จดหมายลูกโซ่

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย guawn, 6 ตุลาคม 2006.

  1. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    จดหมายลูกโซ่

    คอลัมน์ ขนหัวลุก

    ใบหนาด



    "จั๊กจั่น" เล่าเรื่องสยองขวัญ จากหอพักนักศึกษาหญิง

    4 โมงเย็น ในหอพักนักศึกษา เด็กสาวสองคนนั่งอยู่บนโต๊ะทานข้าว คนนึงกำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

    "...ชั้นต้องตายแน่ๆ เลย..." หยกถือซองจดหมายไว้ในมือ เธอเพิ่งได้รับจดหมายลูกโซ่มา มันจ่าหน้าซองถึงหยก

    "หยก แกอย่าบอกนะว่าแกเชื่อไอ้จดหมายเนี่ย" หน่อย หยิบจดหมายจากมือหยกมาฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เธอเป่าเศษกระดาษที่แหลกละเอียดให้มันปลิวไปทั่วห้อง...หยกมองสิ่งที่หน่อยทำอย่างไม่เชื่อสายตา

    "หน่อย!! แกทำอะไรของแกน่ะ" หยกลนลานลุกขึ้น เธอทำท่าจะก้มลงไปเก็บเศษจดหมาย (ลูกโซ่) ที่ตอนนี้เป็นชิ้นเล็กๆ เกลื่อนไปทั่วพื้น หน่อยเห็นอาการประสาทเสียของหยก เธอจึงรีบเข้าไปเขย่าตัวเพื่อนเบาๆ

    "ไม่เป็นไรแล้วหยก ชั้นทำลายมันแล้ว คำสาปบ้าบอคอแตกของมันพังไปด้วยแล้วแหละ"

    หยกเอามือขาวๆ ปาดน้ำตา... "จริงเหรอ...แล้วชั้นจะไม่ตายเหรอ..." เสียงเธอสั่นเครือ หน่อยเอาเท้าขยี้ไปตามเศษจดหมายนั้น

    "หยก ถึงเธอเขียนก็ไม่มีทางทันอยู่ดีแหละ มีอย่างเหรอ ให้เขียนจดหมาย 300 ฉบับภายใน 1 วัน ถ้าทำตามจะได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าไม่ทำตาม ปีศาจจะมาฆ่าถึงที่บ้าน...นี่มันยุคไหนแล้ว เธอจะไปเชื่ออะไรกับไอ้จดหมายปัญญาอ่อน! ที่ไอ้เวรขาดความอบอุ่นที่ไหนส่งมาแกล้งก็ไม่รู้...เหลวไหลน่า ป่านนี้คนเขียนมันคงหัวเราะตายไปแล้วมั้ง!!!!"

    "ไม่ใช่แค่นั้นนะหน่อย! เธอยังอ่านไม่จบ..." หน่อยเอามือขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด "มันจะเขียนว่าอะไรต่อก็ช่างหัวมันเหอะ บอกแล้วไงหยกเอ๊ย...ว่ามันไร้สาระชิบเลย!!!"

    หยกมองไปที่เศษจดหมายด้วยความตื่นตระหนก ในใจของเธอกำลังกลัวและสับสน ถ้าจดหมายนี้เป็นเรื่องที่ไร้สาระอย่างที่หน่อยว่าจริงๆ ก็ดี แต่ถ้าไม่ล่ะ...

    "เอ้า...ไปดูหนังกันดีกว่า แก้เซ็ง" หน่อยหยิบมือถือขึ้นมาเช็กรอบหนัง...หลังจากเดินผ่านประตูห้างสรรพสินค้าหรูแห่งนี้ไม่นาน ทั้งคู่ก็เดินเข้ามาในโรงหนัง...ความตื่นเต้นของภาพยนตร์ ทำให้หยกลืมเครียดเรื่องจดหมายไปสนิท...

    เวลาดึกสงัด หยกนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง หน่อยนอนไม่หลับ เธอนอนพลิกไปพลิกมา กอดก่ายหมอนข้างอยู่บนเตียง "ไม่น่ากินกาแฟไปมากเล้ยย" เธอพึมพำเบาๆ

    นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนกว่า...หน่อยคิดถึงเรื่องจดหมายขึ้นมาทันที!

    ในจดหมายบอกว่า ถ้าหยกไม่เขียนและส่งต่อจดหมาย 300 ฉบับ ภายใน 1 วัน ปีศาจจะมาฆ่าหยกถึงบ้าน ความกลัวเข้ามาในใจหน่อยแวบนึง...เธอเป็นห่วงหยก ทั้งๆ ที่หน่อยก็คิดอยู่เต็มอกว่าเรื่องจดหมายเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรทำให้หน่อยขนลุก

    หน่อยค่อยๆ หันไปหาหยก...เธอเขย่าตัวหยกเบาๆ จนหยกงัวเงียตื่นขึ้น "อ้าว...มีไรหน่อย"

    "หยก...แกยังไม่ตายใช่เปล่า" หน่อยไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองถามอะไรออกไป อาจเป็นเพราะเธอเป็นห่วงหยกมากเกินไป หยกแทบไม่เชื่อหูตัวเอง "ก็แกบอกเองนี่นาหน่อย ว่าจดหมายมันไร้สาระ แล้วแกจะมาถามอะไรชั้นเนี่ย"

    หน่อยนั่งคิด แล้วเอามือเขกหัวตัวเอง "เออว่ะ! ชั้นก็บ้าว่ะ เหอๆๆ นอนดีกว่า"

    "เดี๋ยวเราไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ ปวดท้องอ่ะ" หยกเดินสะลึมสะลือไปเข้าห้องน้ำที่มุมห้อง หน่อยค่อยๆ เอาผ้าห่มมาคลุมร่างกายตัวเอง เธอพลิกตัวไปทางหน้าต่าง

    ในวินาทีนั้น หน่อยขนลุกเกรียว หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย

    "ปีศาจ!!" หน่อยครางออกมาเบาๆ ร่างที่ค่อยๆ ทะลุผ่านหน้าต่างเข้ามาคือตัวอะไรบางอย่างที่มีรูปร่างเหมือนคน แต่ไม่ใช่คนแน่นอน ผิวกายมันสีแดงลุกเป็นไฟ ดวงตาสีดำขลับ มีปีกเหมือนค้างคาว มีเขาที่หัวสองอัน ในมือถือสามง่ามอันใหญ่แหลมคม! มันค่อยๆ เดินตรงมาที่เตียง แยกเขี้ยวมันวาว แลบลิ้นสองแฉกออกมา หยกเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำพอดี เธอแทบเป็นลมกับภาพที่เห็น

    หน่อยรีบกระโดดเข้าไปขวางหยกทันที "อย่ามายุ่งกับหยกนะ!" หน่อยตะโกนด่ามัน แล้วหันไปหาหยกที่กำลังกลัวตัวสั่น "รีบหนีไปเร็วๆหยก..."

    สายเสียแล้ว! ไม่ทันที่หยกจะหนีไปไหน ปีศาจตนนั้นก็ค่อยๆ เดินตรงมาที่ทั้งสอง ปีกสีแดงแผ่ขยายไปทั่วห้อง มันยกสามง่ามขึ้นมาเงือดเงื้อสุดหล้า...ฉั่วะ!!!!!!!! เลือดสดๆ แดงฉาน สาดกระจาย เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสดังไปทั่วห้อง

    ร่างของหญิงสาวค่อยๆ ล้มไปกองที่พื้น ร่างกายอันบอบบางกระเสือกกระสนด้วยความเจ็บปวด แววตาของเธอเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น มันแฝงไปด้วยความงุนงงและสงสัย

    ปีศาจหายไปแล้ว เลือดสีแดงฉานไหลรินนองทั่วพื้น เสียงสะอื้น เสียงหายใจเบาๆ ผสมกับบรรยากาศในห้องยามค่ำคืน ทำให้ทุกอย่างดูหดหู่ขึ้น

    "หน่อย...ชั้นลืมบอกเธอไป..." เสียงหยกสั่นเครือ น้ำตาไหลริน

    "อะ...ไร..." หน่อยเหลือกตาขึ้นมอง "อะไรเหรอหยก..."

    หยกพูดที่หูหน่อยเบาๆ "หน่อย ชั้นลืมบอกเธอไปว่าเธอยังอ่านจดหมายนั่นไม่จบ ในตอนท้ายของจดหมายมันเขียนไว้ว่า ถ้าใคร ทำลายจดหมายฉบับนี้ จะโดนปีศาจฆ่าแทนเจ้าของจดหมาย!"

    หน่อยลืมตาโพลงด้วยความช็อก...เอามือกุมที่แผลของตัวเอง เลือดยังไหลไม่หยุด ลมหายใจของหน่อยกำลังจะหมดลง หยกโอบกอดหน่อยไว้ แล้วพูดเสียงสั่นเครือ "ขอบคุณนะหน่อยที่เอาจดหมายเราไปฉีกทิ้งซะ"


    ที่มาhttp://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03col18061049&day=2006/10/06
     
  2. udonteva

    udonteva udonteva

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +348
    กบฏผู้มีบุญอีสาน ๒๔๔๔-๔๕ กับจดหมายลูกโซ่ฉบับแรกของเมืองไทย*

    กบฏผู้มีบุญอีสาน ๒๔๔๔-๔๕ กับจดหมายลูกโซ่ฉบับแรกของเมืองไทย*
    ภาคอีสานเป็นภาคที่มีกบฏผู้มีบุญมากกว่าทุกภาคของประเทศไทย นับตั้งแต่กบฏผู้มีบุญครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๒๔๒ รัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๒ มีกบฏผู้มีบุญเกิดขึ้นในภาคอีสานถึง ๙ ครั้ง ในช่วงเวลา ๒๖๐ ปี คือ
    ๑. กบฏบุญกว้าง พ.ศ. ๒๒๔๒
    ๒. กบฏเชียงแก้ว พ.ศ. ๒๓๓๔ (รัชกาลที่ ๑)
    ๓. กบฏสาเกียดโง้ง พ.ศ. ๒๓๖๐ (รัชกาลที่ ๒)
    ๔. กบฏสามโบก ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๒-๔๔ (รัชกาลที่ ๕)
    ๕. กบฏผู้มีบุญอีสาน พ.ศ. ๒๔๔๔-๔๕ (รัชกาลที่ ๕)
    ๖. กบฏหนองหมากแก้ว พ.ศ. ๒๔๖๗ (รัชกาลที่ ๖)
    ๗. กบฏหมอลำน้อยชาดา พ.ศ. ๒๔๗๙ (รัชกาลที่ ๘)
    ๘. กบฏหมอลำโสภา พลตรี พ.ศ. ๒๔๘๓ (รัชกาลที่ ๘)
    ๙. กบฏศิลา วงศ์สิน พ.ศ. ๒๕๐๒ (รัชกาลที่ ๙)
    แต่กบฏผู้มีบุญอีสานที่ขยายความเชื่อได้กว้างขวางที่สุดคือ กบฏผู้มีบุญอีสาน พ.ศ. ๒๔๔๔-๔๕ โดยมีผู้ตั้งตัวเป็น "ผู้มีบุญ" ถึง ๖๐ คน กระจายอยู่ถึง ๑๓ จังหวัด คือ อุบลราชธานี ๑๔ คน ศรีสะเกษ ๑๒ คน มหาสารคาม ๑๐ คน นครราชสีมา ๕ คน กาฬสินธุ์ สุรินทร์ จังหวัดละ ๔ คน ร้อยเอ็ด สกลนคร จังหวัดละ ๓ คน ขอนแก่น นครพนม อุดรธานี ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ จังหวัดละ ๑ คน(๑) เพราะเหตุใดการกบฏจึงขยายออกไปทั้งเกือบทุกจังหวัดของภาคอีสาน มากกว่ากบฏผีบุญทุกครั้ง พวกกบฏผู้มีบุญน่าจะมีวิธีการขยายความเชื่อเพื่อถึงคนเข้ามาร่วมให้มากที่สุด จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจซึ่งผู้เขียนจะเน้นในบทความ แต่เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของกบฏผู้มีบุญครั้งนี้ทั้งหมดจึงจะกล่าวถึงความหมายของกบฏผู้มีบุญ สาเหตุของการกบฏ เป้าหมายของกบฏ การปราบปรามของทางการ และผลของกบฏครั้งนี้โดยใน ๕ ประเด็นหลังจะกล่าวพอสังเขป
    ความหมายของกบฏผู้มีบุญ
    กบฏโดยทั่วไป หมายถึงกลุ่มคนที่คิดและกระทำการต่อต้านล้มล้างอำนาจรัฐด้วยกำลัง เช่น กบฏเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๖๙-๗๑) กบฏปัตตานี (พ.ศ. ๒๓๓๒) กบฏไทรบุรี (พ.ศ. ๒๓๖๔, ๒๓๗๓-๗๕, ๒๓๘๑-๘๒) แต่กบฏผู้มีบุญ หัวหน้ากบฏหรือกลุ่มผู้นำฝ่ายกบฏตั้งตัวเป็นผู้มีบุญหรือผู้วิเศษ เช่น เป็นพระศรีอริยเมตไตรย หรือพระศรีอาริย์ ซึ่งตามความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต เมื่อมีคนมาเชื่อเข้าเป็นสมาชิกหรือสานุศิษย์มากพอก็ใช้กำลังโจมตียึดเมือง เพื่อตั้งกลุ่มของตนเข้าปกครองแทน แต่หลายกลุ่มยังไม่โจมตีเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ก็ถูกปราบปรามเสียก่อน เช่น ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ (๒๔๔๕) กลุ่มพระแสงตั้งตัวเป็นพระโพธิสัตว์ นายธรรมาตั้งตัวเป็นท้าวอินแปลง นายสาเป็นท้าวสีโห นายหลักเป็นพระยาธรรมิกราช นายบัวลาเป็นพระเกตุสัตฐา มีราษฎร ๑๖๐ คน บ้านบาหาด เมืองมหาสารคามเข้ามาเป็นพวก พอเจ้าหน้าที่จับกลุ่มผู้นำบางคนไปขัง ผู้นำที่เหลือพาราษฎร ๑๖๐ คน มาแย่งตัวผู้ต้องหาหลบหนีไป กลุ่มกบฏก็สลายตัว(๒)
    สาเหตุของกบฏผู้มีบุญอีสาน พ.ศ. ๒๔๔๔-๔๕
    สาเหตุของกบฏผู้มีบุญครั้งนี้ มิได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่เกิดจากสาเหตุหลายอย่างประกอบกัน จากเอกสารเป็นจำนวนมาก พอสรุปได้ดังนี้
    ๑. สาเหตุทางการเมือง อาจจำแนกได้ ๒ ประการ คือ การเมืองภายนอกประเทศ ได้แก่ การขยายอำนาจอย่างน่ากลัวของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสสู่อินโดจีน ยึดเวียดนามใต้ไปปกครอง ต่อมาก็เข้ามายึดเขมรซึ่งเป็นประเทศราชของไทยในปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ (๒๔๑๐) ต่อมาก็ยึดสิบสองจุไทยในพ.ศ. ๒๔๓๑ สมัยรัชกาลที่ ๕ และที่รุนแรงมากคือ ยึดฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (คือประเทศลาวในปัจจุบัน) ใน พ.ศ. ๒๔๓๖ หลังจากนั้นจากช่องโหว่ของสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ฉบับ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ซึ่งฝรั่งเศสสร้างขึ้น เพื่อจงใจที่จะขยายอำนาจเข้ามาในภาคอีสาน ทำให้ไทยไม่สามารถมีกำลังทหารในเขตรัศมี ๒๕ กิโลเมตรทางฝั่งขวา แม้กระทั่งจะเก็บภาษีในพื้นที่ดังกล่าวก็ไม่ได้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    (๓) นอกจากนี้ข้าราชการฝรั่งเศสและเอเย่นต์ฝรั่งเศสยังใช้กำลังข่มเหงคนไทยและข้าราชการไทยในภาคอีสานที่อยู่ในเขต ๒๕ กิโลเมตรด้วย ต่อมาก็เกิดข่าวลือว่า "ผู้มีบุญจะมาแต่ตะวันออก เจ้าเก่าหมดอำนาจ ศาสนาก็สิ้นแล้ว...บัดนี้ฝรั่งเศสเข้าไปเต็มกรุงเทพฯ แล้ว กรุงจะเสียแก่ฝรั่งเศสแล้ว"(๔)อำนาจที่ถดถอยลงของรัฐบาลไทยในสายตาของชาวอีสานจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะรวมพลังกันต่อต้านจึงได้เกิดขึ้น
    ส่วนประเด็นสาเหตุจากภายในก็คือ การปฏิรูปการปกครองของรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้ระบบการปกครองกระชับ ส่วนกลางสามารถควบคุมหัวเมืองได้เต็มที่ โดยการส่งข้าหลวงใหญ่และข้าราชการเป็นจำนวนมากมาทำงานในภาคอีสาน ทำให้ขุนนางท้องถิ่นไม่พอใจ ยิ่งส่วนกลางส่งคนมาเก็บภาษีต่างๆ โดยตรง ยิ่งทำให้ขุนนางท้องถิ่นไม่พอใจยิ่งขึ้น เพราะผลประโยชน์ที่เคยได้รับลดลงมาก เช่น ภาษีส่วย หรือเรียกในตอนนั้นว่า "เงินข้าราชการ" ซึ่งชายฉกรรจ์อีสานจะต้องเสียคนละ ๔ บาท ขุนนางท้องถิ่น ๗-๘ ตำแหน่ง ได้รับรวมกันเพียง ๕๕ สตางค์ หรือร้อยละ ๑๓.๖๗ เท่านั้น ส่วนกลางได้รับถึง ๓.๔๕ บาท หรือร้อยละ ๘๖.๓๓(๕)
    ๒. สาเหตุด้านสังคมเศรษฐกิจ ประเด็นที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวอีสานเป็นอันมาก คือ ภาษีส่วยหรือเงินข้าราชการที่เก็บจากชายฉกรรจ์คนละ ๔ บาท (มูลค่าปัจจุบันประมาณ ,๕๐๐-๔๐๐๐ บาท) ที่เดือดร้อนเพราะคนอีสานสมัยนั้นเกือบทั้งหมดมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงิน เพราะผลิตปัจจัยสี่ได้เอง อยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง มีแต่คนที่อยู่ในเมืองซึ่งมีจำนวนน้อยมากที่ต้องใช้เงิน ชายฉกรรจ์อีสานในชนบทจึงลำบากมากในการหาเงินมาเสียภาษีส่วย ๔ บาท เช่น ผู้เฒ่าคนหนึ่งอายุเกือบ ๑๐๐ ปี ให้สัมภาษณ์ผู้เขียนเมื่อ ๒๓ ปีที่แล้วว่า ท่านต้องหาบไก่ ๑๖ ตัว เดินทาง ๑๔๐ กิโลเมตร จากอำเภอมัญจาคีรี เอาไปขายที่ตลาดเมืองโคราชตัวละ ๑ สลึง ได้เงินมาเสียภาษีส่วย ๔ บาทดังกล่าว สำหรับคนไม่มีเงินเสียภาษีดังกล่าวก็ถูกเกณฑ์ไปทำงานโยธา ๑๕ วัน เช่น ขุดสระน้ำ (เช่น บึงผลาญชัย จังหวัดร้อยเอ็ด) สร้างถนน สนามบิน ถางหญ้าข้างศาล เป็นต้น(๖) ประกอบกับช่วงก่อนเกิดกบฏผู้มีบุญเกิดฝนแล้งในมณฑลอีสานติดต่อกัน ๒-๓ ปี(๗) ยิ่งเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนให้กับชาวอีสาน เมื่อมีคนมาปลุกระดมในรูปหมอลำ ทำให้ชาวอีสานเกิดความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น (นักการเมืองไทยปัจจุบันก็ทำอย่างนี้) จึงมีชาวอีสานเป็นจำนวนมากเชื่อตาม บางส่วนก็เข้าร่วมกระบวนการไปเลย
    เป้าหมายของฝ่ายกบฏผู้มีบุญ
    เมื่อพูดถึงเป้าหมายของฝ่ายกบฏต้องพิจารณาว่าเป้าหมายของใคร เพราะฝ่ายกบฏมีหลายกลุ่มและหลายระดับ หากพิจารณาในกลุ่มผู้นำ อาจแบ่งได้ ๓ กลุ่ม กล่าวคือ กลุ่มองค์มั่นซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอำนาจมากที่สุด มีเขตอิทธิพลอยู่ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ และบางส่วนของมุกดาหารและลาวใต้ริมแม่น้ำโขงฝั่งซ้ายในปัจจุบัน กลุ่มนี้มีเป้าหมายชัดเจนมากคือขับไล่อำนาจของไทยออกไป โดยเฉพาะการยึดเมืองอุบลราชธานีศูนย์กลางอำนาจของไทยในอีสานตะวันออกแล้วตั้งรัฐขึ้นมาใหม่ โดยจะให้องค์มั่นปกครองอยู่ที่เวียงจันทน์ สมเด็จลุนวัดบานไชยปกครองที่อุบลราชธานี องค์เล็ก (เหล็ก) บ้านหนองซำปกครองที่หนองโสน (เมืองอยุธยา) องค์พระบาทและองค์คุธปกครองที่พระธาตุพนม(๘) ส่วนลาวใต้ด้านฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ถ้าขับไล่ฝรั่งเศสออกไปได้ องค์แก้วและองค์กมมะดำ (ผู้นำชาวข่า) จะเป็นผู้ปกครอง(๙)
    ส่วนกลุ่มบุญจัน ลูกเจ้าเมืองขุขันธ์คนก่อนและเป็นน้องชายพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ในขณะนั้น มีเป้าหมายอยู่ที่การยึดเมืองขุขันธ์ เพื่อตั้งตนจะได้เป็นเจ้าเมือง(๑๐)
    ส่วนผู้นำกบฏกลุ่มอื่นๆ ซึ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ เป้าหมายไม่ชัดเจน เช่น กบฏผู้มีบุญบ้านมาย เมืองสกลนคร กลุ่มจารย์เข้มตั้งตัวเป็น "ท้าววิษณุกรรมเทวบุตร" ไม่มีหลักฐานว่าจะล้มล้างหรือต่อต้านอำนาจรัฐ แต่บทบาทที่เขาทำอยู่คือ รดน้ำมนต์และรักษาคนป่วย(๑๑) กบฏผู้มีบุญเมืองกาฬสินธุ์ กลุ่มยายหย่า ยายหยอง อ้างตัวว่าเป็นพระศรีอริยเมตไตรยกลับชาติมาเกิด ก็ไม่มีหลักฐานว่าต่อต้านอำนาจรัฐ หรือเป้าหมายทางการเมืองแต่อย่างใด บทบาทที่ทำอยู่คือ ความสามารถในการทำพิธีเสี่ยงทายและให้โชคลาภแก่ผู้ที่มาขอเสี่ยงทายได้(๑๒)
    ส่วนในระดับชาวบ้านเข้าไปร่วมกับฝ่ายกบฏด้วยเหตุผลต่างๆ กัน เช่น อยากเห็นสังคมใหม่ที่อุดมสมบูรณ์บ้าง ต้องการให้ผู้มีบุญเสกกรวดให้เป็นทองบ้าง บ้างก็เข้าไปร่วมเพราะศรัทธาในผู้มีบุญ(๑๓) โดยไม่ทราบว่าเป้าหมายของผู้มีบุญคืออะไร ผู้มีบุญจะพาไปไหน คนที่เข้าไปร่วมกลุ่มผู้มีบุญมีน้อยกว่าคนที่แตกตื่นในคำพยากรณ์และข่าวลือ ซึ่งในเอกสารชั้นต้นระบุว่า "มณฑลอีสานกำลังตื่นผู้มีบุญทุกแห่งทุกตำบล" "ราษฎรทุกเมืองในมณฑลอุดรพากันแตกตื่นฦาว่าผู้มีบุญ"(๑๔) ในอีสานใต้ข่าวลือเรื่องผู้มีบุญขยายทั่วจากมณฑลอีสานถึงมณฑลนครราชสีมา(๑๕)

    วิธีการของฝ่ายกบฏผู้มีบุญ
    สำหรับวิธีการของผู้มีบุญส่วนใหญ่ที่ใช้เพื่อระดมผู้คนจนหลายแห่งได้คนมากพอที่จะต่อต้านอำนาจรัฐ แต่หลายแห่งก็ถูกปราบลงเสียก่อนที่จะต่อต้านอำนาจรัฐ สรุปได้ดังนี้
    ๑. การปล่อยข่าวลือ คำพยากรณ์ ผู้ปล่อยข่าวคือหมอลำและผู้ที่ต่อมาประกาศตัวเป็นผู้มีบุญกับชาวบ้านที่ได้ฟังแล้วบอกต่อ หมอลำเป็นผู้ที่สร้างความบันเทิงให้กับชาวอีสานมานานมากเหมือนกับนักร้องในปัจจุบัน แต่หมอลำทำได้มากกว่านักร้อง เพราะเนื้อหาหรือตัวสาระที่ถูกส่งผ่านไปถึงผู้ฟังไม่ใช่มีแต่การเกี้ยวพาราสีความรัก หรือนิทานสนุกๆ เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ยากของชาวอีสาน โจมตีคนไทยว่าใจร้ายและสาปแช่งคนไทยให้ตาย ("ฝูงไทยใจฮ้าย ตายสิ้นบ่หลอ") หรือไม่ก็ปลุกระดมไล่คนไทย "ไล่ไทยเอาดินคืนมา...ฆ่าไทยเสียให้หมด"(๑๖) ซึ่งเนื้อหาสาระเหล่านี้ เป็นสิ่งปลุกสำนึกให้ชาวอีสานบางส่วนต่อต้านอำนาจรัฐและเกิดความหวังว่าจะมีสังคมใหม่ที่ดีกว่าสังคมที่เขาเป็นอยู่ในขณะนั้น
    เนื่องจากการแตกตื่นต่อคำพยากรณ์ไปทั้งภาคอีสาน ทางการไทยจึงให้พระยาสุรเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิไชย ข้าหลวงพิเศษช่วยตรวจราชการระงับปราบปรามผู้ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษหรือผู้มีบุญในมณฑลอีสาน รวบรวมข่าวลือ หรือคำพยากรณ์ต่างๆ โดยสอบถามจากผู้ใหญ่บ้านและราษฎรตามระยะทางจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี สรุปข่าวเล่าลือได้ดังนี้
    "
    ๑. กรวดแร่ที่ข้างวัดหนองเลา หนองซำ แขวงเมืองเสลภูมินั้น ถ้าใครไปนำเข้าพิธีก่อพระเจดีย์ทราย ระฤกถึงผู้มีบุญบูชาไว้แล้ว ถึงวันอาทิตย์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีฉลูตรีศก ศักราช ๑๒๖๓ ตรงกับวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๐ (ตรงกับปฏิทินแบบปัจจุบัน พ.ศ. ๒๔๔๕) กรวดแร่นั้นจะกลายเป็นเงินทอง
    ๒. ข่าวที่ลือว่าตัวไหม ๑ หมู ๑ กระบือเขาตู้ ๑ สามอย่างนี้ ถ้าแม้ว่าผู้ใดมีไว้ กรวดแร่ของผู้นั้นจะไม่กลายเป็นเงินทองให้ตามประสงค์ กับทั้งสิ่งของเหล่านั้นจะกลับกลายเป็นโทษด้วย กล่าวคือ ตัวไหมจะกลายเป็นงู แลเงือกถอดเขี้ยวขบกัดเจ้าของ หมูและกระบือเขาตู้จะกลายเป็นยักษ์เที่ยวกินคน
    ๓. รากไม้ที่อยู่ตามฝั่งน้ำซึ่งเป็นฝอยละเอียด ๑ ฟักเขียว ๑ ดอกจาน (ทองกวาว) ๑ ของ ๓ อย่างนี้จะกลายเป็นของมีประโยชน์ กล่าวคือ รากไม้ที่อยู่ตามฝั่งน้ำเป็นฝอยละเอียดนั้นจะกลายเป็นไหมให้เก็บมาไว้จะได้ไม่ต้องลำบากเลี้ยงไหมต่อไป ฟักเขียวจะกลายเป็นช้าง ราษฎรพากันตื่นเต้นซื้อมาเก็บรักษาไว้เป็นอันมาก ดอกจานจะกลายเป็นครั่งสำหรับย้อมไหม ราษฎรได้พากันเก็บรักษาไว้ทุกบ้าน
    ๔. ข่าวลือว่าถึงวันอาทิตย์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีฉลูตรีศก ศักราช ๑๒๖๓ ตรงกับวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๐ จะเกิดลมพายุจัด จนตัวคนก็อาจปลิวไปกับลมได้ แลจะมืด ๗ วัน ๗ คืน ให้หาไม้ลิ้นฟ้า (คือไม้เพกา) มาไว้สำหรับจะได้จุดไฟอาไศรยแสงในเวลาที่จะมืด ๗ วัน ๗ คืน และให้ปลูกต้นสิงไค (คือกอตะไคร้) ไว้ที่บรรไดเรือน เมื่อเวลาลมพายุพัดมาจะได้ยึดเหนี่ยวกอตะไคร้ ถ้าไม่ฉะนั้นตัวคนจะปลิวไปกับลมนั้น
    ๕. เงินของราษฎรที่มีอยู่จะกลายเป็นเหล็ก ให้พากันจัดแจงซื้อของเสียให้สิ้น เพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเปล่า
    ๖. หญิงสาวที่ยังไม่มีสามีให้ไปเที่ยวหาสามีเสีย และให้คิดเอาสินสอดแก่ชายแต่เพียง ๑ อัฐ ๑ โสฬส (๑ อัฐ = ๑.๕๖ สตางค์, ๑ โสฬส = ๐.๗๘ สตางค์, ๑ อัฐ ๑ โสฬส = ๒.๓๔ สตางค์) เท่านั้น ถ้าหญิงใดจะหาชายที่ยังไม่มีภรรยามิได้ จะยอมเป็นภรรยาชายที่มีภรรยาก็ได้ แต่ต้องเสียอัฐให้แก่ภรรยาเดิม (คือภรรยาหลวง) ๔ อัฐ เป็นค่าซื้อสามีแก่กัน ถ้ามิฉะนั้นยักษ์จะกินเสียทั้งสิ้น...
    ตามความที่เล่ามานี้ราษฎรตื่นเต้นมาก..."(๑๗)
    คำเล่าลือที่กล่าวมานี้ ไม่เพียงแต่เล่าลือกันต่อๆ ไปในวงกว้างเท่านั้น แต่มีคนจำนวนมากเชื่อคำเล่าลือด้วย ที่ศรีสะเกษราษฎรตื่นเต้นในข้อที่ว่า เงินทองจะกลายเป็นเหล็ก จึงเที่ยวซื้อสิ่งของเกือบทั้งเมืองโดยไม่ต่อราคาแต่อย่างใด เงินที่เหลือก็โยนทิ้งและให้พ่อค้าจีนไปทั้งหมด ทำให้พ่อค้าจีนร่ำรวยไปตามๆ กัน เพราะราษฎรพากันเชื่อว่า "ถ้าเอาเงินไว้เมื่อเงินกลายเป็นเหล็กแล้ว กรวดแร่ที่เก็บมาบูชาก็จะกลายเป็นทอง"(๑๘) ความเชื่อเช่นนี้ปรากฏแทบทุกแห่ง ราษฎรพากันเก็บกรวดแร่บูชาแทบทุกบ้านทุกเมือง "จากอุบลฯ ถึงสังฆะ พลอยเป็นบ้าไปตาม พูดแต่เรื่องผีบุญไม่ขาดวัน ไปถึงบ้านใดตำบลใด ผู้ใดมาถามไม่ว่าหญิงชาย เด็กผู้ใหญ่ จนถึงผู้ว่าราชการบ้านเมือง ก็มาถามแต่เรื่องนักบุญ...ทรงทราบข่าวถึงมณฑลนครราชสีมา"(๑๙) นี่คือส่วนหนึ่งในรายงานของพระญาณรักขิต บางแห่งนับตั้งแต่ราษฎรไปจนถึงข้าราชการตื่นข่าวเรื่องผีบุญมากจนไม่ทำงาน บางแห่งข้าวในนาก็ไม่เกี่ยว ให้โคกระบือกินเสียเปล่า ไร่สวนที่อ้อยพากันละทิ้งโดยมาก(๒๐) เพราะคิดว่าจะรวยกันแล้วด้วยวิธีง่ายกว่าคือ เก็บกรวดมาบูชาให้กลายเป็นเงินทอง หลายแห่งหญิงสาวที่เชื่อคำเล่าลือ ยอมเสียเงินให้หญิงที่มีสามีเพื่อซื้อสามี เพราะกลัวว่าหากไม่มีสามีจะถูกยักษ์กิน(๒๑)
    จะเห็นว่าข่าวลือดังกล่าวทำให้ชาวบ้านเกิดความหวาดกลัวเภทภัยที่จะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือและกลุ่มผู้มีบุญเกิดขึ้นมากมายหลายกลุ่ม เพื่อจะช่วยทำให้ชาวบ้านเกิดความหวังขึ้นมาว่าท้าวธรรมิกราชหรือผู้มีบุญจะมาช่วยปลดเปลื้องเภทภัยและความทุกข์ยาก
    ๒. มีการใช้พิธีกรรม เพื่อสร้างความศรัทธาในตัวผู้มีบุญและช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ของชาวบ้าน หรือไม่ก็สร้างความหวังให้กับชาวบ้าน เช่น การรดน้ำมนต์พร้อมเสกเป่าคาถา ทำโดยพระและผู้มีบุญ ที่เมืองยโสธร พระครูอิน วัดบ้านหนองอีตุ้ม พระครูวิมล วัดอัมพวัน และครูอนันตนิคามเขต วัดสิงห์ท่า เป็นผู้ทำพิธีตัดกรรมจองเวร ด้วยการรดน้ำมนต์เสกเป่าล้างบาปกรรมความชั่วต่างๆ และเอาเงินที่ชาวบ้านถวายมาบูชาพระธาตุคำบุ พิธีกรรมดังกล่าว ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการล้างบาป ทำให้ตัวบริสุทธิ์เพื่อรอคอยเจ้าผู้บุญ(๒๒)หลายแห่งมีพิธีกรรมเกี่ยวกับหินแฮ่ ชาวบ้านหลายพื้นที่เชื่อว่ามีหินแฮ่จะกลายเป็นเงินทอง เช่น ที่บ้านหัวขัว อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม กุดแฮ่ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี พระธาตุคำบุ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร บ้านหนองซำ อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ชาวบ้านพากันไปเก็บหินแฮ่ในที่ดังกล่าวเอามาล้าง เอาของหอมลงใส่หม้อมีผ้าขาวปิดเอาไว้บนหิ้ง ก่อนบูชาทำพิธีบายศรีสู่ขวัญหินแฮ่เสียก่อน ทำพิธีสู่ขวัญเสร็จก็ต้องว่าคาถาสำหรับบูชาหินแฮ่อีก นอกจากนั้นยังมีข้อห้ามมิให้นำควายเขาตู้เข้ามาไว้ใต้ถุนเรือน ห้ามกล่าวคำหยาบทั้งเวลาที่ไปเก็บหินแฮ่และเวลาเอาหินแฮ่มาเก็บไว้ในเรือน มิฉะนั้นหินแฮ่ก็จะไม่กลายเป็นเงินทอง(๒๓)
    ๓. การขยายความเชื่อ และเพิ่มจำนวนคนที่เชื่อเรื่องผู้มีบุญด้วยการคัดลอกคำพยากรณ์ซึ่งปรากฏในรูปของหนังสือผู้มีบุญ หนังสือท้าวพระยาธรรมิกราช หนังสือพระยาอินทร์ และตำนานพื้นเมืองกรุง ซึ่งการคัดลอกคำพยากรณ์ดังกล่าวนี้ก็คือวิธีการของจดหมายลูกโซ่ ในปัจจุบันนั่นเอง จึงขอสรุปคำพยากรณ์ ซึ่งเรียกชื่อแตกต่างกันเป็น ๔ แบบ ดังนี้
    หนังสือผู้มีบุญ มีลักษณะเป็นคำพยากรณ์ว่าแต่ละเดือนจะเกิดอะไรขึ้น เช่น เดือน ๙ เลือดจะท่วมเล็บช้าง ผัวเมียจะพลัดพรากจากกัน แต่ลูกที่ตายไปแล้วจะได้กลับคืน เดือน ๕ ขึ้น ๖ ค่ำ พระอินทร์จะมาตรวจว่าใครทำบาปแล้วลงโทษผู้นั้น ในหนังสือยังสั่งสอนให้คนรีบทำบุญ ยึดมั่นในศีล ๕ เคารพพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ แล้วพระอินทร์จะบันดาลให้มีแก้วแหวนเงินทองให้ ให้คัดลอกหรือบอกต่อเรื่องที่ปรากฏในหนังสือนี้ ถ้าบ้านใดไม่มีหนังสือนี้ในบ้าน ผู้คนในบ้านนั้นจะต้องตายหมด ในท้ายหนังสือนั้นระบุคาถาป้องกันตัวและคาถาเรียกเงินเข้าไหด้วย(๒๔)
    หนังสือท้าวพระยาธรรมิกราช คล้ายปูมโหร กล่าวถึงผู้มีบุญ สิ่งประหลาดมหัศจรรย์ตามที่ต่างๆ เช่น ท้าวหมายุย อยู่บ้านหนองยาง พระยาลิ้นก่านอยู่บ้านหนองซำ พระเกตสัตฐาวิหาเจ้าฟ้าธรรมิกราชอยู่บ้านนาเลา ท้าวหูระมาน ท้าวบุญรอด อยู่บ้านเสียว กล้วยมีผลเป็นทองอยู่บ้านเสียว ควายมีเขาเป็นแก้วอยู่บ้านหัวดง กาเผือกกาลายอยู่บ้านหนองไฮ ตาลเจ็ดยอดอยู่บ้านเม็กน้อย จะเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ มีการปล้นสะดม ทุกข์ยากกันไปทั่ว ในตอนท้ายมีคำสอนให้ทำความดี อย่าเห็นแก่เงินทอง ให้เคารพครูบาอาจารย์พ่อแม่ คนแก่คนเฒ่า ให้ยึดมั่นในศีล ๕ ศีล ๘ ให้ฟังธรรมและเขียนหนังสือนี้ บอกต่อๆ กันไปจะได้อายุยืนและได้พบผู้มีบุญในวัน ๑๕ ค่ำ ท้ายหนังสือระบุคาถาป้องกันตัวให้พ้นจากมารยักษ์ทั้งปวง(๒๕)
    หนังสือพระยาอินทร์ ในหนังสือมีเนื้อหาอบรมสั่งสอนให้คนทำบุญทำทาน รักษาศีล ๕ ศีล ๘ เคารพคนแก่พ่อแม่ครูบาอาจารย์แล้วจะร่ำรวย ให้คัดลอกหนังสือเล่มนี้ไว้ หากบ้านใดไม่มีหนังสือนี้คนในบ้านจะต้องตาย เนื้อหายังกล่าวถึงยักษ์ชื่อต่างๆ ที่จะบันดาลให้เกิดความวิบัติต่างๆ เช่น เรยายักษ์จะลงมาทำให้คนตายด้วยความอดอยาก จักร์พายักษ์จะลงมาเป็นเหตุยุยงให้คนฆ่าฟันกันตาย ในตอนท้ายจะมีคำทำนายว่า ปีกุนจะเกิดแผ่นดินไหว ฟ้าร้องฟ้าผ่า จะมียักษ์มากิน ท้าวพระยาเสนาอำมาตย์และไพร่ที่ไม่ตั้งในศีลธรรม เป็นต้น ในหนังสือเล่มนี้มีคาถาให้ไว้ป้องกันตัวด้วย(๒๖)
    ตำนานพื้นเมืองกรุง มีเนื้อหาเล่าถึงความเป็นมาของกรุงศรีอยุธยาซึ่งต่างไปจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยามาก ตอนท้ายมีคำพยากรณ์ต่างๆ เช่น ปีมะโรงคนจะหลบหนีไปอยู่ตามป่า กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ปีมะแมพ่อลูกจะพลัดพรากจากกัน ปีระกาและปีจอจะเกิดฟ้ามืดมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ ถ้าหากต้องการพ้นภัยจะต้องรักษาศีล ทำบุญทำทาน พระยาธรรมิกราชจะให้คาถาไว้ป้องกันตัว ใครไม่เชื่อจะตายภายใน ๗ วัน ใครเชื่อจะอายุยืน จะได้พบผู้มีบุญในเดือน ๑๐ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีกุน(๒๗)

    จะเห็นว่าจดหมายลูกโซ่ที่เรียกว่าหนังสือพยากรณ์ของผู้มีบุญที่กล่าวมานี้ มีลักษณะคล้ายกันคือ ทำนายว่าจะเกิดภัยพิบัติต่างๆ แต่ถ้าคนอยู่ในศีลในธรรม เชื่อในผู้มีบุญ ท่องคาถาของผู้มีบุญก็จะไม่เป็นอันตรายจากภัยพิบัติ
    ผลของจดหมายลูกโซ่ดังกล่าวทำให้ข่าวลือของผู้มีบุญกระจายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเชื่อว่าถ้าไม่คัดลอกหนังสือดังกล่าว ไม่บอกต่อแล้วจะเกิดภัยพิบัติต่างๆ การคัดลอกและการบอกต่อเป็นการกระทำที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก ในขณะที่ถ้าไม่ทำก็เสี่ยงต่อชีวิตของตนและคนในครอบครัวจะเป็นอันตราย การแพร่ของข่าวลือมีอย่างกว้างขวาง นับว่าเป็นความฉลาดมากของคนที่คิดวิธีการกระจายข้อมูลข่าวสารแบบนี้ซึ่งเป็นวิธีที่ผู้คิดไม่ต้องลงทุน แต่ได้ผลมากๆ ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรม (Innovation) ที่ล้ำสมัยมาก ยังไม่พบหลักฐานว่า ใครเป็นคนแรกที่คิด "จดหมายลูกโซ่" ที่ว่านี้ เข้าใจว่าเป็นไอเดียของกลุ่มผู้นำของกบฏผู้มีบุญที่คิดวิธีนี้ขึ้นนับเป็น "จดหมายลูกโซ่" ฉบับแรกของเมืองไทย
    การปราบปรามกบฏของรัฐบาล
    เนื่องจากมีกบฏผู้มีบุญเกิดขึ้นหลายแห่งในภาคอีสาน ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะกลุ่มที่สำคัญๆ เพียง ๓ กลุ่มโดยสังเขป
    ๑. กบฏกลุ่มบุญจันเมืองขุขันธ์ กลุ่มนี้เป็นกบฏผู้มีบุญอีสานที่ใหญ่ที่สุด มีสมาชิกที่มาเข้าร่วมถึง ๖,๐๐๐ คน หัวหน้ากบฏชื่อบุญจัน เป็นบุตรเจ้าเมืองขุขันธ์คนก่อนและเป็นน้องชายของผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์ในขณะนั้น เขาไม่ถูกกับพี่ชายในเรื่องตำแหน่งเจ้าเมืองมากกว่าสาเหตุอื่น ได้ตั้งตัวเป็นผู้มีบุญซ่องสุมกำลังอยู่ที่ภูฝ้าย ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน การก่อตัวของกบฏกลุ่มนี้ทำให้กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลอีสานทรงวิตกกังวลมาก เพราะข่าวการก่อตัวของกบฏผู้มีบุญที่รายงานเข้ามามีหลายที่ แต่กลุ่มนี้ดูจะน่าเกรงขามกว่ากลุ่มอื่น เพราะมีกำลังมาก พระองค์ทรงรีบโทรเลขถวายรายงานให้รัชกาลที่ ๕ ทรงทราบโดยในทางกรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย โทรเลขฉบับนั้นทำให้รัชกาลที่ ๕ ทรงเรียกประชุมเสนาบดีเป็นการด่วนและประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องกบฏผู้มีบุญอีสานถึง ๒ วัน คือ ในวันที่ ๒๗ และ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ (นับอย่างปัจจุบัน ๒๔๔๕) ที่ประชุมมีมติให้กรมยุทธนาธิการสั่งทหารพร้อมอาวุธครบมือ ๑๐๐ คนไปปราบกบฏผู้มีบุญเมืองขุขันธ์ และให้ทหารโคราชอีก ๒๐๐ คน เตรียมพร้อม(๒๘) แต่ก่อนที่กองทหารจากโคราชจะไปถึง กองทหารลาดตระเวนส่วนหน้าที่กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ทรงส่งไปสมทบกับกำลังจากเมืองขุขันธ์รวมกันไม่เกิน ๕๐ คน มีร้อยเอกสาย ธรรมานนท์ (ต่อมาได้เลื่อนยศเป็นพลโท พระยาฤทธิเกรียงไกรหาญ) เป็นผู้บังคับบัญชา ได้เกิดปะทะกับกองระวังหน้าของฝ่ายกบฏในวันที่ ๑๑ และ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ (๒๔๔๕) ผลการปะทะกัน บุญจันและลูกน้องถูกยิงตายประมาณ ๑๐ คน ที่เหลือพากันแตกหนีไป บุญจันและลูกน้องถูกตัดศีรษะเอามาเสียบประจานที่เมืองขุขันธ์ เพื่อให้คนทั้งหลายเห็นว่าบุญจันไม่ใช่ผู้วิเศษและเป็นการปรามมิให้ราษฎรก่อการกบฏขึ้นมาอีก(๒๙)
    ๒. กบฏกลุ่มองค์มั่น เป็นกบฏผู้มีบุญอีสานที่โด่งดังที่สุด เพราะมีความเข้มแข็งมากที่สุดถึงขนาดเคลื่อนทัพหมายจะเข้ายึดเมืองอุบลราชธานีซึ่งเป็นกองบัญชาการมณฑลอีสานจนเกิดปะทะกัน ฝ่ายกบฏล้มตายมากมาย หัวหน้ากบฏคือองค์มั่น บ้านกะจีน แขวงโขงเจียม ตอนนั้นขึ้นกับเมืองเขมราฐ เขาได้ตั้งตัวเป็นองค์ปราสาททองหรือพระยาธรรมิกราชมีคนนับถือมากทั้ง ๒ ฝั่งโขง เขาได้ร่วมมือกับองค์แก้วผู้นำกบฏผู้มีบุญด้านฝั่งซ้ายที่ตั้งตัวต่อต้านอำนาจฝรั่งเศสร่วมกับองค์ยี่หรือพ่อกระดวด ผู้นำกบฏที่สำคัญมากในพื้นที่ลาวใต้ของฝรั่งเศส(๓๐) นอกจากองค์มั่นแล้วยังมีผู้นำรองๆ อีก ๕ คน เป็นแกนนำ คือ องค์เขียว องค์ลิ้นก่าน องค์พระบาท องค์พระเมตไตร และองค์เหลือง ฝ่ายกบฏได้ปลุกระดมราษฎรทั้ง ๒ ฝั่งโขง ในฝั่งขวา (คือฝั่งอีสาน) ได้กำลังจากอำเภอโขงเจียม อำเภอตระการพืชผล ในที่สุด ในวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ (๒๔๔๕) ฝ่ายกบฏได้เข้ายึดเมืองเขมราฐ จับเจ้าเมืองไว้เป็นตัวประกันและเป็นเครื่องมือแห่แหนให้คนเข้าเป็นพวก แต่ฆ่าท้าวกุลบุตร ท้าวโพธิสาร กรมการเมืองที่ไม่ยอมเข้ากับฝ่ายกบฏ ตอนนี้กำลังของกลุ่มองค์มั่นเพิ่มจาก ๒๐๐ เป็น ๕๐๐ คน และได้เผาเมืองเขมราฐ ปล่อยนักโทษจากคุก แล้วเคลื่อนกำลังมุ่งตรงมายังเมืองอุบลราชธานี มาตั้งทัพระดมพลอีกครั้งที่บ้านสะพือใหญ่ อำเภอตระการพืชผล ถึงตอนนี้มีคนมาเข้ากับองค์มั่น ๒,๕๐๐ คน แต่อาวุธไม่ทันสมัย มีปืนคาบศิลา ปืนแก๊ป มีดพร้า ฝ่ายกบฏได้สะสมเสบียงอาหารด้วย ฝ่ายกบฏได้ฆ่านายอำเภอพนานิคมซึ่งไม่ยอมเข้ากับฝ่ายกบฏด้วย(๓๑)
    กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ทรงได้รับข่าวการก่อกบฏหลายแห่ง จึงทรงแบ่งกำลังเป็น ๕ สาย สายละ ๖-๑๕ คน ออกไปลาดตระเวน ปรากฏว่า ๒ ใน ๕ สาย ได้เกิดการปะทะกับกองลาดตระเวนของกลุ่มองค์มั่น โดยสายที่ ๔ ซึ่งมีร้อยตรีหลี กับทหาร รวม ๑๕ คน ถูกฝ่ายกบฏฆ่าตาย ๑๑ คน ที่หนองขุหลุ ตำบลขุหลุ ทางใต้ของอำเภอตระการพืชผล สายที่ ๕ มีทหาร ๑๒ คน นำโดยร้อยเอก หม่อมราชวงศ์ร้าย ปะทะกับฝ่ายกบฏที่บ้านนาสมัย ตำบลนาสะไม ทางตะวันตกของอำเภอตระการพืชผล สู้กำลังฝ่ายกบฏไม่ได้แตกหนีมา ความพ่ายแพ
     
  3. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,678
    ผมเป็นคนนึงที่ไม่ชอบจดหมายลูกโซ่ มันทำให้เรารู้เลยว่าใครนับถือพระพุทธศาสนาจริงๆ กับแค่ผิวกาย เพราะคนส่วนใหญ่มักจะไม่ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง มักเอาอารมณ์ความกลัวเข้าครอบงำ ถ้าไม่งั้นจดหมายลูกโซ่ไม่เกิด แล้วเรื่องที่ อยู่ในคอลัมใบหนาดเรื่อง จดหมายลูกโซ่นี้ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นชัดๆ หากใช้ปัญญาพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว
     
  4. {ผู้ชนะสิบๆทิศ}

    {ผู้ชนะสิบๆทิศ} เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +917

    เขาอุส่าห์เอามาให้เราอ่านเพื่อความบันเทิง คุณเครียดกับชีวิตมากไปหรือเปล่าครับ!!!
     
  5. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,678
    สมัยเด็กๆเลิกนับถือศาสนาพุทธ เพราะตอนไปไหว้พระ เจอจดหมายลูกโซ่วางอยู่หน้าพระพุทธรูปเป็นปึก เกิดคำถามขึ้นมาในใจ ...นี่หรือเมืองพุทธ....
     
  6. yanindy

    yanindy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +6
    ถ้าได้จดหมายแปลกๆนะ เราจะอ่านจากท้ายสุดขึ้นมา
    ละถ้ามันบอกประมาณว่ามันคือจดหมายแบบนี้อ่ะ
    เราก็ทิ้งเลย เพราะเราไม่ใส่ใจมัน ปัญญาอ่อนมาก จม.แบบนี้อ่ะ
     
  7. superjunioryok

    superjunioryok Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +91
    ถ้าสเป็นจดหมายลูกโซ่นะ เราจะอ่านตั้งแต่ท้ายถ้ามันบอกว่าให้ส่งต่อภายใน10นาที ไม่งั้นคุณจะมีอันเป็นไป เราจะไม่อ่านเลย และก็จะฉีกทิ้งเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...