ทำบุญด้วยดอกไม้ ของหอม วิธีที่ถูกต้องทำอย่างไรครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Gorgeous, 5 มิถุนายน 2013.

  1. Gorgeous

    Gorgeous เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +109
    พอดี ผมอยากทราบขนบธรรมเนียมประเพณีในการทำบุญดอกไม้ของหอมบูชาพระพุทธเจ้า ที่ปราณีตที่สุด เลิศที่สุด
    - ถ้าซื้อดอกไม้จากตลาด เขาจะขายเป็นดอกไม้เป็นช่อห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ควรนำไปถวายพระดี หรือว่านำมาบูชาหน้าหิ้งพระดีครับ อยากทำให้ปราณีตที่สุด เลิศที่สุด ในโลกหล้าหาใดเทียม ขอบคุณครับ :cool:
     
  2. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,302
    ทำบุญด้วยใจที่ศรัทธาได้บุญสูงสุดคะ
     
  3. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    กราบอนุโมทนาบุญกับท่าน จขกท. ด้วยนะครับ ท่านลองอ่านดูนะครับ

    พระพุทธเจ้า : อานนท์ช่วยปูลาดที่บรรทมให้ตถาคตระหว่างต้นไม้สาละทั้งคู่นี้เถิด
    พระอานนท์ : พระเจ้าข้า

    เมื่อพระอานนท์ได้ปูลาดถวายเสร็จพระองค์ก็เสด็จขึ้นบรรทมสีหไสยาโดยไม่คิดว่าจะลุกขึ้นอีกแล้ว เพราะเหตุเป็นไสยาอวสาน คือการนอนครั้งสุดท้าย และครั้งนั้นต้นสาละทั้งคู่ผลิดอกออกบานร่วงหล่นลงมายังพระสรีระ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า แม้ดอกมณฑาในเมืองสวรรค์ตลอดจนเครื่องหอมต่างๆที่ตกลงมาจากอากาศ

    พระพุทธเจ้า : อานนท์ การบูชาตถาคตด้วยของมีค่า แม้มากปานนี้ก็ไม่มีชื่อว่าบูชาตถาคตอันแท้จริง ผู้ใดมาปฏิบัติธรรมและทำตัวสมค่ากับพระธรรมนั้น ผู้นั้นได้ชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างสูงสุด

     
  4. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,866
    "บายศรี" พรมด้วยน้ำอบไทย
    ถวายบนหิ้งพระ ทุกวันพระ

    ตั้งทิ้งไว้จนเหี่ยว ส่วนมาก 7 วัน
    ก็นำบายศรีจำเริญ
    (คือการทิ้งใต้โคนต้นไม้ ห้ามทิ้งขยะ
    หรือนำไปเผาไฟ)

    ตั้งจิตอธิษฐานดีๆ คุณก็จะก้าวหน้าในการ
    ปฏิบัติธรรมมาก เพราะบายศรีเป็นเครื่องสูง
    สำหรับบูชาครู "แรงครู" จะมากเป็นพิเศษ
    อานิสงส์ทางโลกก็คือ อยู่ที่ไหนก็โดดเด่น



    เมื่อก่อนดิฉันไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้
    ส่วนตัวเลยชอบไหว้พระบนหิ้งด้วยพวงมาลัย
    มะลิเพราะหอมดี แต่พอลองบายศรีแล้ว
    "เหมือนหนังคนละม้วนเลย"

    หลังๆเพลาๆลงเพราะ"โลกร้อน"ไงคะ
    โฟมทั้งนั้นที่เป็นแท่นบายศรี

    ถ้าคุณอยากจะลองดูก็ได้นะ
     
  5. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    กราบอนุโทนาบุญกับท่าน จขกท. อีกครั้งนะครับ(เพิ่มอีกนิดครับ)

    พระพุทธเจ้า อดีตชาติ(เมื่อ 20 อสงขัยกับเศษ 100,000 มหากัปป์ที่แล้ว)พระองค์เสวยพระชาติเป็น ฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นพระกนิษฐภคินี(น้องคนละมารดา) ของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า
    วันหนึ่ง เป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำแล้ว ฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรีประทับยืนอยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ทอดพระเนตรลงมาข้างล่าง ก็ได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งทรงสมณสารูป มีกิริยาอาการน่าเลื่อมใสยิ่งนักมายืนบิณฑบาตอยู่ที่ประตูพระราชวัง พระนางสุมิตตาทรงดำริว่า

    ‘ภิกษุมาบิณฑบาตในเวลาเย็น อันมิใช่กาลที่ควรบิณฑบาตเช่นนี้ คงประสงค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นแน่’ คิดดังนั้นแล้ว จึงมีพระเสาวนีย์ใช้บุรุษคนหนึ่งว่า “ท่านจงลงไปถามความต้องการของพระคุณเจ้าให้รู้แจ้ง แล้วจงมาบอกแก่เรา” ราชบุรุษรับพระเสาวนีย์แล้วถวายบังคม ลงมาถามได้ความแล้วกลับไปทูลว่า

    “พระคุณเจ้าประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน พระเจ้าข้า”

    ฟ้าหญิงสุมิตตาจึงให้ไปอาราธนาพระคุณเจ้าขึ้นมานั่ง ณ อาสนะอันสมควร แล้วจึงมีดำรัสว่า

    “พระผู้เป็นเจ้าต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใด”

    “ขอถวายพระพร อาตมภาพบิณฑบาตน้ำมันได้แล้ว ก็แต่งประทีป ทำการสักการบูชาแด่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าจนสิ้นราตรียังรุ่ง ครั้นเวลาสายสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน ณ สำนักแห่งสมเด็จพระบรมครู อาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสาวกทั้งหลายอีกเล่า แต่เฝ้ากระทำอยู่อย่างนี้เสมอมา ขอถวายพระพร”

    ฟ้าหญิงสุมิตตาเทวีได้ฟังดังนั้น มีจิตยินดีเลื่อมใสเป็นยิ่งนัก ได้ตักตวงน้ำมันพันธุ์ผักกาดจนเต็มขัน ก็ทูนเหนือเศียรเกล้านำมาในขณะนั้น พระนางยังเกิดความคิดอันสูงส่งบรรเจิดจ้าขึ้นมาว่า

    ‘สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของเราได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสัตวโลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไปเบื้องหน้า ขอให้เราได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เพื่อจะได้อนุกูลแก่สัตวโลก ฉันนั้นเถิด’ คิดคำนึงดังนั้นแล้ว จึงนำภาชนะบรรจุน้ำมันนั้นลงจากเบื้องบนพระเศียรเกล้าแล้ว ก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มแล้วมีดำรัสว่า

    “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายน้ำมันนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงสำเร็จด้วยเถิด ขอพระคุณเจ้าจงนำน้ำมันนี้ไปบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัพพัญญูพุทธเจ้าของข้าพเจ้าแล้ว ขอจงมีจิตการุณช่วยกราบทูลพระองค์ด้วยเถิดว่า พระกนิษฐภคินีของพระพุทธองค์ถวายมา ซึ่งพระนางได้ตั้งจิตปรารถนาว่า ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง ขอให้ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ในอนาคตพระพุทธเจ้าข้า” ความปรารถนานั้นของพระนางจักสำเร็จหรือไม่หนอ

    พระบรมศาสดาทรงสดับแล้ว จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

    “ดูกรภิกษุ บัดนี้สุมิตตาราชกุมารี พระกนิษฐภคินีของเรานั้นยังตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรี จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับคำพยากรณ์”

    “พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระกนิษฐภคินีของพระองค์จักไม่มีโอกาสได้สำเร็จพุทธภูมิเลยหรือ”

    ลำดับนั้น สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถจึงทรงพิจารณาดูในอนาคตก็ทรงทราบว่า พระนางสุมิตตาเทวีได้เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้นานนักหนา ตั้งแต่ครั้งเป็นมาณพหนุ่มผู้แบกมารดาไว้บนบ่าว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรว่า ถ้าตัวเราถึงชีวิตพินาศขาดสูญลงในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่ พร้อมกับมารดา ณ กาลบัดนี้ ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหาสมุทรมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งโพธิญาณ ขอเราได้ช่วยสัตว์ทั้งหลายอันเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารให้ข้ามพ้นลุถึงซึ่งฝั่งโน้นคือ อมตมหานิพพาน

    ครั้นคิดดังนั้นแล้วก็ตั้งปณิธานซ้ำลงไปอีกว่า เมื่อเราเปลื้องตนออกพ้นจากวัฏฏสงสารแล้ว ขอเราพึงนำสัตว์ทั้งหลายให้เปลื้องตนพ้นจากวัฏฏสงสารด้วยเถิด อนึ่งเมื่อเราข้ามจากวัฏฏสงสารได้แล้ว ขอให้เราพึงนำสัตว์ทั้งหลายข้ามพ้นจากวัฏฏสงสารได้ด้วยเถิด (มุนีนาถทีปนี หน้า ๑๕๐)

    เมื่อทรงพิจารณาดูในอนาคตกาลแล้ว ทรงทราบว่าพระน้องนางจะสำเร็จพุทธภูมิตามความปรารถนาได้ จึงตรัสกับพระภิกษุรูปนั้นว่า

    “ดูก่อนภิกษุ กาลข้างหน้าในอนาคต นับแต่นี้ไปอีก ๑๖ อสงไขยเศษหนึ่งแสนมหากัป จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สมเด็จพระทีปังกร จักเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักได้กล่าวพยากรณ์ให้แก่พระภคินีของเรา”

    เมื่อพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเช่นนั้นแล้ว พระภิกษุรูปนั้นจึงได้ทูลลา แล้วไปสู่ปราสาทของฟ้าหญิงสุมิตตาเทวี เล่าแจ้งตามที่ได้รับฟังจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า

    เมื่อได้สดับคำบอกเล่าจบลง เจ้าฟ้าหญิงทรงโสมนัสยิ่งนัก จึงมีพระเสาวนีย์ถวายนิตยปวารณาว่า

    “ข้าแต่พระคุณเจ้า แต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระคุณเจ้าอย่าได้เที่ยวไปแสวงหาที่อื่นเลย ขอพระคุณเจ้าจงมารับน้ำมันในสำนักแห่งข้าพเจ้านี้เป็นนิตย์ทุกวันด้วยเถิด”

    นับแต่วันนั้นมา พระภิกษุนั้นก็ได้มารับน้ำมันพันธุ์ผักกาดจากปราสาทของเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาเทวี ไปทำประทีปบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกเป็นประจำ

    ฟ้าหญิงสุมิตตาจึงได้มีโอกาสบูชาประทีปแก่พระพุทธเจ้าตลอดเวลาเท่าที่พระภิกษุรูปนั้นได้ถวายบูชา อีกทั้งที่ได้ทำบุญอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดแจงอาหารอย่างประณีตเป็นอันมาก พร้อมด้วยเครื่องสักการบูชา มีดอกไม้และของหอม เป็นต้น พระนางแวดล้อมด้วยบริวารไปสู่มหาวิหาร ถวายบิณฑบาตแก่หมู่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน ด้วยความเชื่อมั่นเลื่อมใสที่มากขึ้น ๆ ทำให้พระนางมีพระหฤทัยเบื่อหน่ายจากความที่ได้อัตภาพเป็นสตรีเพศนั้นยิ่งนัก จึงอุตส่าห์บำเพ็ญกุศล เช่น บริจาคทาน รักษาศีล สมาทานอุโบสถ ประพฤติพรตพรหมจรรย์เป็นประจำ ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์เทวโลก หมดสิ้นเศษกรรมที่มีอยู่ ได้ไปเกิดเป็นชายในภพชาติต่อ ๆ ไป
    พระภิกษุที่ได้บิณฑบาตน้ำมันหอมรูปนั้น ได้มาอุบัติเป็นสมเด็จพระมิ่งมงกุฎปัจฉิมทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงมีพุทธพยากรณ์ท่านสุเมธดาบสว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต(อีก 4 อสงขัยกับเศษ 100,000 มหากัปป์)

    พระนางสิริมหามายา(สมบูรณ์พร้อมด้วยอิตถีลักษณะ 64 ประการ มีเบญจกัลยาณีเป็นต้น) อดีตชาติพระนางเคยถวายผงจันทร์แดง (เครื่องประทินผิวชั้นสูง) แด่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพระนางทรงนำไปโปรยบรรณคันธกุฎี พระนางตั้งปณิธานกัลยาณจิตอธิษฐานขอให้ได้เกิดเป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต
     
  6. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,888
    ทำ 2 อย่างด้วยกัน ทั้งอามิสทานและปฏิบัติบูชา

    แต่ปฏิบัติบูชาเป็นการบูชาที่สำคัญยิ่ง ยอดเยี่ยมกว่าอามิสบูชา
     

แชร์หน้านี้

Loading...