ความลับของมังกร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 3 พฤศจิกายน 2010.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    [​IMG]
    Edit TitleEdit Detail

    [​IMG]
    มังกร

    [FONT=&quot]ถ้า พูดถึงเรื่องมังกร หรือดราก้อนละก็ พูดไปสี่วันสามคืนก็ไม่จบ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามังกรเป็นสัตว์ในเทพนิยายของชาติต่างๆ จีนก็มีมังกร ฝรั่งก็มีมังกร [/FONT]
    [FONT=&quot]นอกจากนี้มังกรยังเป็นสัตว์เร้นลับที่มีในหลักสูตรการเรียนวิชานี้ด้วยครับ......(ถึงไม่มีการค้นหามันแบบจริงจังแบบเป็นทางการก็เถอะ)[/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนคนทั่วไปถ้าพูดถึงมังกร เราก็อาจสรุปข้อสรุปเกี่ยวกับตัวมัน [/FONT][FONT=&quot]3 ข้อ[/FONT]
    [FONT=&quot] 1.มันเป็นสัตว์ในเทพนิยายโดยแท้ ไม่มีอยู่จริง ซึ่งก็คือเหลวไหลทั้งเพนั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]2. เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับมังกรเป็นเรื่องของจินตนาการซึ่งคนโบราณได้รับ แรงบันดาลใจมาจากสัตว์บางชนิด เช่นงูหรือสัตว์อื่นๆมันเคยมีอยู่จริงๆบนโลกนี้(โอ้ววว...)[/FONT]
    [FONT=&quot]3. มันมีอยู่จริงๆ (แม้ไม่มีซากของมันก็เถอะ)[/FONT]
    [FONT=&quot]แน่นอนถ้าเรายึดข้อ [/FONT][FONT=&quot]1-2 ตอนนี้ก็จบลงอย่างรวดเร็วใช่หรือเปล่าครับ ฮะๆๆ เลยหาเรื่องยืดซะเลย โดยสมมุติถ้ามันมีอยู่จริงในโลกใบนี้ละ[/FONT]

    [FONT=&quot]ก่อนที่จะพูดถึงทฤษฏีที่มีความเป็นไปได้ว่า มังกร มีหรือจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงมันจะเป็นแบบไหน ผมขอเราตำนานที่กล่าวถึงมันก่อนนะครับ[/FONT]

    มังกร
    [FONT=&quot][​IMG]
    มังกรในอังกฤษคือ [/FONT][FONT=&quot]dragon ซึ่งมาจากภาษาละตินที่แปลว่า draco เป็นสัตว์วิเศษที่รู้จักกันในวรรณคดี ตำนาน เรื่องเล่า นิทาน ฯลฯ โดยส่วนมากมีรูปร่างลักษณะจัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลานหรืองู[/FONT]
    [FONT=&quot]ใน ตำนานยุโรป มังกรเป็นสัตว์อันตรายและน่าสะพรึงกลัวสำหรับมนุษย์ มังกรจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่าวีรบุรุษทั้งหลาย การฆ่ามังกรและขึ้นเถลิงราชย์เป็นกษัตริย์. มังกรจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ ทั้งที่มีตัวตนจริง ๆ และในตำนานต่าง ๆ เช่น กษัตริย์อาเธอร์ ซึ่งมีนามสกุลว่า [/FONT][FONT=&quot]Pendragon มีความหมายว่า 'ศีรษะของมังกร' หรือ 'หัวหน้ามังกร' และมงกุฎของกษัตริย์อาเธอร์ ก็เป็นรูปมังกร.[/FONT]
    [FONT=&quot]เรา พบมังกรได้ง่ายและบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นในตำนานของทางยุโรปหรือเอเชียก็ตาม เรียกว่าที่ใดมีอารยธรรมและตำนาน ที่นั่นก็ต้องมีมังกรเป็นของคู่กัน. มังกรนั้นมีรูปร่างและลักษณะหลายอย่าง แตกต่างไปตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีจุดเด่นคือ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ ร่างกายใหญ่โต มีพละกำลังมาก บางครั้งอาจพ่นไฟได้ หรือมีอำนาจเวทมนตร์มหาศาล และที่สำคัญคือ บินได้ (อาจจะมีปีกหรือไม่มีก็ได้) โดยขนาดรูปร่างและสีนั้น ก็แตกต่างกันไป[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่าง ไรก็ตาม มังกรที่พบในตำนานของทางยุโรปและของทางเอเชียนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างกันในแง่สัญลักษณ์ โดยเฉพาะคติของจีนที่มักจะถือว่า มังกรนั้นคือเทพเจ้า และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ (ซึ่งเป็นสมมติเทพ) แต่ทางยุโรปนั้นมักจะถือมังกรเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย (อันเป็นคติที่สืบทอดมาจากความหวาดกลัวงูของชาวยุโรป).[/FONT]
    [FONT=&quot]โดยมังกรแบ่งออกคราว [/FONT][FONT=&quot]3 กลุ่ม คือ มังกรจีน มังกรยุโรป และมังกรทิเบต[/FONT]

    มังกรจีน
    [FONT=&quot]
    มังกรจีน มังกรจีนนี้เป็นสัตว์ที่คนจีนเคารพมากในฐานะสมมุติเทพ เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอันหนึ่งของจักรพรรดิและวัฒนธรรมจีน โดยมังกรจีนมีลักษณะที่มาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ลักษณะลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่บริเวณขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนกับไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนกับของสิงโตอยู่บน คอ [/FONT][FONT=&quot], คาง และข้อศอก มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว ลักษณะเขาของมังกรจะมีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีขา 4 ขาและกรงเล็บแข็งแรง[/FONT]
    [FONT=&quot]เกล็ด ของมังกรจีนนั้น จะผันแปรเปลี่ยนไปตามแต่ละชนิดของมังกร ตั้งแต่สีเขียวเข้มจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้นมีหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ในกรณีของมังกรชนิด ไชโอะ ([/FONT][FONT=&quot]chiao) หลังของมังกรจะเป็นสีเขียว บริเวณด้านข้างเป็นสีเหลือง และใต้ท้องเป็นสีแดงเข้ม มังกรจีนชนิดหนึ่งจะมีปีกที่ด้านข้างของลำตัว และสามารถที่จะเดินบนน้ำได้ แต่สำหรับมังกรจีนอีกชนิดหนึ่งเมื่อสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลัง จะทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ย[/FONT]
    [FONT=&quot]มังกรจีนจะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้ เรียกโหนกที่อยู่บนหัวว่า เชด เม่อ ([/FONT][FONT=&quot]ch’ih muh) แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่เรียกว่า โพ เชน (po-shan) ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้ [/FONT]
    [FONT=&quot]มังกร จีนในตำนานนั้น สามารถที่จะทำตัวเองให้มีขนาดใหญ่เท่ากับจักรวาลหรือมีขนาดเล็กเท่ากับหนอน ไหมได้ ทำให้บรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ของจีน โดยหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสวรรค์ มังกรจีนถือเป็นสัตว์แห่งเทพเจ้า ได้รับความนับถือมากที่สุด มังกรจีนมีลักษณะนิสัยที่เมตตากรุณา เป็นมิตร ทะเยอทะยาน และมองโลกในแง่ดี นอกจากนี้ยังมีความฉลาด มีปัญญามาก มีความเด็ดขาด และมีพลัง มังกรจีนจึงเป็นที่ปรึกษาของผู้นำในด้านต่าง ๆ แต่มังกรจีนมีทิฐิในตัว จะถือตัวว่าถูกหมิ่นประมาทเมื่อผู้นำไม่ยอมทำตามคำแนะนำของมังกรจีน หรือเมื่อผู้คนไม่ให้เคารพความสำคัญ มังกรจีนจะทำให้ฝนหยุดตก หรือเป่าเมฆดำออกมาซึ่งจะนำพาพายุ และน้ำท่วมมาให้ มังกรตัวเล็กก็ทำเรื่องยุ่งยากเล็ก ๆ เช่นทำหลังคารั่ว หรือทำให้ข้าวเกิดความเหนอะหนะ[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อ มาอ่านตรงนี้จะเห็นได้ว่าตำนานมังกรของจีนนั้นนับว่าเก่าแก่กว่าประเทศอื่นๆ คือราวสี่พันกว่าปีมา และตำนานที่เก่าแก่ที่สุดคือ สมัย พระเจ้าชุน ([/FONT][FONT=&quot]2255-2205 ปี ก่อน ค.ศ.) ได้เกิดอุทกภัยจากแม่นํ้าฮวงโหผู้คนล้มตายมากมาย พระองค์จึงสั่งให้อำมาตย์ผู้หนึ่งชื่อ ยู้ ไปแก้ไข แม้ว่ายู้จะเพิ่งแต่งงานได้เพียง 4 วัน แต่เขาก็ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเลยถึง 33 ปี บุกป่าฝ่าเขา เผาป่าขุดคลอง กระทั่งสามารถระบายนํ้าท่วมทั้งหมดลงสู่ทะเลได้ เมื่อพระเจ้าชุนสิ้นพระชนม์ ราษฎรจีนทั้งปวงจึงพร้อมใจกันให้ยู้ขึ้นครองราชสมบัติแทน ทรงพระนามว่าพระเจ้า อู๋เต้ (2205-2197 ปี ก่อน ค.ศ.) ต้นราชวงศ์เหีย [/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วย ความยิ่งใหญ่ของยู้ ทำให้กล่าวกันว่า จริงๆ แล้วกำเนิดของยู้นั้นเป็นพญามังกร ดังนั้น จึงถือกันว่าฮ่องเต้หรือจักรพรรดิองค์ต่อๆ มาของจีนนั้นก็คือมังกรกลับชาติมาเกิด ด้วยเหตุนี้สัญลักษณ์ของฮ่องเต้ จึงใช้รูปมังกรแต่จะผิดแผกจากมังกรธรรมดา คือมี [/FONT][FONT=&quot]5 เล็บ และใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำองค์ฮ่องเต้เป็นหลัก [/FONT]
    [FONT=&quot]ใน เมืองจีนเราจึงมักได้เห็นรูปมังกร ปรากฏประดับประดาอยู่ทั่วไปครับ ไม่ว่าจะบนผ้าม่านที่ปักอย่างวิจิตร บนตราประทับ หรือบนแจกันตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป [/FONT]


    มังกรยุโรป
    [FONT=&quot][​IMG]
    มังกรยุโรป ([/FONT][FONT=&quot]European dragon) เป็น มังกรในความเชื่อของยุโรปสมัยกลาง แต่มีความแตกต่างจากมังกรจีนหรือมังกรทิเบตมาก ซึ่งเป็นสัตว์กึ่งเทพเจ้ามีอิทธิฤทธิ์ดลบันดาลให้เกิดฝน เกิดความอุดมสมบูรณ์ได้ แต่มังกรของยุโรปเป็นสัตว์ที่เสมือนตัวแทนของความชั่วร้ายหรือปีศาจ เป็นสัตว์ที่มุ่งร้ายต่อมนุษย์ โดยมากมีลักษณะเป็นสัตว์สี่ขา มีปีกกว้างใหญ่คล้ายค้างคาว หางยาวปลายหางเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายหัวหอก สามารถพ่นไฟได้[/FONT]
    [FONT=&quot]มังกร ในตำนานพื้นบ้านของยุโรป มักเป็นสัตว์ที่เฝ้าสมบัติและหวงทรัพย์สินเหล่านั้น โดยมากมักจับเอาเจ้าหญิงแสนสวยไปขังไว้บนยอดปราสาท และเป็นอัศวินซึ่งเสมือนวีรบุรุษเข้ามาช่วยเจ้าหญิงและฆ่ามังการนั้นตาย[/FONT]
    [FONT=&quot]ตำนานมังกรของยุโรป ที่เป็นที่รู้จัก เช่น ซิคฟรีด ([/FONT][FONT=&quot]Siegfried) ในตำนานแร็กนาร็อกของยุโรปเหนือ ที่สังหารมังกรแล้วเลือดมังการอาบตัวทำให้เกิดความอมตะ ไม่มีวันตาย เป็นต้น[/FONT]
    [FONT=&quot]กระนั้น มังกรของยุโรป ก็มักใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลขุนนาง อัศวิน หรือประดับบนธงของบางประเทศ เวลส์ เป็นต้น เพราะถือเป็นการแสดงถึงพลังอำนาจ[/FONT]

    [FONT=&quot]มังกรยุโรปเก่าแก่รองจากจีนที่เห็นในตำนานคือ มังกรในตำนานของชนสุเมเรียนแห่งนครบาบิโลน ซึ่งก่อตั้งขึ้นราว [/FONT][FONT=&quot]2,000 ปีก่อน ค.ศ. โดยตำนานเล่าว่า หลังกำเนิดของพิภพ มีมังกรเพศเมียนามว่า ติอาแม็ท (TIAMAT) เป็นเทพีแห่งทะเลนํ้าเค็ม เมื่อนํ้าเค็มของติอาแม็ทผสมผสานกับนํ้าจืดของเทพ อัพสุ (APSU) ก็เกิดการปฏิสนธิของเทพองค์อื่นๆ อีกมากมาย [/FONT]
    [FONT=&quot][​IMG]
    ต่อมาอัพสุต้องการชิงอำนาจจากจอมเทพ อีอา ([/FONT][FONT=&quot]EA) จึงเกิดเทวสงครามขึ้น แรกๆ ทัพของอัพสุกับติอาแม็ททำท่าว่าจะมีชัย แต่แล้วก็เกิดมีวีรเทพซึ่งเป็นโอรสของอีอาพระนามว่า มาร์ดุค (MARDUK) เข้ามาขัดขวางติอาแม็ทอ้าโอษฐ์ เพื่อกลืนกินมาร์ดุค แต่วีรเทพได้สาดมหาพายุเข้าไปในโอษฐ์ของเธอจนหุบไม่ลง แล้วมาร์ดุคก็ใช้แหจับ [/FONT]
    [FONT=&quot]ติ อาแม็ทไว้ได้ เอาศรเสียบร่างแล้วเอาดาบ ผ่ากายของเธอออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งบังเกิดเป็นหลังคาสวรรค์ อีกซีก หนึ่งเป็นท้องมหาสมุทร นอกจากนี้ มาร์ดุค ยังเอาดาบเสียบลูกตาของติอาแม็ท โลหิตที่หลั่งไหลออกมากลายเป็นแม่นํ้าสองสาย คือ ไทกริส กับ ยูเฟรติส แห่งดินแดนเมโสโปเตเมีย แถมยังม้วนหางของเธอขึ้นไป พาดไว้บนห้วงจักรวาลกลายเป็น ทางช้างเผือก ([/FONT][FONT=&quot]MILKY Way) ที่เราเห็นสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้าทุกวันนี้ [/FONT]
    [FONT=&quot]มังกรตัวต่อมาปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ไบเบิลของชนฮีบรู กล่าวคือเมื่อพระเจ้า ([/FONT][FONT=&quot]GOD) ทรงสร้างโลก ในวันที่ 5 พระองค์ได้เสกมังกรทะเลขึ้นมาชื่อว่า เลเวียธาน (LEVIA-THAN) เป็น อสุรสัตว์ ที่มีพละกำลังน่าเกรง ขาม อาวุธใดๆ ไม่อาจระคายเคืองร่างของมันได้ แม้ว่ามันอาจก่อความเดือดร้อนให้แก่ มนุษย์บ้าง แต่พระเจ้าก็มิได้เอาใจใส่กับมันเท่าใดนัก เพราะพระองค์ ตั้งพระทัยที่จะสังหารมันในวันสุดท้ายแห่งพิภพ (THE JUDGEMENT DAY)! [/FONT]
    [FONT=&quot][​IMG]
    "ในวันนั้น พระองค์จะทรงใช้ดาบอันมีศักดานุภาพยิ่งใหญ่ ลงทัณฑ์เจ้ามังกร ซึ่งพยายามหลีกลี้หนีไป และทรงประหารมันในห้วงมหาสมุทร" (จาก Isaiah 27 : 1) [/FONT]
    [FONT=&quot]เรื่อง ราวของมังกรในคริสตอาณาจักร ยังมีอีก คือในช่วงศตวรรษแรกหลังจากองค์เยซูสิ้นพระชนม์ ชาวคริสต์หลั่งไหลเข้าไปอยู่ในตะวันออกกลาง ตำนานความเชื่อโบราณหลายเรื่องเลือนหายไป แต่[/FONT][FONT=&quot] "มังกร" ยังอยู่ ซึ่งน่ากลัวหนักขึ้นไปอีก โดยปรากฏในรูปของ"ปิศาจ (DEVIL)" [/FONT]
    [FONT=&quot]"ข้า เห็นเทวดาลงมาจากสวรรค์ ในหัตถ์มีกุญแจไขสู่หลุมลึกอันหยั่งไม่ถึง อีกหัตถ์หนึ่งมีโซ่เส้นมหึมา แล้วจับเจ้ามังกรปิศาจล่ามไว้ และทุ่มมันลงไปในหลุมนั้น" (Book of Revelation) [/FONT]
    [FONT=&quot]มังกร ในคัมภีร์ไบเบิลของฮีบรู ได้สร้างจินตนาการไว้ให้ชนยุโรปตะวันออกกลาง หลายหมู่บ้าน จนต่างก็มีตำนานมังกร ของตนเองขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่สามในประเทศลิเบีย[/FONT]
    [FONT=&quot]ตำนาน นี้กล่าวว่า ได้เกิดมีมังกรยักษ์ใจโหดขึ้นในอาณาจักรที่โรมันครอบครอง สร้างความทุกข์ร้อนแสนสาหัสแก่ชาวบ้าน โดยจะต้องจัดส่งลูกหลานไปสังเวยแก่มันเป็นประจำ กระทั่งถึงคราวของพระธิดาแห่งกษัตริย์ที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของมัน [/FONT]
    [FONT=&quot]และแล้วทหารหาญหนุ่มน้อย คริสเตียนก็ได้ขี่ม้าขาวมาช่วย เขามีนามว่า จอร์จ ([/FONT][FONT=&quot]George) เมื่อ เผชิญหน้ากับเจ้ามังกรร้าย จอร์จได้ใช้หอกพุ่งเสียบร่าง ของมันจนสิ้นชีพ แล้วลากเอาซากมังกรกลับมา ให้ชาวบ้านได้ทัศนา ความเก่งกาจของจอร์จทำให้ผู้คนทั้งหลายเปลี่ยนใจ จากที่เคยศรัทธาในปวงเทพของโรมัน ก็หันกลับมานับถือคริสต์ศาสนากันหมด [/FONT]
    [FONT=&quot]ต่อ มาเมื่อเกิดสงครามครูเสด เหล่าขุนศึกคริสเตียนที่ไปรบในตะวันออกกลาง ต่างได้รับอิทธิพลจากตำนานของจอร์จ พวกเขาจึงบังเกิดมีกำลังใจฮึกเหิม โดยถือว่าดวงวิญญาณของ จอร์จคงช่วยพิทักษ์ตน เมื่อเสร็จศึกกลับถึงบ้านในอังกฤษ จอร์จจึงได้รับการยกย่องขึ้นเป็นนักบุญเซนต์จอร์จ [/FONT]
    [FONT=&quot]ใน ยุคกลางของยุโรปนั้น บุรุษเพศต่างคลั่งไคล้ในการประพฤติตนเป็นอัศวิน คือจรม้าออกตระเวนผจญภัยไปในดินแดนต่างๆ เพื่อสร้างวีรกรรม และวีรกรรมใดเล่าที่จะน่าประทับใจ ยิ่งกว่าการได้สังหารมังกรร้ายสักตัวนึง ใครที่เคยอ่านเรื่อง[/FONT][FONT=&quot] "ดอน กีโฮเต้" ของแชร์วอนเตส คงรู้ดีถึงความบ้าระหํ่านี้[/FONT]
    [FONT=&quot]"มังกรจะอาศัยอยู่ในถํ้า มันจะเหินร่อนไปบนนภากาศออกหากิน กรงเล็บของมันคืออาวุธ ประกอบกับอัคคี ที่พวยพุ่งจากปากและจมูกของมัน" [/FONT]
    [FONT=&quot][​IMG]
    มังกรตัวสุดท้ายที่จะเล่าถึงมีชื่อว่า เควทซาลโคลท์[/FONT][FONT=&quot] (QUETZALCOATL) อยู่ในตำนานของชนเผ่าแอสเท็กส์ (AZTECS) แห่งนครเตโอติฮัวคัน (คริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึง 8) ในดินแดนอเมริกากลางแถวๆ เม็กซิโก [/FONT]
    [FONT=&quot]มังกร ของแอสเท็กส์นี่รูปร่างแปลกกว่าของชาติอื่น คือเป็นงูยักษ์ที่มีขน ชนแอสเท็กส์นับถือว่าเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์การเกษตร แต่การสักการบูชาเทพเจ้าของพวกเขานั้นหฤโหดยิ่ง คือสังเวยด้วยมนุษย์เป็นๆ ดังนั้นในแต่ละปี ชนชาตินี้จะทำศึกรุกรานชนเผ่าอื่น เพื่อนำเอาเชลยมาบูชายัญจัดเป็นยุคแห่งการนองเลือดโดยแท้ กระทั่งสุดท้าย ตำนานกล่าวว่า กลุ่มปีศาจได้จับเอามังกรเควทซาลโคลท์มอมเหล้าแล้วนำไปเก็บไว้ใต้สมุทร [/FONT]
    [FONT=&quot]ตำนานนี้เองที่ได้ก่อความหายนะ ให้กับชาวแอสเท็กส์ คือเมื่อชนผิวขาวชาวสเปน นำโดย เฮอร์นานโด คอร์เตส มาเยือนดินแดนแถบนี้ในช่วง ค.ศ.[/FONT][FONT=&quot]1519-21 กษัตริย์ มอนเตซูมา และชาวแอสเท็กส์ต่างก็เชื่อว่าคอร์เตส คือเทพเจ้ามังกร ผู้หวนกลับมาตามที่ตำนานได้ทำนายไว้ จึงยอมศิโรราบแก่กองทหารของคอร์เตส ทำให้สเปนทำทารุณกรรม และขนทรัพย์สินเงินทองมหาศาลของแอสเท็กส์ไป จนสิ้น[/FONT]


    [FONT=&quot] แม้ จะไม่มีการค้นพบตัวมัน หรือมีการตั้งทีมงานในการค้นหาตัวมันแบบจริงๆ จังเหมือนสัตว์ลึกลับและมนุษย์ต่างดาวตัวอื่น แต่งกระนั้นก็ยังอุตสาห์มีวิชา [/FONT][FONT=&quot]“มังกรศาสตร์” ไว้ให้คนได้ศึกษาเล่าเรียนครับ ส่วนเนื้อหาและเขาเรียนที่ไหนนั้นเออ.....อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือน ได้ยินเขาเล่ามาอีกที [/FONT]
    [FONT=&quot] ซึ่ง ตอนนี้เรามีหลักฐานเกี่ยวกับมังกรอยู่น้อยมาก นอกจากเรื่องเล่าต่างๆแล้วซากกระดูก ฟอสซิล หรือหลักฐานอื่นๆเกี่ยวกับมังกรนั้นเราแทบจะไม่เคยพบกันเลยมันสักนิด อย่างน้อยก็มีรูปถ่ายมาให้เราดูเล่นๆ ว่ามันเป็นมังกร[/FONT]

    [FONT=&quot] เช่นรูปนี้

    [/FONT]
    [​IMG]


    [FONT=&quot] ว่ากันว่าเป็นรูปถ่ายที่บังเอิญถ่ายติดบางสิ่งที่ดูเหมือนช่วงลำตัวของมังกร ซะงั้น โดยเป็นภาพที่ถ่ายจากบนเครื่องบินเหนือภูเขาหิมาลายาประเทศทิเบต รูปนี้ดูเหมือนได้ถ่ายติดสิ่งแปลกประหลาดเข้ามาด้วย อยู่ [/FONT][FONT=&quot]2 จุดด้วยกัน หลังจากพิจารณาดูแล้วพบว่ามันเหมือนมังกร สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีนนั่นเอง ![/FONT] [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] อัน นี้เป็นรูปขยายใหญ่ขึ้นมาหน่อย ดูรายละเอียดชัดเจนขึ้น โดยจากรูปจะเห็นได้ว่ามีสิ่งที่ออกจะคล้ายลำตัวของเลื้อยคลาน ลำตัวด้านบนจะมองเหมือนลักษณะท้องของสัตว์ประเภทงู ซึ่งมองดูคล้ายลำตัวเป็นปล้องและมีเกล็ดปกคลุมอยู่ด้านบน ส่วนลำตัวทางด้านล่างจะเห็นค่อนข้างชัดว่ามีลักษณะคล้ายครีบอยู่กลางลำตัว ทั้งสองสิ่งนั้นดูเหมือนส่วนปลายหางมากกว่าจะเป็นส่วนหัว[/FONT]
    [FONT=&quot] นับเป็นเรื่องแปลกดีอีกเรื่องนึงครับ เอามาให้ชมกันเล่นๆ อย่าไปคิดมากว่ามันจะมีจริงหรือไม่จริง ที่จริงอาจจะเป็นแค่รอยอะไรซักอย่างที่ภูเขา หรือาจจะเป็นกลุ่มเมฆหมอกอะไรสักอย่างก็เป็นได้ แต่ถ้ามีจริง ผมว่าน่ากลัวนะครับ เพราะวันใดวันหนึ่งมันอาจไปในเมืองและทำลายเมืองให้พินาศก็ว่าได้ใครจะไปรู้[/FONT]

    [FONT=&quot] นอกจากนั้นก็มีซากของมังกร ผมไม่มีรูปให้ดูหรอกครับ แต่ผมดูแล้วมันงูมีเขาชัดๆ แต่รูปร่างมันเหมือนมังกรเท่านั้นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot] นอกจากนั้นก็มีปลามังกร ม้าน้ำมังกร ฯลฯ[/FONT]
    [FONT=&quot] และที่ขาดได้คือกระดูกมังกร ซึ่งมังกรจริง ๆ ในปัจจุบันก็คือซากของไดโนเสาร์ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งกลายเป็นหินนั้นเอง แต่ฮิตที่สุดคือไข่มังกร โดยไข่ไดโนเสาร์ถูกค้นพบในหลายพื้นที่ในระเทศจีน ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีไดโนเสาร์มากที่สุดในโลกในสมัยโบราณใช้ในการประกอบเป็นยา สมุนไพร เรียกกันว่า "ยากระดูกมังกร" ส่วนไข่ของมังกรจีนนั้นในสมัยเฉียนหลง ถือเอาไข่มังกรจีนเป็นเครื่องรางประจำราชสำนักภายในพระราชวังปักกิ่ง แต่ต่อมาเมื่อพระราชวังปักกิ่งแตก ไข่มังกรจีนก็ตกทอดมาจากประเทศจีนมาอยู่ที่ประเทศไทย [/FONT]
    [FONT=&quot]ซึ่ง ไข่มังกรที่ตกทอดมาอยู่ภายในประเทศไทยนั้น มีตำนานเล่าขานกันมาแต่โบราณว่า เมื่อคณะทูตหรือคณะผู้แทนจากประเทศจีนใช้เรือไฮจี่โดยการนำของ ยังชีขี มีผู้ติดตามมาด้วยจำนวน 449 คน มีทหารประจำเรือ 279 คน เพื่อขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต เมื่อเวลาบ่ายโมงของวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 โดยมีพระยาบริบูรณโกษากรเข้าเฝ้าฯ และมอบหมายให้พระยาบริบูรณโกษากร หรือ ฮวด โชติกะพุกกณะ หรือเจ้าคุณกิมจึ๋ง เป็นผู้จัดการประสานงาน และเลี้ยงต้อนรับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5[/FONT]
    [FONT=&quot] ตามลักษณะของไข่มังกรที่สืบทอดกันมาเป็นตำนานนั้น มีลักษณะคล้ายกับลูกแก้วหินผลึกคล้ายคลึงกับลูกแก้วของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำ ทะเลจืดของประเทศไทยแต่ถูกตกแต่งด้วยการเลี่ยมและห่อหุ้มคล้ายกับห่อด้วย แก้วนั่นเอง ทำให้เรื่องของไข่มังกรจีนกลายเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันพอสมควรในสมัยนั้น[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่ ถ้าในสมัยก่อนมีสัตว์ยักษ์ขนาดมหึมาบินว่อนไปร่อนมาบนท้องฟ้าเที่ยวแยก เขี้ยวคำรามไล่พ่นไฟเผาผลาญเมืองจริง ทำไมเราไม่เห็นตัวมันละ ปัจจุบันมันหายไปไหน ทำไมไม่พบซากมัน ฯลฯ ถ้าพูด ตามหลักเชิงชีววิทยามันอาจเป็นเรื่องยากลำบากเพราะเราไม่สามารถอธิบาย หลายอย่าง เช่น อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้มังกรบินได้ พ่นไฟได้หรือแม้แต่คุณสมบัติพิเศษของเลือดมังกรที่ใครได้อาบได้กินแล้วจะส่ง ผลพิเศษตามมาอีกร้อยแปดครับ[/FONT]

    [FONT=&quot] มาถึงตอนนี้ตรงนั้นลองมาใช้สมมุติฐานทางชีววิทยาอย่างง่ายๆกันดูไหมล่ะครับว่าเจ้ามังกรนี่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจริงในโลกใบนี้[/FONT]

    [FONT=&quot]มังกรมีวิวัฒนาการมาอย่างไร[/FONT][FONT=&quot]?[/FONT]
    [FONT=&quot]นั้นสิ สัตว์ทุกชนิดบนโลกล้วนมีวิวัฒนาการมาทั้งนั้น (ยกเว้นแมงสาปมั้ง[/FONT][FONT=&quot]?) แล้วมังกรละสัตว์ขนาดใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีรายงานการวิวัฒนาการของมังกรชนิด หรือว่ามังกรวิวัฒนการจากไดโนเสาร์เรอะ แล้วมันก้าวกระโดดกลายเป็นสัตว์ยักษ์บินได้ตอนไหน?[/FONT]

    [FONT=&quot]ทำไมมังกรแต่ละตัวล้วนมีขนาดมหึมา แต่เจ้าสัตว์มหึมานี้มันบินขึ้นได้อย่างไรโดยที่น้ำหนักตัวมหาศาลของมันไม่เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย[/FONT][FONT=&quot]?[/FONT]
    [FONT=&quot][​IMG]
    ปวดหัวจังแฮะคำถามนี้แต่ก็ไม่น่าจะยากหากเราเปรียบเทียบกับสัตว์ปีกชนิด อื่นๆบนโลกนี้(อย่าลืมนะครับเราตั้งอยู่บนทฤษฎีที่ว่า มังกรเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งไม่ใช่เทพมังกรหรือปีศาจมังกรอย่างในนิทาน)ซึ่ง ข้อมูลที่ได้มามันก็บอกอะไรเราหลายๆอย่างทีเดียว เป็นต้นว่าในทุกๆหนึ่งตารางเซนติเมตรของปีกของห่านแคนาดามันสามารถยกน้ำหนัก ตัวมันเองได้สองกรัมทำนองเดียวกันกับปีกนกนางแอ่นซึ่งยกได้132กรัมนอกจากพวก นกแล้วความรู้ทางชีววิทยายังบอกเราอีกว่าแมลงภู่ยกได้1[/FONT][FONT=&quot],125กรัม ในกรณีของนกแก้วข้อแตกต่างก็คือลักษณะพิเศษของขนปีกซึ่งอากาศไหลผ่านจากปีก ส่วนบนลงสู่ส่วนล่างทำให้เกิดความแตกต่างของความดันอากาศขึ้น โอ...ตามทฤษฎีการสร้างเครื่องบินเลยนะเนี่ยคุณนกแก้ว[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ ก็คงจะตลกถ้ามังกรดันมีปีกที่มีขนเหมือนนกงั้นเราก็มาเปรียบเทียบกับแมลงภู่ ดูหากว่าปีกของมังกรมีประสิทธิภาพเฉกเช่นปีกแมลงภู่แล้ว มันจะต้องใช้พื้นที่ปีก720ตารางเมตรเพื่อที่จะยกน้ำหนักตัวขนาดเก้าพัน กิโลกรัมให้ทะยานขึ้นบนอากาศซึ่งปีกลักษณะนี้จะต้องมีความยาวจากปลายด้าน หนึ่งถึงอีกด้านหนึ่งราว150เมตรแน่ล่ะว่านอกจากสัตว์ประหลาดในเรื่อง อุลตร้าแมนแล้วไม่มีสัตว์ชนิดใดจะเป็นได้ขนาดนี้ดังนั้นตัดประเด็นนี้ทิ้งไป ได้เลยครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ว่ามังกรมันดันบินได้แถมไม่ได้เพียงแค่ถลาไปเหมือนเทอราโนดอน(ไดโนเสาร์ที่มีปีกเป็นพังผืดน่าจะเคยเห็นกันใน[/FONT][FONT=&quot]Jurassic Park)หรือ ด้วยอิทธิพลแบบคลื่นอัลเบอร์ทอสมังกรบินได้จริงๆอย่างมีประสิทธิภาพและรวด เร็ว จากตำนานต่างๆมังกรสามารถบินข้ามมหาสมุทรได้ภายในเวลาไม่กี่วัน เอาล่ะครับตำนานนั้นอาจเชื่อได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะความเก่าที่เล่าสืบทอด กันมาอาจทำให้รายละเอียดผิดเพี้ยนไปบ้าง เราลองมาคิดกันอย่างมีเหตุและผลดูเอาเป็นว่าลองลดขนาดปีกของมังกรลงมาเหลือ ยาวราวสัก6เมตรซึ่งหมายความว่าจากปลายปีกอีกด้านถึงด้านจะยาว12เมตร(ก็ยังคง ตัวมหึมาอยู่) ตามหลักกลศาสตร์มันก็ยังคงบินไม่ขึ้นนั่นแหละเพราะพื้นที่ของปีกหรือแรงยก ที่จะทำได้จะเพิ่มในลักษณะของกำลังสองในขณะที่มวลเพิ่มในลักษณะของกำลังสาม ขนาดยิ่งเล็กลงโอกาสที่จะบินได้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นถึงแม้ว่าเราจะสมมุติให้ มังกรมีปีกที่มีประสิทธิภาพที่สุดในบรรดาสัตว์ที่เรารู้จักกันปีกของมันก็ ยังจะทรงพลังจนเหลือเชื่ออยู่ดี เอ๊ะแบบนี้ก็เหลือทางเดียวสิครับที่มังกรจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้โดยไม่อาศัย พลังปีก[/FONT]
    [FONT=&quot]ทางเดียวที่ว่านั้นก็คือมังกรมีน้ำหนักหรือมวลที่น้อยมากไงครับ...[/FONT]
    [FONT=&quot]เป็น ไปได้ไหมว่าเราคลำทางมาผิด และตั้งสมมติฐานผิดๆเกี่ยวกับมังกรเราไม่ควรที่จะถามว่าทำไมสัตว์ที่มีขนาด มหึมาอย่างมังกรจึงบินได้แต่เราควรที่จะถามว่าทำไมสัตว์ที่มีความจำเป็นตาม ธรรมชาติที่จะต้องบินอย่างมังกรนั้นจึงได้วิวัฒนาการจนมีขนาดใหญ่โตเกินความ จำเป็นเช่นนี้การสืบพันธุ์และการร่วงหล่นของมังกรก็เป็นประเด็นหนึ่งที่น่า สนใจและควรจะเก็บมาขบคิดกัน เป็นไปได้ไหมว่ามังกรไม่จำเป็นต้องมีปีกตลอดเวลามันอาจจะมีปีกเฉพาะช่วงเวลา ที่ต้องบินออกมาหาคู่เหมือนกับแมลงบางชนิด เช่นแมลงเม่าปลวก เป็นต้นและสิ่งหนึ่งที่จะเอามาเปรียบเทียบได้กับมังกรและจะช่วยคลี่คลาย ปัญหาของการบินของมังกรได้เป็นอย่างดีสิ่งนั้นคือเรือเหาะของเยอรมันในสมัย สงครามโลกนั่นเองภาพของฮินเดนเบอร์กตอนระเบิดกลางอากาศก๊าซและเชื้อเพลิงลุก ไหม้ส่งผลให้โครงเรือแทบกลายเป็นจุลนั้นได้จุดประกายอะไรให้กับท่านไหมครับ ..ใช่แล้ว!![/FONT]
    [FONT=&quot]#มังกรบินได้เพราะลำตัวของมันกลวงและเต็มไปด้วยก๊าซที่เบากว่าอากาศ[/FONT]
    [FONT=&quot]#มังกรจำเป็นต้องมีขนาดใหญ่เพราะจะได้เก็บก๊าซได้ปริมาณมากพอที่จะยกตัวมันให้ลอยขึ้นสู่อากาศ[/FONT]
    [FONT=&quot]# ...และสุดท้ายมังกรจำเป็นต้องพ่นไฟเพราะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอำนวยความสะดวกในการบินที่แปลกประหลาดของมัน[/FONT]
    [FONT=&quot]ที นี้ปัญหาของ"ปีกมังกร" รารู้แล้วว่ามังกรไม่ได้ใช้ปีกในการพยุงร่างอันมหึมาของมันขึ้นสู่บนอากาศ หากแต่ใช้เพื่อบังคับทิศทางและใช้เป็นเกราะเพื่อป้องกันตนเองและถ้ามองมังกร อย่างเผินเวลาอยู่บนพื้นเราก็อาจไม่เห็นปีกของมันทำนองเดียวกับสัตว์จำพวก แมลงเต่าทองเวลาหุบปีกนั่นเอง[/FONT]

    [FONT=&quot]แล้วไฟของมังกรล่ะ[/FONT][FONT=&quot]?มี ปัญหาเหลือเกินว่าทำไมมังกรจึงมักพ่นไฟเป็นเปลวอยู่ในช่วงสั้นๆของจมูกมัน เท่านั้นเองทำไมจึงไม่พ่นออกมาเป็นเปลวเพลิงเหมือนก็อดซิลล่า?[/FONT]
    [FONT=&quot][​IMG]
    คำตอบก็อยู่ที่พฤติกรรมของพวกมังกรล่ะครับ อย่างที่ขาเกมส์[/FONT][FONT=&quot]RPGรู้ กันว่ามังกรมักจะอยู่ในถ้ำมันจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมปริมาณอากาศจากกระบวน การทางชีววิทยาของมันแน่ล่ะว่าขีดจำกัดในการควบคุมย่อมต้องมีแน่นอนและน้องๆ นักศึกษาที่เรียนเคมีกับชีววิทยากันมาแล้วก็คงจะตอบได้ดีว่ากระบวนการดัง กล่าวของเจ้ามังกรนั้นก็คือกระบวนการสันดาปก๊าซ"ฮโดรเยนกับออกซิเยนนั่นเอง ครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]เอ... แล้วไฮโดรเจนนี้มันมาจากไหนกันนะ ไม่เห็นยากครับกลไกทางธรรมชาติมากมายมักสร้างที่ไปที่มาที่พวกเราคาดไม่ถึง กันอยู่เสมอๆลองนึกตัวอย่างของปลาไหลไฟฟ้าที่มีเซลที่สามารถประจุไฟฟ้าได้ ปริมาณมหาศาลเจ้ามังกรก็อาจมีอวัยวะบางชนิดที่สามารถแยกไฮโดรเยนออกจากสาร อาหารหรือน้ำด้วยวิธีทางชีวเคมีและทำให้มันรวมกับออกซิเยนในตอนมันหายใจก็ เป็นได้ไม่ว่ากระบวนการดังกล่าวจะเป็นยังงก็ตาม(ก็ไม่รู้นี่นา...)มันทำให้ มังกรหายใจเป็นเปลวเพลิงได้เพราะมันจำเป็นต้องทำแบบนั้นเปลวเพลิงใช้ ประโยชน์ได้มากมาย เช่นใช้พ่นเป็นอาวุธใช้ดึงดูดเพศตรงข้ามทำนองเดียวกับแพนหางของนกยูงแถมยัง ช่วยในการบินซึ่งผมจะขออธิบายในตอนหลังว่ากันง่ายๆก็คือตราบใดที่ตัวมังกร ยังมีไฮโดรเยนมากพอ มันก็สามารถอยู่ในถ้ำและพ่นไฟได้อย่างสนุกสนานสบายมากและคงเป็นเพราะในถ้ำ นั้นมืดมังกรก็เลยต้องพ่นลมหายใจเป็นไฟเพื่อส่องสว่างด้วยล่ะมั้งก็อย่างที่ กล่าวไว้ในตำนานนั่นล่ะครับพวกวีรบุรุษต่างๆมักจะเข้าไปในถ้ำที่มีเปลวและ ควันไฟพวยพุ่งออกมาเจออาการนี้เมื่อไหร่ก็อนุมานได้เลยว่า ในนั้นต้องมีมังกรอาศัยอยู่ภายในอย่างแน่นอนไฟคือสัญลักษณ์ที่แท้จริงของ มังกรครับ เพราะไม่ว่าชีวิตจะวิวัฒนาการไปในรูปแบบใดธรรมชาติก็มีเหตุผลมารองรับการ วิวัฒน์นั้นๆเสมอ[/FONT]
    [FONT=&quot]ผม ได้กล่าวมาแล้วว่าการที่มังกรสามารถบินได้นั้นเพราะมันสามารถทำตัวให้เบา กว่าอากาศได้ดังนั้นมันจึงต้องการที่ว่างขนาดใหญ่มากจนเกือบจะเท่าตัวมัน ทั้งหมดเพื่อที่จะบรรจุก๊าซที่เบากว่าอากาศเอาไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงพยุงตัวแบบเรือเหาะว่ากันถึงก๊าซที่เบากว่าอากาศนักเรียน เคมีอาจจะตอบได้ว่าฮีเลียมน่าจะเหมาะที่สุดทว่าในความเป็นจริงนะครับ ฮีเลียมมีปริมาณตามธรรมชาติน้อยมากแถมแทบจะไม่มีบทบาทใดๆต่อสิ่งมีชีวิตเลย ไฮโดรเยนจึงนับว่าเหมาะที่สุดซึ่งนอกจากจะมีปริมาณตามธรรมชาติมากแล้วมันยัง เบาและลุกไหม้อย่างรุนแรงได้เมื่อรวมกับออกซิเยนสารประกอบบางรูปของมันมี อยู่ทั่วไปในระบบย่อยอาหารของสัตว์แม้แต่มนุษย์นั้นคือกรดไฮโดรคลอริกนั่น เอง[/FONT]
    [FONT=&quot]ปฏิกิริยา ชีวเคมีนี้จะต้องมีขั้นตอนอันสลับซับซ้อนมากมายตลอดจนสารประกอบอีกหลายอย่าง ที่จะนำมาสู่กระบวนการสันดาปของมังกรนี่ล่ะมั้งครับที่ทำให้ลมหายใจของมังกร มีกลิ่นเหม็นและฉุนเฉียวนอกจากความสลับซับซ้อนดังกล่าวอีกสิ่งหนึ่งที่เรา สามารถอนุมานเกี่ยวกับมังกรได้ก็คือโครงสร้างส่วนใหญ่ของร่างกายมันจะต้องมี ห้องมากมายสำหรับเก็บก๊าซไฮโดรเยนนั่นล่ะครับคือจุดอ่อนตามธรรมชาติของสัตว์ ยักษ์เหล่านี้ลองคิดกันง่ายๆหากมันโดนดาบหรือไม่จิ้มฉึกทะลุเข้าช่องท้องสู่ ห้องเหล่านี้สิ่งที่ตามมาก็คือกรดไฮโดรคลอริกจะทะลักออกมาทำปฏิกิริยากับทุก สิ่งที่สัมผัสกับมันไม่ว่าจะเป็นดาบ มือที่จับดาบ หรือแม้แต่ผิวหนังของมังกรเองก็ตามโดนเข้าอย่างนี้ต่อให้เป็นโคตรมังกรก็ สิ้นฤทธิ์ครับ มันจะบินไม่ได้พ่นไฟก็ไม่ได้มีอากาศเหมือนลูกโป่งหรือบอลลูนที่ถูกเจาะทะลุ โครงสร้างที่เบาบางของมันจะยุบสลายโดยสิ้นเชิงคงนึกภาพออกนะครับว่าเมื่อ มังกรตาย(ไม่ว่าจะแก่ตายหรือโดนดาบเอ็กซ์คาร์ลิเบอร์จิ้มตายก็ตาม)มันจะสลาย ตัวไปในเวลาไม่นานนักซึ่งค้านกันเอามากๆกับรูปร่างของมันนี่เองจึงเป็น เหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงไม่พบกระดูก เศษซากหรือว่าฟอสซิลของมังกรเลยเชื่อได้เลยว่ามังกรต้องวิวัฒนาการมาจาก สัตว์ประเภทไดโนเสาร์เพราะรูปร่างหน้าตามันก็บอกอยู่แล้วเชื่อว่าในตัวมังกร จะต้องมีเยื่อเมือกตามธรรมชาติไว้คอยป้องกันกรดไฮโดรคลอริกเพื่อไม่ให้กัด กร่อนเนื้อเยื่ออื่นๆและกรดจะถูกหลั่งออกมาจากต่อมในตัวมันเพื่อใช้ในกระบวน การชีวเคมีของมังกรช่องว่างต่างๆในตัวมังกรจะถูกกั้นด้วยเยื่อและอวัยวะที่ มีหน้าที่เหมือนลิ้นเปิดปิดโดยอาศัยแรงดึงของเนื้อเยื่อและจะทำให้การส่ง ผ่านก๊าซเป็นไปอย่างสมดุลย์ตลอดทั้งร่างของมังกรเนื้อเยื่อเหล่านี้จะมี หน้าที่สำคัญอื่นๆอีกกล่าวคือในสภาวะปกติความดันต่างๆจะอยู่ในภาวะที่ปกติพอ ควรที่จะทำให้มังกรเดินต้วมเตี้ยมไปมาบนพื้นดินได้ไม่ลอยไปมาเหมือนลูกโป่ง เมื่อมังกรต้องการจะบินเนื้อเยื่อของมันจะขยายตัวทำให้ปริมาตรของตัวช่อง เก็บก๊าซเพิ่มขึ้นในขณะที่มวลของก๊าซคงเดิมสิ่งที่ตามมาก็คือความดันลดลง (ลืมกันไปหมดหรือยังนะ[/FONT][FONT=&quot]PV = nRT ,เมื่อVเพิ่มPก็ย่อมลดลงเป็นธรรมดา)[/FONT]
    [FONT=&quot]พูด ถึงการเพิ่มปริมาตรในช่องอากาศของมังกรผมขอร้องอย่าให้ทุกคนนึกถึงมังกรพอง ลมในลักษณะของปลาปักเป้าแบบนั้นมันดูน่าเกลียดมากสำหรับสัตว์ที่สง่า งามอย่างมังกร(ถึงแม้ว่าตำราโบราณของจีนจะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงขนาดของ มังกรในลักษณะนี้ก็เหอะ)เพราะการหดตัวของเนื้อเยื่อโดยการควบคุมกล้ามเนื้อ ก็ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวเข้าสู่บริเวณครีบของมัน เห็นจากภาพทั่วๆไปไหมครับไม่ว่าจะมังกรหรืออะไรก็ตามพอมันบินแล้วครีบหลัง มันจะตั้งต่างกันกับตอนอยู่บนดินแถมครีบนี้ยังสามารถป้องกันตัวได้อีก นับว่าสารพัดประโยชน์ดีเหมือนกัน[/FONT]
    [FONT=&quot] ฟู่... ร่ายยาวมาจนเหนื่อย แต่ก็นับว่าคุ้มเพราะว่าด้วยแนวคิดนี้เราก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องการบินของ มังกรได้อย่างสมบูรณ์แบบเพราะถ้ามังกรต้องใช้ปีกในการพยุงตัวเพื่อบินจริงๆ มันก็ต้องมีกล้ามเนื้อที่มีพลังมหาศาลเกินกว่าธรรมชาติจะประทานให้ได้แต่ ด้วยวิธีการลอยตัวนี้มังกรจะสามารถบินได้อย่างไม่ยากเย็นนักปัญหาเรื่องการ บินที่จะตามมาอีกร้อยแปดพันเก้าก็เป็นอันพับทิ้งไปได้เลย[/FONT]

    [FONT=&quot] ทำไมเราไม่เห็นซากมังกรเลยละ ในเมื่อมันตายแล้วก็น่าจะเห็นกระดูกเห็นซากมันบ้าง[/FONT][FONT=&quot]?[/FONT]
    [FONT=&quot]
    ที นี้กลับมาว่าเรื่องของซากมังกรที่เราไม่เคยค้นพบกันใหม่ดีกว่าแม้ว่าจะด้วย กลไกทางชีววิทยาของมังกรจะทำให้เราไม่มีวันพบฟอสซิลของมันได้เลยในทำนอง เดียวกับที่นักชีววิทยาไม่เคยพบซากบรรพบุรุษของนกว่าลักษณะที่พวกมันเริ่ม หัดบินนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่และเป็นลักษณะอย่างไรแต่ด้วยขั้นตอนเดียวกัน เราสามารถอนุมานถึงการวิวัฒนาการทางการบินของมังกรได้ตามลำดับขั้นตอนที่ ชัดเจนตามสมควรดังนี้...[/FONT]
    [FONT=&quot]เริ่ม จากขนาดของมันก่อนนะครับเราทราบกันดีว่าพวกไดโนเสาร์ส่วนใหญ่จะมีขนาดที่ ใหญ่โตมากแต่สัตว์ในตระกูลนี้กลับวิวัฒนาการจนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆเพื่อความ อยู่รอดเพราะสัตว์ตัวเล็กย่อมคล่องแคล่วและต้องการปริมาณอาหารน้อยกว่าตัว ใหญ่ไดโนเสาร์รุ่นหลังๆจึงมีขนาดเล็กลงในขณะที่พวกตัวใหญ่ๆเริ่มพากันล้มหาย ตายจากไปตามกฏของธรรมชาติสำหรับตระกูลตัวใหญ่ที่จะดันทุรังมีชีวิตอยู่บนโลก ใบนี้โดยไม่ลดขนาดก็มีอยู่วิธีเดียวคือลดน้ำหนักตัวลงเพื่อเพิ่มความคล่อง แคล่วและสงวนพลังงานในการเคลื่อนไหวเอาล่ะครับเจ้ามังกรก็คงวิวัฒน์ตัว เองออกมาในทางเลือกที่สองนี้แถมยังมีโรงงานผลิตกก๊าซไฮโดรเยนในตัวเองอีก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์และกินเวลานานเอามากๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]ใน ช่วงวิวัฒนาการนี้บรรพบุรุษของมังกรก็ลดลงและสูญพันธุ์ไปในที่สุดเหลือเพียง ผลพวงของความเปลี่ยนแปลงเพื่อการอยู่รอดนั่นก็คือ...มังกรมันได้ละทิ้ง เครื่องประดับอันฟุ่มเฟือยเช่น หนอก เขา ต่างๆไปหมดแม้แต่กระดูกก็ยังวิวัฒน์ให้เป็นลักษณะกลวงพวกเกร็ดหนังหนาๆตาม ตัวที่เคยเป็นเหมือนเกราะบัดนี้ก็ได้หนักอึ้งเกินความจำเป็นพวกมันคงทิ้ง ส่วนนั้นไปอย่างไม่เสียดายเหลือไว้เฉพาะเขาที่เอาไว้ป้องกันส่วนหัวเท่านั้น เราสามารถทึกทักเอาได้อย่าสบายมากว่ามังกรใช้วิธีการเคลื่อนที่ด้วยการ กระโดดเหมือนจิงโจ้แทนที่จะเดิน(ไม่แปลกเลยครับเมื่อเทียบกับการเคลื่อนที่ ของพวกไดโนเสาร์กินเนื้ออย่างเวโลซี แรพเตอร์)ด้วยการทำรูปร่างให้เบาและการกระโดดก็ทำให้มังกรรุ่นหลังสามารถ กระโดดได้สูงขึ้น -น้ำหนักเบาลงจนกลายเป็นแทบจะบินได้ในลูกหลานของมังกรช่วงหลัง[/FONT]
    [FONT=&quot]มังกร ไม่มีปีกในหลายๆชาติเช่นจีนหรือนอร์สนั้นบินได้แท้ที่จริงมันอาจไม่ได้บิน แต่กำลังกระโดดอยู่เพียงแต่กระโดดสูงเสียจนคนเราคิดว่ามันกำลังบินอยู่และ เราก็ได้ข้อสรุปว่าพวกมันเป็นบรรพบุรุษของมังกรรุ่นที่มีปีก เอ๊ะ...แล้วทีนี้ปีกของมังกรจะมาจากไหนล่ะ[/FONT][FONT=&quot]?ง่ายๆ ครับพอกระโดดได้สูงขึ้นไกลขึ้นก็ต้องเริ่มหาอะไรมาช่วยบังคับทิศทางในการ เคลื่อนไหวธรรมชาติจึงสร้างปีกมังกรขึ้นมาช่วยในการควบคุมทิศทางเรื่องของ เรื่องก็เลยกลายเป็นแรกๆมังกรเคลื่อนที่ด้วยการกระโดดพอกระโดดเก่งเข้าก็เลย มีปีกเพื่อช่วยร่อนไปมาในอากาศเหมือเทอร์ราโนดอนหรือบรรพบุรุษของนกและพอ ร่อนเข้ามากๆก็เลยกลายเป็นบินได้ด้วยเองซะเลยสบายเขาล่ะ[/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วย ข้อจำกัดทั้งหลายทั้งปวงมังกรจึงไม่น่าเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งโดดเด่นอะไร ขึ้นมาได้(ยกเว้นรูปร่างซึ่งคงจะน่าเกรงขามอยู่เอาการ) แต่ก็น่ายกย่องพวกมังกรอยู่ที่มันสามารถวิวัฒนาการผ่านวิกฤตมาได้เหมือนกับ บรรพบุรุษของพวกนกด้วยขนาดที่ใหญ่โตเกินไปมังกรจึงจำเป็นต้องอยู่ในถ้ำแทน ที่จะอยู่ในป่าหรือที่ราบซึ่งเหยื่อและศัตรูสามารถมองเห็นได้ง่ายมังกรคง ซุ่มอยู่ในถ้ำหรือรอยแกยของหินผา คอยเวลาออกมาร่อนมากระโดดจับเหยื่อกินที่น่าสงสารก็คือ แม้พวกมันจะวิวัฒน์ผ่านวิกฤตเอาตัวรอดมาได้แต่ด้วยข้อจำกัดที่พวกมันีพวกมัน ก็คงดำรงเผ่าพันธุ์กันอยู่ได้ไม่นานหรอกครับไดโนเสาร์แห่งยุคกลางที่เอาตัว รอดและสืบเชื้อสายมาหลายล้านปีเหล่านี้ท้ายที่สุดก็พากันลดจำนวนลงไปตาม ธรรมชาติซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจะเหลืออยู่ไม่กี่ตัวที่ยังรอดรอเวลามาให้ วีรบุรุษเอาดาบมาเสียบพุงเล่นจนกลายเป็นตำนานเล่าขานกันมาถึงปัจจุบัน[/FONT]

    <style type="text/css">@font-face { font-family: "Angsana New"; }p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal { margin: 0cm 0cm 0.0001pt; font-size: 12pt; font-family: "Times New Roman"; }div.Section1 { page: Section1; }</style>


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 พฤศจิกายน 2010
  2. fernezzo

    fernezzo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +616
    เชื่อเถอะ มังกรมีจริงๆนะ ;D
     
  3. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +10,787
    วิเคราะห์ได้เยี่ยมเลยครับ
     
  4. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,436
    ภาพประกอบสวยงามมาก.........
     

แชร์หน้านี้

Loading...