ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิดใหม่

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 23 มีนาคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    ในเรื่องตายแล้วเกิดใหม่นี้ ผู้เขียนมีข้อพิสูจน์อยู่ ๗ อย่าง ว่าตายแล้วเกิดจริง ซึ่งมีหลักฐานปรากกอยู่จริงในปัจจุบัน โดยไม่ต้องอ้างคัมภีร์หรือตำรา หรือโดยไม่ต้องอ้างว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลายตรัสไว้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็สามารถยอมรับเหตุผลตามความเป็นจริงได้ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดและภพภูมิต่างๆ ที่ยืนยันไว้ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น เป็นกฏของธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม กฏธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ก็มีอยู่แล้วอย่างนี้ หรือพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้หรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน แต่ว่าพระพุทธเจ้าเมื่อทรงเห็นแล้วก็ได้ตรัสยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มรอยู่จริง
    ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิด เท่าที่ค้นพบและมีหลักฐานยืนยันให้เชื่อถือได้ในปัจจุบัน มีอยู่ ๗ อย่าง คือ
    ๑. คนระลึกชาติได้ ซึ่งข้อพิสูจน์นี้มีตัวอย่างนับเป็นพันๆ เรื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    ๒. คนผีเข้า ซึ่งมีตัวอย่างปรากฏอยู่มากในปัจจุบัน ถ้าวิญญาณไม่มีแล้ว ผีจะมาเข้าคนได้อย่างไร
    ๓. เทวดาเข้าทรง
    มีเรื่องเทวดาที่มาปรากฏแก่คนคนอยู่มากในปัจจุบัน และที่เข้าทรงในมนุษย์ก็มีอยู่มาก อันเป็นเครื่องยืนยันว่า โอปปาติกะกำเนิด อันอยู่ในภพภูมิหรือสวรรค์นั้นมีอยู่จริง
    ๔. การสะกดจิต ข้อนี้ในวงการแพทย์ปัจจุบันใช้กันมาก ถ้าจิตหรือวิญญาณไม่มีแล้ว จะมีการสะกดจิตได้อย่างไร
    ๕. การสะกดจิตย้อนภพ ซึ่งกรณีเช่นนี้ค้นพบครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ทำให้สืบประวัติย้อนหลังไปถึงชาติก่อนได้เป็นอย่างดี
    ๖. เด็กอัจฉริยะ ซึ่งมีตัวอย่างมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่นเด็กที่อายุยังน้อย สามารถคำนวณเลขที่ยากๆ ได้อย่างอัศจรรย์ สามารถแต่งกาพย์ กลอน หรือเล่นดนตรีได้ไพเราะอย่างน่าพิศวง และบางคนก็สามารถพูดภาษาอันตนไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน หรือเรียนมาแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มีความสามารถเหนือเด็กทั่วไปในวัยเดียวกันเป็นอย่างมากในเรื่องนั้นๆ อันแสดงให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ตนได้เคยเรียนมาแล้วเมื่อชาติก่อน เมื่อมาเกิดในชาติใหม่จึงมีความสามารถติดมาอย่างอัศจรรย์
    ๗. เด็กฝาแฝด คือเด็กฝาแฝดนี้ แม้จะเกิดมาเหมือนกันทั้งด้านร่างกาย กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม แต่คู่แฝดมักจะมีอุปนิสัยใจคอ ความเฉลียวฉลาดและชะตาชีวิตแตกต่างกัน อันแสดงให้เห็นว่าเขาเคยเกิดมาแล้วเมื่อชาติก่อน ได้เคยสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ผลที่แสดงออกมาในชาตินี้จึงไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่มีกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน
    เพื่อจะให้เข้าใจเรื่องตายแล้วเกิดชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้นำเรื่องจริงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันมาแสดงไว้เท่าที่สามารถรวบรวมมาได้ ขอให้ท่านผู้สนใจได้อ่าน พร้อมด้วยการใช้วิจารณญาณประกอบ ดังต่อไปนี้

    การระลึกชาติได้
    เรื่องนี้ มาจากการสอบถามและสอบสวนความเป็นมา โดย ดร.สตีเวนสัน เกิดขึ้นในประเทศศรีลังกา การระลึกชาตินี้ เป็นชีวิตของเด็กชายผู้หนึ่งมีนามว่า เอช เอ วิชรัตนี เกิดที่ตำบลอุคคัลโตตะ ลังกา เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นบุตรของนาย เอช เอ ติเลรัตนี ฮามี และนางรัตรัน ฮามี
    ตั้งแต่แรกเกิด ปรากฏว่ามีรอยเหมือนแผลเป็นอยู่ที่หน้าอกเบื้องขวา ใต้กระดูกไหปลาร้า เป็นรอยบุ๋มลงไปประมาณ ๒ นิ้ว และแขนขวาของเด็กผู้นี้ลีบพิการ แขนข้างขวาสั้นกว่าแขนข้างซ้ายซึ่งเป็นแขนดี แขนขวาลีบเล็กกว่าธรรมดาครึ่งหนึ่ง และนิ้วมือของมือขวาพิการอีกด้วย คือทุกๆ นิ้วของมือข้างขวาสั้นกุด มีข้อเพียงข้อเดียว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางติดกันด้วย มีหนังยึดไว้ ส่วนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยแยกออกได้ นายวิชรัตนี ใช้มือข้างขวาเพียงจับปากกาหรือดินสอเขียนหนังสือได้เท่านั้น แต่จะใช้งานหนักกว่านี้ไม่ไหว เป็นว่ามือข้างขวาแทบจะใช้การอะไรไม่ได้เลย ดร.สตีเวนสัน สอบถามเรื่องนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ เด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๑๔ ปีแล้ว
    รอยคล้ายแผลเป็นที่อกข้างขวา และมือขวาพิการของนายวิชรัตนีนี้ มีมูลเหตุดังจะได้เล่าต่อไปนี้
    พอเด็กชายวิชรัตนีอายุได้ ๒ ขวบเศษเดินได้ ก็มักจะพูดกับตัวเองอยู่บ่อยๆ มารดาเห็นผิดสังเกตก็ฟังดู ได้ยินแสียงบ่นว่าที่แขนขวาพิการก็เพราะเมื่อชาติก่อนได้ฆ่าเมียไว้ เด็กก็ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่ได้ฆ่าภรรยาไว้มากมาย ซึ่งนางไม่เคยรู้เรื่องเลย จึงได้ถามสามีดู
    นายเอช เอ ติเลรัตนี จึงได้บอกว่า เด็กคงจะเล่าถึงชาติก่อน เรื่องนายรัตรัน ฮามี ผู้เป็นน้องชายของนายเอช เอ ติเลรัตนี ได้ฆ่าภรรยาของตน ต้องโทษประหารชีวิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ แล้วมาเกิดเป็นเด็กนี้
    นายติเลรัตนี เล่าว่า แกได้เคยบอกภรรยาตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ ว่า น้องชายมาเกิดเป็นลูก เพราะสังเกตเห็นว่า เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนนายรัตรัน และผิวคล้ำเหมือนนายรัตรัน ส่วนบุตรคนอื่นๆ นั้น ผิวค่อนข้างขาว แต่นางไม่สนใจ มาได้ยินเด็กเล่าถึงชาติก่อนจึงได้ถามสามีขึ้น ภริยานายติเลรัตนี ไม่เคยรู้เรื่องน้องชายสามีฆ่าคนและถูกประหารชีวิตมาก่อนเลย เพราะนางแต่งงานกับนายติเลรัตนี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ หลังจากเรื่องฆ่ากัน ๘-๙ ปี ที่เกิดเหตุก็ห่างไกลจากบ้านนางมาก นางไม่เคยได้ยินเรื่องราวเลย ทั้งสามีก็ไม่เคยเล่าให้ฟังทาก่อนเลย
    เด็กชายวิชรัตนี ชอบพูดเรื่องชาติก่อนมาก บิดาห้ามไม่ให้พูดก็ไม่ใคร่ฟัง บางทีก็พูดคนเดียว แต่ชอบพุโเมื่อคนมาทักเรื่องแขนพิการ เด็กเล่าได้ละเอียดลออกับมารดาของแก มักจะเล่าเป็นตอนๆ วันนี้พูดถึงเรื่องตอนหนึ่ง วันต่อๆ ไปก็พูดถึงตอนอื่นๆ แม้มารดาได้คะยั้ยคะยอเธอไม่ให้พูด เด็กก็ชอบพูด
    เมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบ ความทราบถึงพระภิกษุอนันท์เมตไตรยะ ศาสตราจารย์ฝ่ายพุทธปรัชญาวิทยาลัยลังกาปริเวณะ เมืองโคลัมโบ ได้มาสอบถามเรื่องราวประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๔-๒๔๙๕ ต่อจากนั้นเมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบเศษก็ค่อยๆ เลิกพูดถึงชาติก่อน เว้นแต่เมื่อใครทักถามขึ้นจึงจะเล่าให้ฟัง
    ได้กล่าวแล้วว่า ดร.สตีเวนสัน ได้สอบถามเรื่องนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ เด็กชายวิชรัตนี ก็ยังระลึกได้อยู่ ดร.สตีเวนสันได้ตรวจสอบหลักฐานทางคดีตลอดถึงบุคคลอื่นๆ ที่รู้เห็นชาติก่อนของเด็กชายวิชรัตนี เป็นด้งนี้
    ชาติก่อนเด็กชายวิชรัตนี เป็นน้องชายนายติเลรัตนี ซึ่งเป็นบิดาของ ด.ช.วิชรัตนี ชื่อนายรัตรัน ฮามี เป็นชาวนาอยู่ที่ตำบลอุคคัลโตตะ มีภรรยาแล้ว ภรรยาตาย ตกเป็นพุ่มหม้าย เด็กชายวิชรัตนีจำชื่อภรรยาคนที่ตายไม่ได้
    ต่อมา เขาได้เข้าสู่พิธีแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อ โพธิมณิเก อยู่ตำบลนาวเนลิยะ พิธีแต่งงานกระทำ ณ บ้านเจ้าสาว แล้วได้เกิดฆาตกรรมที่บ้านเจ้าสาวนี้
    เด็กชายวิชรัตนี บอกกับบิดา ตนได้ฆ่าภรรยาด้วยมือของเขาเอง
    ความจริงจะใช้คำว่า ภรรยา ไม่ถูกนัก เพราะพิธีแต่งงานยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ ด้วยยังไม่ได้ส่งตัวเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวขออยู่ที่บ้านเดิม ไม่ไปอยู่กับเจ้าบ่าว
    ใกล้จะถึงเวลาส่งตัว เจ้าบ่าวได้ไปยังบ้านเจ้าสาว อ้อนวอนให้เจ้าสาวไปอยู่กับเขาที่บ้าน ฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอม จะไปอยู่ที่บ้านของตน
    เจ้าบ่าวสงสัยอยู่แล้วว่า เจ้าสาวคงมีคู่รักติดพัน เป็นชายอยู่ในบ้านของนางเอง ชื่อโมหัตติ ฮามี และสงสัยว่าชายผู้นี้คงจะยุแหย่ไม่ให้นางไปอยู่กับเขา
    เมื่อนางปฏิเสธ เขาก็เดินกลับบ้าน ซึ่งอยู่ห่างประมาณ ๘ กิโลเมตร มาถึงบ้าน เขาก็เอากริชไปลับที่หลังบ้านใต้ต้นส้ม แล้วกลับไปยังบ้านนาง
    เด็กชายวิชรัตนี ยังชี้ที่ที่ตนลับกริชให้มารดาดู
    ก่อนจะไ
    ปฆ่าเจ้าสาว เขายังขอยืมเงินพี่ชายจำนวน ๕๐ รูปี ไปใช้หนี้สร้างบ้าน ซึ่งเขาเป็นหนี้อยู่ให้เสร็จสิ้นไป
    มาถึงบ้านเจ้าสาวมองเห็นชายซึ่งเขาคิดว่าเป็นคนรักของเจ้าสาว เขาคิดว่าเพราะเจ้าคนนี้นี่เอง เจ้าสาวจึงไม่ไปอยู่กับเขา เขาจึงตรงเข้าไปแทงเจ้าสาวที่เหนือหน้าอกข้างขวา
    เขาถูกชายผู้นั้นทุบตีด้วย
    ในการต่อสู้คดี เขาสู้ว่า ได้เกิดทะเลาะวิวาทต่อสู้กันขึ้น โดยฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้ก่อเหตุก่อน เพื่อนของเจ้าสาวเป็นผู้จับตัวเขาไว้ไม่ให้หนี เขาจึงเกิดโทสะแทงนางโดยมิได้ตั้งใจจะฆ่านางเลย
    ฝ่ายพวกเจ้าสาวให้การว่า เขาเป็นผู้แทงนางก่อน แล้วพวกของนางจึงเข้าตีเขา
    ศาลรับฟังฝ่ายโจทก์ พิพากษาให้ประหารชีวิต ให้ตายตกไปตามกัน
    พอศาลพิพาหษาแล้ว นายติแลรัตนีก็ไปเยี่ยมน้องชายของเขา เขาบอกว่า เขาไม่กลัวตายหรอก เขารู้แล้วว่าเขาจะต้องตาย เขาเป็นห่วงแต่พี่ชายเท่านั้น นายติแลรัตนีบอกว่าน้องชายเป็นคนว่าง่าย
    เรื่องที่ฆ่าเจ้าสาวของตนนั้น ด.ช.วิชรัตนี บอกว่า ตอนนั้นเคืองมาก อดใจไว้ไม่ไหว ไม่คิดเลยถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ เด็กบอก ดร.สตีเวนสันว่า ที่ถูกแขวนคอนั้น ศาลตัดสินถูกต้องแล้ว ส่วนเรื่องเหตุผลที่ฆ่าภรรยาเป็นการถูกต้องสมควรหรือไม่ แม้ชาตินี้เขาก็คิดว่าที่ฆ่าผู้หญิงผู้ไม่ตามสามีไป เป็นการถูกต้องแล้ว
    เด็กเล่าว่า ก่อนเขาจะถูกแขวนคอตามคำพิพากษา ๕ วัน พี่ชายของเขาคือ นายเอช เอ ติเลรัตนี ได้ทำบุญให้แก่เขา เด็กจำได้ว่า มีการเลี้ยงพระจำนวน ๑๐ องค์
    ตอนที่ทำบุญเลี้ยงพระให้เขานี้เอง เขาได้บอกกับพี่ชายว่า เขาจะกลับมาเกิดอีก เด็กบอก ดร.สตีเวนสันว่า เขาพูดกับพี่ชายว่า จะมาเกิดเป็นลูกชายของพี่
    ตอนถูกประหารชีวิต เด็กเล่าดังนี้
    ก่อนการแขวนคอเขาตอนหนึ่งว่า มีการถ่วงกระสอบทราย ณ ที่ตะแลงแกง ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริง ก่อนประหารชีวิต ๑ วัน จะต้องมีการทดสอบความเหนียวของเชือกและความแข็งแรงของขื่อ โดยวิธีเอาทราย ๑ กระสอบแขวนขึ้นถ่วงทดลองก่อน
    ก่อนการแขวนคอ มีพระภิกษุ ๑ รูป มาภาวนาให้เขา ก่อนจะกระตุกเชือกประหาร เจ้าหน้าที่เอาถุงผ้าสีดำมาครอบศีรษะ
    ตอนกระตุกเชือกรัดคอ เขาคิดถึงพี่ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น แล้วรู้สึกว่าคอของเขาถูกรัดแน่น แล้วรู้สึกตัวว่าตัวของเขาตกลงไปกลางหลุมเพลิง
    ต่อจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีก จนมารู้สึกตัวเมื่ออายุได้ ๒ ขวบกว่า พ่อของเขาชาตินี้ก็คือพี่ชายของเขาในชาติก่อนนั่นเอง
    เขาบอกด้วยว่า ตอนเขาถูกประหารแขวนคอ เขาอายุได้ ๒๓ หรือ ๒๔ ปี
    เรื่องการจดจำสิ่งของได้ ของเด็กชายวิชรัตนี มีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งควรจะเล่าก่อนจบ คือก่อนจะเกิดเรื่องฆ่าเจ้าสาว นายรัตรัน ฮามี ได้เอาเข็มขัดหนังไปฝากไว้กับน้า ดูเป็นลางชอบกล เมื่อนายรัตรันตายแล้ว น้าก็เอาเข็มขัดหนังนั้นให้แก่บุตรชายของตัวใช้คาดเอว พอเด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๖-๗ ขวบ พบลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เห็นเข็มขัดเข้าก็จำได้ได้ว่าเป็นของตัวเอง
    เด็กชายวิชรัตนี บอกกับ ดร.สตีเวนสันว่า ความจดจำชีวิตในชาติก่อนของเขาแม้เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี จะเลือนลางไปบ้าง แต่เขาจดจำเรื่องราวในปีชีวิตสุดท้ายก่อนของเขาได้ชัดเจนกว่าชีวิตในปัจจุบันของเขาเมื่อ ๑๐ ปีก่อนนั้นเสียอีก
    เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นการรายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับการระลึกชาติได้ของ ดร.สตีเวนสัน ผู้ที่สนใจในการวิจัยสรุปผลในการระลึกชาติได้จากหลายชีวิตมาเสนอท่านผู้อ่าน ๑ เรื่องในจำนวนอีกหลายเรื่อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...