ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โสภา จาเรือน, 26 กันยายน 2008.

  1. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย

    ณ บัดนี้ถึงเวลาฟังธรรมะปาฐกถาอันเป็นหลักคำสอนในทางพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา


    เมื่อวันอาทิตย์ก่อนได้พูดไว้ในเรื่องเกี่ยวกับ การเข้าถึงธรรมะอันเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิตแล้วก็ได้พูดทิ้งท้ายไว้ในตอนท้ายเกี่ยวกับเรื่องเข้าถึงด้วยการถือศีลคือการการปฎิบัติในขั้นศีล เป็นการฝึกกาย วาจา ให้พ้นจากโทษหยาบๆเช่นพ้นไปจากการฆ่า การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดคำหยาบ คำเหลวไหล คำโกหกตลอดจนถึงการทำลายสติปัญญา ของตัวเองให้เสื่อมลงไป เพราะการเสพของมึนเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ได้ทิ้งไว้เพียงตอนนั้น

    วันนี้นจะได้พูดตอนต่อไปว่าเราจะเข้าถึงธรรมด้วยการปฎิบัติที่สูงไปกว่านั้นได้อย่างไร? ในแนวทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าบัญญัติไว้ให้เราทั้งหลายเดินตามพระองค์นั้นก็คือเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าสอนกับชาวบ้านทั่วไป ก็มักขึ้นต้นด้วยทาน ศีล ภาวนาถ้าสอนพระก็พูดเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นข้อปฎิบัติตามลำดับ ที่เราปฎิบัติแล้วจะได้ถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมะ อันเป็นเหตุให้สงบทางใจไม่มีความทุข์ความเดือดร้อนประจำวันต่อไป เราจึงควรจะได้เดินตามเส้นทางที่พระผู้มีพระภาคชี้ให้เราเดิน พูดว่าเดินตามรอยพระพุทธบาท


    รอยพระพุทธบาทที่แท้ก็คือรอยธรรมะนั่นเอง ไม่ใช่รอยหินที่เราไปไหว้กันทุกปีเวลามีงานที่สระบุรี รอยนั้นเป็น รอยภายนอก ไม่ใช่รอยภายในเป็นรอยที่เราสัมผัสด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่รอยที่สัมผัสด้วยตาใจ การเห็นรอยพระพุทธบาทถ้าเห็นในรูปที่จิตใจยังเป็นเด็ก ก็ไม่ก้าวหน้าในการปฎิบัติธรรมะนอกจากไปคุยกับใครๆ ว่า ฉันไปไหว้มาแล้ว สมัยโบราณเขาถือว่าไปไหว้พระบาท ๗ครั้งไม่ตกนรก เขาว่ากันไว้อย่างนั้น คนก็พยายามไปไหว้กัน เดี๋ยวนี้ไปไหว้สัก ๗๐๐ครั้ง ก็ได้ เพราะการเดินทางสะดวก แต่ไหว้ถึง ๗๐๐ ครั้งก็อาจจะยังตกอยู่เพราะเราไหว้แต่รอยหิน ไม่ได้เข้าถึงรอยแท้ของพระพุทธเจ้า

    รอยแท้รอยจริงของพระพุทธองค์นั้นอยู่ที่ข้อปฏิบัติซึ่งเราเรียกว่าพระธรรมนั่นเอง พระธรรมเป็นรอยที่พระองค์ชี้ไว้ให้เราเดินถ้าเราเดินไปตามรอยนั้น เราก็จะพบพระพุทธเจ้าถ้าเดินผิดทางก็ไม่พบพระพุทธเจ้าถ้าเดินถูกทางก็จะพบองค์พุทธะ อันเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเพราะฉะนั้นเมื่อเราจะลงมือเดิน ก็ต้องศึกษาทางที่เราเดินเสียก่อนเพื่อจะได้เดินถูกทาง ไม่ใช่เดินแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เสียเวลาไปตั้งเยอะแยะแล้วจึงจะได้เข้าทาง บางทีเดินไปจนแก่จึงได้เข้าทางถูก อย่างนี้ก็นับว่าเสียดายชีวิตแต่ถ้าเราศึกษาไว้แต่ เบื้องต้น ให้เข้าใจทางเดินให้ชัดเจนถูกต้อง เวลาลงมือเดินก็เข้าเส้นทางได้เลย แล้วเดินไปตามเส้นทางนั้นไม่หยุดยั้งเราก็ถึงจุดคือพบองค์พระพุทธเจ้า

    ที่เรียกว่าพบองค์พระพุทธเจ้านั้นก็คือพบความสงบ ความสะอาด ความสว่างในใจ เมื่อใจเราสงบไม่วุ่นวาย ใจเราสะอาดปราศจากสิ่งเศร้าหมอง ใจสว่าง ไม่มีความมืดบอด ก็เรียกว่าเราถึงจุดที่เราต้องการผู้ที่มีจิตสะอาด สว่าง สงบนั้น ย่อมรู้อะไรๆ ชัดตามสภาพเป็นจริงไม่หลงไม่งมงายในเรื่องอะไรต่างๆ ถ้าจิตยังไม่ถึงจุดนั้น ก็อาจยังหลงอยู่บ้างอาจประพฤติปฏิบัติอะไรในทางที่ผิดอยู่บ้าง



    มีอยู่ไม่ใช่น้อยที่มีคนเรียกตัวเองว่าพุทธบริษัท แต่ว่านั่งห่างไกลจากพระพุทธเจ้าเป็นบริษัทที่นั่งสุดกู่ก็ว่าได้ ไม่ขยับตัวเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้าเสียเลยชอบนั่งอยู่ห่างๆ สุดกู่ ตะโกนก็ไม่ค่อยจะได้ยินพุทธบริษัทที่นั่งอยู่สุดกู่เสียงของพระพุทธเจ้านั้นก็คือคนที่เป็นพุทธบริษัทเพียงแต่ขื่อ จิตใจไม่ได้เข้าถึงธรรมะการปฏิบัติก็เข้าตรงตามเส้นทาง ที่พระผู้มีพระภาคชี้ไว้ให้เราเดินเราก็เที่ยววิ่งวนอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับมดที่วิ่งวนอยู่ตามขอบอ่างน้ำผึ้งไม่มีโอกาสจะได้ลิ้มรส เพราะเที่ยววนอยู่ตามขอบอ่างไม่ได้ตกลงไปในอ่างซึ่งเต็มไปด้วยรสหวาน

    คนเราก็มีสภาพเช่นนั้นบางคนคือเที่ยววิ่งวนอยู่ตามขอบ ไม่ได้เข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาเลยไม่ได้รับรสของการปฏิบัติอย่างแท้จริง ในบางครั้งบางคราวอาจจะไปพูดว่าฉันยังไม่ได้ประโยชน์จากพระศาสนา ไม่เห็นพระท่านช่วยอะไร ก็พระท่านจะมาช่วยอย่างไรเราจะเห็นผลศาสนาได้อย่างไรเมื่อเราปฏิบัติยังไม่เข้าเส้นทางที่ท่านชี้ไว้ให้เราเดินผลที่จะเกิดขึ้นแก่ตัวเรานั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่คนอื่นจะประสิทธิ์ประสาทให้

    ไม่ใช่จะมีใครมาบอกว่าจงเป็นสุข แล้วเราก็จะเป็นสุขจงมั่งคั่งแล้วเราจะมั่งมี จงปราศจากโรค แล้วเราจะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมันไม่ใช่เรื่องเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ที่จะทำให้ใครเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แต่เป็นเรื่องที่ เราจะต้องลงมือด้วยตัวของเราเองคือเราจะต้องปฏิบัติตามแนวทางที่พระองค์ชี้ไว้ให้เราเดิน

    พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสไว้ชัดเจนในเรื่องนี้ บอกว่า "ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอกทางให้ ส่วนการเดินทางนั้น เป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย"พระองค์บ่งชัดไว้ในรูปอย่างนี้บอกว่าการเดินทางเป็นหน้าที่ของเราเองพระองค์เป็นผู้ชี้ทางให้เดินเหมือนตำรวจจราจรยืนอยู่ตามทาง ๔ แยก คอยโบกไม้โบกมือให้รถไปทางนั้นทางนี้ยืนชี้อยู่ตรงนั้นรถมันก็ผ่านไปตำรวจเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้รถไปแต่ว่าตำรวจไม่ได้ไปคนขับรถนั่นแหละมีหน้าที่พารถไป ฉันใด ในเรื่องชีวิตจิตใจเรานี้ก็เหมือนกันพระพุทธเจ้าท่านชี้ทางไว้ให้เราเดิน ก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่จะขับรถคือร่างกายนี้ไป

    ใจนั่นแหละเป็นผู้ขับรถ ร่างกายนี้เปรียบเหมือนกับรถเหมือนกัน มีล้อ ๔คือเท้าสองมือสอง แต่เราใช้เพียง ๒ ล้อไม่ได้ใช้สี่เว้นไว้แต่คนขี้เมาบางครั้งก็ใช้ ๔ ล้อเหมือนกัน ที่ใช้อย่างนั้นมันผิดปกติถ้าคนปกติใช้ ๒ ล้อกันทั้งนั้น เราก็ต้องขับไสล้อนี้ไปตามเส้นทางที่พระผู้มีพระภาคชี้ไว้ให้เราเดิน เราก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้สมความตั้งใจ

    ในการปฏิบัติกายวาจาใจของเรานั้น ในเรื่องศีลเป็นการปฏิบัติขั้นต้นเราจะพอใจอยู่เพียงเท่านั้นไม่ได้ เพราะยังไม่ก้าวหน้าเหมือนเด็กเรียนชั้นประถมแล้วก็จะเรียนอยู่อย่างนั้นตลอดไป จะมีความรู้เพิ่มเติมได้อย่างไรเราต้องมีการสอบเลื่อนชั้น เลื่อนให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นไปโดยลำดับเช่นเรารักษาศีล ๕ ศีล อยู่แล้ว เราก็ควรเลื่อนชั้น

    ทางด้านจิตใจคือกระทำการฝึกสมาธิ เพื่อทำใจให้มีความมั่นคง มีความสงบ แล้วก็มีความบริสุทธิ์เหมาะที่จะใช้งานใช้การ คิดนึกอะไรๆ ต่อไป อันเป็นก้าวที่สอง ที่เราจะเดินก้าวไปทำไมจะต้องมีการฝึกจิตด้วย? เพราะเรื่องในชีวิตของคนเรานั้นเรื่องใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ใจเป็นใหญ่เป็นประธาน การกระทำ การพูดการอะไรทุกอย่าง เกิดมาจากความคิดของเราทั้งนั้น ความคิดมันอยู่ที่ใจถ้าใจเศร้าหมองก็คิดขั่ว ถ้าคิดดีการพูดการทำก็ดี ถ้าคิดชั่วการพูดการกระทำก็ชั่วถ้าคิดดีการพูดการทำก็ดี ถ้าคิดชั่ว การพูด การกระทำก็ชั่วแล้วก็เกิดผลประทับลงที่ใจ ของบุคคลนั้น ถ้าคิดดี ผลที่เกิดขึ้นก็เป็นรอยในทางดีถ้าคิดชั่ว ผลที่เกิดขึ้นก็เป็นรอยร้าวลงไปในทางชั่ว

    อะไรๆที่เกิดขึ้นในชีวิตมันติดอยู่ที่ใจของเราทั้งนั้น เป็นเรื่องหนีไม่พ้น เพราะฉะนั้นคนเราจะทำอะไร ก็ต้องมีใจเป็นผู้นำก่อน มีใจเป็นหัวหน้า อะไรๆก็สำเร็จมาจากใจของเราทั้งนั้น เรื่องของใจจึงเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตแต่ว่าคนเราส่วนมาก มักจะไม่สนใจในเรื่องภายใน คือใจ สนใจแต่เรื่องภายนอกคือร่างกาย แสวงหาอะไรๆ ต่างๆ ให้กายเยอะแยะ แต่ว่าไม่ค่อยได้แสวงหาอะไรให้ใจอาหารกายรับประทานกันด้วยราคาแพง อาหารใจไม่ต้องลงทุนซื้อหาแต่เราก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้รับอาหารใจ


    สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ใจนั้นลงทุนน้อย แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กายนั้นลงทุนมาก เรามักจะลงทุนเป็นการใหญ่เพื่อร่างกาย ไม่ค่อยจะคิดลงทุนเพื่อใจแม้เราจะสร้างวัตถุอะไรๆ ทางศาสนาความจริงสิ่งที่เราสร้างนั้นก็เพื่อประโยชน์แก่การสร้างจิตใจแต่ว่าสร้างแล้วก็ไม่ค่อยจะไปใช้ สร้างศาลาหลังใหญ่แล้วก็ไม่ไปใช้สร้างโบสถ์แล้วก็ไม่ไปใช้ สร้างวัดก็ไม่ค่อยจะไปใช้ สนามม้าไม่ต้องสร้างก็ชอบไปใช้โรงหนังไม่ต้องสร้างก็ไปใช้ อะไรอื่นที่มันเหลวไหลคนชอบไปใช้กันมากแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ทางจิตทางวิญญาณนั้นคนใช้น้อยเพราะคนใช้สิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่จิตแก่วิญญาณน้อยนี่แหละ จึงได้เกิดปัญหามีความวุ่นวายกันเต็มบ้านเต็มเมือง สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นบ่อยๆ

    โดยเฉพาะในเมืองไทยเราในสมัยนี้ จะพบว่าความวุ่นวายเกิดมากขึ้นนอนก็ไม่ค่อยจะเป็นสุข นั่งรถโดยสารไปไหนก็ไม่ค่อยจะเป็นสุข กลัวคนมันจะตีกันในรถกลัวเขาจะเอาก้อนหินขว้างมาถูก โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สิ่งเหล่านี้เกิดจากอะไรเกิดจากความบกพร่องทางจิตใจ


    คนเราในสมัยนี้เป็นโรคจิตทรามกันมากเพราะไม่ค่อยจะได้กินยา อาการโรคจึงกำเริบสืบสาน มีอาการเรียกว่า แทรกซ้อนมากมายเป็นเหตุให้ทำอะไรแปลกๆ มากขึ้นทุกวันทุกเวลา ความเจริญก้าวหน้าในทางด้านวัตถุที่มีมากขึ้นทุกวันเวลานั้น คล้ายๆ กับเป็นของแสลงแก่ใจคน ทำให้คนติดใจหลงมัวเมาเป็นการเพิ่มโรคทางจิตทางวิญญาณมากขึ้นทุกวันเวลา อนาคตของชีวิตมนุษย์เรานี้กำลังเดินไปตามเส้นทางที่ลาดชัน แล้วจะจะตกลงไปในเหวลึกซึ่งมองไม่เห็นก้นแล้วไม่สามารถจะขึ้นจากเหวนั้นได้ เราก็จะได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนตลอดไป


    แต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเพราะว่าคนเราไม่คิดหาเหตุผลในเรื่องอันตนกระทำ ทำอะไรก็ทำตามอารมณ์ทำไปตามอำนาจความอยากความปราถนาไม่ได้คิดว่า เมื่อเรทำอย่างนี้อะไรจะเกิดขึ้นแก่เราอะไรจะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม อนาคตมันจะมีอะไร เราไม่ได้พิจารณาเมื่อไม่ได้พิจารณาในเรื่องอย่างนี้ ก็ทำไปด้วยความหลงใหลเข้าใจผิดโดยไม่รู้สึกตัวคล้ายๆ กับคนนั่งทำกรงของตัวเอง ชั้นแรกก็ทำเพียงกันของกรงนั้น สานขึ้นไปๆแล้วโดยที่สุดตัวออกไม่ได้ เพราะติดอยู่ในกรงขังตัวเอง อันนี้เป็นฉันใด

    ในชีวิตของคนเราส่วนมากเป็นเช่นนั้นสร้างสิ่งที่เป็นเครื่องกั้นขวางจิตใจของตน ไม่ให้เจริญงอกงามในด้านธรรมไม่ให้ก้าวไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ให้ก้าวไปเพื่อความหลุดพ้น จากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน เพราะไปสร้างอะไรๆ กักขังตัวเองไว้ตลอดเวลาสิ่ง่ที่เราสร้างขึ้นมานั้นมันประกอบด้วยอะไร ประกอบด้วยรูปเสียง กลิ่นรสสัมผัสอันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาพึงอกพึงใจ แล้วประกอบขึ้นด้วยความอยากได้ อยากมีอยากเป็น ในสิ่งนั้นๆ จนไม่รู้ว่าเรามีกันเพื่ออะไร เราเป็นกันเพื่ออะไรเราได้สิ่งนั้นมาแล้วเราจะเป็นอะไร หรืออะไรมันจะเกิดแก่เราต่อไปเราไม่ได้คิดให้ละเอียดในเรื่องอย่างนั้น จิตใจจึงไหลไปตามอำนาจของสิ่งแวดล้อม



    ตัวอย่างเห็นง่ายๆ เช่นว่า นักเรียนยกพวกไปตีกับใครๆเราไม่ได้คิดว่าพวกเราไปทำถูกหรือทำผิด ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีอะไรเป็นมูลฐาน เราหรือเขาเป็นผู้สร้างเรื่องนั้นขึ้นมาแต่ว่าเพราะความรักพวกอย่างงมงาย รักโรงเรียนอย่างงมงายพอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ยกพวกเฮโลกันไปเลย แล้วก็ไปทุบไปตีกันหัวร้างข้างแตกถูกจับไปโรงพักบ้าง เอาไปนอนอยู่โรงพยาบาลบ้างเวลาไปถูกกักขังหรือไปเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น นึกได้ ว่าสิ่งที่ทำไปนี้มันไม่ดีแต่เมื่อนึกได้นั้นตัวนอนเจ็บอยูเสียแล้ว หรือไปอยู่ในกรงขังเสียแล้วการนึกได้อย่างนั้น ไม่ช่วยให้เกิดอะไรขึ้นแก่คนนั้น เพราะว่าไปคิดได้ในภายหลังคนโบราณเขาจึงสอนว่ากันไว้ดีกว่าแก้ จึงะนึกเสียก่อนที่จะไป

    เช่นมีใครคนหนึ่งมาบอกว่าพวกเราถูกตี ก็ควรจะสอบถามกันให้ละเอียดว่าถูกตีเพราะอะไร เราไปตีเขาก่อนหรือว่าเขามาตีเราก่อนถ้าศึกษาละเอียดอย่างนั้นก็จะเกิดความสงบเย็นขึ้นในใจ แล้วไม่ทำอะไรด้วยอารมณ์หุนหันพลันแล่น คนเราส่วนมากมันขาดตรงนี้คือขาดการใคร่ควรพิจราณาเหตุผลในเรื่องอะไรๆ พระท่านจึงสอนไว้ว่า "นิสมฺม กรณํเสยฺโย ใคร่ครวญก่อน แล้วจึงทำดีกว่า" การกระทำอะไรด้วยความผลุนผลันก็ชนกันแหลกไปเลย เดินผลุนผลันก็ล้มลงไปก็ได้ กินอะไรผลุนผลันก้างติดคอก็ได้เรื่องผลุนผลันไม่ดีทั้งนั้น แต่การทำอะไรด้วยการพินิจพิจารณาดี


    เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนให้ฝึกการควบคุมตัวเอง จะเดินก็ให้รู้จะนั่งก็ให้รู้ จะนอนก็ให้รู้ จะลุกขึ้นก็ให้รู้ จะเหยียดแขน เหยียดมือหันหน้าไปขวา ไปซ้าย ก้าวไป ถอยกลับ ท่านบอกให้คอยกำหนดทั้งนั้น การกำหนดเช่นนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ผิดพลาด เพราะทำอะไรด้วยการควบคุมอยู่ตลอดเวลา อะไรๆที่มีการควบคุมนั้น มักจะไม่เสียแต่ถ้าขาดการควบคุมเมื่อใดแล้วก็เกิดเรื่องเมื่อนั้น



    ทีนี้คนเราทำไมจึงไม่ค่อยจะได้ควบคุมตัวเอง? การควบคุมตัวเองนั้นมันหนักเหนื่อยในชั้นต้น ความจริงสบายปลายมือแต่ว่าคนเราขาดความอดทน จึงไม่สามารถจะควบคุมตัวเองไว้ได้เรามีแต่เรื่องการตามใจตัวเอง การปล่อยไปตามอารมณ์ ปล่อยไปตามอำนาจของสิ่งแวดล้อมแต่ไม่เคยกำหราบปราบปรามตัวเอง จึงยากแก่การที่จะควบคุมตัวเองแต่ถ้าหากว่าเราคุมบ่อยๆ ประพฤตินิสัยสิ่งใดที่ทำจนเป็นปกติมันก็เป็นศีลสำหรับบุคคลนั้น

    เพราะศีลนั้นเขาแปลว่าปกติก็ได้เช่นว่าเราตื่นเช้าเป็นปกติ ก็เรียกว่ามีศีลของคนตื่นเช้า เราทำอะไรๆ เป็นปกติก็เรียกว่ามีศีลในรูปนั้น เราสบายถ้าจะกลับไปทำอะไรที่ไม่เหมือนเช่นนั้นเสียอีกก็ลำบากเช่นเราจะไปเกียจคร้านก็รู้สึกลำบาก สำหรับที่เราขยันจนเคยแล้วเราบังคับตัวเองเสียจนชินแล้ว ถ้าเราจะไปทำอะไรตามแบบใจตัวเองมันก็ยากไม่สามารถจะกระทำได้ สภาพจิตใจอยู่ในสภาพสูงส่ง ไม่มีอะไรที่จะกระทำให้แปดเปื้อนเหมือนดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ น้ำไม่เปื้อน โคลนก็ไม่เปื้อนดอกบัวสะอาดอยู่ตลอดเวลาฉันใด ใจที่สูงส่งก็ย่อมจะสะอาดอยู่ฉันนั้น


    ความสุขความทุกข์ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้นขอให้เราเชื่อมั่นไว้อย่างหนึ่งว่า ขึ้นอยู่กับการคิดของเราเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรๆ ภายนอก คนที่มีความเชื่อว่า ความสุขความทุกข์เนื่องจากสิ่งภายนอกนั้นเป็นความเชื่อที่ไม่ตรงกับหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาเมื่อมีความเชื่อในรูปอย่างนั้น เราก็มักจะทำอะไรในรูปที่งมงายไม่ใช่เป็นการแก้ไขที่ถูกต้อง แต่เป็นการกระทำในรูปที่หลงใหลเข้าใจผิดตลอดไปผู้กระทำก็ทำผิด ผู้ให้กระทำก็ผิดเหมือนกัน เรียกว่า สมรู้ร่วมคิดกันสร้างความงมงายให้เกิดขึ้นในสังคม สมรู้ร่วมคิดกันทำควมผิดพลาดให้เกิดขึ้นจนคนไม่มองภายใน แต่ไปมองจากสิ่งภายนอกตลอดเวลา การแก้ไขปัญหาก็ไม่ถูกเป้าหมายแล้วจะพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนได้อย่างไร

    พระพุทธศาสนาของเรานั้นบอกให้เราเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งว่าอะไรทั้งหลายที่เกิดขึ้น จะเป็นความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ความเสื่อมความเจริญอะไรก็ตาม เป็นผลเนื่องมาจากความคิดของเราทั้งนั้นถ้าเราสืบสาวเค้าเรื่องให้ดี จะพบสาเหตุของเรื่องนั้นๆและสามารถที่จะขจัดเรื่องนั้นได้ แต่ถ้าเราไม่เชื่อมั่นในหลักที่กล่าวกลับไปเชื่อสิ่งภายนอก เราก็ไปเที่ยววิ่งแก้ตามที่นั้นๆด้วยการกระทำพิธีบนบานศาลกล่าว ซึ่งเป็นการที่น่าละอาย ไม่สมกับที่เป็นพุทธบริษัทซึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยคุณงามความดี เพราะฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายเชื่อกันใหม่ให้ถูกทาง ให้เชื่อว่า อะไรทุกอย่างออกมาจากภายในของเรามีใจเป็นฐาน เป็นต้นของเรื่องนั้นๆ ด้วยประการทั้งปวง


    เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วก็เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องควบคุมจิตใจของเราการควบคุมจิตใจหรือว่าการฝึกฝนจิตใจนี้ พูดด้วยภาษารวมเรียกว่า การเจริญภาวนาการเจริญภาวนาก็ คือ การทำจิตให้เป็นสมาธิ ให้ตั้งมั่น ให้บริสุทธิ์ ให้อ่อนโยนเพื่อให้เหมาะแก่งาน จุดหมายของการฝึกฝนนั้น เพื่อคตั้งมั่น เพื่อสงบแล้วก็เพื่อให้อ่อนเหมาะที่โยนที่จะใช้งาน ปกติจิตใจเราไม่ตั้งมั่นมันคิดได้ร้อยแปด เราจะให้คิดตรงนี้ มันไปตรงอื่นเสียแล้ว

    ไม่ต้องอื่นใดดอก๕ นาทีของการเจริญภาวนา หลังจากการปาฐกถาธรรมแล้ว ญาติโยมลองสังเกตุดูตัวเองเถอะ ๕นาทีมันวิ่งไปไหนบ้าง คิดอะไรบ้าง ประเดี่ยวคิดเรื่องนั้น ประเดี่ยวคิดเรื่องโน้นไม่ได้อยู่กับลมหายใจเสียเลย ค้ลายๆ กับจับปูใส่กระด้งเอาตัวนี้วางตัวนั้นไปตัวนั้นใส่ตัวโน้นไป ก็ใส่อยู่วันยังค่ำ ใจเราก็เป็นอย่างนั้นมันออกไปจากขอบเขตมันตลอดเวลา ออกจากตัวไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ไม่หยุดไม่ยั้งอันนี้เรียกว่าฟุ้งซ่าน ไม่กำลัง ไม่มีอำนาจ ไม่มีปัญญที่จะคิดค้นอะไรได้เพราะมันยังกวัดแกว่ง ไม่มีระเบียบเสียเลย อ่านหนังสือก็ไม่รู้เรื่อง


    นักศึกษาบางคนมาบอกว่า อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องที่อ่านไม่รู้เรื่องนั้นเพราะอะไร ก็เพราะว่าใจไม่อยู่กับหนังสือ ตาดูอยูแหละดูกระดาษ ดูตัวหนังสือแต่ว่าใจไปทางไหนก็ไม่รู้อย่างนี้เราจะต้องศึกษาตัวเราเองบ้าง คือศึกษาว่าทำไมใจเรามันฟุ้งซ่าน ทำไมไม่สงบทำไมไม่เข้าใจ ไม่รู้ในเรื่องที่เราจะต้องศึกษา ก็ต้องมองดูตัวเองค้นหาความบกพร่องของตัว ศึกษาสมุฏฐานของสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวให้จำพระพุทธภาษิตไว้ว่า "สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุผลจะปรากฎขึ้นไม่ได้"แล้วเหตุที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้นไม่ได้มาจากอื่น แต่มาจากความคิดของเรามาในระยะต้นๆ มากมายก่ายกอง ตั้งแต่เมื่อวาน วานซืน อาทิตย์ก่อน เดือนก่อน ปีก่อนเราไปสร้างอะไรไว้ก็ไม่รู้ ไปเก็บอะไรมาใส่ไว้ในใจก็ไม่รู้จึงเกิดความฟุ้งซ่านไม่อยู่กับร่องกับรอย จิตใจไม่มีความสงบ



    ต้องศึกษาให้รู้จักตัวเองแจ่มแจ้ง แก้ไขสิ่งที่เรียกว่าความบกพร่องคนที่อยู่ในวัยหนุ่มวัยฉกรรจ์ ไม่ค่อยสนในในเรื่องอย่างนี้คือเรื่องสร้างจิตใจให้เข้มแข็ง ให้หนักแน่นมั่นคง ไม่ค่อยสนใจชอบปล่อยไปตามเรื่องอะไรต่างๆ เป็นความหลงใหลอย่างหนึ่งหลงใหลในเรื่องเสรีภาพนั่นเอง ยิ่งในสมัยนี้ด้วยแล้วหลงกันใหญ่เลยหลงในเรื่องเสรีภาพจะทำอะไรตามใจตัวทุกอย่างใครมาบอกมาห้ามเป็นไม่รู้เรื่องไม่ฟังเสียง ฉันจะทำของฉันอย่างนี้ คนอื่นไม่เกี่ยวนั้นแหละมูลฐานที่จะให้เกิดความหัวเสีย มูลฐานที่จะให้เกิดโรคประสาทเพราะเราปล่อยใจของเรามากเกินไป

    การปล่อยใจเป็นเสรีมากเกินไปนั้นคือการฆ่าตัวเอง การทำลายตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว คนหนุ่มๆ ทำลายตัวเองด้วยการทำอย่างนี้มีไม่ใช่น้อย ไม่อยมฟังเสียงใครไปตามเรื่อง คล้ายโคถึกพอหลุดจากคอก ก็กระโดดขวิดหน้าขวิดหลัง ไปเรื่อยไปทีเดียว มันก็เจอดีเข้าบ้างผลที่สุดก็เกิดความเสียหาย เพราะฉะนั้น เราอย่าปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไปการปล่อยตัวปล่อยใจนั้นคือการทำลายอนาคต แต่การอยู่อย่างไทคือการสร้างอนาคตของเราเอง

    เพราะฉะนั้นคนหนุ่มต้องระวังไว้อย่าตามใจสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เราชอบพูดคำว่า เป็นตัวเองแต่ว่าไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ความเป็นตัวเองนั้นก็คือความเป็นผู้มีใจเป็นอิสระเสรี พ้นจากอำนาจฝ่ายต่ำที่เกิดขึ้นในใจอำนาจฝ่ายต่ำอันใดเกิดขึ้น เรารู้เท่ารู้ทัน แล้วเราพยายามสะกัดออกไปจากใจของเรานั่นแหละเรียกว่าเราทำถูก เราเป็นตัวเอง แต่ถ้าเป็นตัวเองด้วยการดื่ม การเที่ยวการเล่นสนุกสนาน อย่างนั้นมันไม่ได้เป็นตัวเอง แบบพระพุทธเจ้าแต่เป็นตัวเองแบบมารร้าย ซึ่งมันเอาแอกมาสวมคอเรา แล้วมันขับไสเราไปตามความปรารถนาไปสู่ความล่มจม สู่ความเป็นนรก สู่ความเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือว่าเป็นอะไรๆ ก็ได้ตามสภาพที่สิ่งแวดล้อมมันจะดึงไป ผลที่สุดเราก็เสียผู้เสียคน



    เด็กๆที่อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ฟังเสียงของพระ เดินตามพระไม่เสียคนเขาจะเป็นคนดีมีหลักฐาน จะได้เป็นประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมืองต่อไปในสมัยนี้เราระวังตัวไว้หน่อย โดยเฉพาะหนูน้อยๆ ที่อยู่ในวัยของการศึกษาเล่าเรียนเราอาจจะเสียลูกไม้ของใครก็ได้ ที่เขามาล่อให้เราทำอย่างนั้นอย่างนี้โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง เพื่อความก้าวหน้าแก่ชีวิตเพื่อความเสมอภาคแห่งสังคม เพื่อความนั่นความนี่ หรูหราทั้งนั้นแหละที่เป็นดอกไม้ที่เขาเอามายั่วเรา ล้วนเป็นดอกไม้ชั้นดีทั้งนั้นเราเห็นแล้วก็เพลินไป ไหลไปตามสิ่งนั้น ยื่นจมูกให้เขาสนตะพายแล้วเขาก็จูงไปตามความปรารถนา หลับตาเดิน ไม่ลืมหูลืมตาแล้วเพราะว่าคนนั้นเป็นผู้รักเราหวังดีต่อเรา เขาจะจูงเราไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้าแต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะลงนรก เพราะการชักจูงของเขา



    เรื่องนี้สำคัญไม่ใช่น้อยเพราะคนสมัยนี้อุบายมันมาก เล่ห์เหลี่ยมมันมาก จะทำอะไรก็ต้องให้หลายเหลี่ยมหลายแง่ หลายมุม เรียกว่าคดไปคดมาเหมือกับงูเลื้อย ถ้าเราไม่รู้เท่ารู้ทันแล้วเสียคนได้ง่าย จึงต้องระมัดระวัง คนที่รักเราจริงๆ มีอยู่ไม่กี่คนดอก คนที่รักจริงๆก็คือคุณพ่อคุณแม่ ยอดรักดังดวงใจของท่าน ท่านรักเราจริง ปรารถนาดีต่อเราจริงเราควรจะฟังท่านหน่อย เพราะท่านมีความรัก ความปรารถนาดีต่อเราร้อยเปอร์เซนต์ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ปรารถนาร้ายต่อบุตรของตน ต่อลูกหญิงลูกชายของท่านถ้าจะมีบ้างก็เรียกว่ามีจิตผิดปกติ นานๆ จะมีสักที



    ถ้าเป็นคนที่มีจิตเป็นปกติแล้วไม่มีใครเลยที่จะประทุษร้ายลูกหญิงลูกชายของตนมีแต่ความตั้งใจ จะให้ดีให้งามทั้งนั้น ถ้าท่านห้ามท่านเตือนเราด้วยเรื่องอะไรฟังไว้ก่อน เอาไปคิดไปตรองให้รอบคอบ แล้วก็กระทำตามต่อไปครูบาอาจารย์นี่ก็เหมือนกัน ย่อมมีความปรารถนาดีต่อศิษย์เพราะคุณธรรมของครูมีอยู่ว่า ไม่ชักนำศิษย์ไปในทางที่ต่ำทรามถ้าจะชักนำก็เรียกว่าไม่มีสปิริตของครู จึงทำอย่างนั้น เราจึงฟังไว้ก่อนพระสงฆ์องค์เจ้าที่ทรงคุณธรรม ก็ปรารถนาจะให้เรามีคุณธรรมท่านพูดจาแนะนำเรารับฟังไว้ก่อน สถาบันทางดีทางสูงของชาติมีหลายอย่างเรารับไว้มาเป็นหลักใจ มาช่วยประคับประคองใจ ให้ก้าวหน้าในทางที่ถูกที่ชอบเราก็จะเป็นตัวเองมากขึ้น



    เวลานี้อันตรายมีอยู่รอบข้างจึงอยากจะขอเตือนให้ระวังไว้ โดยเฉพาะหนูน้อยๆ ทั้งหญิงทั้งชาย ระวังให้ดีอย่าหลงลมใครง่ายๆ ต้องปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ปรึกษาครูบาอาจารย์มาวัดปรึกษากับหลวงพ่อก็ได้ มีโอกาสพบกันก็ได้ ปรึกษากัน แนะนำกันไปเทศน์ตามโรงเรียนต่างๆ หลายแห่ง เปิดโอกาสให้เด็กถามปัญหาเขาถามถึงสิ่งที่เป็นปัญหาทั้งนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจปล่อยให้เขาได้เปิดอกคุยกันเสียบ้าง ก็ตอบให้เขาฟัง


    บางคนตอบในที่ประชุมจบไปแล้วเลิกประชุมยังมาอีก บอกว่าหนูยังมีปัญหาพิเศษจะถามอะไรต่อไป เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัว ในการงาน การศึกษา เขาปลงไม่ตกไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เราก็อธิบายให้เขาเข้าใจว่าควรคิดอย่างไรทำอย่างไรก็เข้าใจเรื่อง ก็ได้เอาไปใช้ต่อไป อันนี่เป็นประโยชน์ถ้าเด็กได้มีโอกาสปรึกษาผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรม มีความรักความหวังดีแล้วเด็กของเราก็จะไม่เสีย

    เพราะฉะนั้นหนูที่เป็นเด็กที่มาฟังปาฐกถานี้ก็ควรจะเข้าหาผู้ใหญ่ไว้ปรึกษาหารือไต่ถามในเรื่องที่ควรจะเอามาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตเพื่อยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้นๆ ร่างกายเจริญเติบโตขึ้นมากเท่าใดก็ควรจะให้จิตใจเราเจริญเติบโตขึ้นไปด้วย ถ้าร่างกายเจริญเติบโตแต่จิตใจไม่เจริญเติบโตด้วยคุณธรรม ก็เรียกว่าไม่สมดุลย์กันเติบโตข้างหนึ่งข้างหนึ่งไม่โตมันก็ไม่ได้ ต้องให้สมดุลย์กันไปffice

    <O:p</O:p
    http://www.prajan.com/webboard/view.php?id=9461<O:p</O:p
    <O:p
     
  2. ทรัพย์พระฤาษี

    ทรัพย์พระฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระ ดี ๆ มาให้อ่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...