คนที่ทําอาชีพขายปลา หรือสัตว์ต่างๆนี่ บาปไหมครับ ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 12 เมษายน 2008.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    23,284
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,025
    คือ ผมเคยได้ยินว่า พวกที่ขายปลาตามร้าน เเล้วคนซื้อไปดูเล่นนี่ บาปไหมครับ ? วานไขข้อข้องใจด้วยครับ ขอบคุณพี่ๆน้องๆทุกคนในบอร์ดนี้มากๆครับ /\
     
  2. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ขออนุโมทนาสำหรับคำถามครับ

    การค้าชีวิต มันบาปอยู่แล้วครับ แต่เมื่อไม่ได้ฆ่า และเป็นการค้าเพื่อความบันเทิงก็น่าจะบาปน้อยลงครับ

    การค้าปลาสวยงามนั้น ก็ถือว่าเป็นสัมมาอาชีพครับ คือ วัตถุประสงค์การทำเน้นเพาะให้ปลากินดีอยู่ดี แข็งแรง (จะได้ขายออก) แต่ถ้าเอาสีทาบ้านมาทาให้มีสวยแล้วสารพิษเข้าตัวมันก็บาปครับ

    การซื้อปลาสวยงาม ไปเลี้ยง ไม่น่าจะบาปครับ เราซื้อไปเพื่อเลี้ยงมันครับ แต่ถ้าซื้อไปเป็นอาหารปลาตัวโตที่บ้านก็บาปครับ

    บุญคือบาปมันอยู่กับเจตนาครับ

    ก็ลองดูนะครับ ตอบตามที่รู้ ผิดถูกประการใปรดใช้วิจารณญาณของท่านในการเลือกว่าจะเชื่อ หรือวางเฉยครับ
     
  3. เกรสคับ

    เกรสคับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +174
    ปลาอะไรอ่ะคับ
    ถ้าปลาที่เค้าจะฆ่ากิน เช่นปลาดุก ปลาช่อน แล้วเราเอาไปดูเล่นนี่ไม่บาปแถมบุญตรงที่ช่วยชีวิตเขานะคับ และจะทำให้เขาทรมานในตู้ปล่าวไม่รู้นะคับ
    ส่วนปลาสวยงามนี่ ไม่ทราบนะคับ คือถ้าเราเลี้ยงที่ใหญ่ๆ ปลามันชอบ มีความสุข เราก็บุญ แต่ถ้าเราเอามันมาขังในตู้เล็กๆ มันทรมานเราก็บาปคับ
    แล้วถ้าเราซื้อปลาที่จะถูกฆ่าไปปล่อยนี่บุญคับ แต่ถ้ารู้ทั้งรู้ว่าเอาปลาไปปล่อยแล้วปลาตายแน่ นี่บุญเจือบาปคับเช่นเอาปลาทองไปปล่อยแม่น้ำ นี่มันอยู่ไม่ได้ ตายแน่ รู้ทั้งรู้ว่ามันจะตายก็ยังทำ บาปเต็มๆคับ ถ้าไม่รู้ก็บุญจ้า
     
  4. GROLY

    GROLY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    2,018
    ค่าพลัง:
    +7,980
    บาปครับ คน หรือสัตว์ก็ต้องการอิสระ เราไปขังมันไว้ถึงจะดูแลดียังไงมันก็คงไม่ชอบครับ เกิดเลี้ยงไม่ถูกวิธีปลาตายบาปไปใหญ่เลย
     
  5. นายจั๊บ

    นายจั๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,110
    อย่างที่คุณเกรสว่าอ่ะครับ เอาปลาทองไปปล่อยแม่น้ำคงจะแย่ เพราะมันเกิดมาในอ่างในตู้ไม่ได้เกิดที่แม่น้ำ เหมือนให้คนเอธิโอเปียไปอยู่ขั้วโลกใต้ มันก็คงจะทรมานลำบากน่าดู
     
  6. joezaaaa

    joezaaaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,124
    คนที่ทำอาชีพเลี้ยงสัตว์เพื่อขาย ถ้าเลี้ยงสัตว์ด้วยความเมตตาไม่มีประสงค์อื่น จะได้บุญแน่นอน แต่ถ้าเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่าในภายหลัง มันก็เป็นบาป ไม่ควรทำอาชีพ

    ส่วนคนเลี้ยงสัตว์ ถ้าเลี้ยงไม่ดีจะทำให้เป็นบาปแน่นอน เช่น ให้อาหารบ้างไม่ให้บาป หรือทุบตีสัตว์

    และเรื่องสำคํญที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือ การกักขังสัตว์ครับ มีเรื่องหนึ่งของหลวงพ่อ (ผมอาจจะเคยโพสแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ไหน) คือ คนผุ้นั้นที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า คนนั้นได้ขึ้นสวรรค์มีวิมานสวยงามทีเดียว แต่ ไม่สามารถออกนอกบริเวณที่อยู่ของตนได้ เนื่องจากกรรม กังขังสัตว์เอาไว้ ไม่ให้ออกไปไหน แต่เลี้ยงสัตว์ด้วยความเมตตา จึงส่งผลให้มีอาหารทิพย์และมีความสุขอยู่ในวิมาน แต่ไม่สามารถออกนอกวิมานได้ ถ้าออกไปจะทำให้ทุกทรมาน เพราะมีกังจักรกรด(หรือไฟก็ไม่แน่ใจ) ล้อมรอบบริเวณวิมานนั้นไว้ กังจักรนั้นมีความเป็นทิพย์ จึงสามารถทำให้เทวดาองค์นั้น ทุกทรมานได้
    ป.ล เด๋ซผมหาเจอจะเอามาโพสให้อีกทีแล้วกันนะครับ
     
  7. jerajajen

    jerajajen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +267
    ขายอย่างเดียว ไม่ได้ฆ่าไม่ปาป แต่การค้าสัตว์เป็นหนึ่งในห้าข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามนุษย์ไม่ควรทำ เพราะกรรมจะนำให้เราไปอยู่ในเเวดวงของการค้าครับ เช่น คุณอาจจะเป็นผู้โดนค้าครับ
     
  8. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    เรื่องที่ ๗๑
    ตายจากคนที่มีอาชีพรับจ้างขนปลาจากเรือตังเกไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน


    "..เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ หลังจากอาตมาคุยกับเทพธิดาปูทะเลเสร็จแล้ว เธอก็ถอยออกไป ก็มีนางฟ้าคนที่ ๒ เลื่อนเข้ามา ซึ่งอยู่ในกลุ่มของนางฟ้าที่มีนางยักษิณีคุมอยู่เบื้องหลัง ความจริงไม่ใช่นางยักษิณี เขาแสดงภาพให้เห็นว่านางฟ้ากลุ่มนี้ยังมีบาปอยู่เบื้องหลัง ถ้าพลาดจากสวรรค์เมื่อไร ลงไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องลงไปถึงอบายภูมิ อาตมาให้ชื่อว่า "นางฟ้าปลาทู" นางฟ้าองค์นี้เข้ามาก็มองหน้าอาตมาแล้วก็ยิ้มเหมือนกับเทพธิดาปูทะเล จึงถามว่า "เธอเคยรู้จักฉันหรือ" เธอก็ตอบว่า "ในสมัยที่มีชีวิตอยู่ไม่เคยรู้จักกันตัวต่อตัว แต่ทว่าเคยเห็นภาพถ่ายจากหนังสือพิมพ์บ้าง เคยดูที่เทศน์ทางโทรทัศน์บ้างจึงจำได้ และมีคนเขาพูดให้ฟังก็ได้ยินชื่ออยู่เสมอ แต่ไม่มีเวลาที่จะไปหาไปคุยด้วยเพราะมีธุระมาก ถามเธอว่า "เวลานี้เธอเป็นนางฟ้าของสวรรค์ชั้นไหน" เธอตอบว่า "เป็นนางฟ้าของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์" ถามเธอว่า "วิมานของเธอสวยไหม" เธอก็ตอบว่า "วิมานสวยกว่าบ้านที่เมืองมนุษย์มาก" ถามว่า "บ้านของเธอที่เมืองมนุษย์เป็นบ้านไม้หรือบ้านตึก" เธอตอบว่า "ตอนแรกๆ เดิมทีเดียวเป็นบ้านไม้ ภายหลังเป็นบ้านตึกสร้างเองไม่ได้เช่าเขา เป็นตึกย่อมๆ มี ๓ ห้องนอน พออยู่ระหว่างพ่อแม่และลูก" ก็ถามว่า "เธอมีอาชีพอะไร" เธอตอบว่า "เดิมทีเดียวเป็นลูกจ้างขนปลาจากเรือตังเก แล้วก็แยกส่วนของปลา ปลาที่เธอสนใจมากที่สุดก็คือ ปลาทู เพราะเรือตังเกจะได้ปลาทูมาก ถ้าวันไหนปลาทูมากเจ้าของเขาก็แบ่งให้มาก วันไหนได้น้อยเขาก็แบ่งให้น้อย แต่ค่าจ้างแรงงานนั้นมีอยู่"
    สำหรับปลาที่เขาแจกก็เพื่อให้คนงานเอาไปกินที่บ้านตามสมควร ชีวิตของเธอนอกจากค่าแรงงานก็ได้อาศัยปลาทูและปลาทะเลบางส่วนช่วยให้ทรงชีวิตอยู่ได้ บรรดาลูกจ้างทั้งหลายมีเงินน้อย แต่ละวันนายจ้างก็เลี้ยงอาหารแต่อาหารบางส่วนอาจจะไม่เป็นที่พอใจของลูกจ้างเพราะกินซ้ำๆ ซาก ก็มีการซื้อพิเศษกินกันในตอนบ่ายนอกเวลาที่เขาเลี้ยง เธอก็พยายามทำข้าวแกงและอาหารบางส่วน สิ่งใดที่คนงานชอบก็ทำสิ่งนั้น ทำแล้วก็ให้ลูกสาวหาบไปขายส่วนเธอก็ทำงานรับจ้างไป การขายอาหารแบบนี้เป็นปัจจัยให้เธอมีฐานะดีขึ้น มีความสุขมาก วิธีการขายของเธอก็คือ
    ๑) ตักข้าวให้มาก
    ๒) แกงหรือกับให้สมควรแก่ข้าว
    ๓) ๑ จานราคาถูกกว่าที่อื่น ๑ บาท
    ข้าวของเธอก็ร้อนเสมอเพราะหุงข้าวใส่หม้อไป แต่ว่ามีซึ้งไว้นึ่งข้าวให้ร้อน แกงก็ทำเตานึ่งให้ร้อนทำอย่างนี้เป็นถูกใจของคนกินมาก ต่อมาเมื่อฝีมือเป็นที่ชอบใจของคนงาน ก็ขยายออกไปขายตอนเช้าตรู่ จ้าง ๒-๓ คนมาช่วยหาบและตัก เอาไปขายที่ท่าเรือเมล์จอด คนขึ้นลงมากและตอนเช้าตรู่คนหิว ขายราคาถูกกว่าที่อื่น ๑ บาท ข้าวก็มากกับก็มาก คนก็ชอบใจ เป็นเหตุให้เธอได้เงินมาก ถึงแม้กำไรน้อยก็จริงแต่คนจองมาก เพราะส่วนใหญ่เขาจะไม่ซื้อของคนอื่นกิน การค้าแบบนี้เป็นเหตุให้เธอเกิดความร่ำรวย ถามเธอว่า "การขายแบบนี้ได้กำไรหรือ ไม่ขาดทุนหรือ" เธอก็บอกว่า "กำไรจริงๆ เกือบ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ได้เสียค่าเช่าที่ ไม่ได้เสียค่าเช่าห้อง ตอนเช้าขายที่ท่าเรือ ตอนบ่ายหลังจากเที่ยงไปแล้วก็ขายตามโรงงาน คนงานส่วนใหญ่ก็เป็นลูก จ้างคนงานมาเพิ่ม ๓ คน จึงเป็นเหตุให้ได้เงินมาก"

    ถามเธอว่า "เธอมาในกลุ่มของภาพนางยักษิณีติดตามมา เธอมีบาปอะไรหรือ" เธอก็ตอบว่า "ถ้าถามถึงบาปจริงๆ ก็มีหลายอย่าง การฆ่าสัตว์ปลาก็เคยฆ่า มดก็เคยฆ่า ยุงก็เคยฆ่า ฆ่าหลายอย่างแต่ฆ่าไม่หนักนัก ถึงอย่างนั้นก็บาป สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดที่ติดตามมาก็คือ จิตใจพอใจในปลาที่เจ้านายเขาได้มาจากเรือตังเก วันไหนถ้าเรือตังเกนำปลามาได้มาก วันนั้นดีใจมากเพราะได้แบ่งมาก วันไหนได้ปลาน้อยก็ใจเสียเพราะเขาแจกให้น้อย การที่เขาแจกปลาให้นั้นไม่ต้องมีการลงทุนในการซื้อปลา" ถามเธอว่า "การดีใจกับการไม่ดีใจ ในเมื่อเขาได้ปลามากปลาน้อยก็ไม่น่าจะเป็นบาป" เธอตอบว่า "มันต้องบาปเพราะยินดีในการหามาได้ของเขา นั่นคือการล่าชีวิตของปลามา" ก็ถามว่า "ยินดีเฉยๆ มันจะบาปได้อย่างไร"

    เธอก็แสนฉลาดตอบว่า "พระคุณเจ้าคงจะลืมไปว่า คนใดที่เขาทำบุญ คนที่ไม่มีทรัพย์จะทำบุญ เขาโมทนาย่อมได้อานิสงส์พิเศษ คือพลอยได้บุญกับเขาด้วย ถ้าเจ้าของบุญเป็นเทวดาได้ คนนั้นก็เป็นเทวดาได้ เจ้าของบุญเป็นนางฟ้าได้ คนนั้นก็เป็นนางฟ้าได้ ถ้าเจ้าของบุญเป็นพระอรหันต์ได้ คนนั้นก็เป็นพระอรหันต์ได้

    ตัวอย่างท่านคหบดีเจ้านายของท่านพระอนุรุทธ ลูกจ้างถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าและเจ้านายโมทนา ในชาติสุดท้ายพระอนุรุทธได้เป็นพระอรหันต์ เจ้านายซึ่งเกิดมาเป็นลูกของเพื่อนก็เป็นพระอรหันต์ด้วย เพราะอาศัยปัตตานุโมทนามัย สำหรับฉันนี่ก็โมทนากับเจ้านายเขาทุกวัน คือยินดีที่ได้ปลาทุกวัน ตัวดีใจในการทำบาปของเขา ก็พลอยมีบาปไปด้วยและบาปก็สั่งสมตัวเอง นอกจากนั้นบาปอย่างอื่นก็ยังมี ฉะนั้นบาปจึงติดตามมา" ถามเธอว่า "ในสมัยที่เป็นคนยังมีชีวิตอยู่ เธอทำบุญอะไรไว้" เธอก็ตอบว่า "เรื่องบุญนี้หาเวลาทำยาก ก็มีโอกาสบ้าง บางทีพระมาบิณฑบาตในตลาดบ้าง บางครั้งก็ได้ใส่บาตร บางครั้งก็ไม่ได้ใส่ การใส่บาตรก็ใส่ตามประเพณีมากกว่า เห็นเพื่อนเขาใส่ก็ใส่ตามเพื่อน ถ้าไม่ใส่เพื่อนเขาว่า แต่ก็ไม่ได้ใส่ทุกวัน ที่จะมีความเลื่อมใสจริงๆ ก็ยาก" ถามว่า "มีเวลาฟังเทศน์ไหม" เธอก็ตอบว่า "ไม่มีเวลาว่างฟังเทศน์"

    ขอดูภาพเดิมที่เธอเป็นมนุษย์ เธอเป็นหญิงที่มีอายุมาก ร่างใหญ่ลักษณะแบนแต่ผิวขาว ดูแล้วเป็นลูกจีน ตายอายุประมาณสัก ๖๐ ปีเศษๆ นิดหน่อย ถามว่า "เธอเป็นลูกครึ่งจีนหรือ" เธอตอบว่า "พ่อแม่เป็นคนจีนทั้งสองคน" ถามว่า "การที่เธอเกิดมาเป็นนางฟ้า เพราะอาศัยบุญอะไรเป็นสำคัญ เพราะการจะเป็นนางฟ้าหรือเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้เป็นของยาก" เธอก็ตอบว่า "บุญที่สำคัญมีอยู่ ๒ อย่างคือ ถวายสังฆทานเป็นปกติ คำว่า "ปกติ" ไม่ได้หมายความว่าทำทุกวัน

    ประการที่ ๒ มีพระองค์หนึ่งท่านแนะนำให้นึกถึงท่าน" ก็เลยสงสัยว่าท่านแนะนำให้นึกถึงท่านในลักษณะไหน จึงถามว่า "ขณะที่ไปหาพระในระยะที่พระให้นึกถึงท่าน เป็นสาวหรือวัยกลางคนหรือค่อนข้างแก่" เธอก็ตอบว่า "ในขณะที่ไปหาพระเวลานั้นมีอายุค่อนข้างแก่" ถามว่า "พระให้นึกถึงท่านทำไม" เธอบอกว่าการที่พระให้นึกถึงท่าน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ระยะที่เธอเป็นคนแก่ก็ลาออกจากงานจัดปลา ให้ลูกไปทำแทน ตัวเธอก็ไปจัดการควบคุมการขายข้าวแกงหาบ ไม่ยอมตั้งร้านเพราะต้องเสียภาษี มันยุ่งยากมากและต้องรอคนมาซื้อ เธอจะขายตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนเย็น จัดหาที่ตั้งเตาสำหรับอุ่นข้าวอุ่นแกง จานที่จะใส่ข้าวก็ล้างน้ำเดือดก่อนใส่อาหารให้เขา เขาก็ไว้วางใจ ถามว่า "ตอนหลังลดราคา ๑ บาทหรือเปล่า" เธอบอกว่า "การลดราคา ๑ บาท ทำได้ระยะแรก ตอนหลังเกิดอารมณ์ริษยาจากคนอื่น เขาหาว่าหักหน้าเขา เกือบจะมีเรื่องหลายครั้งเลยไม่ลด ๑ บาท แต่ให้ข้าวมากกว่าเขาแกงก็ท่วมข้าว การทำแบบนี้เป็นเหตุให้เธอมีฐานะดีขึ้น มีคนกินประจำมาก" และในระยะที่มีเรื่องวุ่นวายมากๆ มีคนเขากลั่นแกล้ง ก็พยายามหาหมอดู โดยมากหาหมอดูที่เป็นพระเพราะราคาไม่แพงจะให้เท่าไรท่านก็ไม่ว่า จะไม่ถวายเลยท่านก็ไม่ว่า ก็เลยนิยมไปหาพระหมอดูทุกอาทิตย์

    การไปหาหมอดูครั้งหนึ่งมีปิ่นโตไปเถาหนึ่ง เอาแกงเอากับและขนมใส่ปิ่นโต มีข้าวหม้อสีเขียวย่อมๆ ๑ หม้อ ไปถวายพระเวลาเพล พระท่านก็ฉันหลายองค์ เวลานั้นไม่ทราบว่าเป็นสังฆทาน แต่เวลาตายแล้วได้อานิสงส์เป็นสังฆทาน" ถามเธอว่า "อานิสงส์ใหญ่จริงๆ เธอได้จากอานิสงส์สังฆทานอย่างเดียวหรือ" เพราะเห็นเธอเป็นนางฟ้าที่มีความผ่องใสมาก เธอก็บอกว่า "ไม่ใช่" เห็นภาพเจริญพระกรรมฐานด้วยคือ ทำสมาธินึกถึงพระก็เลยถามว่า "เธอปฏิบัติตามคณาจารย์ไหน" เธอก็ตอบว่า "ไม่มีคณาจารย์ เป็นแต่เพียงว่ามีพระองค์หนึ่งท่านดูหมอแม่นมาก ใช้สมาธิดู เวลาถามท่าน ท่านก็หลับตานิดหนึ่งแล้วท่านก็ตอบ ตอบทีไรถูกทุกที

    ต่อมาท่านก็สั่งว่าโยมเอาอย่างนี้ก็แล้วกันเพื่อความสะดวก การที่โยมเอาอาหารมาถวายอาตมาทุกอาทิตย์ อาตมาก็ขอโมทนาด้วย ถ้าโยมมีอะไรขัดข้องเพื่อเป็นการช่วยเหลือได้ง่าย อาตมาใช้วิธีดูทางใจ โยมก็รับทางใจ ต่อไปนี้เมื่อเวลาโยมบูชาพระให้นึกถึงภาพอาตมาสักคราวละ ๒ นาทีก็พอ เพียงเท่านี้ การดูการพยากรณ์ การช่วยเหลือจะเป็นได้โดยง่ายเพราะใจตรงกัน"

    เธอก็หวังแต่การให้พยากรณ์แม่น จึงนึกถึงพระองค์นั้นเป็นปกติ ท่านสั่งว่าหลังจากบูชาพระแล้วให้นึกถึงท่าน ๒ นาที แต่มันกลับนึกถึงทั้งวัน ถ้าว่างอยู่ก็นึกถึงหน้าพระองค์นั้น ลักษณะของพระองค์นั้น แต่ว่าไม่ใช่นึกถึงในด้านกามารมณ์ นึกนิยมในความแม่นยำในการดูของท่านและท่านก็ใจดี เวลาไปหาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เธอบอกว่า "อาศัยกำลังใจที่นึกถึงพระ นึกถึงแบบเบาๆ ไม่ได้นั่งขัดสมาธิกับเขา แต่ว่านึกถึงได้ทั้งวันทุกวัน พอมีเรื่องอะไรปั๊บก็นึกจะไปถามพระอย่างนี้ จิตก็นึกถึงพระทันที ท่านเป็นที่ปรึกษาที่ดี เรื่องการค้าขาย เรื่องการติดต่อการงาน ติดต่อกับคน ท่านบอกได้ถูกต้องหมด ตอนนี้จิตเธอเป็นสมาธิในสังฆานุสติกรรมฐานแบบไม่รู้ตัว"

    เธอบอกว่า "จะถือว่าเป็นฌานก็ไม่ได้ กำลังใจเป็นแค่อุปจารสมาธิ เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานแก้ว ๓ ประการ สว่างสวยงามมากเป็นที่อาศัย มีนางฟ้าเป็นบริวาร ๕,๐๐๐" ถามเธอว่า "อยากจะดูวิมานของเธอได้ไหม" เธอก็ตอบว่าได้ "ได้" ก็เห็นวิมานลอยเข้ามาใกล้ๆ มีหม้อและปิ่นโตเป็นทองคำประดับเพชรแพรวพราวเป็นระยับ แขวนรอบวิมาน

    ถามเธอว่า "ถวายสังฆทานกี่ครั้ง ทำไมมากขนาดนี้" เธอตอบว่า "ปริมาณของที่แขวนมีมากกว่าเวลาถวายสังฆทาน" จึงถามว่า "ในเมื่อเธอถวายไม่มากเท่านี้แต่ของแขวนมากอย่างนี้ ก็เป็นการหลอกลวงน่ะซิ" เธอก็ตอบว่า "ไม่ใช่ ให้ดูเรื่องราวของท่านลาชเทวธิดา ถวายข้าวตอกเพียงขันเดียวและครั้งเดียวแก่ท่านพระมหากัสสปและก็ตายทันที เมื่อตายจากคนก็มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวารและรอบๆ วิมานของเธอก็มีขันทองคำเต็มไปด้วยข้าวตอกทองคำรอบวิมาน ส่วนฉันตอนแก่อายุประมาณ ๕๐ ปีก็ทำสังฆทานทุกอาทิตย์ อย่างน้อยฉันก็ถวายสังฆทานเดือนละ ๔ ครั้ง

    แต่ความจริงตอนนั้นฉันไม่รู้เรื่องเลยว่าเป็นสังฆทาน คิดเพียงแต่ว่าพระท่านเป็นหมอดู เราไปให้ท่านดู ท่านไม่เคยเรียกร้องอะไรเลยแม้แต่กาแฟสัก ๑ ถ้วย ท่านก็ไม่เคยเรียก เห็นหน้าท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ก็เลยตั้งใจถวายอาหารแก่ท่านและท่านก็ไม่ได้ฉันองค์เดียว ท่านฉันรวมกับพระ ๕ องค์บ้าง ๗ องค์บ้าง บางทีก็ถึง ๑๐ องค์ การถวายอย่างนี้เป็นสังฆทาน จึงได้มีอานิสงส์อย่างนี้

    นางฟ้าปลาทู ชุดแต่งกายของเธอมีสีเหลืองเพราะจิตใจจับพระสงฆ์องค์นั้น ผ้าจีวรของท่านมีสีเหลือง เธอบอกอีกว่า "ตอนนั้นฉันไม่ทราบว่าพระองค์นั้นเป็นพระที่มีความสำคัญ" ถามเธอว่า "มีความสำคัญขั้นฌานโลกีย์หรือ" เธอตอบว่า "ไม่ใช่" ถามว่า "เป็นโลกุตตระหรือ" เธอก็ยิ้มตอบว่า "ถ้าไม่ใช่ฌานโลกีย์ก็ต้องเป็นฌานโลกุตตระ" พอจะถามต่อเธอก็สั่นหน้าบอกว่า "ห้ามถามขั้นไหนไม่บอก" ถามว่า "อยู่แถวไหน" เธอตอบว่า "ไม่บอก ตะวันออกก็ได้" ก็เลยสงสัยว่าอาจจะอยู่ทางทิศตะวันออก พระองค์นี้เป็นพระดีจริงและเป็นพระที่มีความฉลาดมาก อาตมาก็ขอโมทนาในความฉลาดของท่าน ที่ท่านเป็นหมอดูเพราะคนจะชอบหมอดู ท่านบอกให้นึกถึงท่านนี่สำคัญมาก เป็นการแนะนำที่ฉลาดให้เจริญทั้ง สังฆานุสติกรรมฐาน อย่างง่ายๆ เพราะพระท่านก็แก่แล้ว คนที่ถูกแนะนำก็แก่แล้วอย่างนี้ไม่ใช่กามารมณ์ ต้องขอชมความฉลาดและขอโมทนาในความดีของท่าน รู้สึกขอบคุณท่านที่ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา
     
  9. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    เรื่องที่ ๗๐
    ตายจากคนอาชีพจับปูทะเลขายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน


    "..ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ก่อนจะตายถ้าจิตใจผ่องใส นึกถึงบุญกุศลนิดหน่อยตายแล้วก็ไปสวรรค์ทันที เรื่องนี้ให้ชื่อเรื่องว่า "เทพธิดาปูทะเล" เรื่องมีอยู่ว่า

    วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกนั่งอยู่กับ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเหมือนเลขาของท่านพระอินทร์ เห็นนางฟ้า ๘ องค์ รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามมาก ผิวพรรณผ่องใส เครื่องประดับก็สวย แต่มีองค์หนึ่งนั่งใกล้มากที่สุด ท่านมองหน้าไม่ละสายตา เบื้องหลังนางฟ้า ๘ องค์ไกลออกไปประมาณ ๒ เส้น เป็นภาพผู้หญิงอ้วนใหญ่ ผิวเนื้อดำแดงค่อนข้างดำ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ในความรู้สึกของอาตมาเป็นภาพนางยักษิณี จึงหันไปถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า "บนสวรรค์มีภาพประเภทไม่สวยอย่างนี้เหมือนกันรึ" ท่านตอบว่า "ปกติไม่มี แต่นางฟ้า ๘ องค์นี้เป็นคนมีบาปอยู่เบื้องหลัง" หมายความว่าในระยะต้นสร้างบาปไว้มากแต่ว่าไม่ถึงอนันตริยกรรม อนันตริยกรรมได้แก่ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต ยุยงให้สงฆ์แตกกัน ตอนช่วงหลังของชีวิตและตอนใกล้จะตายได้ทำกำลังใจเป็น สัมมาทิฐิ รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล รู้จักการเจริญภาวนา เวลาจะตายจิตใจก็เกาะความดี เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกก่อน แต่ทว่าบาปยังติดตามอยู่ ถ้าไม่สร้างความดีต่อเป็นการป้องกัน เมื่อจุติไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อไรบาปจะดึงเธอทั้งหมดลงอบายภูมิทันที
    ท่านพุทธบริษัทเมื่ออ่านหรือฟังแล้ว จงคิดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    "จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา" เวลาก่อนจะตาย จิตใจเป็นอกุศลหรือเศร้าหมองนิดหน่อย ก็จะไปอบายภูมิทันที
    "จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา" ก่อนจะตาย แม้แต่จิตใจผ่องใสในด้านของบุญกุศลนิดหน่อย ก็จะไปสวรรค์ทันที

    อาตมาหันไปถามนางฟ้าที่อยู่ใกล้มากที่สุด และมองหน้าไม่ยอมละ ถามเธอว่า "สมัยเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหน" เธอตอบทันทีว่า "จำฉันไม่ได้รึ" อาตมาบอก "ถ้าอย่างนั้นขอดูภาพเดิม" ให้เห็นภาพเธอเป็นคนแก่อายุประมาณใกล้ ๖๐ ปี รูปร่างใหญ่เทอะทะ ผิวเนื้อดำแดงค่อนข้างดำ ถามเธอว่า "รูปร่างของเธอเป็นอย่างนี้ เธอมีสามีหรือเปล่า" เธอตอบว่า "มี" เธอแสดงภาพให้เห็นตั้งแต่สมัยเป็นเด็กแล้วก็เป็นสาววัยรุ่นถึงสาวใหญ่ ตอนสาวรุ่นรูปร่างทรวดทรงดี หน้าตาดี ผิวพรรณไม่ดำ ผิวเนื้อดำแดงและเกลี้ยง ร่างกายมาเปลี่ยนแปลงตอนอายุใกล้ ๔๐ เธอเป็นคนจน เวลานั้นอาชีพจริงๆ ก็คือ จับปูทะเลมาขาย ปูทะเลจับมาได้ก็ต้องมัด จับปั๊บมัดปุ๊บ ทำมาแต่เด็กก็ทำได้คล่องรวดเร็วแล้วก็เอามาขาย พอเป็นสาวขึ้นมาก็จับปูทะเลขายเหมือนเดิม แต่งงานแล้วก็ยังทำอยู่เหมือนเดิม มาเปลี่ยนแปลงเอาจริงๆ เมื่อตอนอายุ ๓๐ ปีเศษ ขายปูได้กำไรพอสมควรมีทุนอยู่บ้าง ไม่จับปูเองแล้วแต่เป็นคนซื้อปูมาขายและคุมการขาย

    ให้นึกดูว่า สภาพปูถูกมัดกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แบบนั้น มันทรมานขนาดไหน มีการเจ็บปวด มีการเมื่อยขนาดไหน สรุปแล้วเธอทำบาปมาอย่างหนัก เป็นบาปที่ติดตามมา ที่เห็นเป็นภาพนางยักษิณีอยู่ข้างหลังตอนที่มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว

    ความจริงในตอนระยะต้นๆ ตั้งแต่เด็กมาจนถึงสาวใหญ่ แต่งงานแล้วก็ตาม บุญเธอก็ทำบ้างแต่ก็ทำบุญแบบผิวเผิน หมายความว่าใส่บาตรบ้างแต่ก็นานๆ ใส่ครั้ง นานๆ ก็ไปฟังเทศน์บ้างแต่ก็ไม่ตั้งใจนัก เขาทำบุญเรี่ยไรก็ทำบ้างแต่ไม่ได้ตั้งใจมาก ทำประเภทปัดสวะให้ผ่านพ้นไป ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่แจกฎีกาพึงทราบว่า คนที่เขาทำบุญตามฎีกาเขาจำใจทำกันมา แต่ก็ได้บุญถึงแม้จะได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม เปรียบเหมือนชาวบ้านเขามีข้าว ๑ กะละมังได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เราได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีข้าวแค่ ๑ จาน ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

    ต่อมาเมื่อเธอมีอายุ ๔๐ ปีเศษๆ ก็มีความรู้สึกว่าอาชีพเดิมมันบาปทั้งหมด ก็เพราะบังเอิญมีพระหลวงตาที่น่าเคารพท่านหนึ่ง ท่านเป็นพระอยู่ใกล้บ้านไปรับบาตรเป็นประจำ ผ่านอยู่เสมอ ท่านอธิบายให้ฟังว่า "การทำแบบนี้มันบาป" ในที่สุดเธอก็ละจากอาชีพขายปูทะเลมาเป็นอาชีพรับจ้างอย่างอื่นที่ไม่เป็นบาป ความจริงน่าขอบคุณหลวงตาองค์นั้นที่ท่านแนะนำ ตอนหลังเธอตั้งหน้าตั้งตาทำบุญ บุญใหญ่เธอทำมาเป็นปกติ ใส่บาตร ฟังเทศน์ ใครไปเรี่ยไรก็ให้ ทำบุญมาเรื่อยๆ จิตใจเป็นบุญกุศล

    ต่อมาระยะใกล้จะตาย ๔ เดือน เธอก็มีโอกาสมาที่วัดท่าซุง ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร เห็นวัดเข้าก็ชอบใจ คิดในใจว่าวัดสวยๆ แบบนี้หายาก เธอสนใจมณฑปแก้วที่ปิดกระจกทั้งข้างนอกและข้างใน ก็ชอบใจมากเข้าไปนั่งไหว้พระดูภาพพระก็ชอบใจ มีจิตใจสดชื่น ไปนั่งนานจนกว่าจะถึงเวลาเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ไปรับยันต์เกราะเพชรตอน ๔ โมงเช้า ปรากฏว่าเขาประกาศว่ารถจะออก ๔ โมงเย็น จึงไปนั่งป๋ออยู่ที่มณฑปแก้วใหม่ สดชื่นมากจิตใจจับอยู่ที่นั่น
    ต่อมาได้ทราบข่าวว่า ที่ซอยสายลมมีพระวัดท่าซุงไปสอนพระกรรมฐานที่นั่น เธอก็ไปกับเขาด้วย ไปเจริญพระกรรมฐานวันแรกเธอบอกว่า "ภาพพระที่มองเห็นเวลาลืมตา แต่เวลาหลับตาแล้วพระองค์นั้นไม่เห็น เห็นแต่ปูที่คลานยั้วเยี้ยที่เธอจับมาก็ดี ภาพที่เธอกำลังมัดปูก็ดี นั่งขายปูก็ดี"

    รวมความว่า ภาพปูปรากฏเต็มไปหมด จะมองเท่าไรก็ไม่เห็นภาพพระเห็นแต่ปูแทน ในที่สุดลืมตาดูพระใหม่ ทิ้งภาพปู พอเห็นภาพพระแจ่มใสดี สดชื่น นานๆ เข้าจึงหลับตาใหม่ ก็ปรากฏเห็นภาพปูอีก เป็นอันว่าวันแรกของการเจริญพระกรรมฐานคือวันเสาร์ ไม่มีผลเห็นพระแต่มีผลเห็นปูทะเลแทน เธอก็เศร้าสลดใจ พอถึงเวลาอุทิศส่วนกุศล พระท่านแนะนำว่า "ให้ขอท่านพระยายมราชและเทพเจ้าเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศล"

    เผอิญท่านพระยายมราชท่านมาบอกกับอาตมาในวันนั้นว่า "ถ้าใครทำบุญไว้ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้บอกท่านให้เป็นพยาน ถ้าบังเอิญต้องผ่านสำนักท่าน การสอบสวนเรื่องบาปก็ไม่มี ท่านจะเป็นพยานให้เพราะบุญมีอยู่แล้ว จะส่งไปสวรรค์ก่อน" เธอบอกว่า "ดีใจในถ้อยคำนี้" เวลาพระท่านนำอุทิศส่วนกุศลสดชื่นมาก ตั้งใจจริงๆ เพราะว่าปูเป็นเหตุ ถึงอย่างไรก็ไม่ขอลงนรกแน่ เธอคิดในใจว่า "ถ้าขืนลงนรกเสียท่าปูแน่ ปูนับเป็นพันเป็นหมื่นมันตามเล่นงานแน่นอน เธอไม่ได้คิดถึงไฟนรกคิดถึงแต่ปูอย่างเดียว พออุทิศส่วนกุศลเสร็จเธอก็รีบไปที่จุดสังฆทาน จะเอาชุดใหญ่ ๕๐๐, ๑,๐๐๐, ๒,๐๐๐ เงินก็ไม่มี ผสมผเสได้ ๑๐๐ บาท ก็ถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาททันที

    วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่สองไปใหม่ตอนกลางวัน ตั้งใจไปถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาททันทีและก็ฟังพระท่านคุยไป นั่งดูพระพุทธรูปไป ตัดสินใจว่าวันนี้จะไม่ยอมให้ภาพปูเข้ามากวนใจ จะขออยู่กับพระพุทธรูป หลับตาบ้างลืมตาบ้าง ใครจะคุยอย่างไรก็ช่าง สนใจพระพุทธรูปอย่างเดียว พอตอนกลางคืนเจริญพระกรรมฐาน เวลาหลับตาปรากฏว่า ภาพปูกับภาพพระแย่งกัน ภาพพระเกิดขึ้นบ้าง เห็นภาพปูบ้างสลับกัน เธอก็ดีใจว่าวันนี้พระสู้กับปูแล้วปูแพ้ เพราะภาพปูเกิดขึ้นมาน้อย เห็นภาพพระมากกว่า พอเจริญพระกรรมฐานเสร็จก็ถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาทอีก

    ต่อมาวันที่สาม ก็ทำอย่างนั้นอีก พอไปถึงปุ๊บไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ตั้งหน้าตั้งตาจ้องพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ที่พูด มองลีลาพระสงฆ์ที่นั่งพูดบ้างและจำภาพพระพุทธรูปบ้าง ดูสองอย่าง อย่างไหนเลือนก็จับอีกอย่างหนึ่งเข้ามาแทน ตั้งใจจับพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ช่วยกันขับปู วันนี้ชนะเด็ดขาดภาพปูไม่ปรากฏเห็นแต่ภาพพระอย่างเดียว เห็นชัดทั้งภาพพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ ภาพปูไม่เกิด เธอดีใจมาก

    ก็รวมความว่าเธอทำอย่างนี้มาได้ ๓ ครั้ง วาระที่สุดของชีวิตของเธอก็มาถึง เวลาที่จะตายจริงๆ เธอมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายวัน ปวดศีรษะบ้าง แน่นหน้าอกบ้าง เสียดท้องบ้างเป็นปกติ แต่ในเวลานั้นก็ตั้งใจภาวนาว่า "พุทโธ" นึกถึงภาพพระกับพระสงฆ์ที่เคยเห็น ภาพก็ชัดเจนแจ่มใสเป็นบางครั้ง บางทีมันปวดมากภาพก็หายไป พอคลายหน่อยจิตก็เห็นภาพ แต่ใจไม่ยอมปลด มันจะปวดอย่างไรก็ตาม ก็ตั้งใจภาวนา "พุทโธ" บ้าง "นะมะพะธะ" บ้าง จับภาพพระพุทธเจ้าบ้าง จับภาพพระสงฆ์บ้างสลับกันไปในที่สุดก็ตาย
    เวลาจะตายเธอบอกว่าไม่มีความรู้สึกว่ามันจะตาย มันเป็นแต่มีความรู้สึกวูบไป อาการปรากฏทีแรกมันอืดเสียดมาก เมื่ออาการอืดเสียดหายไป มีนงงหายไป จิตมีอารมณ์เป็นสุขมาก มีความเยือกเย็น มีความสบาย จิตก็จับภาพพระพุทธรูปภาวนาว่า "พุทโธ" เดี๋ยวก็ "นะมะพะธะ" สลับกับทั้ง ๒ อย่าง ภาพพระก็เกิดมีสภาพแจ่มใส สดใสขึ้น สวยขึ้นๆ ตามลำดับ เป็นทองอร่ามขึ้น ในที่สุดพระท่านยิ้ม เมื่อเห็นภาพพระพุทธรูปยิ้ม เธอก็มีอาการสดชื่น ตอนนี้เองเธอบอกว่า "มีความรู้สึกว่าวูบเหมือนกับตกจากที่สูง และมีความรู้สึกอีกทีหนึ่งก็มาอยู่ที่วิมานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก วิมานสวยสดงดงามมากแพรวพราวเป็นระยับ เป็นเพชรสีน้ำมันก๊าด จะขาวก็ไม่ใช่แต่ใส
    ถามเธอว่า "ที่ได้วิมานสวยอย่างนี้เพราะอะไร" เธอตอบทันทีว่า "เพราะสนใจในมณฑปแก้วและพระพุทธรูปในมณฑปแก้ว" ถามว่า "ไปในมณฑปแก้วนั้นกี่ครั้ง" เธอตอบว่า "ไป ๓ ครั้งติดใจ เวลามีงานก็ไป ยามปกติก็ไป เวลาไปต้องเข้าไปในมณฑปแก้วก่อน ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป ภาวนาให้สบาย ตัดภาพปูทิ้งไปเห็นพระแทน ดูภาพมณฑปแก้วก็ชอบใจ อันนี้เป็นปัจจัยให้วิมานแก้วใสมาก สว่างมาก" ถามว่า "เธอมีเทพบุตรหรือนางฟ้าเป็นบริวารเท่าไร" เธอยิ้มแล้วตอบว่า "ไม่มีเทวดาเป็นบริวาร มีแต่นางฟ้าเป็นบริวาร ๔,๐๐๐ องค์ เครื่องประดับประดาก็มีมาก" บอกเธอว่า "อยากจะเห็นวิมาน"
    ก็ปรากฏว่าเวลานั้นวิมานก็ลอยมา บ้านเราในเมืองมนุษย์ยกไปไหนไม่ได้ แต่ในเมืองสวรรค์วิมานลอยมาทันที นางฟ้าทั้งหมดหน้าตาแจ่มใสมาก วิมานของเธอใหญ่มากและมีความสว่างไสวมาก ถามเธอว่า "เธอมีความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องบาปเก่า" เวลานี้ภาพนางยักษิณียังปรากฏอยู่ เธอบอกว่า "ภาพนางยักษิณีนี่ความจริงไม่ใช่นางยักษิณีจริง เป็นภาพที่แสดงออกเมื่อท่านปรากฏนี่เอง ตามปกติฉันไม่เห็น แต่ว่าภาพนั้นคงเป็นพยานให้ท่านทราบว่า ฉันยังเป็นคนมีบาป" ถามเธอว่า "เธอทราบไหม ถ้าหมดบุญจากสวรรค์ที่ดาวดึงส์เธอจะไปไหน" เธอก็ตอบว่า "ทราบ เขาจะนำฉันไปไว้นรกขุมที่ ๕"

    ถามเธอว่า "จะไปไหม" เธอก็ตอบว่า "ที่ไปซอยสายลมพระท่านสอนว่า ให้หนีไปพระนิพพาน เวลานี้ฉันตั้งใจไปพระนิพพาน ฉันไปฟังเทศน์ที่พระจุฬามณีเจดียสถานเสมอ ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์และที่ประชุมเทวสภา ก็มีหลายวาระที่บรรดาพระโพธิสัตว์ท่านมาเทศน์ วันไหนพระโพธิสัตว์ท่านไม่ว่างมา ท่านพระอินทร์ก็เทศน์แทน ท่านเทศน์สงเคราะห์ให้เทวดาทุกองค์บำเพ็ญกุศลต่อ ให้ทุกคนมองดูกรรมดั้งเดิมของตัวเองก่อนที่จะตาย ว่ามีกรรมที่เป็นอกุศลไหมและกรรมที่เป็นอกุศลนั้นทิ้งเราหรือยัง เทวดาและนางฟ้าทุกองค์ก็ปฏิบัติตามท่าน รวมความว่าไม่มีเทวดา ไม่มีนางฟ้าองค์ไหนที่ไม่มีบาปกรรมต่อท้ายอยู่เบื้องหลัฉะนั้นเทวดาและนางฟ้าทุกองค์ก็ตั้งใจบำเพ็ญกุศลหวังไปพระนิพพาน

    เมื่ออาตมาคุยกับเธอจบก็ถามเธอว่า "มีอะไรสั่งไปถึงทางบ้านบ้างไหม" เธอก็ตอบว่า "ฉันขอสั่งเมื่อท่านเขียนหนังสือแล้วก็บอกเขาด้วยว่า ฉันคนชื่อ ป อยู่หน้า ตายเมื่ออายุ ๕๗ ปี อาชีพเดิมจับปูทะเลและก็ขายปู ต่อมาเมื่ออายุ ๔๐ ปีเศษก็กลายเป็นนักบุญ เวลานี้มีความสุขมาก ขอบรรดาลูกหลานทุกคนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ที่คิดว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขแก่ตัวเองนั้น ความจริงไม่จริงมันจะลากไปสู่อบายภูมิ จะมีความทุกข์หนัก มันไม่คุ้มกันกับความสุขนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายอิ่ม ฉะนั้นขอบรรดาลูกหลานและพี่น้องทุกคนจงละบาปอกุศล ทำงานรับจ้างเขาที่ไม่เป็นบาปดีกว่า.."
     
  10. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ขุนกิ๊กเยี่ยมจริงๆเลยครับ ไปค้นคำสอนของหลวงพ่อฯมาให้เพื่อนๆอ่านด้วย

    ขออนุโมทนาในความวิริยะในครั้งนี้ด้วยครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  11. luis2499

    luis2499 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +29
    มิจฉาวณิชชา การค้าขายไม่ชอบธรรม, การค้าขายที่ผิดศีลธรรม
    หมายถึง อกรณียวณิชชา (การค้าขายที่ อุบาสกไม่ควรทำ) ๕ อย่าง คือ
    ๑. สัตถวณิชชา ค้าอาวุธ
    ๒. สัตตวณิชชา ค้ามนุษย์
    ๓. มังสวณิชชา ค้าสัตว์สำหรับฆ่าเป็นอาหาร ( ค้าปลาสวยงามไม่อยู่ในกรณีนี้ )
    ๔. มัชชวณิชชา ค้าของเมา
    ๕. วิสวณิชชา ค้ายาพิษ

    * ขายปลาสวยงาม และ เลี้ยงปลาสวยงาม เราไม่มีเจตนา ขายให้คนไปฆ๋า ขายไปเพื่อเลี้ยงดู ก็ไม่น่าจะบาป หากบาป ก็เป็นบาป ที่มีการลงทุนพอสมควร ( ปรกติทำบาปไม่ค่อยได้ลงทุน ก็ได้บาปแล้ว ) ที่ว่าลงทุนคืออะไรครับ นับจากอะไรบ้างครับ
    1 ซื้อปลาจากร้าน ( นำเขาออกมาดูแล ให้ดูกว่าอยู่ในร้านปลา )
    2 ซื้อตู้ หินประดับ ฯลฯ ( บ้านให้เขาอาศัยอยู่ )
    3 อาหาร ( ปลาสวยงาม หากินเองไม่เป็น ไม่เหมือนปลาธรรมชาติ หากปล่อย confirm ตายครับไม่เป็ยเหยื่อตัวอื่น ก็อดตาย )
    4 ยารักษาโรค ( ยาปรับสภาพน้ำ ฯลฯ รักษาโรคต่าง ๆ หากเขาป่วย )
    5 ปั้มลม ( เสียค่าไฟเพิ่มขึ้นจากปรกติแน่นอน เพื่อให้เขาได้หายใจสะดวก และสดชื่น )
    6 น้ำ ( ต้องมีค่าใช้จ่ายน้ำเพิ่มขึ้นอีก และ เปลี่ยนบ่อยครั้งหากน้ำไม่สะอาด )
    รวมแล้ว : ลงทุนพอสมควร กับ ปลาสวยงาม ที่เรามีเจตนา เลี้ยงดูเขา รักเขา คอยเป็นห่วงใยเขา
    กักขังเขา เป็นบาปไหม ?
    ตอบ = แล้วจะเอาเขาไปไว้ที่ไหน เขาเกิดมาก็เจอตู้ แล้วครับ หาก บาป ก็คงไม่ใช่บาปหนักครับ เพราะโดยเจตนา เราเจตนาดี ต่อเขา
    ทำยังไง กลัวบาป แต่ อยากเลี้ยงเขา
    1 กลัวสุด ๆ = ไม่ต้องเลี้ยงเลยครับ ตัดไฟแต่ต้นลม
    2 กลัวนิด ๆ ยังติดกิเลส ยังอยากเลี้ยงอยู่ = เลี้ยงเขา ต้องดูแลให้ดี คุณอาจจะได้บุญเพราะดูแลเขา
    3 ไม่กลัว เพราะคิดว่าไม่บาป = เลี้ยงไปเลย แต่ต้องดูแลให้เขาให้ดูน่ะครับ เขาป่วยหายา เขาหิว ให้อาหาร ทำไปตามเจตนาของเราที่ดีต่อเขา
    * จะเลี้ยง หรือ จะเพาะเพื่อให้คนอื่นไปดูแล โปรด ดูแลเขาให้ดี ถึงบาป ก็ บาปไม่หนักครับ อยู่ที่ใจ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...