ต้วนอี้ว์ เทพแห่งกระบี่หกชีพจรตัวจริงในประวัติศาสตร์

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 8 มกราคม 2011.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td valign="middle"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> ใครที่อ่านเรื่องราวของมังกรหยกจนอินมากๆ นั้น มักจะมีข้อสงสัยในเรื่องที่ว่าอะไรคือเรื่องจริงและอะไรคือเรื่องไม่จริง ซึ่งส่วนใหญ่ที่เป็นเรื่องจริงนั้นกิมย้งจะวางไว้เป็นแบ็คกราวด์มากกว่า ส่วนเรื่องแต่งหรือตัวละครแต่งนั้น มักจะได้เป็นพระเอกหรือตัวเด่นเสมอๆ

    ก้วยเจ๋ง เอี้ยก้วย เตียบ่อกี้ เซียวเหล่งนึ้ง อึ้งเอี๊ยะซือ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นบุคลาธิษฐานที่สังคมอยากให้เป็นหรือกิมย้งอยากให้เป็นแล้วก็ สร้างมันขึ้นมา

    แต่ตัวจริงในประวัติศาสตร์ที่มีจริงๆ และกิมย้งเอามาใส่แต่เติมสีสันให้กับตัวจริงตัวนี้ก็มีนะครับ อย่างกรณีของ คูชู่กี เบ๊เง็ก และบรรดาบรรพชิตช่วนจิน ตัวละครอย่าง “เยลู่หงจี๋” ฮ่องเต้ของเหลียวที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเฉียวฟงก็มีจริง “หวังเหยียนอากุบต้า” ผู้นำเผ่าหนี่ว์เจินซึ่งตอนหลังกลายเป็นประเทศกิมที่มาไล่บี้ชาวซ่องใต้ก็มี จริง

    แต่หนึ่งในตัวเอกที่มีเรื่องราวอันพิศดารสุดๆ และมีตัวจริงในประวัติศาตร์ด้วยนั้นมีชื่อว่า “ต้วนอี้ว์” (Duan Yu)(ฉบับภาษาไทยใช้เป็นแต้จิ๋วว่าต้วนอื้อ)

    ต้วนอี้ว์นั้นใครดูในซีรี่ส์แต่ละครั้งก็จะรู้สึกว่ามันงี่เง่าเสียเต็ม ประดา เป็นตัวละครหนึ่งของกิมย้งที่สร้างความฮาได้ไม่แพ้ หลวงจีนซีจุ๊ (ฉบับแปลไทยใช้เป็นแต้จิ๋วว่า หลวงจีนฮือเต๊ก)ซึ่งสุดท้ายทั้งสองคนนี้คนหนึ่งก็ได้เป็นฮ่องเต้แห่งต้าลี่ (Dali) อีกคนหนึ่งได้เป็นราชบุตรเขยแห่งซีเซี่ย (Xixia) กว่าจะจบเรื่อง คนอ่าน 8 เทพอสูรมังกรฟ้าก็ฮากันไม่หยุดด้วยความโก๊ะของทั้งสองคน

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="5">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="376"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="376"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">"เฉินเห่าหมิ่น" กับบท "ต้วนอี้ว์" ใน 8 เทพอสูรมังกรฟ้า : The Demi Gods and Semi Devils (1996) </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ใครที่อ่านมังกรหยกหลายรอบแล้ว อยากเชียร์ให้อ่าน 8 เทพอสูรมังกรฟ้ากัน ตามทัศนะของผมนั้นผมว่า กิมย้งเขียนได้อลังการ์กว่า เร้าใจกว่า และมีการผูกเรื่องที่น่าสนใจกว่ามังกรหยกมาก ซึ่งตามประวัติก็น่าจะเป็นอย่างงั้น เพราะ แกเขียนหลังมังกรหยกตั้งหลายปี ที่สำคัญถ้าใครชอบวิทยายุทธ...เรื่องนี้มีต้นกำเหนิดวิทยายุทธอยู่มาก แต่ถ้าใครชอบทีวีซีรี่ส์ฉบับที่สมบูรณ์นั้นผมเชียร์ให้ไปเอา 8 เทพฉบับปี 2003 ที่พระเอกหน้าเหมือนหม่ำจ๊กมกมาดูครับ สนุกมากและสเปเชี่ยลเอฟเฟคท์อลังการ์สุดๆ ที่สำคัญไม่มีมาเปลี่ยนเรื่องปรับเรื่องให้เสียอารมณ์คนที่ชอบนวนิยาย

    กลับมาเรื่องของต้วนอี้ว์กันต่อ “กิมย้งบอกว่าคนโง่ย่อมมีวาสนาของคนโง่ คนงมงายก็มีวาสนาของคนงมงาย” ต้วนอี้ว์นั้นเป็นพวกที่งมงายในความงามของหญิงสาวและมีเชื่อพันธ์แห่งความ เจ้าชู้จากรุ่นพ่อตกลงมาก็เลยทำอะไรต่อมิอะไรได้ฮากันกระจายตลอดทั้งเรื่อง และในความงมงายของแกก็มีวาสนาที่ทำให้แกสามารถได้ยอดวิชาของสำนักสราญรมย์ และสุดยอดวิชาประจำตระกูลต้วนอย่างดัชนีเอกสุริยันต์ และเทพกระบี่หกชีพจร ซึ่งวิชาท้ายนี้จอมยุทธในยุคสมัยของแกยอมรับว่ามันคือ สุดยอดของวิชากระบี่แห่งยุทธจักร...เพราะมันคือ กระบี่เลเซอร์ บวกกับปืนกระสุนพลังงานที่โจมตีระยะไกลได้ชนิดโดนเข้าไปละมีแต่แขนขาดขาขาด เท่านั้น

    เดี๋ยวคราวหน้าค่อยมาวิเคราะห์เรื่องวิทยายุทธของแก แต่ที่น่าสนใจก็คือในประวัติศาสตร์จริงนั้นตระกูลต้วนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่

    สงครามในสมัยซ่งเหนือซึ่งเป็นยุคปลายของราชวงศ์เหลียวหรือพวกชี่ตันนั้น แผ่นดินถูกบ่งออกเป็นหลายส่วน ชาวฮั่นเองครองแผ่นดินแค่บริเวณตะวันออกไล่มาจนเกือบๆ จะกลาง ส่วนที่เหลือก็แบ่งดังนี้คือ ภาคเหนือเป็นของพวกเหลี่ยวหรือชี่ตันซึ่งเป็นเผ่าที่เข้มแข็งที่สุดในช่วง เวลานั้น ทางตะวันตกก็มีซีเซี่ย (ฉบับแปลไทยใช้เป็นแต้จิ๋วว่าไซแฮ่) ทางตะวันตกเฉียงเหนือก็มีถูฟาน (Tufan)(ฉบับแปลไทยใช้เป็นแต้จิ๋วว่าทัวฮง)ส่วนด้านตะวันตกเฉียงใต้คือ ต้าลี่ ( Dali) (ฉบับไทยใช้เป็นแต้จิ๋วว่าไต้ลี้)

    ที่เราจะพูดก็คืออาณาจักรต้าลี่ เพราะต้วนอี้ว์นั้นเป็นรัชทายาทอยู่ครับ ต้าลี่นั้นกินอาณาเขตกว้างคือ ยูนนาน ตาลีฟู และบางส่วนของเสฉวน นี่คือแผ่นดินเกิดของพวกตระกูลต้วนหรือต้วนอี้ว์( Duan yu) (ในหนังสือฉบับภาษาไทยเรียกว่า ตวนอื้อ) ซึ่งสุดท้ายสำเร็จวิชากระบี่หกชีพจร ฝึกลมปราณภูติอุดรขั้นต้นนั่นคือพลังดูด และท่าเท้าท่องคลื่นซึ่งแกเชี่ยวชาญมากและเป็นคนที่ทั้งเรื่อง 8 เทพนั้นไม่ทำอะไรมากไปกว่าคอยตามแม่นางหวังหรือแม่นางเฮ้งซึ่งเป็น “ดอกเตอร์ด้านวิทยายุทธของแผ่นดิน” ในเรื่อง

    เดิมนั้นอาณาจักรนี้ได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรหนานเจ้า( Nanzhao )หรือ น่านเจ้า ที่คนไทยอาจจะคุ้นดี เพราะตำราประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งอ้างเรื่องนี้ว่าบรรพบุรุษของไทยนั้นมีต้น กำหนดมาจากอาณาจักรน่านเจ้านี่แหล่ะ (แต่ตอนหลังก็ว่าไม่ใช่ แล้วยุคนี้ประวัติศาสตร์ก็อาจจะเปลี่ยนอีก ให้กลายเป็นประเทศไทยเป็นลูกหลานของเขมร)

    แต่อาณาจักรหนานเจ้าต่อมาได้กลายเป็นของตระกูลต้วนและเปลี่ยนชื่อเป็นต้าลี่ พูดถึงตรงนี้แล้วอดนึกไม่ได้ว่าต้วนอี้ว์แกน่าจะมีเชื้อไทยอยู่บ้าง เพราะอาการเจ้าชู้ยักษ์อยู่ใกล้ใครก็วาบหวามรักเขาไปหมดนี่มันชายไทยสมัย เจ้าคุณปู่ทั้งนั้น

    ในประวัติศาสตร์จริงแคว้นต้าลี่นั้นเป็นแคว้นที่สุขสงบมาก น้อยครั้งนักที่จะเกิดสงคราม นับตั้งแต่กษัตริย์องค์ที่ 11 ของอาณาจักรนี้ประกาศให้หนานเจ้ามีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำรัฐ แม้จะกลายเป็นแผ่นดินของตระกูลต้วน แต่ศาสนาพุทธก็ยังคงเป็นที่ศรัทธาของประชาชนและตัวพระมหากษัตริย์ ลองคิดดูว่า 10 ใน 22 คนของฮ่องเต้แคว้นนี้ล้วนแต่สละราชสมบัติแล้วออกบวชอยู่ที่วัดมังกรฟ้ากัน ทั้งสิ้น

    อีตรงนี้ใครอ่านมังกรหยกอย่างละเอียดจะเห็นว่า ความเข้าใจของชาวฮั่นเกี่ยวกับประเพณีของฮ่องเต้แห่งต้าลี่นั้นค่อนข้างผิด ไปมาก เพราะในมังกรหยกซ่งเป็นยุคซ่งใต้นั้นมีตอนหนึ่งที่คูชู่กีวิจารณ์สุดยอดยอม ยุทธที่เหลืออยู่ว่า ใครสมควรจะได้เป็นจอมยุทธที่แท้จริง ซึ่งคูชู่กียกให้อั้งชิกกงยาจกอุดรเป็นเอก เหตุเพราะมีความกล้าหาญ รักแผ่นดิน และไม่สนใจกับเรื่องหยุมหยิม คูชู่กีบอกว่าอึ้งเอี๊ยะซื้อแตกฉานในสรรพวิชา พลังฝีมือก็ไม่เป็นรอง แต่มีปัญหาเรื่องการทำตามอำเภอใจไม่เห็นเรื่องใหญ่คือเรื่องของแผ่นดินเท่า กับเรื่องตัวเอง ขณะที่ราชันย์ทักษิณซึ่งต่อมาคือ อิดเต็งไต้ซือ นั้น นักพรตท่านนี้บอกว่า พลังฝีมือก็สุดยอด เปี่ยมไปด้วยการุณยธรรม แต่ติดปัญหาเรื่องการตัดไม่ขาดในเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างเรื่องของสนม(เอ็ง โกว)จนทำให้ต้องไปบวช แสดงให้เห็นว่าจิตใจยังไม่รุกรบพอ ส่วนเฒ่าคางคกนั้นคูชู่กีบอกไม่สมควรยกให้เป็นจอมยุทธ เพราะ ไม่มีคุณธรรม

    นี่คือความเข้าใจผิด เพราะจริงๆ ต่อให้ไม่มีเรื่องของเอ็งโกว เมื่อถึงเวลาราชันย์ต้วนก็ต้องไปบวชอยู่แล้วตามประเพณี พร้อมกับพาเสนาบดีที่ทำงานกับท่านตลอดรัชกาลไปเป็นศิษย์ฆราวาสของหลวงน้า ด้วยกันทั้งหมด( แต่จะเป็น เวียง วัง คลัง นา แบบของไทยหรือเปล่ายังไม่มีรายละเอียดตรงนี้)

    เมื่อค้นไปนั้นก็พบว่านี่เป็นกุศโลบายของตระกูลนี้ที่ไม่ต้องการเห็นการนอง เลือดในหมู่วงศาคณาญาติเพื่อการแย่งชิงบัลลังค์ รวมถึงการพยายามตัดวงจรอำนาจเก่าออกไปด้วยการพาแกนแห่งอำนาจไปอยู่วัดกันให้ หมด ทุกอย่างจบลงด้วยการออกบวชแล้วตัดขาดจากทางโลกไปเลย ซึ่งวิธีนี้ออกจะดีกว่าตัวของราชวงศ์ซ่งด้วยซ้ำไป เพราะ ที่เน่าๆ อยู่จนถึงยุคมังกรหยกในสมัยซ่งใต้ก็เพราะ คนในครอบครัวตระกูลจ้าวสอยกันเองหรือไม่ก็เชื่อที่ปรึกษาซังกะบ๊วยนะครับ

    อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือ ความเป็นกษัตริย์ที่มีทศพิศราชธรรมของตระกูลต้วน เพราะความเข้มแข็งอย่างยิ่งเรื่องของการเข้าวัดนี่เองที่ทำให้ทายาทตระกูลบ นี้ถูกอบรมมาจากโรงเรียนพระ...ซึ่งในนวนิยายก็คือ วัดมังกรฟ้า ซึ่งมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ด้วย ผมก็อดจะนึกไม่ได้เหมือนกันว่า มันก็ยิ่งใกล้พี่ไทยเข้าไปใหญ่เพราะ สรรพวิชาทั้งหลายที่คนไทยสมัยก่อนเรียนนั้นก็มาจากวัดเช่นเดียวกัน

    เรื่องน่าสนใจของตระกูลต้วนยังไม่จบครับ แต่เนื้อที่หมดแล้วต้องต่อคราวหน้ากันอีก</td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...