จิตเศร้าหมองแล้ว มีทุคติเป็นที่หวัง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 27 มิถุนายน 2013.

แท็ก: แก้ไข
  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เรายังโมโหไม่ถอย หนองแวงยังโกรธยังโมโห เดี๋ยวนี้ยังไม่ถอย เห็นคนมาแถวหนองแวงมาแถวนั้นอยากฆ่าให้หมด ตลอดหมูหมาเป็ดไก่มาผ่านหน้าไม่ได้ เคียดแค้นเหลือเกิน แต่ก่อนมันไม่มีบ้านนะ ตั้งลงจุดนั้นเป็นบ้านหนองแวง มีอยู่สองหลังสามหลังห่าง ๆ แต่เดี๋ยวนี้เป็นบ้านใหญ่โตแล้ว ชีวิตของหลวงตาเป็นชีวิตที่เรียกว่าลืมไม่ได้เลย บวชได้พรรษาเดียว ทีแรกเรานึกว่าเป็นพรรษาที่สอง เพราะเราอยู่ที่วัดโยธา(โยธานิมิตร) นี้ ๒ พรรษา จากนั้นก็ออกจนกระทั่งป่านนี้ เรานึกว่าเป็นพรรษาที่สองที่เป็นหัวหน้าไปสวดมนต์งานบุญข้าวเปลือกเขาที่นั่น ที่ไหนได้ไปเห็นหนังสือของเราพูดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่พรรษาแรกเลย โถ พรรษาแรกด้วยนะ

    คือพรรษาแรกนั้นเราเรียนสวดมนต์เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน ตามแต่จะจำสูตรไหน ๆ ทวนเอา ส่วนเจ็ดตำนานรู้สึกจะจบนั่นแหละในพรรษาแรกนะ พอเรียนจบเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน สวดมนต์แล้วก็เรียนปาฏิโมกข์จบในพรรษาเลยนะ ตั้งแต่บวชมากลางพรรษาเรียนปาฏิโมกข์จบ สวดปาฏิโมกข์ได้ในพรรษา นี่ละมันทำให้งง พรรษาเดียวมันจะมีอะไรไปเทศน์น้า เราว่างั้นนะ ถ้าพรรษาที่สองก็ยังพอคิดได้บ้าง แล้วเวลามาเห็นทีหลังเรื่องของเจ้าของได้อ่านผ่านเข้าเท่านั้น โอ๋ย ได้พรรษาเดียวนี่ นั่นถึงว่ามันเคียดแค้นไม่ลืมนะ ในชีวิตของพระเรามีคราวนี้ที่ไม่ลืมเลย

    ท่านพระครูเรานี่แหละ คือตอนนั้นตอนเขานิมนต์พระไปทำบุญลานนั้นลานนี้ ลานข้าวเขาน่ะ ทีนี้พระก็ไม่มีซิ ตกลงท่านก็เลยให้เราเป็นหัวหน้าหมู่เพื่อน อายุพรรษาเดียวกันนั่นแหละ เป็นแต่ว่าใครบวชก่อนคนนั้นก็เป็นหัวหน้าใช่ไหมล่ะ เราก็ได้เป็นหัวหน้าไปสวดมนต์ ตอนเช้าสวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็นิมนต์เทศน์ เราก็ได้หนังสือกัณฑ์เทศน์บาง ๆ กัณฑ์หนึ่งติดย่ามไป หมัดเดียวก็คงพอไม่ต้องสองหมัดสามหมัดเราว่า เอากัณฑ์เทศน์บาง ๆ ติดไปในย่าม พอจำเป็นก็เอานั้นออกเทศน์พอรอดตัวไปได้เข้าใจไหมล่ะ

    วันนั้นมันไปไม่รอดล่ะซี พอฉันเสร็จแล้วถูกเขานิมนต์เทศน์ก็งัดหนังสือออกมาเทศน์ พอเทศน์จบลงเรียบร้อยแล้วไม่นาน พวกทางบ้านยังไม่มาหลายบ้านนี่นะ มาในงานทำบุญลานข้าวเปลือก มาก็พะรุงพะรังมา มาเป็นลักษณะรีบร้อนเต็มที่ เป็นยังไง ๆ ท่านเทศน์จบแล้วเหรอว่างั้นนะ แห่กันเข้ามา ท่านเทศน์เรียบร้อยแล้วเหรอ เขาถือประเพณีว่าพอฉันเสร็จแล้วก็เทศน์ในงานทำบุญข้าวเปลือก เพราะฉะนั้นเขาจึงถามว่า หือ ท่านเทศน์เสร็จแล้วเหรอ แล้วอีตาคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เดี๋ยวนี้เรายังอยากตามฆ่ามันอยู่นะ หรือมันตายก่อนแล้วก็ไม่รู้ มันโมโห อู๊ย เทศน์จบแล้วก็จะไปยากอะไร ให้ท่านฉันเพลเสียก่อน ท่านเทศน์เมื่อไรก็ได้ ได้ซีมันไม่ได้เทศน์ เราเป็นคนเทศน์นี่มันโมโห พูดแล้วอยากไล่ตามฆ่ามัน

    ตกลงไม่มีทางไปจริง ๆ ให้ท่านฉันเพลเสียก่อนเรียบร้อยแล้วค่อยเทศน์ พรรษาเดียว ไปเห็นหนังสือเราที่พูดเรื่องไปงานนี้ ถึงได้ไปเห็นชัดจับดู โอ้โหย มันพรรษาเดียวนี่นะ เรานึกคาดเอาว่าเป็นสองพรรษา ที่ไหนได้เป็นพรรษาเดียว ถูกจับพลัดจับผลูเข้าไปเป็นหัวหน้า ไว้ท่านฉันเพลเสร็จแล้วค่อยเทศน์ เทศน์เมื่อไรก็ได้ ยากอะไร ยากอะไรก็มันไม่ได้เทศน์เราเป็นคนเทศน์นี่ กวนโมโห อยากฆ่ามันเสียด้วยนะ ฉันเพลนั้นน่ะ โอ๊ย ฉันไม่ได้นะฉันเพล ขนาดนั้นพูดจริง ๆ มันเป็นจริง ๆ มันคับมันแค้นแน่นหัวอก ไม่ทราบจะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟัง ขนมนางเล็กบาง ๆ ครึ่งแผ่นก็ยังจะไม่หมด มันแค้น วันนั้นได้เท่านั้น ขนมนางเล็กเอารวมเสียอย่างมากครึ่งแผ่น มันแค้นมันกลืนไม่ลง คิดหาแต่คำเทศน์

    พอถึงเวลาแล้วทีนี้มันร้อนเป็นไฟไปหมดนะในหัวใจ โอ๊ย มันไม่ลืมนะ จะเทศน์อะไรให้เขาฟัง ในปีนี้เราก็เรียนแต่สวดมนต์ เรียนปาฏิโมกข์ เราไม่ได้เรียนภาษิตคำเทศนาว่าการอะไรเลยแล้วจะเอาอะไรมาเทศน์ให้ฟัง มันจำเป็นก็ต้องได้ขึ้นเวทีละ ตกลงก็ได้เทศน์ให้เขาฟัง ภาษิตที่เทศน์ก็ยังไม่ลืมนะ มันก็ได้เพียงสองสามภาษิตเท่านั้นก็พรรษาเดียว นอกนั้นเรียนแต่อย่างอื่นจนกระทั่งปาฏิโมกข์จบ อย่างอื่นได้ แต่เรื่องเทศน์เราไม่ได้สนใจก็ไม่ได้คิดได้ฝันว่าจะได้เทศน์นี่นะ ใครจะไปสนใจกับมัน พอโดนเข้ามาเท่านั้นแค้นไปหมดแน่นหัวอกเลย ขึ้นไปก็คิดได้แต่ภาษิตเดียว

    ภาษิตนั้นเราก็ไม่ลืม จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคฺติ ปาฏิกงฺขา มันมีสองบทแต่เราเอาบทเดียวเท่านั้น แต่เป็นคู่กันมีสองบท จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา แปลออกแล้วในเบื้องต้นที่เรายกขึ้นเทศน์ว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นที่หวังได้เลย ไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าจิตเศร้าหมองแล้วไปทุคติคืออบายภูมิทั้ง ๔ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน อบายภูมิทั้ง ๔ เราก็ยกภาษิตนั้นเทศน์ ภาษิตที่สองไม่ได้เทศน์ เทศน์ภาษิตเดียวมันก็จะตายแล้ว พอเทศน์พอสมควรแล้วก็จบลง

    เวลาเทศน์นั้นน่ะเดือนพฤศจิกาฯมันกำลังหนาว หน้านั้นกำลังหนาว อู๊ย เหงื่อแตกหมดทั้งตัวเลยนะวันนั้น มันหนาวหรือมันร้อนฟังซิน่ะ เราจึงไม่ลืม เดินผ่านไปแล้วมองเห็นไก่สูอย่าผ่านหน้ากูนะ กูยังโมโหไม่ถอยนะบ้านนี้น่ะ หมูหมาเป็ดไก่ผ่านถนนไปไม่ได้ สูตายนะ กูยังโกรธยังไม่ถอย สงฺกิลิฏฺเฐ นี่น่ะ เราเลยตั้งชื่อบ้านนี้เป็นบ้าน สงฺกิลิฏฺเฐ ไม่ได้เรียกบ้านแวงนะ พูดตลกกัน เรียกว่าบ้าน สงฺกิลิฏฺเฐ บ้านหลวงตาบัวจะตาย เรายังไม่ลืม

    ในชีวิตของพระนี้เกี่ยวกับเรื่องภายนอกกับประชาชน เทศน์กัณฑ์นี้ละ พอกลับมาถึงบ้านค้นหนังสือเลยที่นี่ ค้นหนังสือเจ้าคุณอุบาลี ท่านเทศน์เป็นกัณฑ์ ๆ เป็นเล่มเอาไว้ ค้นดู กัณฑ์ไหนชอบใจเอากัณฑ์นั้นมาท่องทีเดียว โอ๊ย ท่องคล่องยิ่งกว่าปาฏิโมกข์นะ ไปซิไปไหนกูไม่ตายละที่นี่ กัณฑ์เดียวเท่านี้พอแล้ว จนกระทั่งหนีจากวัดโยธาฯเลยไม่ได้เทศน์กัณฑ์นั้น เดี๋ยวนี้ลืมจนกระทั่งภาษิต ท่องคล่องเหมือนปาฏิโมกข์ ลืมหมดเลย จำไม่ได้ว่ายกภาษิตอะไรขึ้นที่เราท่องนะ ลืม ท่องเสียจนคล่องยิ่งกว่าท่องปาฏิโมกข์ ก็เลยไม่ได้เทศน์อีกนะ ต่อจากนั้นก็ไม่มี มีหนเดียวเท่านั้น ฝังในชีวิตของพระนี้มีหนเดียวเท่านี้ ฝังลึกนะเรา ถ้าลงฝังอะไรแล้วลึกจริง ๆ ไม่ได้เหมือนใครง่าย ๆ นะ ทุกอย่างไม่ว่าดีว่าชั่ว ฝังลึกทุกอย่าง ไม่ถอน อย่างที่เทศน์คราวนี้ก็ฝังในชีวิต

    จากนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ เรายังย้อนขึ้นไปคิดถึงเรื่องหัวอกจะแตก ทุกวันนี้เทศน์ทั่วประเทศไทยไม่ใช่เหรอ แล้วออกทั่วโลกไปเลยกับที่ว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐฯ อู๊ย เราไม่ลืมนะ คนคนเดียวนี่แหละ คนคนเดียวนี่นะคือจิตใจมันไม่เคยกับอรรถกับธรรมแล้วจะเอาธรรมไปเทศน์ได้ยังไง มันก็แน่นหัวอกละซิ จนตรอกจนมุม คราวนี้เป็นคราวจนที่สุด ครั้นต่อจากนั้นมาแล้วก็ไม่ได้เทศน์ แต่เทศน์มันก็พอจะถูไถไปได้เพราะเราเรียนไปเรื่อย ๆ เรียนปริยัติก็มีเทศน์แต่ก็ไม่เคยเป็นอย่างงั้น ก็เทศน์ไปได้ธรรมดาเพราะปริยัติเราก็เรียนมาแล้ว อธิบายตามปริยัติก็อธิบายไปได้ไม่จนตรอกแหละ ไม่ตาย

    Luangta.Com -

    บ้าน สงฺกิลิฏฺเฐ
    (คัดลอกมาบางส่วน)
     

แชร์หน้านี้

Loading...