คติธรรม คำสอน สมเด็จพระมหาธีราจารย์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย aprin, 14 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    คติธรรมคำสอนของสมเด็จพระมหาธีราจารย์น่าสนใจ จากหนังสือเรื่อง ใจสำคัญกว่ากาย เนื่องในโอกาสทำบุญอายุวัฒนมงคล 88 ปี เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2554....

    สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสร มหาเถร ป.ธ.9) อายุ 88 ปี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง หนึ่งในคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม แจกหนังสือที่พิมพ์เกี่ยวกับคติธรรมคำสอน สาระธรรมอื่นๆ และพระธรรมเทศนาทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เรื่อง ใจสำคัญกว่ากาย ที่พระเดชพระคุณแสดงเมื่อ วันที่ 15 พ.ย. 2500 เมื่อครั้งที่เป็นพระมหานิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.9 (วัดราชบูรณะ) ให้แก่ผู้ที่กราบไหว้ขอพร เนื่องในโอกาสที่พระเดชพระคุณทำบุญอายุวัฒนมงคล 88 ปี เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2554
    สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เจ้าคณะใหญ่หนกลาง และเป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ เมื่อปี พ.ศ. 2535 เกิดวันที่ 11 ก.พ. 2466 นามเดิมว่า นิยม นามสกุล จันทนินทร ณ บ้านท่าหิน อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา บิดาชื่อ นายโหร่ง จันทนินทร มารดาชื่อ นางฮิ่ม จันทนินทร

    บรรพชา ณ วัดกระสังข์ ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2479 โดยมีพระเทพวงศาจารย์ (ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูโบราณคณิสสร) วัดตองปุ เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดพระญาติการาม ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2487 โดยมีพระเทพวงศาจารย์ (ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระโบราณคณิสสร) วัดพนัญเชิง ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ฐานิสฺสโร”
    พ.ศ. 2498 สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค

    สำหรับสมณศักดิ์นั้นได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานแต่งตั้ง เลื่อนและสถาปนาสมณศักดิ์ โดยลำดับตั้งแต่ พ.ศ. 2505 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระปริยัติโสภณ พ.ศ. 2535 เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ที่สมเด็จพระมหาธีราจารย์

    อัศจรรย์
    ตั้งแต่ พ.ศ. 2553 พระเดชพระคุณท่านอาพาธตลอดทั้งปี จนกระทั่งไม่สามารถเข้าประชุมกรรมการมหาเถรสมาคมได้เลย ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2553 เป็นต้นมา ร่างกายที่เคยสามารถเดินเหินคล่องแคล่วก็ทรุดโทรม จนกระทั่งไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ดังใจคิด ลูกศิษย์ที่คุ้นเคยใกล้ชิดเข้าไปเยี่ยมต่างก็หลั่งน้ำตาเมื่อเห็นสภาพที่ทรุดโทรมอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ที่เป็นดังนี้เพราะพระเดชพระคุณฉันอาหารไม่ได้

    เมื่อปลายเดือน ธ.ค. 2553 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์เข้ารักษาอาการอาพาธที่โรงพยาบาลศิริราช นายแพทย์เจาะช่องท้องเพื่อให้อาหาร หลังจากนั้นความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น พระเดชพระคุณสามารถพูดคุยกับทุกท่านที่ไปเยี่ยมได้ตามปกติ จนกระทั่งหลายคนประหลาดใจไปตามๆ กัน

    [​IMG]
    สมเด็จพระมหาธีราจารย์

    วันทำบุญอายุวัฒนมงคล 87 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 88 วันที่ 11 ก.พ. 2554 ตอนเช้าพระเดชพระคุณสามารถลุกมาใส่บาตรพระ ตามที่เคยทำทุกปีในวันสำคัญเช่นนี้

    ในเวลา 09.00 น. จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา อัญเชิญน้ำสรงพระราชทานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาถวาย ซึ่งพระเดชพระคุณมารับน้ำสรงพระราชทานในพระอุโบสถ ในการนี้พระเดชพระคุณถวายอดิเรกได้โดยไม่ติดขัด พระพรหมเมธี (จำนงค์) วัดสัมพันธวงศาราม กล่าวถึงด้วยความอัศจรรย์ว่า พระเดชพระคุณถวายอดิเรกได้ทั้งภาษาบาลี และภาษาไทยโดยไม่ติดขัด ในขณะที่พระวิเทศธรรมกวี แห่งวัดพุทธานุสรณ์ สหรัฐอเมริกา ก็กล่าวถึงความอัศจรรย์ที่เห็นว่าเหมือนดังอภินิหาร โดยท่านเปรียบเทียบว่า ภาพที่ท่านเห็นเมื่อเดือน ก.ค. 2553 กับวันที่ 11 ก.พ. 2554 นั้นต่างกัน ณ วันนี้ถือว่าท่านฟื้นแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ทะมัดทะแมง หากแต่น้ำเสียงและสติปัญญา รวมทั้งความจำเหมือนเดิม

    พระธรรมวราภรณ์ (มนตรี) เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์ กรรมการมหาเถรสมาคม บอกกับผู้เขียนหลังจากกราบสมเด็จพระมหาธีราจารย์ว่า สมเด็จบอกว่าอีกไม่นานจะเข้าร่วมประชุมมหาเถรสมาคมได้แล้ว

    สำหรับพิธีสงฆ์ในพระอุโบสถวัดชนะสงคราม ในเวลา 10.00 น. ที่มีสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธฯ เป็นประธานนั้น สมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้มอบหมายให้พระธรรมวิมลมุนี (ประเสริฐ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน ทำหน้าที่เป็นประธานในฝ่ายเจ้าภาพ รวมทั้งการสวดนพเคราะห์ ต่อชะตาให้สมเด็จเมื่อคืนวันที่ 10 ก.พ. ก็เป็นหน้าที่ของพระธรรมวิมลมุนี ทั้งนี้เพราะสมเด็จพระมหาธีราจารย์นับถือพระธรรมวิมลมุนีเหมือนน้อง และพระธรรมวิมลมุนีเรียกสมเด็จว่าหลวงพี่เสมอ แม้ว่าจะเป็นสมเด็จพระราชาคณะแล้วก็ตาม

    ส่วนคติธรรมคำสอนของสมเด็จพระมหาธีราจารย์นั้น ผมเลือกสรรมาให้อ่านบางเรื่องบางตอน ซึ่งเป็นคำโบราณ ที่สอนลูกหลาน ดังนี้

    จงดูเยี่ยงกา แต่อย่าเอาอย่างกา อย่าใจดำเหมือนกา
    กาเป็นนกชนิดหนึ่งสีดำทั้งตัว มีอยู่ตามหมู่บ้านทั่วไป อาศัยอาหารที่ชาวบ้านเผลอทิ้งไว้ไม่เลือกอาหาร ปัจจุบันมีน้อย เพราะถูกยาเบื่อตายโดยกินหนูกินปูปลาที่ถูกยาเบื่อตาย

    กาเป็นนกขยันหากิน ออกหากินตั้งแต่ยังไม่สว่าง กลับที่อยู่เย็นใกล้ค่ำ บินไปร้องไป เห็นอาหารที่ชาวบ้านตากหรือเก็บไว้ในที่แจ้ง กาจะจับจ้องมองดู ได้โอกาสจะบินโฉบลงมาขโมย แม้ตามครัวที่เปิดทิ้งไว้กาก็จะบินเข้าไปขโมย เมื่อได้อาหารกินอิ่มแล้ว จะหาที่ซ่อนอาหาร เช่น ตามหลังคามุงจากใต้ชายคาบ้าน ตามกองขยะ หรือแม้ตามพื้นดินที่เป็นหลุม

    กาเป็นสัตว์ดุร้าย การักลูก หวงลูกมาก ทำรังออกลูกอยู่ที่ไหน นกอื่นจะเข้าไปใกล้ต้นไม้นั้นไม่ได้ จะต้องจิกไล่ตีตลอดเวลาแม้ที่สุดถึงคนกาก็ยังจิกตีลูกไก่ ลูกเป็ดเล็กๆ ที่อยู่กับแม่ หรือลูกนกตามรังกาได้โอกาสจะจับไปฉีกเนื้อเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเลี้ยงลูกตัวเอง จึงมีคนพูดไว้ว่า การักแต่ลูกของตัว ไม่รักลูกสัตว์อื่น นกอื่น

    จงดูเยี่ยงความขยันของกา รู้จักเก็บรักษาวัสดุของกิน ของใช้ทรัพย์สินเงินทองที่เหลือกินเหลือใช้ไว้บริโภคต่อไป เมื่อถึงคราวขาดแคลนหรือจำเป็น และรักลูกรักหลานของตน ตามหน้าที่ของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย คอยปกป้องคุ้มครอง อบรมสั่งสอนให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ให้การศึกษาเล่าเรียนให้วิชาความรู้ที่ถูกต้อง และให้คำสั่งสอนที่เป็นธรรม เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหลานตลอดไป
    แต่อย่าเอาอย่างกา ในการที่กากินอาหารไม่เลือกว่าของเน่าเสีย แม้อุจจาระก็กินได้ สัตว์เป็นสัตว์ตายกินได้ทุกอย่าง การชอบลักขโมยอาหารของชาวบ้าน ลักขโมยลูกของนกและสัตว์อื่นมาเลี้ยงลูกของตนโดยไม่คำนึงว่าใครจะทุกข์ยากเดือดร้อนอย่างไร กาไม่รักลูกของสัตว์อื่น รักแต่ลูกของตัวรักแต่พวกของตัว ไม่รักพวกอื่น ชาวบ้านจึงขนานนามว่า กาใจดำ จึงไม่ควรเอาอย่างกา

    บุคคล 4 ประเภทในโลก
    บุคคล 4 จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก คือ
    1.ตโม ตมปรายโน
    บุคคลมืดมาแล้ว มีมืดไปภายหน้า
    2.ตโม โชติปรายโน
    บุคคลมืดมาแล้ว มีสว่างไปภายหน้า
    3.โชติ ตมปรายโน
    บุคคลสว่างมาแล้ว มีมืดไปภายหน้า
    4.โชติ โชติปรายโน
    บุคคลสว่างมาแล้ว มีสว่างไปภายหน้า

    ก็บุคคลมืดมาแล้ว มีมืดไปภายหน้า เป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้เกิดในตระกูลต่ำ ทั้งขัดสนยากจนข้าวน้ำของกิน เป็นอยู่อย่างแร้นแค้น หาอาหารและเครื่องนุ่งห่มโดยฝืดเคือง ซ้ำเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ ร่างกายไม่สมส่วน มากไปด้วยโรคต่างๆ บุคคลนั้นยังประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ ครั้นประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจแล้ว กายแตกตายไปย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก อย่างนี้แล บุคคลผู้มืดมา มืดไป

    บุคคลมืดมาแล้ว มีสว่างไปภายหน้า เป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้เกิดในตระกูลต่ำ ทั้งขัดสนยากจนข้าวน้ำของกิน ฯลฯ แต่บุคคลนั้นประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ ครั้นประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจแล้ว กายแตกตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์อย่างนี้แล บุคคลผู้มืดมา สว่างไป

    บุคคลสว่างมาแล้ว มีมืดไปภายหน้า เป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้เกิดในตระกูลสูงมั่งคั่ง มีทรัพย์สมบัติมาก มีเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้มากมาย ทั้งมีรูปร่างสะสวยเจริญตาเจริญใจ ประกอบด้วยผิวพรรณงดงามยิ่งนัก แต่บุคคลนั้นกลับประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ ครั้นประพฤติทุจริตทางกายวาจา ใจแล้ว กายแตกแยกไปย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรกอย่างนี้แล บุคคลผู้สว่างมา มืดไป

    บุคคลสว่างมาแล้ว มีสว่างไปภายหน้า เป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้เกิดในตระกูลสูงมั่งคั่ง มีทรัพย์สมบัติมาก ฯลฯ ทั้งบุคคลนั้นประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ ครั้นประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจแล้ว กายแตกตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ อย่างนี้แล บุคคลผู้สว่างมา สว่างไป

    โพสต์ทูเดย์ ธรรมะ-จิตใจ : คติธรรม คำสอน สมเด็จพระมหาธีราจารย์
     

แชร์หน้านี้

Loading...