ทำบุญใส่บาตรอย่างไรให้ได้ผลบุญสูงสุด !

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ญ.ผู้หญิง, 7 มกราคม 2009.

  1. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    [​IMG]

    กิจ
    กรรมส่วนใหญ่ที่ชาวพุทธนิยมทำกันมากและทำได้บ่อยๆ ก็คือ ใส่บาตรยามเช้า หรือไม่ก็หยอดตู้บริจาค ๑๐-๒๐ บาท ขึ้นอยู่กับจิตศรัทธาของแต่ละบุคคล บางรายมีมากก็ทำมาก มีน้อยก็ทำน้อย ได้บุญสมประสงค์เช่นกัน

    แม้กระนั้นก็ตาม มักจะมีข้อกังขาว่าทำบุญแล้วจะได้บุญหรือไม่ ผลบุญจะเกื้อหนุนยามใด ทำบุญชนิดใดจะได้บุญมากๆ หรือได้ผลานิสงส์มากๆ สาเหตุได้บุญมากน้อยต่างกันเพราะเจตนาเป็นสำคัญ ทานต้องบริสุทธิ์ คนรับต้องเป็นผู้ทรงศีลจิตใจบริสุทธิ์ด้วย

    เป็นที่สังเกตุว่า คนเราส่วนใหญ่ทำบุญแล้วมักจะหวังผลตอบแทนสูงๆ เหมือนกับซื้อล๊อตเตอรี่ หรือไม่ก็ขอให้ส่งผลเร็วพลันทันทีเหมือนกับกดเอทีเอ็ม หรือรูดบัตรอะไรทำนองนั้น ซึ่งมักจะทำให้ผู้ทำเกิดความเข้าใจผิดว่าทำบูญแล้วไม่ได้บุญ บางรายก่อนทำจิตใจไม่บริสุทธิ์ตั้งมั่นถึงทาน บางรายทำแล้วนึกเสียดายภายหลัง บางรายขณะทำจิตก็ยังไม่บริสุทธิ์อีก เมื่อเป็นเช่นนี้อานิสงส์ผลบุญจะมีมากกระไรได้ เฉกเช่นหว่านเมล็ดพืชบนพื้นทราย หรือพื้นดินที่แตกระแหงไม่มีน้ำ ไม่มีปุ๋ย เมล็ดพืชที่หว่านจะผลิตดอกออกผลสมบูรณ์ดั่งที่ตั้งใจไว้ได้หรือ

    อีกสาเหตุหนึ่ง เป็นเรื่องของบุญทำกรรมแต่งที่สั่งสมไว้แต่ชาติปางก่อน ซึ่งมิอาจรู้ได้ว่าทำบุญไว้มากเพียงใด ทำชั่วน้อยเพียงใด จึงส่งผลให้เรามีสภาพดั่งที่เป็นอยู่ ความดีเปรียบประดุจผ้าขาวสะอาด ความชั่วเปรียบประดุจผ้าสกปรกเลอะเทอะ

    ในชีวิตคนเราที่เกิดมาต้องสวมเสื้อผ้า (วิบากกรรม) ทั้งขาวและสกปรก คนไหนดีมากๆ เกิดมาก็สวมเสื้อขาวมากๆ มีแต่สิ่งที่ดีเข้ามาในชีวิต น้อยครั้งที่จะประสบโชคร้าย คนไหนทำชั่วมากเกิดมาก็สวมเสื้อสีดำเข้ม คนไหนทำดีและทำชั่วเสมอกันก็สวมเสื้อสีเทากลางๆ ลดหลั่นลงมาตามกรรมที่ได้กระทำไว้ คราวใดที่ผลบุญส่งเสริมก็จะได้รับสิ่งที่ดีตอบสนอง ยามใดที่ผลกรรมชั่วให้ผล ยามนั้นยากที่จะหลีกพ้นได้ ดังนั้น ชีิวิตคนหนึ่งๆ จึงประสบทั้งลาถ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ตามวิบากกรรมที่เคยได้ทำไว้เฉกเช่นเงาติดตามตัว

    ใครที่เคยเข้าใจว่าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ขอจงหยุดคิดด้วยเหตุและผล หันมาตั้งหน้าทำบุญกันเถิด วิธีทำบุญแล้วได้บุญมีองค์ประกอบอยู่ ๓ ประการ

    พระธรรมวโรดม วัดเบญจมบพิตร กทม. ได้กล่าวไว้ว่า การทำบุญในพระพุทธศาสนาที่มีผลานิสงส์มาก เช่น การทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ เป็นต้น จะต้องประกอบพร้อมด้วยองค์คุณ ๓ ประการ คือ


    ประการที่ ๑ ปัจจัยวัตถุสิ่งของสำหรับทำบุญบริสุทธิ์ิ์
    ซึ่งมีลักษณะคือ เงินที่จับจ่ายใช้สอยซื้อหาวัตถุสิ่งของเหล่านั้น ต้องเป็นเงินที่ได้มาด้วยการประกอบอาชีพที่สุจริต เกิดจากหยาดเหงื่อแรงงานของตนโดยตรง สิ่งของที่นำมาทำบุญนั้นเป็นของบริสุทธิ์ คือมิได้เบียดเบียนชีวิตคนหรือสัตว์อื่น เช่น ฆ่าสัตว์มาทำบุญ เป็นต้น วัตถุสิ่งของที่นำมาทำบุญนั้นเป็นของมีคุณภาพดี และเป็นส่วนที่ดีที่สุดในบรรดาสิ่งของที่มีอยู่ เช่น ข้าวสุกปากหม้อ แกงถ้วยแรกที่ตักออกจากหม้อ เป็นต้น และสมควรแก่สมณบริโภค ไม่เกิดโทษแก่พระภิกษุ สามเณรและมีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการ

    ประการที่ ๒ เจตนาของผู้ถวายบริสุทธิ์ คือ มีความตั้งใจที่จะทำบุญในกาลทั้ง ๔ คือ

    ๑. "ปุพพเจตนา" ความตั้งใจก่อนจะทำบุญ มีความเลื่อมใสศรัทธา ไม่มีความตระหนี่ถื่เหนียว ไม่มีความเสียดาย

    ๒. "มุญจนเจตนา" ความตั้งใจขณะทำบุญ
    มีความเลื่อมใสศรัทธา มีความปลาบปลื้มปิติยินดีในการทำบุญนั้น

    ๓. "อปรเจตนา" ความตั้งใจหลังจากทำบุญไปแล้วภายใน ๗ วัน
    หวนระลึกถึงการทำบุญที่ล่วงมาแล้วด้วยความปิติโสมนัสในบุญกุศลนั้น ไม่มีความเสียดาย

    ๔. "อปราปรเจตนา" ความตั้งใจภายหลังจาก ๗ วันไปแล้ว แม้เป็นเวลานานๆ หวนระลึกนึกถึงการทำบุญครังใดก็ปลาบปลื้มปิติโสมนัสครั้งนั้น

    ประการที่ ๓ พระภิกษุสามเณรบริสุทธิ์
    ได้แก่พระภิกษุสามเณรที่ปราศจากราคะ โทสะ โมหะโดยสิ้นเชิง หมายถึงพระอริยบุคคล หรือพระภิกษุสามเณร ผู้มีศีลบริสุทธิ์ และเป็นผู้กำลังปฎิบัติเพื่อกำจัดราคะ โทสะ โมหะ

    ที่นี้ท่านทั้งหลายคงเข้าใจแล้วว่า ก่อนจะทำบุญก็ดี ขณะทำ หรือหลังทำแล้ว ขอจงตั้งจิตให้บริสุทธิ์ิ์ ต่อไปในอนาคนเมื่อเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ จะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่เกิดจนตลอดอายุขัยในชาติภพนั้นๆ เจตนาบริสุทธิ์ ก่อนถวายจะทำให้เราประสบความสุขตั้งแต่เกิดจนถึงช่วงวัยเบญจเพส เจตนาบริสุทธิ์ขณะทำบุญจะทำให้เราไม่ทุกข์ยากลำบากเดือดร้อนจนกระทั่งอายุ ๕๐ ปี หลังทำก็เช่นกัน
    อย่างไรก็ตาม หากเรามีเจตนาไม่บริสุทธิ์นึกเสียดาย จะทำให้เราเกิดความทุกข์ยากเดือดร้อนแม้เกิดเป็นเศรษฐีก็เป็นเศรษฐีขี้เหนียว

    บ่อยครั้งที่พบเจอ มักจะเห็นชาวพุทธเจาะจงใส่บาตรพระภิกษุสามเณรรูปใดรูปหนึ่ง บางคนไม่ได้ใส่ถึงกับกระวนกระวายใจ ทำให้จิตใจไม่บริสุทธิ์ จึงได้รับผลานิสงส์น้อยกว่าทำบุญใส่บาตรโดยไม่เจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง เจอรูปไหนก่อนก็ตั้งใจน้อมนึกถึงท่านใส่บาตรเป็นรูปแรกและต่อมาตามลำดับที่ท่านเดินมาถึง กล่าวในใจว่า "สุทินนัง วะตะ เม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุ"

    ได้เวลาเลิกปลื้มกับเสบียงบุญเก่าซึ่งไม่รู้ว่าจะหมดเมื่อได เช้านี้ก่อนไปทำงานชวนกันทำบุญใส่บาตร เสริมสร้างบุญวาสนาบารมีในอนาคตกันเถิด!!

    ขอบคุณที่มา: หนังสือชีวิตเป็นสุข
    ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


     
  2. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,131
    อนุโมทนา สาธุ....ดีแล้วชอบแล้ว


     
  3. เลือดเย็น

    เลือดเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +262
    ดีจังเลย
    ขอบคุณค่ะ
     
  4. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    23,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,025
    เคยอ่านข้อความตอนหนึ่งจากไหนจําไม่ได้ เขาเปรียบเทียบให้ดูระหว่างคนๆหนึ่งที่ทําบุญด้วยเงินบาทเดียวเเต่อยากให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเกินร้อย กับเศรษฐีอีกผู้หนึ่งที่ทําบุญด้วยเงินล้านเเต่ทําเพื่อเอาหน้า ผลที่ได้คือ คนที่บริจาคเงินหนึ่งบาทนั้นรับบุญก้อนใหญ่ไปเต็มๆ กลับกันกับเศรษฐีบริจาคเงินล้านนั้น เเทบจะไม่ได้อะไรเลยในการทําบุญเพื่อเอาหน้าในครั้งนั้น พลังอานิสงฆ์มันต่างกันครับ ยิ่งถ้าจิตเราอยากให้มากเท่าไหร่โดยไม่หวังผลตอบเเทน พลังบุญในนั้นจะมากขึ้นเป็นทวีคูณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...