ชีวิต ที่ต้องสู้ ของโยมแสง

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย พลังธรรม999, 28 มีนาคม 2016.

  1. พลังธรรม999

    พลังธรรม999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +129
    ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปที่จังหวัดสกลนครอีกครั้ง จริงๆแล้วข้าพเจ้าจะไปที่สกลนคร และ นครพนม ทุกปี ก่อนเข้าพรรษาบ้าง หลังจากออกพรรษาบ้าง แล้วแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย
    จังหวัดสกลนคร ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งธรรมะ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลายรูปหลายองค์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เราเชื่อกันว่า ท่านเหล่านั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลในทางพระพุทธศาสนา การที่ได้เห็นท่านถือว่าเป็นบุญตา การที่ได้เจรจากับท่านถือว่าเป็นบุญปาก การที่ได้ฟังธรรมจากท่านถือว่าเป็นบุญหู ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงชอบเดินทางไปกราบครูบาอาจารย์ ที่ข้าพเจ้าเคารพเลื่อมใส ในคุณศีล คุณแห่งธรรมของท่านเหล่านั้น เพื่อที่จะได้ฟังธรรมจากท่าน และตอนนี้ข้าพเจ้าก็ยังมีเรี่ยวแรงกำลัง สังขารยังเอื้ออำนวยต่อการเดินทางไกล......... อีกอย่าง การไปสู่สถานที่ใหม่ๆ ทำให้สติของเราตื่นตัวอยู่เสมอ,,,,,,, ข้าพเจ้าได้เข้าไปพักในสำนักสงฆ์ แห่งหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดพอสมควร สำนักสงฆ์แห่งนี้ข้าพเจ้าจะแวะมาพักทุกปี สถานที่แห่งนี้เป็นป่าช้าเก่า และที่สาธารณะของหมู่บ้าน ก็รวมๆกันแล้ว ก็หลายสิบไร่ ข้าพเจ้าได้รับการต้อนรับจากสหธรรมิกที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ( ถึงจะเป็นวัดป่าแห่งอื่นที่ไม่คุ้นเคย ข้าพเจ้าก็ไม่กังวลเพราะข้อวัตรปฏิบัติของวัดป่าสายต่างๆ จะคล้ายๆกัน คือ การปฏิบัติตามธรรมตามวินัย เราก็อยู่กันได้ ) ....... ขณะที่ข้าพเจ้าและท่านอาจารย์ชัย ที่เป็นสหธรรมิก กำลังนั่งสนทนากันอยู่ในศาลา ก็มีโยมคนหนึ่งเดินเข้ามาในศาลา ข้าพเจ้าจำได้แม่นว่า คือ โยมแสง นั้นเอง แกเข้ามาแล้ว แกก็ก้มลงกราบ
    โยมแสง : นานมากเลยนะครับ พระอาจารย์ที่ท่านไม่ได้แวะมาที่วัดแห่งนี้ พระอาจารย์สบายดีหรือครับ
    ข้าพเจ้า : ก็เกือบปีล่ะโยมเอ้ย .... อาตมาสบายดี แล้วโยมล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง
    โยมแสง : สบายดีครับ... นิมนต์พระอาจารย์พักอยู่นานๆนะครับ
    ข้าพเจ้า : ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละโยม คงจะพักอยู่หลายวันเหมือนกัน เพราะที่นี้เหมาะแก่การศึกษาธรรมะ
    เขาเรียกว่า สัปปายะ สถานที่สัปปายะ ธรรมะสัปปายะ บุคลลสัปปายะ อยู่แล้วสบายใจ
    โยมแสง : ถ้าอย่างนั้น นิมนต์ พระอาจารย์ จำพรรษาที่นี่เลยนะครับ
    ข้าพเจ้า : ยังรับปากไม่ได้หรอกโยม กาล เข้าพรรษายังอีกยาวไกล
    จากนั้นก็สนทนากันสักพักใหญ่ๆ หลาวพีชัย จึงชวนข้าพเจ้าไปดูกุฏิเพื่อหาที่พัก โดยมีโยมแสงช่วยถือบริขารตามไปส่ง เมื่อข้าพเจ้าได้ที่พักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โยมแสงก็กราบลา ขอตัวกลับบ้าน
    หลวงพี่ชัย : ดูท่าทางโยมแสงแกจะดีใจนะที่ได้เห็นท่าน
    ข้าพเจ้า : ถ้าคนเราเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ไม่ว่าเพศไหน สถานะไหน เมื่อเห็นหน้ากันแล้ว ย่อมรู้สึกดีต่อกันได้
    ..... แล้ว โยมแสง แกมาวัดทุกวันเหมือนเดิมไหมครับ?
    หลวงพี่ชัย : ก็มาวัดทุกวันเหมือนเดิมนั้นแหละ บางช่วงแกแทบไม่อยากกลับบ้านก็มี โดยเฉพาะเวลาที่อาของแก เมามา
    เขาจะชอบด่าแก หาเรื่องแกเป็นประจำ บางทีแกมาวัด แกจะมานั่งเหม่อ น้ำตาแกจะไหลออกมา
    โดยไม่รู้ตัว
    ข้าพเจ้า : โยมแกมีเรื่องอะไรกับอาของแกหรือครับ?
    หลวงพี่ชัย : โยมแสง แกเป็นกำพร้า แก่อยู่กับย่าและอาของแก อาของก็แต่งงานแล้วมีลูกแล้ว อยู่กับแบบครอบครัวใหญ่ โยมแสง ก็อย่างที่ท่านเห็นนั้นแหละ แกเป็นคนพิการ ทำงานหนักไม่ได้ ไม่สามารถช่วยงานในไร่ในนาได้ แต่แกก็พยายาม ทำงานบ้านต่างๆ ตั้งแต่นึ่งข้าว ทำกับข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้าให้กับทุกคนในบ้าน อาของแกไม่ชอบที่แกทำงานหนักไม่ได้ ประกอบกับความยากจนนั้นแหละท่านเอ้ย..... ถ้าเขาไม่ยากจน ไม่ลำบาก โยมแสงคงมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ ...... โยมแสงแก อยากบวช แต่แกพิการบวชไม่ได้ ผมก็ให้กำลังใจแกไปว่า เราบวชกายไม่ได้แต่เราบวชใจได้นะโยม ผมเคยคุยกับพระอาจารย์เจ้าอาวาส ขอให้โยมแสงมาอยู่ที่วัดได้ไหม พระอาจารย์ท่านก็ไม่ขัดข้อง แต่โยมแสงแกไม่มา แกบอกว่า เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะตำหนิได้ว่า เอาคนทำมาหากินไม่ได้มาอยู่วัด จะมาเป็นภาระให้กับวัดเปล่าๆ
    ข้าพเจ้า : แต่แก ก็เข้ามาช่วยงานวัดตลอดนี่ครับ กวาดลานวัด กวาดถูศาลา และงานอื่นๆ ถ้าแกทำได้
    หลวงพี่ชัย : พรุ่งนี้ ท่านลองคุยกับโยมแกดูก็ได้ ....... เอาละใกล้ไดเวลาทำวัตรเย็นแล้ว ท่านไปสรงน้ำเถอะ
    เดี๋ยวผมก็จะไปสรงน้ำเหมือนกัน
    เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่แกทำงานบ้านเสร็จแล้ว แกก็ขี่จักยานเก่าๆ คันเดิมที่ข้าพเจ้าเห็นทุกปี ที่มาที่นี่ มาแล้วแกก็ทำโน้นทำนี่ แล้วแต่ใครจะใช้ บางที่แม่ชี่ก็วานช่วยให้ทำโน้นนี่ ดูแกเติมใจทำทุกอย่างนะ....... เมื่อข้าพเจ้าทำกิจทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็ลงทางจงกรม เพื่อให้อาหารย่อย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อทำจิตให้สงบ และจิตจะเข้าสู่สมาธิได้เร็ว .................. สักครู่ใหญ่ๆ ข้าพเจ้าก็เห็นโยมแสง เดินมาทางกุฏิ ที่ข้าพเจ้าพัก เมื่อเข้ามาใกล้ แกเห็นข้าพเจ้าเดินจงกรมอยู่ แกจึงหันหลังกลับ
    ข้าพเจ้า : อ้าว ..... โยมแสง เชิญก่อนๆ มาๆ มีธุระอะไรกับอาตมาหรือเปล่า?
    โยมแสง : ผมว่าจะมาดู เผื่อว่า พระอาจารย์จะมีอะไรใช้ผม น่ะครับ
    ข้าพเจ้า : อาตมาไม่มีอะไรจะใช้โยมหรอก ..... มาๆ ขึ้นมานั่งบนกุฏิก่อน อาตมามีเรื่องอยากคุยด้วย พอดีเลย
    โยมแสง : ครับ พระอาจารย์
    ข้าพเจ้า : อาตมาเห็นโยมมาช่วยงานที่วัดทุกวัน จนวัดวัดดูสะอาดหูสะอาดหา ไปทุกที่ โยมเป็นคนดี
    มีสัมมาคารวะ ทั้งต่อบุคคล และ สถานที่ อาตมาเห็นแล้วชื่นใจจริงๆ
    โยมแสง : ครับ
    ข้าพเจ้า : พระอาจารย์ชัย บอกอาตมาว่า โยมอยากบวชใช่ไหม?
    โยมแสง : ใช่ครับ ก็อย่างที่พระอาจารย์เห็นนี้แหละครับ สังขารร่างการของผมไม่เอื้ออำนวย ครับ
    ข้าพเจ้า : ทางกายเราบวชไม่ได้ แต่ทางใจเราบวชได้นะโยม
    โยมแสง : การอยู่กับบ้านกับเรือน มันก็ยากนะครับที่บวชทางใจได้ ด้วยสภาพทางครอบครัว สิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย
    ข้าพเจ้า : โยมก็มาอยู่ที่วัดก็ได้ พระอาจารย์เจ้าอาวาส ท่านก็อนุญาตแล้ว ตัดภาระทางโลกไปเสียเถิด
    เพราะโยมเองก็ไม่มีครอบครอบครัว ไม่มีคนที่ต้องห่วงต้องกังวล
    โยมแสง : ผมก็เคยคิดเหมือนกันครับ .....พระอาจารย์ครับ คนพิการอย่างผม ถ้าเกิดเจ็บป่วย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือ
    แก่ตัวไป จะมีค่าอะไรล่ะครับ มีแต่จะเป็นภาระให้กับทางวัด เป็นภาระให้กับพระเณร เท่านั้น
    ข้าพเจ้า : มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของสังขาร ร่างกายนั้นแหละโยม ที่จะต้องแก่ ต้องเจ็บต้องป่วย คนอยู่ก็ต้องดูแลกันไป
    โยมแสง : ถ้าผมเข้ามาอยู่ในวัด ก็มาอยู่ในเพศฆารวาส ไม่ใช่เพศของพระสงฆ์ พระเณรอาพาธก็ยังมีพระเณรด้วยกันคอยดูแล ผู้ดูแลก็ได้บุญได้กุศล แต่ถ้าผมป่วย แล้วมีพระเณรมาคอยดูแล ผมว่ามันจะไม่ดีกับผมนะครับ
    ข้าพเจ้า : แล้วโยมคิดอย่างไรกับชีวิตของโยมล่ะ จะดำเนินชีวิตไปเส้นทางไหน
    โยมแสง : ก็อยู่ไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละครับพระอาจารย์ ชีวิตผมมันคงเป็นได้แค่นี้แหละครับ
    อยู่ไปจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรม จนกว่าจะตายจากโลกนี้ไปล่ะครับ
    ข้าพเจ้า : ถ้าโยมคิดได้อย่างนั้นก็ดีเหมือนกันจะได้สบายใจ เออ..... อาตมาดูท่าทางโยมแล้ว โยมก็อายุยังไม่มากนี่นา อาตมาเห็นคนพิการ เขามีอาชีพ มีงานทำตั้งเยอะแยะนะโยม เช่น ช่างซ่อม ช่างตัดผม เป็นต้น
    โยมแสง : ผมอายุย่างเข้า 22 ปี แล้วครับ พระอาจารย์พูดได้ตรงใจผมมากเลยครับ เรื่องการฝึกอาชีพ แต่ผมไม่มีเงินไปเรียนหรอกครับ ไม่มีเส้นไม่มีสาย ว่า คนพิการไปเรียนฟรีได้ที่ไหน
    ข้าพเจ้าสังเกตเห็นสีหน้าแววตาของแกสดชื้นขึ้นมาบ้างตอนพูดถึงการฝึกอาชีพ
    ข้าพเจ้า : แล้วโยมอยากเรียนฝึกอาชีพอะไรล่ะ?
    โยมแสง : ผมอยากเรียนซ่อมคอมพิวเตอร์ครับ อำเภอของเราเป็นอำเภอเล็กๆ ยังไม่มีร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ ถ้ามีทุน ผมอยากไปเรียนซ่อมคอมพิวเตอร์ แล้วมาเปิดร้านซ่อมในตัวอำเภอ หรือ ออกไปซ่อมตามโรงเรียนต่างๆ ตาม อบต. ต่างๆ ก็ได้ครับ ........ แต่มันก็เป็นเพียงความฝันอันเลื่อนลอยครับ ผมฝันมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ผมจบ ม. 3 ผมเคยคุยกับย่าผมแล้ว ว่าผมอยากเรียนต่อสายอาชีพ แต่ย่าบอกว่าไม่มีเงิน จะกินในแต่ละมื้อยังยากเลย ผมเลยไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับย่าอีกเลยครัย
    ข้าพเจ้า : แล้วโยมรู้ไหมว่า ค่าเรียนซ่อมคอมพิวเตอร์ เท่าไหร่?
    โยมแสง : นานแล้วครับ ผมเคยเข้าไปในตัวจังหวัด เพื่อขอเป็นลูกมือเขา ในร้ายซ่อมคอมฯ เขาไม่รับผม เพราะผมไม่มีพื้นฐานด้านคอมฯ มากพอ ผมถามเขาว่าผมจะไปเรียนซ่อมคอมฯได้ที่ไหนละ เขาตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน ลองหาดูในอินเตอร์เน็ตสิ ผมถามเขาว่า แล้วพวกพี่ไปเรียนมาจากไหน เขาบอกว่าไปเรียนมาจากกรุงเทพ และผ่านการทำงานในร้านซ่อมคอมฯมาก่อน ก่อนที่จะมาเปิดร้านซ่อมเอง ผมถามว่าค่าเล่าเรียนแพงไหม เขาตอบว่า ถ้าเรียนกับศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพนั้นไม่แพงหรอก แต่ความรู้ไม่แน่น พวกพี่เขาแนะนำให้ผมไปเรียนกับโรงเรียนเอกชนดีกว่า เขาจะสอนทั้งทฤษฏิและปฏิบัติ ที่นำมาใช้งานได้จริง มีปัญหาอะไรสอบถามอาจารย์ผู้สอนได้ตลอด
    ข้าพเจ้าสังเกตดูสีหน้าและแววตาของแกแล้ว ดูแกมีความสุข มีความหวัง เหมือนกับว่าแกจะได้เข้าเรียนในวันพรุ่งนี้ และอย่างน้อย แกก็คิดว่า ข้าพเจ้าเป็นกัลยาณมิตรที่ดีของแก โยมแกคงดีใจที่ได้เล่าความฝันของตัวเองให้ข้าพเจ้าผู้เป็นกัลยาณมิตรของแกฟัง
    โยมแสง : ค่าเรียน ในโรงเรียนเอกชนคงจะแพงหน้าดูเลยนะครับพระอาจารย์
    ข้าพเจ้า : ถ้าเรียนเอกชนไม่ไหว ก็ไปกรุงเทพสิโยม ศูนย์ฝึกอาชีพที่กรุงเทพน่าจะไม่แพงนะ
    โยมแสง : แต่ผมไม่เคยไปกรุงเทพครับ ผมจะไปอยู่อย่างไร กินอย่างไร ญาติพี่น้องที่กรุงเทพก็ไม่มี
    เฮ้อ......... มันก็แค่ความฝันของคนพิการ คนหนึ่งเท่านั้นแหละครับ
    ข้าพเจ้า : โยมเคยขอทุนกับใครไหม?
    โยมแสง : ไม่เคยครับ เคยคุยกับย่าตั้งแต่จบ ม. 3 แล้วผมก็ไม่ได้คุยกับใครอีกเลยเรื่องนี้
    ข้าพเจ้า : อาตมาเองก็อยากช่วยโยมนะ โยมเป็นคนดี มีสัมมาคารวะ เป็นคนไม่ย่อท้อ และสู้ชีวิต โยมสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับใครหลายๆคนได้ ในเรื่องความดี และ คนสู้ชีวิต เรื่องการเรียนของโยม ค่อนข้างมีปัญหาแน่ๆล่ะ คือ เรื่องทุน ถ้าไปเรียนที่กรุงเทพ ทุนค่าเล่าเรียนอาจจะไม่มาก แต่ค่าใช้จ่าย ค่าอาหาร ค่าเช่าห้อง ค่าเดินทาง น่าจะแพงเอาการทีเดียว ถ้าจะเรียนที่โรงเรียนเอกชน ไม่ต้องไปที่กรุงเทพหรอก ตามจังหวัดใหญ่ๆ แถวภาคอิสานเรา ก็น่าจะมีสอนนะ เท่าที่อาตมารู้ ก็ที่โคราช มีอยู่หลายที่ แต่ค่าเล่าเรียนน่าจะแพงพอสมควร แต่เราก็ประหยัดเรื่อง ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเดินทางไปได้เยอะ นะโยม เดี๋ยวอาตมาจะสอบถามกับสหธรรมิกทางโคราชให้นะ ถ้าค่าเล่าเรียนมันไม่แพงมากนัก หรือ มีทุนพอที่จะเรียนได้ โยมก็ไปพักที่วัดในเมืองโคราชก็ได้ อาตมารู้จักมักคุ้นกับพระอาจารย์หลายๆรูปที่นั้น เอาเป็นว่าเรื่องที่พัก และ อาหาร โยมไม่ต้องเป็นห่วงนะ
    โยมแสง : กราบขอบพระคุณ พระอาจารย์มากครับ
    ข้าพเจ้า : อาตมาว่า ตอนนี้ปัญหามันอยู่ที่ทุนการศึกษาแล้วล่ะโยม จะหาทางออกเรื่องนี้อย่างไรดี
    โยมแสงก็ครุ่นคิด
    โยมแสง : เฮ้อ...... ทำอย่างไรดี น้อ.... ทางบ้านก็ไม่มี เพราะอาก็ไปเอากับเถ้าแก่มาหลายหมื่นแล้ว ขืนผมเอาเรื่องนี้ไปพูดต้องโดนด่าแน่ๆ
    ข้าพเจ้าได้เดินทางไปหลายๆที่ หลายๆแห่ง ได้เจอะเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา ได้เห็นเห็นเหตุการณ์ต่างๆมากมาย เห็นความทุกข์ ความสิ้นหวังของผู้คนในที่ต่างๆมากมายนัก จนบางครั้งเผลอคิดไปว่า เราน่าจะมีทรัพย์เยอะๆนะ จะได้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ได้ ให้เขาบรรเทาจากความทุกข์ได้บ้าง แต่ก็มีความคิดนึงแย้งขึ้นมาว่า “นี่ท่าน ค่ารถเดินทาง ท่านยังขอกับโยมทางบ้านอยู่เลยนะ ท่านไม่ใช่พระเกจิย์นะ” ใช่ ข้าพเจ้ายังต้องขอเงินกับโยมทางบ้าน เวลาที่ข้าพเจ้าจะเดินทางไปไหนมาไหน แล้วอย่างนี้จะไปช่วยเหลือใครได้ .......... หน้าที่เราคือ การช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากภัยในวัฏฏะสงสารนะ อีกความคิดก็แว็ปเข้ามาว่า “ แล้วไม่คิดจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากหรืออย่างไร เรายังเป็นปุถุชนอยู่นะ” เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเรามีโอกาสช่วยเหลือใครได้ เราจะช่วยเหลือเขา มันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จเป็นอีกเรื่องนึง แต่เราต้องช่วย
    โยมแสง : พระอาจารย์ครับ เดี๋ยวผมจะลองไปคุยกับย่า ดู อีกสักครั้งครับ ว่าย่าจะช่วยไหม
    ข้าพเจ้า : ดีแล้วล่ะโยม ลองปรึกษาท่านดู เผื่อว่าท่านจะมีแนวทางช่วยเหลือเราได้บ้าง
    โยมแสง : ผมกราบลา ล่ะครับ พระอาจารย์ พรุ่งนี้ผมจะมาแจ้งให้พระอาจารย์ทราบว่า ย่ากับอา ผมเขาว่าอย่างไร
    หลังจากที่โยมกลับไป ข้าพเจ้าก็โทรไปหาสหธรรมิกที่โคราช ท่านช่างเปี่ยมไปด้วยเมตตาคุณ เรื่องที่พักและอาหารไม่ต้องเป็นห่วง มาพักที่วัดได้ มีรถสองแถววิ่งผ่านหน้าวัด เข้าไปถึงตลาดในตัวเมืองโคราช ข้าพเจ้าสอบถามถึงค่าเล่าเรียน ท่านก็บอกให้ลูกศิษย์วัดไปสอบถามให้ ตอนค่ำๆทำวัตรเสร็จ ท่านยังเมตตาโทรมาบอกว่า ค่าเล่าเรียนก็ หมื่นกว่าบาท แล้วแต่หลักสูตรที่ต้องการเรียน มีให้เลือกเรียนมากมาย ข้าพเจ้า กราบขอบพระคุณท่าน ที่ท่านอุตสาห์เป็นธุระให้ จากนั้นตอนสายของอีกวัน โยมแสงแกก็มาวัดตามปกติ เก็บตรงนั้น กวาดตรงนี้ ของแกไปเรื่อย จนกระทั่ง พระสงฆ์ ทำกิจเสร็จแล้ว แกก็จะมาเอากระโถนไปเท ไปล้าง กวาดถู ศาลา จนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แกก็ไปที่กุฏิที่ข้าพเจ้าพักอยู่
    ข้าพเจ้า : โยมแสง เป็นอย่างไรบ้าง เรื่องที่คุยกันเมื่อวาน
    โยมแสง : ผมไปคุยกับย่า และอา มาแล้วครับ ตอนแรกย่ากับอา ไม่เห็นด้วย เพราะว่าผมมันพิการ เขากลัวว่าผมจะทำไม่ได้ ผมบอกว่า ผมไม่อยากเป็นภาระให้กับย่า กับอา และหลานๆ ไปจนวันตาย ถ้าผมมีโอกาสทำงานเลี้ยงดูเอง ผมก็อยากจะทำ ถ้ามันไปได้ดี ผมคงได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณของย่า และ อา บ้าง ที่อุตส่าเลี้ยงดูผมมาตลอด 22 ปี
    น้ำเสียงของโยมเสียงสั่นเครือ เหมือนจะร้องไห้ ข้าพเจ้าได้แต่นิ่งฟัง แกคงมีเรื่องราวมากมายที่อยากบอกใครสักคน ที่แกไว้ใจ และเป็นกัลยาณมิตรให้แกได้
    โยมแสง : ชีวิตผม ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เหมือนไม่มีค่าอะไรเลย ไม่มีค่าต่อใครเลย มีชีวิตที่เนื่องด้วยผู้อื่น ผมไม่อยากเป็นคนที่ไร่ค่าไปตลอดชีวิต ย่ากับอา เขาก็เข้าใจผม แต่อาบอกว่าเขาไม่มีเงินจริง เพราะอาเองก็ต้องไปยืมเงินกับเถ้าแก่ เพื่อไปจ่ายค่าให้กับลูกสาวคนโต ที่อยู่ ปวส. อาบอกว่าถ้าค่าเล่าเรียนไม่แพงจนเกินไป เขาจะบากหน้าไปยืมกับเถ้าแก่มาให้สักห้าพันบาท เงินห้าพันบาทมันจะพอหรือครับพระอาจารย์
    ข้าพเจ้า : โยมแสง...... อาตมาได้คุยกับสหธรรมิกทางโคราชแล้วนะ เรื่องที่พัก และ อาหาร โยมสบายใจได้ ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียน สอบถามแล้วก็ประมาณหมื่นกว่าๆ มีหลายหลักสูตร ให้เลือกเรียน ........ ส่วนค่าเรียนนั้น อาตมาจะพยายามช่วยอีกแรง นะ มันก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของอาตมาว่าจะมีโยมมาช่วยไหม และบุญบารมีของโยมด้วย อย่าได้กังวลเลย ถ้าเคยทำบุญมา ก็คงไม่ยาก
    ตอนนี้โยมแสงกำลังรอ.... รอว่า จะได้เข้าเรียน ซ่อมคอมฯ ท่านใดที่คิดว่า พอที่จะช่วยให้ความฝันของโยมแสงเป็นจริงได้ เชิญร่วมบริจาคได้ที่ ........................
    ธนาคาร กสิกรไทย
    ประเภท ออมทรัพย์
    สำนักงานย่อย ถนนเดชอุดม
    เลขที่ 007 – 3 – 36670 -
     
  2. Mali Loi

    Mali Loi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +1,218
    ขอเบอร์เพื่อสอบถามรายละเอียด จะได้ไหมคะ และชื่อ เจ้าของบัญชีด้วย
    กราบขอบพระคุณค่ะ
     
  3. พลังธรรม999

    พลังธรรม999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +129
  4. พลังธรรม999

    พลังธรรม999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +129

แชร์หน้านี้

Loading...