ความลับหลังไม้กางเขน ( Behind the Cross )

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 19 กรกฎาคม 2008.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    โดย พันเอก Henry Steel Olcott
    และพระพลังโคทา อานันทะ ไมตรียา มหาเถระ ( ศรีลังกา)

    ใครคือโจเซฟในศาสนาคริสต์

    543 ปี หลังพระพุทธเจ้าบรมศาสดาแห่ง
    พระพุทธศาสนาทรงปรินิพาน ศาสนาคริสต์จึงได้ถือกำเนิดขึ้นบนพื้นพิภพนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป อันหมายรวมประเทศทั้งหลายในย่านอินเดียไปจนจดลุ่มน้ำไทกริส ยูเฟติส นั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีศาสนาใดในยุคนั้นได้รับความศรัทธาจากมหาชนเท่ากับพระพุทธศาสนา แม้แต่ศาสนาพราหมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนพุทธศาสนา ในยุคนั้นก็ไม่มีการบันทึกคำสอนใดเป็นหลักฐาน คงมีการบอกต่อกันด้วยปาก ( มุขปาฐะ) ทั้งสิ้น และสั่งสอนกันเฉพาะภายในตระกูลของพราหมณ์ มิได้แพร่หลายออกนอกโค-ต-ร-ตระกูลของตน คงมีแต่พระพุทธศาสนาเท่านั้นที่แพร่หลาย ไร้วรรณะ เป็นศาสนาแรกของโลกที่ให้กำเนิดคำว่า
     
  2. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    พระราชาอะวีเนีย ได้สร้างพระราชวังที่สวยสง่างามขึ้นแห่งหนึ่งสำหรับเจ้าชายโจอาซาฟ และได้ว่าจ้างชายหนุ่มและสาวใช้รูปร่างหน้าตางดงามหลายร้อยคน ให้อยู่ร่วมกับเจ้าชายในพระราชวังแห่งนี้ โดยห้ามมิให้บุคคลผู้ใดจากภายนอก เข้าไปในพระราชวัง และห้ามมิให้มีการเอ่ยถึงถ้อยคำที่เศร้าโศกเกี่ยวกับความตาย ฯลฯ ให้เจ้าชายโจอาซาฟได้ยินเด็ดขาด พระราชาย่อมสั่งให้เขาเหล่านั้นพูดแต่สิ่งที่เกี่ยวกับความสนุกสนานสำราญเบิกบานใจเท่านั้น

    โดยการอาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งนั้น เจ้าชายได้กลายเป็นผู้เชี่-ย-วชาญในศิลปวิทยาการทั้งหลายของอินเดีย และอาหรับ เมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม เจ้าชายโจอาซาฟได้ตรัสถามผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ว่า ทำไมพระราชบิดาของพระองค์จึงจำกัดให้พระองค์อยู่แต่ในเฉพาะแต่ในเขตพระราชวังเท่านั้น พวกมหาดเล็กทั้งหลายจึงได้กราบทูลเรื่องที่โหราจารย์ทำนายไว้ให้เจ้าชายโจอาซาฟได้ทรงทราบ

    หลังจากนั้น ในโอกาสหนึ่งเจ้าชายโจอาซาฟจึงได้ทูลถามพระราชบิดาของพระองค์ว่า ทำไมพระองค์จึงถูกจำกัดให้อยู่แต่ในพระราชวัง พระราชาจึงตอบเจ้าชายโจอาซาฟว่า พระองค์ทำเช่นนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าชายจะต้องพบกับความทุกข์ เจ้าชายจึงกราบทูลถามพระราชบิดาว่า ตัวความทุกข์นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ? พระราชาก็ไม่อาจที่จะอธิบายเปรียบเทียบลักษณะตัวทุกข์ กับสิ่งที่เจ้าชายเห็นเฉพาะในปราสาทได้ เจ้าชายโจอาซาฟจึงกราบทูลขออนุญาตขอออกไปท่องเที่ยวชมภูมิประเทศข้างนอกปราสาทของพระองค์ พระราชาทรงอนุญาตและจัดเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเดินทางให้ พร้อมนั้นได้ทรงสั่งการให้มหาดเล็กทั้งหลายให้พาเจ้าชายไปในสถานที่ซึ่งมีแต่ความเจริญตาเจริญใจเท่านั้น ห้ามไม่ให้พาไปให้เห็นกับสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย


    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]"สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับทุก ๆ คน หรือว่าเกิดขึ้นกับมนุษย์บางคนเท่านั้น " เจ้าชายถาม พวกมหาดเล็กตอบว่า วันใดวันหนึ่งก็ต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน. "เราสามารถกำจัดเหตุการณ์อย่างนี้ให้หมดไปได้หรือไม่ ?"เจ้าชายโจอาซาฟถาม "เป็นไปไม่ได้" นี้คือคำตอบของมหาดเล็กทั้งหลาย ทำให้เจ้าชายโจอาซาฟรู้สึกเศร้าใจมากสำหรับคำตอบนี้ จึงได้เสด็จกลับไปยังพระราชวังอย่างเงียบเหงา และได้เริ่มคิดถึงความตายและจุดหมายปลายทางหลังความตาย เจ้าชายโจอาซาฟได้ตรัสถามครูผู้สอนของพระองค์ในพระราชวังว่า " มีใครรู้บ้างไหมว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายหลังความตาย" ครูต่างตอบว่า ผู้ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ได้ถูกพระบิดาของพระองค์ขับไล่ออกไปจากเมืองหมดแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟจึงกลายเป็นผู้ที่กระวนกระวายใจไม่มีความสุขเพราะคำตอบนี้ พระองค์ได้เข้าใจแล้วว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยากทั้งหลายและพระองค์กลายเป็นผู้ที่ถูกครอบครองด้วยความทุกข์ระทมใจ

    ด้วยความเมตตาสงสารของเทวดา จึงให้นักบวชผู้หนึ่งมาหาเจ้าชายโจอาซาฟ นักบวชผู้นี้เป็นผู้ที่มีบุญคุณยิ่งใหญ่ อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งหนึ่งในศรีอินเดีย เขามีชื่อว่า "วาร์ลัม(Varlam)" ซึ่งใช้ชีวิตในลักษณะของพ่อค้า เขาได้มาถึงศรีอินเดียโดยทางเรือและได้บอกกับมหาดเล็กของพระราชาว่า เขามีอัญมณีซึ่งมีฤทธิ์ที่สามารถจะรักษาคนตาบอด หูหนวก และเป็นใบ้ให้หายได้ เขาอยากจะมอบให้กับเจ้าชายโจอาซาฟเป็นการส่วนพระองค์ เขาได้ทำให้พระราชาพอพระทัย ดังนั้นจึงได้รับพระราชานุญาตให้ได้เข้าเฝ้าเจ้าชายโจอาซาฟได้ เมื่อ "นักบวชวาร์ลัม"ได้เข้าพบเจ้าชายเขาได้บรรยายให้เจ้าชายฟัง ทุก ๆ ครั้ง และบ่อยขึ้น จนกระทั่งเจ้าชายโจอาซาฟเกิดความมั่นใจในพระองค์เอง วันหนึ่งเจ้าชายกล่าวว่า พระองค์จะเสด็จไปที่ป่าแห่งหนึ่งที่พระองค์ได้เคยไปมาก่อนแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟจึงได้เสด็จหนีออกจากพระราชวังไป พร้อมกับนักบวชผู้นั้น โดยได้ขอแลกเปลี่ยนเครื่องทรงของพระองค์กับเครื่องนุ่งห่มกับนักบวชนั้น แล้วพระองค์ก็ได้แต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่มของนักบวชนั้นซึ่งได้จากพระองค์ไป
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]วันหนึ่งขณะที่เจ้าชายโจอาซาฟกำลังทำสมาธิอยู่อย่างติดต่อกันนั้น พระองค์ได้มองเห็นสวรรค์ในสมาธิ พระองค์ได้ยินเสียงกล่าวว่า "ที่นั้นเป็นสถานที่สำหรับผู้ที่มีคุณงามความดีอาศัย"

    สี่สิบวันหลังจากที่เจ้าชายโจอาซาฟหนีออกจากพระราชวัง พระราชาอะวีเนียก็สิ้นพระชนม์ เจ้าชายโจอาซาฟได้ทราบข่าวก็ทรงเสด็จกลับมาภายใต้เครื่องนุ่งห่มของนักบวช และได้ทำหนังสือมอบอำนาจ ยกราชสมบัติและราชบัลลังค์ให้อยู่ในความดูแลของเหล่าอำมาตย์ของพระองค์

    เจ้าชายโจอาซาฟได้สละโลก และสมบัติโดยสิ้นเชิงโดยการออกบวชแล้ว ขณะที่อยู่ในป่า พระองค์ได้ทรงได้ใช้เวลาไปในการทรมานตนด้วยความทุกข์(อาจแปลได้ว่า "ทุกขรกิริยา"...ผู้เรียบเรียง) จนกระทั่งพลังจิตของพระองค์ได้สูงขึ้น พระองค์ได้เห็นภาพนิมิตอันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ในระยะช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน เจ้าชายโจอาซาฟได้ขึ้นไปท่องเที่ยวยังเมืองสวรรค์ที่พระองค์ทรงเห็นมาก่อนนิมิตในสมาธิ เทพธิดาสององค์ ได้ถวายพวงมาลัยที่ทรงคุณค่าสองพวงให้กับพระองค์ เจ้าชายโจอาซาฟถามว่านี้คืออะไร เทพธิดาทั้งสองจึงตอบว่า พวงมาลัยนี้เป็นของเฉพาะสำหรับพระองค์เท่านั้น "พวงหนึ่งสำหรับปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง อีกพวงหนึ่งสำหรับท่านเพื่อบรรลุหนทางอันนำไปสู่การสละความสุขทางโลก เพื่อบรรลุถึงภาวะสูงสุดเหนือโลก" เทพธิดาทั้งสองกล่าว........"

    ข้อความดังกล่าวที่ยกมาให้ได้ศึกษานี้ได้นำมาจากคัมภีร์โบราณแห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิกเซ้นท์ ชื่อว่า "เจตสิก มิเนอิ( Cheixi Minei)" หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ "เบอร์ลัม(Burlam)" ซึ่งได้กล่าวถึงประวัติของโจอาซาฟ(Joasaphat) หรือ โจซาฟัต(Josaphat) ในคัมภีร์นี้มีบทมนต์ที่ใช้เจ้าชายใช้ท่องภาวนาว่า "ขอให้ จิต(Soul)ของเราจงหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย.."
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]เมื่อท่านได้อ่านอย่างพิจารณาแล้วคงมีความสงสัยเช่นกันว่า ศาสนิกคริสต์ คาทอลิกในยุคโบราณซึ่งผู้ที่เขียนจารึกไว้ในคัมภีร์นี้เป็นใคร ? แต่ย่อมต้องไม่มีจิตใจที่ไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใด

    และเขาผู้จารึกคัมภีร์นี้ย่อมรู้อยู่ว่าพวกเขาสวดมนต์ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเจ้าชายโจอาซาฟ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์นั้นหากพิจารณาด้วยความยุติธรรม ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    นักวิชาการผู้แสวงหาความจริงทั้งหลายของโลก ซึ่งได้ค้นคว้าหาความจริงของเรื่องนี้ ต่างพากันยอมรับความจริงแล้วว่า ชีวประวัติของพระโพธิสัตย์(Bodhi-Satta) ซึ่งได้เล่าถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนานโดยอาศัยปากต่อปาก(มุขปาฐะ) เป็นไปได้อาจมีการเพี้ยนไปจากรูปแบบเดิมบ้าง แต่ก็มีความบิดเบือนไปเพียงเล็กน้อยในรูปแบบ และได้ถูก "คริสต์ คาทอลิก" หยิบเข้ามาใส่ในคัมภีร์นี้จนทำให้กลายมาเป็นชีวประวัติของคริสต์ คาทอลิกเซ้นท์ผู้หนึ่ง โดยการปรับเปลี่ยนชื่อและเนื้อหาไปจากเดิม
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  3. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ทางประวัติศาสตร์หรือทางโบราณคดี ที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมว่า มีพระราชาที่อาศัยอยู่ในประเทศอินเดียและมีพระนามว่า "อะวีเนียร์" (Avinir) แต่ทั้งนี้ก็มิได้เหนือบ่ากว่าแรง และความอุตสาหะของนักภาษาศาสตร์ที่จะสามารถค้นหารากของภาษา(Root)เดิมนั้นได้ เพราะคำว่า อะวีเนียร์"AVINIA" เป็นคำที่มาจากรากศัพท์เดิมว่า "อะวีนิชา(AVENESHA)" ซึ่งแปลว่า "มหาราชา"(อินเดียเรียกพระราชาแคว้นว่า "มหาราชา"...ผู้เรียบเรียง) จึงยืนยันได้ว่าคำว่า "อะวีเนียร์" จึงเป็นคำเดียวกันกับคำว่า "มหาราชา" นั่นเอง

    ต่อมาคือคำที่ใช้เรียกเจ้าชาย "โจอาอาฟ" นั้นมาจากที่ใดและมีความหมายอะไร ? สำหรับการดำเนินการส่วนนี้เป็นผลงานวิจัยของท่านโปรเฟสเซอร์ ริส เดวิด (Prof. Lead David) ผู้เชี่-ย-วชาญทางด้านภาษาโบราณ ท่านได้กล่าวว่าในภาษาบาลี คำว่า "โพธิสัตตา(Bodhisatta)" ได้ถูกเปลี่ยนเป็นภาษาปาร์ซี กลายเป็น "โวสัตตะ"(Vosatta) จากนั้นได้เปลี่ยนโดยชาวคริสต์มาเป็น "โยซาฟ(Yosaft)" แล้วจึงกลายมาเป็น "โจซาฟัต(Josaphat)" ในครั้งล่าสุด
    ยังมีหลักฐานและงานวิจัยของอีกหลายๆ ท่าน ที่สนับสนุน งานวิจัยเรื่อง ความลับหลังไม่กางเขน ของ พันเอก Henry Steel Olcott ตาม คห. ข้างต้น เช่น

    +++โปรเฟสเซอร์ วิน เต นิชเซ(Prof. Win Te Nitze) ได้พบว่า ชีวิตและเรื่องราวของ "เบอร์ลัม(Burlam)" และ "โจซาฟัต(Joasaphat)" ได้ถูกเขียนขึ้นโดยใช้ชีวประวัติของพระพุทธเจ้าศาสดาของพุทธศาสนาโดยใช้ "ภาษาเปห์เลวี(Pehlevi)" และเรื่องราวของพระพุทธเจ้าในพุทธประวัติได้ถูกดัดแปลงให้เป็น "เช้นท์โจอาซาฟ" เป็นคริสต์ คาทอลิก

    +++นักวิชาการโบราณคดี ศาตราจารย์ ปอล คารัส(Prof. Paul Carusl) และนักภาษาศาสตร์ โรห์ริค(Roehrick) และโปรเฟสเซอร์ ที เสตอร์ลิงก์ เบอร์รี่(Prof. T. Sterling Breey) ได้พบหลักฐานยืนยันได้ว่า "พระพุทธเจ้า" ได้ถูกนำมารวมไว้อยู่ในบัญชีรายชื่อของปิตาจารย์ทั้งหลายของคริสต์ คาทอลิก โดยการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่แล้วใช้เรียกในนามของ "โจเซฟ(Joseph)" หรือ "โจซาฟัต(Josaphat)" หรือ "โจอาซาฟ(Joasaphat)"

    +++ศาตราจารย์ ปอล คารัส(Prof. Paul Carusl) ได้พบจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ว่า "พระพุทธศาสนาได้เผยแพร่เข้าสู่ทวีปยุโรปตั้งแต่ครั้งโบราณก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเกิดขึ้นในโลก"

    +++Dr.Mahaffy ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นสิ่งก่อสร้างในลักษณะของ "ศาสนสถานในพุทธศาสนาที่กว้างใหญ่มีเนื้อที่หลายพันเฮคเตอร์ สามารถบรรจุคนได้เป็นจำนวนนับหมื่นพร้อมกับเครื่องใช้ของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา รวมทั้งศิลาจารึกพระสูตร ที่มีอายุก่อนคริสกาลถึง 400 ปี"

    รวมทั้งได้ค้นพบพุทธศาสนสถานที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มีอายุน้อยกว่านั้น คือประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์กาล ซึ่งอยู่ในสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช จึงเป็นที่สามารถยืนยันได้ว่า พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองในดินแดนของประเทศซีเรีย ก่อนคริสต์ศาสนาจะอุบัติขึ้นอย่างแน่แท้ โดย และย้ำให้ต้องยอมรับความจริงทางประวัติศาสตร์ด้วยว่า "เยซู" นั้นเป็นชาวซีเรียคนหนึ่ง

    +++คณะวิจัยของ พ.ท. Henry และคณะโบราณคดีได้ขุดค้นพบหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนศาสตร์ที่ยืนยันความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนามีอยู่จริงในเมืองอะเล็กซานเดรียดินแดนอียิปต์ คือพุทธสถานและแท่งหินแกะสลักเป็นรูปพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาได้ถูกทำลายเสียหายชำรุดไปอย่างน่าเสียดาย โดยนักบวชโรมันคาธอลิค


    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ใน คห.ทั้งหมดที่ผ่านมา เป็นบทความที่ชี้ให้เห็นว่า พุทธศาสนาเกิดขึ้นก่อน คริสต์ศาสนา เพราะฉะนั้น คำสอนของคริสต์ศาสนาที่ว่า "พระเจ้าสร้างโลก" จึงถูกหักล้างลง ด้วยหลักฐานต่างๆ นาๆ ดังที่กล่าวมา และถูกหักล้างด้วยเหตุผลทางความคิดที่สอดคล้องกับหลักฐานข้างต้นว่า มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นก่อนคริสต์ศาสนาจะอุบัติขึ้น แล้วเช่นนี้พระเจ้าทางคริสต์ศาสนาจะเป็นผู้สร้างโลกได้อย่างไร?[/FONT]
    [/FONT]
     
  4. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    คณะวิจัยของ พ.ท. Henry ได้ค้นคว้าพบที่มาของการเรียกชื่อของราชโอรสแห่งกษัตริย์ศรีอินเดีย ซึ่งเรียกว่า โจอาซาฟ(Joasapht) นั้นได้มีการเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "คัมพัตตะมะ(Gambatama)" และความหมายของคำว่า "คัมพัตตะมะ" นี้ได้ไปปรากฏอยู่ในหนังสือโบราณ "ฟราวาดิน(Fravardin Yast)" ซึ่งได้เขียนไว้เป็นภาษาปาซีร์ ให้คำอธิบายความหมายในบทที่ 16 ว่า "คำว่าคัมพัตตะมะ(Gambatama) ในภาษาปาร์ซีนั้น จะมีความหมายเท่ากับคำว่า "กอดตะมะ(Godtama)" สามารถใช้เรียกสั้น ๆ ได้ในโดยคำว่า "ก๊อด(GOD)"

    ในปีค.ศ.786 นักโบราณคดี อัมดุลอาธาหิยา(abdul alhahiya) ได้พบจารึกในม้วนกระดาษปาปิรุส ในประเทศอียิปต์ ซึ่งมีอายุก่อนคริสต์ศักราชถึง 30 ปี ปรากฏข้อความที่เกี่ยวเนื่องกับคำว่า "ก๊อด(GOD)" ซึ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันที่มาของคำว่า "ก๊อด(God)" ได้ถูกใช้มาก่อนที่เยซูจะถือกำเนิดกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว

    ต่อมาดร.โกลด์ สิฮาห์(Dr.Gold Sihar)แห่งบูดาเปสท์ ได้ศึกษาม้วนปาปิรุส และหลักฐานประกอบต่าง ๆ ได้ยืนยันสอดคล้องกับคณะวิจัยของ พ.ท.เฮนรี่ ว่า "ตามข้อความในม้วนปาปิรุสที่อ้างถึงพระราชาซึ่งเรียกว่า ก๊อต(God) นั้นเป็นคำเรียกซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า "โคตะมะ" เมื่อออกเสียงสั้น ๆโดยสำเนียงท้องถิ่นจึงกลายมาเป็นคำว่า "ก๊อด(God)"

    ในปี ค.ศ.1926 ได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการประวัติศาสตร์โลก ที่เมืองลานาว(Laknow) ในงานนี้ โปรเฟสเซอร์ เมสรอฟบ์ ที.เซ๊ช (Prof. Mesrovb T. Seth) ได้นำเสนองานวิจัยค้นคว้าว่า "ในช่วงกลางศตวรรษที่สองก่อนคริสต์ศักราช มีศาสนาพุทธเข้ามาตั้งอยู่อย่างมั่นคงในอามาเนียร์ ต่อมาพวกคริสต์ คาทอลิกได้ทำลายวัดวาอารามของพวกชาวพุทธ และเข่นฆ่าฆ่าพวกพระทั้งหลาย ทำให้ชาวพุทธเหล่านี้จำเป็นต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนา
    คริสต์ แล้วผสมผสานกับชาวอาร์มาเนี่ยน......."



    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]คณะวิจัยของ พ.ท.เฮนรี่ ยังได้พบหลักฐานสำคัญที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเยซูคริสต์ นั้นเป็นลูกศิษย์ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่ได้ร่ำเรียนความรู้ของ "พระเจ้า" ตามที่ได้กล่าวอ้างโดยชาวคริสต์ไว้ในคัมภีร์ไบเบิล

    หลักฐานดังกล่าวนั้นคือผลงานวิจัยของ Dr. E. Maknob ที่ชื่อ "ชีวประวัติที่ไม่มีใครรู้ของพระคริสต์(The Unkown Life of Christ)" ซึ่งถูกแปลออกมาจากเอกสารหลักฐานโบราณที่ค้นพบที่วัดเฮมิส (Hemis Monastery) ที่เป็นวัดโบราณในธิเบต

    หลักฐานของ Dr.Maknob นี้ได้มาด้วยความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะบาทหลวงคริสต์โรมันคาธอลิคผู้หนึ่งมีความพยายามที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของหลักฐานชิ้นสำคัญนี้ โดยได้พยามปั้นเรื่องเท็จเพื่อกล่าวว่า "เขาได้เดินทางไปที่วัดในธิเบต ที่ซึ่งDr. Maknob ได้พบหลักฐานและเขาได้ถามหาเอกสารหลักฐานโบราณดังกล่าวจากพระลามะเจ้าอาวาส แต่ได้รับการปฏิเสธว่า เจ้าอาวาสไม่เคยพบและไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานดังกล่าวว่าเคยมีอยู่หรือเป็นสมบัติของวัดนี้มาก่อนเลย"

    แต่ต่อมาความเท็จดังกล่าวของ บาทหลวงโรมันคาธอลิค ก็ได้ถูกเปิดเผยขึ้นโดย โปรเฟสเซอร์ นิคเล่อร์ส โรห์ลิค(Pof. Nichlors Roehrick) ที่เดินทางไปยังวัดเฮมิส (Hemis Monastery) ตามที่ Dr. Maknob อ้างถึง และได้ใช้ชีวิตอยู่ในวัดนั้นหลายปี เพื่อใช้ความพยายามสุดความสามารถ จนกระทั่งได้เอกสารหลักฐานตัวจริง นั่นคือหลักฐานดังกล่าว ซึ่งได้เขียนลงบนเอกสารกระดาษสาอายุกว่า 1500 ปี โดยได้ถูกเขียนไว้เป็นภาษาธิเบต

    ข้อความที่ปรากฏในเอกสารหลักฐานนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวของ "เยซู"ศาสดาของชาวคริสต์ ซึ่งในภาษาธิเบตเรียกว่า "อิสซา(Issa)" เนื้อหาทั้งสิ้นนั้นได้รับการจารึกโดยละเอียดนับตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเยซูตาย
    [/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โปรเฟสเซอร์ นิคเล่อร์ส โรห์ลิค(Pof. Nichlors Roehrick) จึงนำเรื่องราวในเอกสารโบราณดังกล่าวมาเปิดเผยต่อชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้

    ".......... อิสซา(Issa) หรือ เยซู ในวัยเด็กได้เดินทางไปอินเดียกับกองคาราวานพ่อค้าพร้อมกับบิดามารดาของตน ซึ่งมีอาชีพทำการค้าระหว่างซีเรียกับอินเดีย บิดาได้ฝากให้อาศัยอยู่กับพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ณ เวลานั้น นาลันทา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาของพระพุทธศาสนา กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทุกอาณาจักร

    การที่เยซูได้ศึกษาปฏิบัติจิตของชาวพุทธที่นั่น ทำให้เยซูได้เดินทางขึ้นสู่ธิเบตและได้เข้าวัดเพื่อฝึกหัดญานและอิทธิ(Dhyana & Iddhi)

    ในคัมภีร์ไบเบิลเองก็ไม่ได้มีการบันทึกเรื่องราวในช่วงนี้ของพระเยซู เรื่องราวได้ขาดหายทั้งที่เกี่ยวกับสถานที่และการงานที่พระเยซูได้กระทำในระหว่างวัยเด็กเล็ก จนถึงอายุ 29 ปี ว่าเป็นอย่างไร
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]จากหลักฐานที่กล่าวมาทั้งหมด คงหนีไม่พ้นที่จะเกิดคำถามว่า "พระเยซู ใช้คำสอนของศาสนาใด? เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากพระเจ้าตามพระคัมภีร์ไบเบิล อ้างไว้นั้นจริงหรือ ? " และ "คำสอนในสมัยที่เยซูมีชีวิตอยู่และใช้สั่งสอน และตนเองใช้ปฏิบัตินั้นคือศาสนาอะไร ? "

    ข้อสงสัยนี้ได้ถูกขจัดไปโดยสิ้นเชิง โดยหลักฐานอย่างเป็นทางการของ Prof. N. Plini ในงานวิจัยของชื่อ "ปาเลสไตน์ก่อนสมัยคริสต์ คาทอลิก(Pre-Christine Palestine)" ซึ่งได้ระบุถึงนิกายหนึ่งของพุทธศาสนามีชื่อว่า เอสเซ่นส์(Essnenes) ซึ่งยึดถือว่า โลกิยธรรมทและโลกุตรธรรมไม่มีสภาวะโดยแท้จริง นิกายนี้ปฏิบัติบำเพ็ญพรตคล้ายโยคี มักอยู่ตามตามถ้ำและป่าเขา ไม่กินเนื้อสัตว์ เผยแพร่เจริญมากที่สุดในแถบแคชเมีย และธิเบตตอนล่าง ได้แพร่หลายเข้าสู่ปาเลสไตน์ก่อนที่ "เยชู" ศาสดาของคริสต์ศาสนาจะเกิดหลายร้อยปี

    พระสงฆ์ของนิกายนี้ไม่จับจ่ายใช้สอยเงินทอง ตื่นแต่เข้าและทำสมาธิโดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีกิจวัตรหลักที่ต้องปฏิบัติคือการทำสมาธิจิต จึงทำให้ถูกเรียกว่า"อิสี" หรือ "อิสิ (Isi)" ซึ่งเป็นคำจากภาษาบาลี


    คณะวิจัยของ พ.ท.เฮนรี่ยังได้พบหลักฐานยืนยันต่อไปว่า "......พระพุทธศาสนามหายานได้มีการเผยแผ่หลักคำสอนอย่างแพร่หลายกว้างขวางที่สุดเข้าไปจนถึงปาเลสไตน์และอียิปต์ รากฐานในคำสอนของมหายานก็คือ อธิ-พุทธะ และในส่วนสำคัญของคำสอนเรื่อง อธิ-พุทธะ นั้นคล้ายกับพระพรหมในคัมภีร์เวทานตะ(Vedanta) ซึ่งชี้เน้นให้เห็นอย่างเดียวกันคือเป็นต้นแบบของ พระผู้สร้าง(Creator) ที่ชาวยิวทั้งหลายนับถืออยู่นั่นเอง แต่ไม่ใช่อยู่ในสภาพของบุคคล แต่มันเป็นต้นกำเนิดของปรากฏการณ์ทั้งหมด เป็นสิ่งที่คล้ายกันกับ "ปรกติ(Prokati)" ในปรัชญาสังขยา มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพรรณารูปร่างลักษณะได้
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  5. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]นอกจากนี้ โปรเฟสเซอร์ ริส เดวิด (Prof. Lead David) ได้พิสูจน์จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้พบความจริงว่า คำว่า "ก๊อต(God)" หมายถึง "พระพุทธเจ้า" ศาสดาของพระพุทธศาสนา เป็นคำที่ถูกย่อให้สั้นลงมาจากคำว่า "ก๊อตตะมะ(Godtama)" (ตรงกับภาษาบาลีว่า โคตะมะ) ซึ่งเป็น ชื่อโค-ต-ร ตระกูลของพระพุทธเจ้า

    และได้กล่าวว่าสิ่งที่พิสูจน์ว่า "เยซู" ได้ใช้หลักธรรมของพระพุทธศาสนาดัดแปลงมาสั่งสอน ก็คือมาจากคำว่า "อิลิยาห์(Elijah)" ที่ใช้ทับศัพท์กับคำภาษาบาลีเรียกพระสงฆ์ที่สำเร็จธรรมขั้นสูงและพระพุทธเจ้าซึ่งเรียกว่า "อริยะ" แปลว่า "ผู้ประเสริฐ(The Noble One)" ที่ต่อมาได้แผลงเป็น "อาลีลูยา" ในคำสวดทั่วไปของคริสต์ศาสนา ซึ่งเราจะได้ยินอยู่ในปัจจุบัน

    อีกคำที่พบว่คำในพุทธศาสนาถูดนำมาดัดแปลงใส่ในคัมภีร์ไบเบิลส์คือคำว่า "บุตรของก๊อต(Sun of God)" เพราะเมื่อพิสูจน์ใด้ว่า ก๊อต(God) มาจากคำว่า "โคตะมะ" ซึ่งหมายถึง "พระพุทธเจ้า" ดังนั้น บุตรของก๊อต ก็คือ บุตรของพระพุทธเจ้า ตรงกันกับภาษาในพระสูตรของพุทธศาสนาว่า "พุทธบุตร" ซึ่งหมายถึง "บุตร(สาวก)ของพระพุทธเจ้า"
    [/FONT]

    หลักฐานนี้ยกมาจากในไบเบิลของคริสต์ศาสนาเองว่า พิธีแบบติสท์ให้กับเยซูในแม่น้ำจอแดน โดย "เซ้นท์จอนด์ เดอะแบบติสท์" นั้นเหมือนพิธีอุปสมบท ในโบสถ์น้ำของพุทธศาสนา เพราะในพิธีกรรมการบวชของชาวพุทธนั้น จะมีพระสงฆ์ผู้ใหญ่ตักน้ำรดหัวและโกนผมให้เป็นคนแรก การตักน้ำรดหัวนี้ชาวคริสต์ได้อ้างว่าเป็นพิธีกรรมเรียกว่า "แบบติสท์" แต่โดยความจริงแล้วพิธีดังกล่าวนั้นเป็นของชาวพุทธศาสนา และการบวชโดยใช้แม่น้ำเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีก็เป็นพิธีปกติปฏิบัติของชาวพุทธเช่นกัน(ในเมืองไทยเรียกว่า "โบสถ์น้ำ" สมัยปัจจุบันพ.ศ.2543 ในต่างจังหวัดก็ยังคงมีการอุปสมบทแบบนี้อยู่.....ผู้เรียบเรียง) จึงถือเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างไม่มีข้อคัดค้านว่า จอนด์เดอะแบบติสคือพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ทำหน้าที่อุปัชฌายะบวชให้กับ เยซู ในแม่น้ำจอแดน

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]จากหลักฐานที่ได้รับการพิสูจน์ทั้งหมด สรุปได้ว่า

    " เยซู ได้รับการอุปสมบทให้เป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายเอสเซ่น โดยทำพิธีอุปสมบท(ในโบสถ์น้ำ) โดยพระอุปฌายะตามไบเบิลชื่อว่าจอนด์

    จากนั้นได้เข้าศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และไปศึกษาการปฏิบัติทางฌาณ-อภิญญา(Dhyana & Adhingna) ในวัดที่ธิเบตตอนล่างอีกหลายปีในระหว่างวัยหนุ่ม สำเร็จสมาธิระดับหนึ่ง

    เมื่ออายุได้ 29 ปี จึงเดินทางกลับบ้านในนาซาเรธ ปาเลสไตน์ แต่บ้านเกิดของเยซูขณะนั้นไม่มีชาวพุทธ แต่เต็มไปด้วยชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย จึงทำให้เยซูต้องต่อสู้กับศาสนายูดายส์โอลเทสเม้น(Old Testment) ซึ่งมีศาสดาของศาสนายูดายนามว่าโมเสส และในสมัยนั้นศาสนายูดาย กำลังมีอิทธิพลมากกับชาติยิวแถบปาเลสไตน์ ซึ่งทำให้ชาวยิวที่นับถือศาสนายูดายกลายเป็นศัตรูที่จ้องหาโอกาสทำร้ายอยู่ตลอดเวลา และไม่มีการจารึกคำสั่งสอนใด ๆ ของเยซูไว้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะคำสอนของเยซูนั้น ก็คือคำสอนของพระสงฆ์นิกายเอสเซ่น ที่ใคร ๆ ก็รู้มีอยู่อย่างดาดดื่นอยู่แล้วทั่วไปในดินแดนแถบนี้

    และในที่สุด "เยซู" จึงถูกชาวยิวคู่ปรับตั้งข้อกล่าวหาต่าง ๆ และได้รับการพิพากษาด้วยการตัดสินให้ถูกลงโทษประหารชีวิตโดยการตรึงกางเขน เยซูไม่ได้เสียชีวิตบนไม้กางเขนในทันที เพราะได้เข้าฌานซึ่งการศึกษาจากธิเบตนั้น แต่คนที่เห็นคิดว่าตายแล้วซึ่งเป็นวิชาที่โยคีในอินเดียในปัจจุบันหลายคนก็ทำให้หัวใจหยุดได้เหมือนตายเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร แม้แต่โยคีบางคนยังได้แสดงการเผาตัวเองให้นักท่องเที่ยวชมอีกด้วย พวกยิวจึงนำร่างเยซูไปไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง

    หลังจากที่เยซูออกจากฌานจึงหลบหนีออกจากเมือง ไปอยู่ในแคว้นแคชเมียร์ ที่ซึ่งบิดาของเยซูได้พาไปอาศัยอยู่เมื่อครั้งเด็ก นางมาเรียแม่ของเยซูก็ไม่อาจอยู่ในเมืองปาเลสไตน์ได้จึงหนีไปอยู่แคชเมียร์ด้วยเหมือนกัน และทั้งสองแม่ลูกก็อยู่ที่นั่นจนกระทั่งตาย
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ข้อความต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลนิวเทสเม้น(New Testment) เป็นถ้อยคำที่ได้ถูกแต่งขึ้นมาโดยนักโทษชายชื่อ "เปาโล" และพรรคพวกที่นับถือศาสนายูดาย ของชาวยิวซึ่งติดคุกของโรมัน ได้ช่วยกันเขียนโดยแอบอ้างชื่อเสียงและเกียรติคุณของเยซูมาเป็นตัวละครแอบอ้าง ทั้ง ๆ ที่อยู่คนละศาสนาเพื่อ สร้างเป็นพลังทางการเมือง ทั้งนี้เพราะในยุคนั้นชาวปาเลสไตน์ที่นับถือพุทธศาสนา รวมทั้งอาณาจักรใกล้เคียงล้วนแต่นับถือพุทธศาสนา จะได้ใช้อิทธิพลบีบบังคับกับผู้นำโรมัน เพื่อให้พวกตนพ้นโทษประหาร หรือพ้นจากคุก ในฐานะที่ลงโทษศิษย์ของเยซูซึ่งเป็นชาวพุทธที่ตนแอบอ้างว่าพวกตนนั้นก็เป็นศิษย์ และเป็นชาวพุทธด้วย จากนั้นส่งจดหมายนั้นออกไปยังที่ต่าง ๆ ในยุคต่อมาก็มีการก็นำเอาจดหมายของนักโกหกเหล่านี้มารวมเข้าด้วยกันเป็นเล่มไบเบิลเรียกว่า นิวเทสเม้นท์(New Testment) ซึ่งไม่มีตรงไหนที่เป็นคำสั่งสอนของเยซูอยู่ในนั้นแม้เพียงคำเดียว และเยซูเองก็ไม่เคยรู้จักนักโทษเหล่านี้เลยแม้เพียงคนเดียว แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดว่าบุคคลที่ชั่วร้ายซึ่งเป็นนักโทษเหล่านี้คือผู้ที่นับถือศาสนายูดาย ก็คือข้อความอันปรากฏในคัมภีร์ใหม่(New Testment) ล้วนเป็นเนื้อหาที่มาจาก คัมภีร์เก่า(Old Testment) ทั้งสิ้น ในเมื่อนักโทษทั้งหลาย รวมทั้งนักโทษเปาโล ที่ติดคุกโรมันอยู่นั้น หากเขามิใช่เป็นผู้เคร่งต่อศาสนายูดาย เหตุใดเขาเหล่านั้นจึงสามารถจดจำเรื่องราว ถ้อยคำและความหมายในคัมภีร์เก่าของศาสนายูดายได้เล่า และสาวกของพวกเขาก็ได้แอบอ้างสร้างศาสนาขึ้นมาใหม่ชื่อว่า "โรมันคาทอลิก" เบียดบังขูดรีดหากิน และรุกรานประชาคมโลกตลอดมาตราบจนปัจจุบัน นี่คือผลสรุปของงานวิจัยและความจริงที่เราได้พิสูจน์แก่ชาวโลกให้ได้เห็นประจักษ์
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ที่มา http://www.konmeungbua.com/webboard/....asp?GID=16730



    [/FONT]
     
  6. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    หาอ่านตัวเต็มมานาน เจอจนได้ ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ
     
  7. Sinderking

    Sinderking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +674
    อนุโมทนาครับ ผมเป็นโรมันคาทอลิก ขอขอบพระคุณที่นำบทความมาให้อ่านนะครับ

    บทความนี้เป็นความรู้ใหม่ และเป็นบทความที่แสดงแง่คิดแบบตรงกันข้ามแบบของคาทอลิก

    ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า แต่ผมอยากแสดงความคิดเห็นครับ

    เพราะในบทความนี้ไม่ได้กล่าวถึงคำว่า เมซิยาห์ พระ.....โฮวา กษัตริย์เฮโรด,ดาวิด ประวัติสาวกพระเยซู การต่อสู้กับฟาริสี ไม่พูดถึงเมืองแมน และซาตาน พระบัญญัติ 10 ไม่ได้พูดถึงตอนมารผจญพระเยซู และอื่นๆอีกมากมายที่แสดงถึงวัฒนธรรมของคริส
    และท้ายที่สุดคือไม่ได้พูดถึงว่าพระเยซูพูดภาษา อราเมอิก และคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นภาษาฮิบริว
    และรวมถึงนักบุญองค์อื่นที่ได้เขียนไบเบิ้ลขึ้นมา (น.เปาโล ไม่ได้แต่งไบเบิ้ลเพียงคนเดียวนะครับ) และตอนสุดท้ายผมว่ามันผิดเพี้ยนมากที่สุด..... คือพระเยซูเข้าฌาณตอนตรึงกางแขนแล้วหนีไปอินเดีย.....? ผมอ่านแล้วแทบร้องให้เลยครับ เพราะ มันถูก"บันทึก"ไว้ชัดเจนว่า พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน หลังจากนั้นในวันเดียวกัน ทหารได้เอาหอกแทงสีข้างพระองค์เพื่อทดสอบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ซึ่งพระองค์สิ้นชีพแล้ว และต่อมาทรงฟื้นคืนชีพขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ทำไมถึงไม่มีใครเอ่ยถึงตอนนี้ ทำไมถึงข้ามไปดื้อๆ แล้วกลายเป็นว่าพระองค์หนีไปอยู่กับพระแม่มารีแบบไม่มีหลักฐานอะไรเลย (และผมเชื่อว่าในระดับต้องเป็นพระอรหัตน์แบบของพุทธถึงจะขึ้นสวรรค์ทั้งกายเนื้อได้)

    อย่างไรก็ตาม ประเด็นคำว่า อิลิยาห์ ลองเปิดดูบท กจ. 5:38 แล้วจะทราบครับ ว่ามันไม่ได้แปลงจาก อิลิยาห์ ไปเป็นอัลเลลูยา หรือ อริยาครับ ทำไมถึงกล่าวว่าพระอิลิยาห์ มาจากภาคอื่นภาษาอื่น โดยไม่มีรูปอักษร การเทียบยุคภาษามาให้ดูเลย หรือแม้แต่เป็นเลขบทไบเบิ้ลก็ยังดี

    และท้ายที่สุดชื่อของ

    พ.ท. Henry
    Prof. N. Plini
    Dr.Maknob
    Dr.Mahaffy

    ไม่มีนามสกุล ชื่อกลางเลย เลยทำให้ผมไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าบุคคลเหล่านี้มีจริงหรือมีการค้นคว้าจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่บทความโคมลอยกับนามปากกาเฉยๆ

    อย่างไรก็ตามผมขอน้อมรับบทความนี้ไว้ด้วยความยินดี ถือว่าเป็นความคิดเห็นดีจากเพื่อนมนุษย์ครับ^^" แต่อยากจะเตือนคนที่กำลังอ่านบทความนี้ว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เคยเตือนไว้ว่าอย่าเชื่อคำครู อย่าปลงตามเจ้า ให้เชื่อในตัวของตัวเอง หวังว่าจะตัดสินใจกันได้นะครับ

    พระเจ้าคุ้มครองทุกท่าน อาแมน

    ปล. ทำไมไม่เติม พระ นำหน้าคำว่า เยซู ให้ท่านหน่อยละครับ ^^"
     
  8. jojokola

    jojokola เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +100
    น่า

    เป็นอะไรที่แปลกไปเลยทีเดียว
    ผมก็ไม่ได้เชื่อ แต่ไม่ได้ลบหลู่ มูลเหตุเป็นยังไงก็ยังไม่รู้
    แต่ที่แน่ๆ ปัจจุบัน เราทำดีที่สุดหรือยัง
     
  9. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    นานๆทีผมถึงจะเจอชาวคริสต์ที่รู้จักใช้เหตุผลแบบคุณ ยินดีที่ได้คุยครับ
    คือบทความนี้เป็นส่วนนึงของเรื่องที่ ถูกชาวคริสต์ต่อต้าน มีฝรั่งคนนึงเขียนออกมาเป็นหนังสือ เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็มีการถกเถียงกัน ผมคงบอกอะไรไม่ได้มากเพราะไม่ได้เขียนเอง แต่คิดว่าน่าสนใจ และ มีหลายคนเขาก็บอกผมมาแบบนี้ ซึ่งชาวคริสต์คงรับได้ยาก แต่ก็ต้องขอบคุณที่คุยกันด้วยเหตุผลนะครับ

    ลองอ่านเพิ่มเติมที่
    http://www.newdawnmagazine.com/Article/Did_Jesus_Visit_India.html
    http://www.sol.com.au/kor/7_01.htm
    http://www.trumbore.org/sam/sermons/s6c3.htm
    http://www.thezensite.com/non_Zen/Was_Jesus_Buddhist.html
    http://web.ukonline.co.uk/buddhism/jesus.htm
    http://buddhistfaith.tripod.com/pureland_sangha/id59.html
    ดูนะครับ

    บางท่านอาจจะคิดว่าไม่น่าเชื่อถือโดยเฉพาะชาวคริสต์ แต่ก็ไม่เป็นไรครับเพราะวาติกันเขาเผาทิ้งไปหลายชุดแล้วครับ พวกคุณได้ครองโลกอยู่แล้วนี่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2008
  10. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?
    หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ
    ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
    หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    "สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
    ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ
    แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"


    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
    <!-- / message -->​
     
  11. atomdekst

    atomdekst Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    405
    ค่าพลัง:
    +79
    ถ้าฟังความข้างเดียวเราคงเชื่อ 100% ไปแล้วนะเนี่ย
    ดีนะมีคนมาให้ความคิดเห็นเพิ่มเติม เหมือนเรื่องการเมือง
    เลยนะ
    แต่จะเชื่อไม่เชื่อก็ต้องใช้วิจารณญาณเอาเองครับ
    ผมไม่กล้าวิจารณ์ ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับ
    รู้แต่ว่าทำความดี เป็นคนดี
    ได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน สวรรค์ไหนไม่รู้แหละ

    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  12. paintkiller

    paintkiller เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +946
    ชาวคริสแบบคุรน่าเลื่อมใสครับที่ยังยอมรับข้อมูลและรับชม โดยที่ยังใช้ปัญญาในการตรึกตรอง ซึ่งเทียบกับคริสที่อยู่ในบ้านผมแล้วเหมือนคริสสมัยโลกแบนอ่ะครับ มีแต่ความเชื่อไม่มีปัญญา แต่ก้คงไม่อะไรมากครับ มีไมตรีมีเมตตาเข้าใจซึ่งกันและกันก็พอ
     
  13. Sinderking

    Sinderking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +674
    คริสต์โลกแบน 555+ เข้าใจดีครับ ว่านิสัยพวกนั้นเป็นยังไง ไม่เป็นไรครับ ก็ใช้อุบายวางอุเบกขาไปแล้วกันครับ
    คริสต์ที่เก่งกว่าผมมีอีกเยอะ ผมยังต้องปฏิบัติ ดัดนิสัยตัวเองอีกนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2010
  14. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,436
    ขอบคุณค่ะ............
     
  15. Sinderking

    Sinderking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +674
    อย่าลืมว่า ศาสนาคริสต์ปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถยึดประเทศหนึ่งได้ นั่นคือไทย คุณสังเกตุไหม มัชชั่นนารีพยายามมากที่จะเปลี่ยนคนพุทธไทย ให้เป็นคริสต์แต่มันยาก หรือบางคนเปลี่ยนเป็นคริสต์แล้วกลับมาเป็นพุทธเหมือนเดิมก็มี เพราะอะไรอ่ะเหรอ เพราะ ศาสนาพุทธตอบปัญหาได้จริงๆ ไม่ใช่การบังคับให้คิดตาม และพุทธศาสนาสามารถพิสูจน์ได้ตามหลักปฏิบัติ อันนี้ผมขอยืนยัน นั่งยัน ยืนยันครับ ว่าพุทธไทยจะรุ่งเรือง และมันกำลังดังไปถึงฝั่งยุโรป อเมริกา แอฟริกา เอเซีย และทวีปอื่นๆ แล้วครับ (เอาง่ายๆ ไป search ใน Google พิมพ์ว่า Meditation method) เคยอ่านคำทำนายหลวงพ่อฤาษีไหมที่เขาบอกยักษ์นอกศาสนาพุทธจะฆ่ากันเอง แล้วอนาคตพุทธจะรุ่งเรือง นั่นคือ อนาคตศาสนาผมต่างหากที่จะหายไปเแล้ว แล้วพวกคุณจะรุ่งเรือง แบบไม่ได้บังคับใครด้วย รุ่งเรืองแบบที่ว่าคนจะแห่มาปฏิบัติด้วยความเต็มใจ (ตอนนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวผมก็นับถือหลักปฏิบัติของพุทธจริงๆ เน้นว่า ส่วนของปฏิบัติล้วนๆ เอาเนื้อๆ ไม่ต้องยกแม่น้ำมาให้เสียเวลา)

    ณ ขณะที่พิมพ์อยู่นี้ ผมก็ใจหาย และ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแปลกๆ ที่ว่าในอนาคตศาสนาที่เรารักจะไม่เหลือ เพราะมันจะกดระเบิดนิวเคลียร์ถล่มกันเสียเอง แต่ว่าอนิจจังเอ๋ย มันก็ต้องเป็นไปตามกรรมตามนั้น ฉะนั้นไม่ต้องเสียใจว่าคริสต์จะโครงได้ทั้งโลก ขอย้ำอีกทีว่า พวกท่านจะรุ้งเรืองเพราะศาสนาของท่าน และหลักปฏิบัติที่ดีชอบของศาสนาท่าน ผมขอคาราวะให้หนึ่งจอกอ่ะ

    ส่วนลิงค์ที่ให้มาดังกล่าวได้แก่
    Did Jesus Visit India?
    Jesus Lived in India
    Was Jesus A Buddhist? Rev. Samuel A Trumbore
    thezensite: Was Jesus a Buddhist?
    Is Jesus a Buddhist ? / jesus1.htm
    GOSPEL OF THOMAS: THE BUDDHIST JESUS?

    นครวาติกันไม่ได้เผาหรอกครับ เพราะมันไม่มีจะให้เผา เพราะไอพวกนี้มันเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งนั้น ยกความชอบเข้าศาสนาฮินดู (ผมไม่ได้ว่าฮินดูไปโทษศาสนาอื่น แล้วยกความดีเข้าตัวนะ เพราะแม้แต่คริสต์ก็ดูถูกเขาไปทั่ว อิสลามก็มี พุทธก็มี มันเป็นสันดานคน ไม่ใช่ความผิดศาสนา อย่าโทษศาสนา)

    เรื่องพระเยซูเจ้าหนีไปอินเดียอ่ะครับ มันเป็นเรื่องโจ๊ก ที่เขาพยายามตีศาสนาเรามาก่อนหน้านี้นานแล้ว แถมวิธีพิสดาลสารพัด ผมจะยกตัวอย่างข้อผิดพลาดที่ตลกมากๆให้คุณดูนะ

    "there is evidence in Hindu, Muslim, and Buddhist scriptures of Jesus staying in India." - มีหลักฐานของศาสนาฮินดู อิสลาม และพุทธว่า พระเยซูเคยอยู่อินเดีย ผมอยากทราบว่า อิสลามเกิดหลังศาสนาคริสต์ 500 กว่าปี แล้วจะมีมุสลิมคนไหนมาบันทึกว่าพระเยซูเคยอยู่อินเดีย? มุสลิมยังไม่โผล่ออกมาเลยครับตอนนั้น

    ที่บอกว่าพระเยซูเคยเดินทางไปที่ ลาดาคห์ และ แคว้นคัชเมียร์ กับ เมืองพารานาสีเนี่ย(Ladakh and the Kashmir valley, as well as Varanasi city) ที่อยู่ภาคเหนือของอินเดีย รัฐ อัตตาร์ ปราเดช (Uttar Pradesh) เขาแต่ได้แต่พูดลอยๆ ไม่เห็นจะยกหน้าหลักฐานหรืออะไรเลย (พูดอย่างนี้ไม่ได้อีก เดี๋ยวจะโดนด่าว่าวาติกันเผาไปแล้ว....).

    ดังนั้นถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เขาน่าจะทักท้วงมาตั้งแต่สมัย โน้นนนน แล้วครับ แต่พอดี ผู้กำกับ Subhrajit Mitra มาได้นิยายเรื่องนี้มา แล้วมาทำให้ยิ่งใหญ่ตระกาลตาจน พระสงฆ์คริสต์กุมขมับไปพักใหญ่ แล้วสุดท้ายเรื่องมันก็เงียบๆไป เป็นประวัติศาสตร์ไป เรื่องแบบนี้ ก็เคยมีเคสคล้ายๆกันเมื่อไวๆนี้ คือหนังเรื่อง Davinci Code พวกเราก็ปวดหัวไปพักนึง เพราะไม่รู้ว่ามันจริงหรือเท็จ พอสืบไปสืบมา ก็ทราบว่า ก็แค่แพะชนแกะ หนังHoliwoodทำกำไรหนึ่งเรื่องดีๆนี่เอง

    คล้ายๆกับตอนน้ำท่วมโลกปี 2000 หนังสือขายดี หนังขายออกกันตูมตาม สรุปมันไม่ท่วม (แต่ผมไม่ได้บอกว่าปี2012 จะไม่ท่วมนะ เพราะผู้มีอภิญญากับจักรวาลเขายื้อให้ถึงที่สุดแล้ว). โอเคครับ แค่นี้แหละ

    ส่วนเรื่องที่ว่าชาวคริสต์ออกมาต่อต้านรับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ มันก็ถูกของเขาแหละครับ พวกเขาก็อยู่ดีๆของเขา มีคนปาหินใส่ จะไม่ให้ปกกันตัวเองเลยเหรอ เรื่องพวกนี้ถ้าให้มูลเหตุสืบหาความจริงกันหน่อย ก็คงดี แต่อยู่ดีๆก็ปาหินใส่โดยที่ไม่มีหลักฐานเป็นหลักเป็นแหล่งเลย เพราะเรื่องพวกนี้ ถูกยกขึ้นจากบุคคลเหล่านี้
    พ.ท. Henry
    Prof. N. Plini
    Dr.Maknob
    Dr.Mahaffy
    ซึ่งมีแต่ชื่อ แต่ไม่มีชื่อกลาง หรือ ชื่อสกุล ไว้ให้สืบต้นตอที่แท้จริงได้เลย หรือ Menuscripts โบราณที่ว่าเก่าแก่บันทึกว่าพระเยซูอยู่ที่อินเดีย ก็ไม่ได้บอกที่เจาะจงว่าอยู่สถานที่ไหน วัดไหน บอกแต่ว่า "เก่าแก่จริงๆนะ ของดีของอินเดียเลยล่ะ"

    จากข้อความที่ว่า
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]และได้กล่าวว่าสิ่งที่พิสูจน์ว่า "เยซู" ได้ใช้หลักธรรมของพระพุทธศาสนาดัดแปลงมาสั่งสอน ก็คือมาจากคำว่า "อิลิยาห์(Elijah)" ที่ใช้ทับศัพท์กับคำภาษาบาลีเรียกพระสงฆ์ที่สำเร็จธรรมขั้นสูงและพระพุทธเจ้าซึ่งเรียกว่า "อริยะ" แปลว่า "ผู้ประเสริฐ(The Noble One)" ที่ต่อมาได้แผลงเป็น "อาลีลูยา" ในคำสวดทั่วไปของคริสต์ศาสนา ซึ่งเราจะได้ยินอยู่ในปัจจุบัน

    [อีลียาห์ไม่ใช่คำศัพท์ แต่เป็น 'ชื่อคน' เป็นชื่อของเขา เป็นภาษาฮิบรูที่บันทึกตามลายลักษณ์อักษรณ์ของไบเบิ้ล สมัยก่อนทั้งโลกไม่ได้ใช้ภาษาบาลีอย่างเดียว แต่ทั้งโลกแต่ละพื้นที่ก็มีภาษาของพื้นที่นั้นๆ / ดังนั้นคำว่า อิลิยาห์ มันไปตรงกับ อริยะ แล้วผันมาเป็นอัลเลลูยา นี่คนแต่งตกม้าตายตั้งแต่ทีแรกแล้วครับ เพราะ อิลิยาห์เป็นคนในไบเบิ้ล และ อัลเลลูยา เป็นคำอุทาน สรรเสริญพระเจ้า ทั้งหมดนี้เป็นภาษาฮิบรู ทั้งสั้น / การตรงกันของภาษาเป็นเรื่องปกติมาก แล้วยกนำมาโจมตีผู้นำสำคัญต่างๆของโลกก็มากมายอยู่ อย่างนี้ผมก็พูดได้เหมือนกันว่า คำว่า Alternate หรือ อันเตอร์เนต มันตรงกับคำว่า อัตตนัย ของภาษาไทยเรา ถูกไหม? หากใครอยากรู้ลำดับญาติ หรือ ว่าใครเป็นใครในไบเบิ้ล ควรจะเริ่มเปิด ตั้งแต่บันทึก chronicles หรือ พงศาวดารตั้งแต่ข้อหนึ่งเป็นต้นไป จะบอกหมดตั้งแต่อดัม ถึงโนอาห์เลย)

    อีกคำที่พบว่คำในพุทธศาสนาถูดนำมาดัดแปลงใส่ในคัมภีร์ไบเบิลส์คือคำว่า
    "บุตรของก๊อต(Sun of God)" เพราะเมื่อพิสูจน์ใด้ว่า
    ก๊อ ต(God) มาจากคำว่า "โคตะมะ" ซึ่งหมายถึง "พระพุทธเจ้า" ดังนั้น บุตรของก๊อต ก็คือ บุตรของพระพุทธเจ้า ตรงกันกับภาษาในพระสูตรของพุทธศาสนาว่า "พุทธบุตร" ซึ่งหมายถึง "บุตร(สาวก)ของพระพุทธเจ้า"

    [/FONT][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][เป็นการใช้ตรรกศาสตร์ที่ดีมาก ถึงมากที่สุด ดังนั้นถ้าจะยกคำว่า Son of God หรือ คำว่า Son of Godtama ทำไมถึงมีคำเดียวที่เป็นบาลีคือ Godtama? คำว่า Son of ทำไมเป็นภาษาอังกฤษ? ภาษาอังกฤษเอามา รจนา กับบาลีไม่ได้ จะใช้ต้องใช้บาลีให้หมด สมัยGodtama ยังไม่มีประเทศอังกฤษ พวกเองโกลเซกซอนโบราณของอังกฤษก็ยังไม่โผล่มาครับ ถ้าผู้แต่งจะยกเรื่องอังกฤษลอกบาลี ควรจะยกเรื่อง ฮิบรูลอกบาลีดีกว่า เพราะกาลเวลาจะใกล้เคียงกว่าเยอะ และจะน่าเชื่อถือกว่านี้เยอะ แต่ผู้แต่งเลือกที่จะไม่ทำ)[/FONT]

    ดังนั้น ข้อความที่ว่า คำว่า ก๊อต มาจากคำว่า โกตะมะบ้าง คำว่าอิลียาห์ มาจากคำว่าอัลเลลูยาบ้าง หรือว่า พระเยซูไม่รู้จักกับ น.เปาโล และอคัรสาวกทั้งหมดบ้าง ผมก็ไม่ได้พูดว่าฝ่ายไหนถูก หรือฝ่ายไหนผิด ขอย้ำอีกทีว่า ให้ใช้วิจารณญาณในการรับฟังข่าวสาร
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]
    [/FONT]ผมไม่ได้ว่า จขกท. แต่ผมกำลังว่าบุคคลที่แต่งบทความนี้ แล้วกำลังทำเรื่องน่าเกลียดๆแบบนี้ ที่ว่าอยากโจมตีอะไรก็จับแพะมาชนแกะ อะไรที่ดูแล้วคิดว่า 'เออ ใช้ได้ๆ น่าจะเอามาผสมคำกันได้' ก็ยกขึ้นมาดื้อๆ วิธีนี้ไม่ได้สร้างความสงบสุข แต่จะนำไปสู่สงครามน้ำลายย่อยๆ และความบาดหมางใจกันเท่านั้นเอง คงไม่ต่างอะไรกับศาสนาของผม เมื่อสมัยก่อน ที่ฝรั่งมันเข้ามาบังคับให้เจ้าอยู่หัวพวกเราเข้ารีต ที่ผมพูดตรงนี้ คนแต่งบทความเขาคงไม่ได้ยินผมหรอก เพราะเขาเป็นฝรั่งไม่เล่นเว็บไทยอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยผมก็พยายามสุดความสามารถให้คนที่ได้อ่านบทความนี้ รู้ให้ชัดๆว่า ข้อเท็จจริงแล้ว ควรจะเป็นไปในทางใด (ไม่ได้บอกว่า ข้อเท็จจริงของศาสนาผมถูกนะครับ ต้องพิจารณาเอาเอง)

    ปล. เราคุยกันด้วยเหตุผลดีๆนะครับ อย่าได้มีอารมณ์เสีย หรือโกรธกันล่ะ แต่เหตุผลบางข้อมันก็เสียดแทงใจดำไปบ้าง อันนี้ผมก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะบางอย่างไม่ถูกผมก็ต้องมาชี้ให้ถูก อันนี้ว่าผิด ผมก็ว่ามันผิด ไม่ได้เลือกฝ่าย ไม่ได้ปกป้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขอกราบประทานอภัย ล่วงหน้าด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...