ความหมายของพระพุทธเจ้าน้อย

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Vitamin_B, 29 เมษายน 2013.

  1. Vitamin_B

    Vitamin_B สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +7
    ความหมายของพระพุทธเจ้าน้อย​

    “พุทธะ” หมายถึง “รู้ ตื่น เบิกบาน” บุคคลที่ได้บำเพ็ญบารมีจนถึงระดับที่ “รู้ ตื่น เบิกบาน” อย่างสมบูรณ์ที่สุด ก็จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้นถ้ามองในแง่ “ภาษาธรรม” (ธรรมาธิษฐาน) การเรียกพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมารที่ได้บำเพ็ญบารมีมานับชาติไม่ถ้วน จนมีคุณธรรมแห่ง “พุทธะ” ในระดับของมหาโพธิสัตว์ ที่กำลังใกล้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาตินั้นอยู่แล้วว่า “พระพุทธเจ้าน้อย” และจะสร้างรูปแทนของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมารหรือ “พระพุทธเจ้าน้อย” ในฐานะเป็นเสมือน “พระพุทธรูปปางประสูติ” (เช่นเดียวกับพระพุทธรูปปางตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน) เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล จึงไม่ใช่เป็นเรื่องผิดหลักการของพระพุทธศาสนาแต่ประการใด

    ขณะเดียวกันในแง่ของ “ภาษาคน” (บุคคลาธิษฐาน) คำว่า “พระพุทธเจ้า” มีความหมายเป็นได้ทั้ง “ชื่อเรียก” มนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดมาในประเทศอินเดียเมื่อ 2635 ปีก่อน หรือ “สถานะ” ทางสังคมของบุคคลผู้หนึ่งที่เป็นพระศาสดาของพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับประโยคที่เราใช้ว่า“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงประสูติเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470” โดยความหมายของคำว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ” ในประโยคนี้หมายถึงชื่อเรียกบุคคลผู้หนึ่ง มิใช่หมายถึงสถานะทางสังคมของการเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง (ซึ่งตอนที่เกิดมามีสถานะเป็นแค่พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดชเท่านั้นยังไม่ได้เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

    วิวาทะเรื่องไม่ควรเรียกเจ้าชายสิทธัตถะตอนประสูติจากพระครรภ์ (แล้วกล่าวเปล่งอาสภิวาจาว่าการเกิดชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้าย) ว่า “พระพุทธเจ้าน้อย” เพราะตอนนั้นเจ้าชายสิทธัตถะเป็นแค่มนุษย์ปุถุชนที่ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงไม่ควรจะเรียกว่าเป็น “พระพุทธเจ้า (น้อย)” ตลอดจนไม่สมควรจะสร้างรูปเคารพของเด็กซึ่งยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อให้ผู้คนกราบไหว้บูชา ด้วยความหลงเข้าใจผิดว่าเป็น “พระพุทธเจ้า (น้อย)” เรื่องนี้ที่จริงเป็นเพียงวิวาทะที่เกิดจากความสับสนของการใช้ภาษา โดยผู้คนฝ่ายหนึ่งใช้ภาษาคำว่า “พระพุทธเจ้าน้อย” ในความหมายของ “ชื่อเรียก” คนๆ หนึ่ง ขณะที่อีกฝ่ายใช้ในความหมายของ “สถานะทางสังคม” ของบุคคลคนหนึ่ง

    ตัวอย่างที่อาจจะช่วยให้เข้าใจปัญหาอันเกิดจากความสับสนเนื่องจากการใช้ภาษาในความหมายที่แตกต่างกัน จนดูเสมือนกลายเป็นวิวาทะในประเด็นปัญหาเชิงอภิปรัชญาก็คือ ข้อถกเถียงเรื่องการ “วิ่งรอบ” ตัวกระรอก

    [​IMG]

    จากภาพข้างต้น มีกระรอกตัวหนึ่งกำลังวิ่งรอบต้นไม้อยู่วงใน ขณะที่มีคนผู้หนึ่งวิ่งตามกระรอกอยู่วงนอกรอบต้นไม้ โดยวิ่งด้วยอัตราความเร็วที่เท่ากับกระรอกพอดี ฉะนั้นถึงจะวิ่งตามกี่รอบๆ ก็เห็นแต่หางของกระรอก โดยไม่เห็นด้านหัวของกระรอก คำถามก็คือ ชายคนนี้กำลัง “วิ่งรอบ” ตัวกระรอกหรือไม่

    ผู้คนส่วนหนึ่งดูภาพนี้แล้วคงจะตอบว่า ชายคนดังกล่าวกำลังวิ่งรอบตัวกระรอก เพราะในเมื่อกระรอกวิ่งวนรอบต้นไม้เป็นรัศมีอยู่วงใน และชายคนนี้วิ่งรอบต้นไม้เป็นรัศมีวงนอกที่กว้างกว่า จึงย่อมเป็นการวิ่งล้อมรอบตัวกระรอก (ซึ่งกำลังวิ่งอยู่ในวงรัศมีที่แคบกว่าดังกล่าว) อันเท่ากับเป็นการ “วิ่งรอบ” ตัวกระรอกโดยปริยาย

    ขณะที่ผู้คนอีกส่วนหนึ่งดูภาพนี้แล้วอาจจะยืนยันว่าชายคนดังกล่าวไม่ได้วิ่งรอบตัวกระรอก เพราะเมื่อวิ่งด้วยความเร็วที่เท่ากับกระรอก อันทำให้เห็นแต่ส่วนหาง โดยไม่สามารถวิ่งแซงหน้าไปเห็นด้านหัวของตัวกระรอกได้เลย แล้วจะถือว่า “วิ่งรอบ” ตัวกระรอกได้อย่างไร

    ยิ่งพิจารณาต่างฝ่ายก็จะยิ่งเห็น “เหตุผล” ที่ยืนยันความคิดในมุมมองของตน แต่เมื่อหันมามองในอีกมุมหนึ่ง ก็เห็น “เหตุผล” ซึ่งสามารถสนับสนุนมุมมองอีกด้านได้อย่างน่าเชื่อถือเช่นกัน จนเริ่มรู้สึกงวยงงสับสนกับความจริงในเรื่องนี้ ว่าตกลงชายคนดังกล่าวกำลัง “วิ่งรอบ” ตัวกระรอกหรือไม่

    ทั้งนี้สิ่งที่ดูเหมือนเป็นความขัดแย้งใน “โลกแห่งความจริง” ดังกล่าว อันที่จริงเป็นเพียงความสับสนที่เกิดจาก “โลกแห่งความคิด” ของการยึดภาษาคำว่า “วิ่งรอบ” ภายใต้ความหมายที่แตกต่างกันเท่านั้น

    [​IMG]

    ถ้าเราใช้ภาษาคำว่า “วิ่งรอบ” ในความหมายของ “รอบทิศ” คือวิ่งรอบทิศเหนือ ทิศตะวันตก ทิศใต้ และทิศตะวันออกของกระรอกตัวนี้ ชายคนดังกล่าวก็กำลังวิ่งรอบตัวกระรอก

    แต่ถ้าเราใช้ภาษาคำว่า “วิ่งรอบ” ในความหมายของ “รอบด้าน” คือวิ่งรอบด้านหน้า ด้านซ้าย ด้านหลัง และด้านขวาของกระรอกตัวนี้ ชายคนดังกล่าวก็ไม่ได้วิ่งรอบตัวกระรอก

    วิวาทะเรื่องพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมารเป็น “พระพุทธเจ้าน้อย” หรือไม่ ก็คล้ายคลึงกับวิวาทะในตัวอย่างกรณีข้างต้นที่ว่า ชายคนดังกล่าวกำลัง “วิ่งรอบกระรอก” หรือไม่ ซึ่งอันที่จริงเป็นเพียงความสับสนของข้อถกเถียงที่เกิดจากการใช้ภาษาในความหมายที่ต่างกันเท่านั้น ไม่ใช่เป็นประเด็นปัญหาเชิงปรัชญาว่า “สัจจะความจริงที่ถูกต้อง” คืออะไร จึงไม่ควรเสียเวลาหลงถกเถียงในเรื่องที่ไม่เป็นแก่นสารนี้

    แต่สิ่งที่ชาวพุทธควรให้ความสำคัญกับการถกเถียงมากกว่าก็คือ เราจะใช้ “รูปสัญญะ” ของพระพุทธเจ้าน้อยให้เกิดประโยชน์ต่อการช่วยให้ชาวพุทธเข้าถึงความ “รู้ ตื่น เบิกบาน” ตามหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาได้อย่างไร เพราะขณะที่พระพุทธรูปปางต่างๆ คนไทยทั่วไปก็เห็นจนชาชินหมดแล้ว อันไม่สามารถใช้เป็น “สัญญะ” ที่ช่วยชักนำให้ผู้คนเกิดการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาได้มากนัก ขณะที่ “พระพุทธเจ้าน้อย” หรือพระพุทธรูปปางประสูติซึ่งพุทธศาสนาฝ่ายมหายานรู้จักกันแพร่หลาย แต่ยังเป็นของใหม่สำหรับชาวพุทธในสังคมไทย จึงน่าจะสามารถใช้เป็น “สัญญะใหม่” ที่ช่วยชักนำให้คนไทยหันมาประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาได้มากขึ้น ด้วยการเจริญรอยตามแบบอย่างของ “พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร” หรือ “พระพุทธเจ้าน้อย” โดยเกิดมาแล้วก็ทบทวนถึงแก่นสารเป้าหมายในชีวิตตัวเองว่า “เกิดมาเพื่ออะไร” แล้วตั้งสัจจะอธิษฐาน (หรือสัจจาธิษฐาน) ที่จักประพฤติปฏิบัติตนเพื่อกระทำ “เหตุ” ต่างๆ ที่จะมีส่วนนำไปสู่เป้าหมาย “ผลที่ดี” ในชีวิตตามที่มุ่งหวังนั้นๆ

    สุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง เลขานุการคณะกรรมการดำเนินงาน โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
     
  2. พงพัน

    พงพัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +478
    แล้วแต่ท่านอยากจะเชื่อหรืออยากจะศรัทธาอย่างนั้นเทอญ และก็ไม่ได้ผิดตามหลักการคิดเองเออเองของปุถุชน ความเชื่ออย่างนั้นอย่างนีุุ้ถ้าไม่ก่อความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับใครๆ ท่านก็ทำไปเถิดแต่ที่แปลกก็คือ คนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองนั้นแทนที่จะเน้นการปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้พลเมืองประเทศได้ทำตามอย่างดีๆบ้าง แต่กลับปฏิบัติตรงข้ามบ้านเมืองเวลานี้มีแต่ความอลเวง เน้นสร้างวัตถุเช่น บางวัดสร้างสิ่งที่เป็นเพียงอยู่ในนิยายออกมาให้โลดแล่น สร้างบางสิ่งที่หาได้อยู่ในหลักธรรมคำสั่งสอน เพียงหวังผลให้มีญาติโยมมาสักการะบูชา ไม่ก็เน้นพิธีการทรงเจ้าส่วนการปฏิบัติตนเพื่อให้ได้ปัญญา พบแสงสว่างแห่งปัญญา การสร้างของท่านๆทั้งหลายก็หาได้ต่างไปจากวัดที่อุดมไปด้วยถาวรวัตถุประหลาดๆดังกล่าวมาแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อสนองความต้องการอยากสร้างอะไรขึ้นมาให้เป็นที่จดจำที่ไหนๆก็มี อีกหน่อยก็จะมีแต่อนุสรณ์ในรูปแบบต่างๆกันทยอยออกมามีให้เห็นกันเกลื่อนเต็ม ได้ชื่อว่าสร้างแต่แก่นแท้ของปัญญานั้นผมว่ายังห่างไกล ดังนั้นท่านอยากจะพูดอยากจะบอกแบบนี้เมื่อไหร่ก็ต้องถูกเมื่อนั้นคือถูกใจ ถ้าการสร้างแบบเดียวกันนี้สามารถกลับกลายมาเป็นสร้างคนหรือสถานปฏิบัติธรรมถาวร เราก็อาจมีชาวพุทธแท้ๆอยู่ในศีลห้ามีพระแท้น่าเคารพศรัทธานำแสงสว่างแห่งปัญญามาสู่ชาวโลกได้มากขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องมีหรือสร้างอะไรต่อมิอะไร ออกมาสมดั่งที่พระพุทธองค์ดำรัสก่อนปรินิพพานได้ว่า เมื่อไม่มีพระองค์แล้วพระธรรมของพระองค์จะเป็นตัวแทน ผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้ก็คือมีพระพุทธองค์อยู่ในใจเสมอ
     
  3. พงพัน

    พงพัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +478
    ขอต่ออีกหน่อยพอดีนึกขึ้นมาได้ การสร้างนั่นสร้างนี่ขึ้นมาอะไรประมาณนี้นะคล้ายๆป้ายรณรงค์การจราจรของประเทศสารขัณฑ์ประเทศนึง ที่ขึ้นป้ายว่า"วินัยจราจรสะท้อนวินัยคนในชาติ"คงเคยเห็นกันมาบ้าง คนที่คิดสร้างป้ายอะไรก็คงจะหวังดีอยู่หละเข้าใจ แต่ขอโทษเถอะลองไปดูเถอะจลาจลแท้บนถนน ปาดซ้ายแซงขวาสับสนวุ่นวายอุตลุดไปหมด นั่นคือสะท้อนวินัยของคนในชาติจริงๆ แต่ความหมายของคนที่คิดป้ายขึ้นมาก็คงอยากให้คนขับขึ่เกิดความละอายเคารพกฏจราจรแต่ผลลัพธ์มันกลับตรงข้ามไปซะน่าเสียดาย ซึ่งการทำให้ผู้ขับขี่เกิดจิตสำนึกแบบนั้นขึ้นมาได้ไม่ใช่อยู่ๆจะมาคิดง่ายเพียงแค่คำขวัญหรูไม่ถึงบรรทัดขึ้นมาได้จากการประกวดแล้วก็จบรับรางวัลไปสุดท้ายแปะเอี๊ยเหมือนเดิม ซึ่งผมเห็นแล้วบอกตรงๆเอียน ในบ้านเรานั้นเวลานี้พิลึกมากๆคือใครผู้ใดปฏิับัติตามมักถูกมองว่าเชยไม่ทันกินเสียเวลาไปนู้นน่าสังเวชใจนัก ก็ยกมาให้ท่านดูประกอบเปรียบเทียบกับกรณี"พระพุทธเจ้าน้อย"ซึงบรรดาทีมผู้สร้างผุ้คิดอ่านคงฝันบรรเจิดถึงผลลัพธ์ทำให้ผู้คนพบเห็นมาหันเหเป็นคนดีเคารพกติกา คล้ายๆสุภาษิตไทย"เขียนเสือให้วัวกลัว"ถ้าจะมีวัวสักตัวที่กลัวก็เห็นจะเป็นวัวที่แยกเสือสองมิติกับเสือตัวจริงไม่เป็นเท่านั้น ส่วนในทางปฏิับัติมันจะง่ายถึงอย่างนั้นเชียวหรือเออนะ พาลนึกไปถึงยุคสมัยนึงผู้คนแห่แหนกันสร้าง"เทวรูป,เหรียญจตุคามรามเทพ"ทุกหัวระแหงแห่กันสร้างกันอย่างมโหฬาร ด้วยจุดประสงค์อยากรวยผมเห็นแล้วขำ ทำไปได้สารพัดรุ่นสุดท้ายเยอะเสียจนมีบางคนแอบไปทิ้งตอนหลังๆที่ตลาดวายแล้ว อย่างกรณีนี้ก็เช่นกันจะว่าไปยุคนี้เป็นยุคมืดบอดแห่งปัญญามองตื้นหวังผลระยะสั้นด้วยว่าง่ายดีคือได้รับคำชมอย่างน้อยก็จากท่านผู้มีอำนาจดำริอยากจะสร้างและมีผู้ตอบสนองดีมานอันนี้ได้ง่ายแน่ๆ และอีกที่จะได้ง่ายก็คือกล่องรางวัล แตกต่างจากการสร้างปัญญาแท้นั้นยากกว่ามีกลไกตัวแปรมากกว่าเหนื่อยก็ใช่ได้รางวัลคำชมรึก็หายาก ดีไม่ดีสังคมไหนปัญญาชนมีเยอะอาจทำให้รัฐปกครองยากด้วย ส่วนการสร้างปัญญาเทียมหรือปัญหาสิ่งมอมเมาให้ลูกหลานในอนาคตนั้นมันง่ายกว่ากันเยอะเลยว่ามะ
     
  4. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,815



    :cool: ขออนุโมทนาสาธุครับ สิ่งใดมีประโยชน์ ก็ทำไปเถอะครับ มันไม่ได้เกิดโทษ กับใคร ใครอยากจะมีโทษ ก็เชิญ ตามสบาย ผมน่ะเข้าใจ และความหมายเป็นอย่างยิ่ง คำว่ามหาพระโพธิสัตว์ ใหญ่ยิ่ง กว่า พระองค์ จะทรงบำเพ็ญ บารมี มาถึงได้ อย่างนี้ มันมีสักกี่คน ที่มาถึง คน และสัตว์ ทำความปราถนา กันมากมาย จนนับไม่ถ้วน แต่บุคคล ที่ ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆมาได้ และได้ชื่อว่า เป็นชาติสุดท้าย ของพระองค์ ท่านทำมา จนนับชาติไม่ถ้วนแล้ว บริบูรณ์ สมบูรณ์ ทุกอย่าง รอเวลา ตรัสรู้ เท่านั้น :cool:


    บารมีของพระองค์ท่านทำมา ครบหมด เต็มเปี่ยม ด้วยพระบารมี ๑๐ จนเป็นปรมัตถบารมี ๓๐ ทัต กรรมฐาน ๔๐ กอง มหสติปัฏฐาน ๔ อารมย์ พระอริยเจ้า ขั้นต้น ถึงอารมย์ พระอรหันต์ ชาติสุดท้าย เป็นพระเวสสันดร บริจาคลูกเมียให้เป็นทาน เกิดเป็นสัตว์ น้อยใหญ่ ท่านเกิด จนนับไม่ได้ บำเพ็ญ ตบะเดชะ จนเกิด อัศจรรย์ ให้คนทั้งโลกได้เห็น ความอัศจรรย์ ของพระองค์ท่าน สร้างไว้ ในสมัย เป็นมนุษย์ เท่านั้น จนกระทั่ง ออกบวช เอาชีวิต เลือดเนื้อเข้าแรก ถึง ๖ ปี ทรงบำเพ็ญ ทุกกริยา จนได้ ตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ได้ตรัสรู้ อนุตร สัมมา สัม โพธิญาณ ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอก ของโลกเป็นผู้ ตื่น ผู้รู้ ผู้ เบิกบาน เป็นจอมพระอรหันต์องค์แรกของโลก


    พระพุทธเจ้าไม่สามารถ ทำให้ ใครเป็นคนดีได้ หมดทั้ง โลก และไม่สามารถ นำคนไป สวรรค์ นิพพานได้หมด ฉันใด แล้วเราน่ะ เก่งกว่าท่านหรือ มีนินทา มัน ก็มี สรรเสริญ มีทุกข์ ก็มีสุข มีมืดก็มี สว่าง มีเกิดก็มีตาย เป็นของคู่กัน จะให้ถูกใจทุกคน ย่อมเป็นไปไม่ได้ครับ มีความ เห็นถูก มันก็มีคนเห็นผิด เป็นของคู่กัน มาอยู่กับโลกนี้ มาช้านาน มันไม่ถูกใจ ใครทั้งหมด หรอกครับ มีพระเทวทัต จึง เกิดมีพระพุทธเจ้า ไม่มีพระเทวทัต ก็ไม่มีพระพุทธเจ้า นี่มันเป็นของคู่กัน ฝ่ายชั่วกับดี มันของคู่กัน ฝ่ายอธรรม กับฝ่ายธรรมะ มันเดินคู่กันมา แต่ใครจะแยะแยะ ออก และชนะมันได้เร็ว กว่ากันเท่านั้นครับ


    ขอพระบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกะพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แสดงไว้ดีแล้ว และพระอริสงฆ์ สาวก ทั้งหลาย อดีดถึง ปัจจุบัน พรหม เทวดา ทั้งหมด และพระบารมีของพระโพธิสัตว์ เจ้าทั้งหลาย ทุกพระองค์ ที่ทรงบำเพ็ญมา ขอให้ท่านทั้งหลาย ที่ทรงกระทำความดีทั้งมวล ให้กระทำการสำเร็จ โดยเร็วพลัน ขจรขจายไปทั้ง ๔ ทิศ มหาสมุทรทั้ง ๔ โดยไม่ผิด ศิลธรรม อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...