งหลายที่อยู่ที่นี่
    (พูดถึงเหล่าทวยเทพและรูปธรรมชีวิตต่างมิติทั้งหลายที่ติดตามมนุษย์แต่ละคนมา – ผู้แปล)
    จึงกำลังย้ายตัวเองออกไปอยู่ และทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกต้องเหมาะสมดีแล้ว
    และเพราะฉะนั้นแล้ว ข้อความนี้จึงจบลงเพียงเท่านี้

    Kryon

    ...................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022

แชร์หน้านี้

Loading...