ทำไมพระญี่ปุ่นแต่งงานได้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Leonidas 1, 29 มิถุนายน 2008.

  1. Leonidas 1

    Leonidas 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +188
    japanesemonk.gif

    ศตวรรษที่ 17 ในสมัยเอโดะรัฐบาลโทกุงาวา ได้ทำการต่อต้านศาสนาคริสต์ จึงมีคำสั่งให้ประชาชนต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของวัดทั้งหมด คือเป็นสมาชิกของวัดใดวัดหนึ่ง มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นพวกคริสต์ และจะถูกลงโทษ ดังนั้นวัดต่างๆ จึงมีอำนาจบังคับให้คนเข้ามาเป็นสมาชิกของวัด ถ้าหากพ่อแม่ได้ถึงแก่กรรมแล้วจะต้องจัดทำงานศพอยู่ที่ ณ วัดนี้ หากไม่ยอมก็จะถูกกลั่นแกล้งจึงทำให้สมาชิกกลัวพระสงฆ์

    ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่สมัยเอโดะ มาจึงทำให้พระสงฆ์เหิมเกริมมาก แต่ในวงการศาสนายังมีคนดีและคนที่บริสุทธิ์ใจ จึงออกมาประท้วงและให้ทำการปฏิรูปกฎของพระสงฆ์ใหม่ คือ ให้ผู้ที่เป็นพระสงฆ์จะต้องงดเรื่องอบายมุข จะต้องศึกษาพระธรรมอย่างจริงจัง ดังนั้นเมื่อพวกพระสงฆ์ถูกต่อต้าน พระสงฆ์ที่ไม่สามารถงดเรื่องอบายมุขก็ได้ย้ายไปอยู่ประเทศอื่น เช่น เกาหลี และไต้หวัน เพื่อสร้างถิ่นฐานใหม่ เนื่องจากประชาชนทั้ง 2 ประเทศ นี้นับถือพระพุทธศาสนาเป็นส่วนมาก จึงมีโอกาสกอบโกยผลประโยชน์จากผู้ที่ศรัทธาได้
    การที่พระสงฆ์ของญี่ปุ่นบางนิกายสามารถแต่งงานมีภรรยาได้มีที่มาจากสมัยเมจิ

    ในปลายศตวรรษที่ 19 รัฐบาลได้นับถือศาสนาชินโต ดังนั้นจึงมีนโยบายทำลายพุทธศาสนาโดยออกกฎหมายว่าให้พระสงฆ์กินเนื้อได้ ไว้ผมได้ และแต่งงานมีภรรยาได้ ฉะนั้นพระสงฆ์ที่ทนต่อความว้าเหว่ไม่ได้จึงถือโอกาสแต่งงานมีภรรยาเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป จากนั้นมาการเป็นพระสงฆ์ก็กลายเป็นอาชีพหนึ่งที่ใครๆ ก็เป็นได้ เพราะว่าเป็นพระสงฆ์แล้วกลางวันสวดมนต์ตีระฆังเท่านั้น ก็มีผู้ศรัทธามาถวายเงินและก็ไม่ต้องเสียภาษีด้วยจึงมีความเป็นอยู่ที่สบายๆ และยังได้รับการยกย่องนับถือจากผู้ที่ศรัทธาด้วย





    <O:pที่มา http://seedang.com/stories/20190</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


     
  3. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    เป็นข้อมูลที่เป็นไปได้น้อยมาก เหมือนจงใจชี้บอกว่า พระสงฆ์นี้ชั่วนักหนักหนา

    มิควรเลย คนผู้บำเพ็ญต้องรู้จักดีชั่ว แยกแยะให้ออก มีพรหมวิหารเป็นพื้นฐานใจ เหตใด

    จึงจะมัวหลงตนเอง จนเหิมเกรมได้เพียงนั้น คงมีแต่คนปลอมบวชเท่านั้นเอง ที่คิดชั่วได้เพียงนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2008
  4. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    <DD>ในปัจจุบันชาวญี่ปุ่นนับถือพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับศาสนาชินโตพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็นหลายนิกาย นิกายที่สำคัญมี ๕ นิกาย ดังนี้
    </DD><DD>๑.นิกายเทนได (เทียนไท้)
    </DD><DD>พระไชโจ (เด็งกะโยไดชิ) เป็นผู้ตั้งมีหลักคำสอนเป็นหลักธรรมชั้นสูงส่งเสริม ให้บูชาพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันและพระโพธิสัตว์
    </DD><DD>๒.นิกายชินงอน
    </DD><DD>พระกุไกเป็นผู้ตั้งในเวลาใกล้เคียงกับนิกายเทนได มีหลักคำสอนตามนิกายตันตระ สอนให้คนบรรลุโพธิญาณด้วยการสวดมนต์อ้อนวอนถือคัมภีร์มหาไวโรจนสูตรเป็นสำคัญ
    </DD><DD>๓. นิกายโจโด (สุขาวดี)
    </DD><DD>โฮเนนเป็นผู้ตั้งเมื่อ พ.ศ.๑๗๑๘ นิกายนี้สอนว่าสุขวดีเป็นแดนอมตสุขผู้จะไปถึง ได้ด้วยออกพระนาม
    พระอมิตาภพุทธะนิกายนี้มีนิกายย่อยอีกมาก เช่น โจโดชิน (สุขาวดีแท้) ตั้งโดยชินแรน มีคติว่า ฮิโชฮิโชกุ ไม่มีพระไม่มีฆราวาส ทำให้พระในนิกายนี้มีภรรยาได้ ฉันเนื้อได้ มีความเป็นอยู่คล้ายฆราวาส
    </DD><DD>๔. นิกายเซน (ชยาน หรือ ฌาน)
    </DD><DD>นิกายนี้ถือว่า ทุกคนมีธาตุพุทธะอยู่ในตัว ทำอย่างไรจึงจะให้ธาตุพุทธะนี้ปรากฏ ออกมาได้ โดยความสามารถของตัวเอง สอนให้ดำเนินชีวิตอย่างง่าย ให้เข้าถึงโพธิญาณ อย่างฉับพลัน นิกายนี้คนชั้นสูงและพวกนักรบนิยมมาก เป็นต้นกำเนิดของลัทธิบูชิโด นับถือพระโพธิธรรมผู้เผยแพร่ในประเทศจีน
    <CENTER> </CENTER>
    </DD><DD>๕.นิกายนิชิเรน
    </DD><DD>นิชิเรนเป็นผู้ตั้ง นับถือสัทธรรมปุณฑริกสูตรอย่างเดียว โดยภาวนาว่า
    นะมึ เมียว โพเรงเงเกียว (นโม สทฺธมฺมปุณฺฑริก สุตฺตสฺส ขอนอบน้อมแด่ สัมธรรม ปุณฑริกสูตร)
    เมื่อเปล่งคำนี้ออกมาด้วยความรู้สึกว่ามีตัวธาตุพุทธะอยู่ในใจก็บรรลุโพธิได้</DD>
    http://www.hongcom491.com
     
  5. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    <DD>พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอย่างมั่นคงในญี่ปุ่น ต่างแข่งขันกันสร้างวัดในพระพุทธศาสนา และสำนักปฏิบัติธรรมเป็นอันมาก ยุคสมัยนี้ได้ชื่อว่า ยุคโฮโก คือ ยุคที่สัทธรรมไพโรจน์ เจ้าชายโชโตกุ ได้ทรงได้ทรงประกาศธรรมนูญ ๑๗ มาตรา ซึ่งเป็นธรรมนูญที่ประกาศหลักสามัคคีธรรมของสังคม องค์ประดิษฐานไว้เป็นอนุสรณ์ที่วัดโฮริวจิ ด้วยการเคารพเชื่อถือพระรัตนตรัย นอกจากนี้ยังทรงแสดง พระธรรมเทศนาซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นการแสดงเทศนาเกี่ยวกับ
    พระสูตรในประเทศญี่ปุ่น และ อรรถกถาต่างๆ เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น แม้ตัวเจ้าชายเองก็ได้ทรงแต่งคัมภีร์อรรถกถาของพระองค์ด้วย เจ้าชายโชโตกุสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.๑๑๖๕ บรรดาประชาชนทั้งปวงมีความเศร้าโศกเป็นอันมาก จึงได้
    ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปขนาดเท่าองค์เจ้าชายโชโตกุขึ้น ๑ องค์
    </DD><DD>หลังจากนั้นมาพระพุทธศาสนาก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายนิกายพระพุทธศาสนาหยุดชะงัก ความเจริญก้าวหน้ามาตลอดเพราะนโยบายการปกครองประเทศบีบบังคับทางอ้อมจนถึงยุคเมอิจิ พระพุทธศาสนาก็ยิ่งเสื่อมลงไปอีก
    ลัทธิชินโต ได้รับความนิยมนับถือแทนพระพุทธศาสนา
    </DD><DD>พระพุทธศาสนาถูกยกเลิกไปจากราชสำนักของพระจักรพรรดิ มีนโยบายล้มล้างพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นศาสนาคริสต์ก็เริ่มเผยแผ่พร้อมกับวัฒนะธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาในญี่ปุ่น เมื่อการ ศึกษาเจริญมากขึ้นพระพุทธศาสนาถูกยกขึ้นมาในแง่ของวิชาการ พระสงฆ์เริ่มงานการศึกษาและวิจัย อย่างจริงจังกว้างขวางตามวิธีสมัยใหม่ ส่วนหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นพระสงฆ์ แต่ละนิกายก็ยังคงจัดพิธีกรรมเป็นประเพณีตามนิกายของตน</DD>
    http://www.hongcom491.com
     
  6. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,131
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ...สาระดีดีครับ
    .
     
  7. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน http://www.geocities.com/easydharma/ebk_bng.html

    ตอน ประวาทะกับพระครูเขียว

    อาตมาภาพได้ตอบท่านองค์นั้นว่า สามเณรมาจากสมณศัพท์ แปลว่าผู้สงบ ใครเป็นผู้สงบ ผู้นั้นแหละพระพุทธเจ้าเรียกว่าสามเณรหรือสมณะ บุคคลผู้มี อิสสาและโลภอยู่ คนนั้นจะศีรษะโล้นก็ไม่ชื่อว่าสมณะ โดยพระพุทธภาษิต ว่า
    *"อัพพะโต อะลิกัง ภะณัง อิจฉาโลภะสะมาปันโน แปลว่า บุคคลผู้มี อิจฉาและมีความโลภอยู่ ไม่รักษาธุดงควัตร จะชื่อสมณะอย่างไรได้"


    (++++++++++++++++++++++++++++++++++
    * พระบาลีที่มีมาจากคำภีร์ธรรมบท ตอนนี้ มีคาถาเต็มว่า
    น มุณฺฑเกน สมโณ อพฺพโต อลิกํ ภณํ
    อิจฺฉาโลภสมาปนฺโน สมโณ กึ ภวิสฺสติ
    แปลว่า
    "ผู้ไม่มีวัตร (คือไม่มีศีลวัตรและธุดงควัตร) พูดจา
    เหลาะแหละ ไม่ชื่อว่าสมณะ เพราะศีรษะโล้น
    ผู้มี ความริษยาและความโลภ จะเป็นสมณะได้อย่างไร"
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++)

    ครั้งเมื่อท่านได้ยินเช่นนี้ ท่านก็โกรธหาว่าดูหมิ่นท่านผู้ไม่รักษาธุดงค์ก็ไม่ชื่อว่า สมณะหรือเณร อาตมาภาพตอบว่าท่าน ๑. เป็นผู้มีความอิจฉา ๒. โลภ ๓. ไม่รักษาธุดงค์คือความสงบ ผู้ขาดคุณสมบัติทั้ง ๓ นี้แหละครับ พระ พุทธเจ้าตรัสว่าไม่ชื่อว่าสมณะ ตามบาลีที่มีมาในธรรมบทภาค ๗ ธัมมัฏฐ วรรค ว่าดังนี้แหละครับ
    ท่านก็โกรธว่า "บ้าอะไรมาอ้างศัพท์อ้างแสง อ้างคัมภีร์ธรรมบทภาคนี้ จะมา แข่งดีกับพระหนองน้ำจันทร์หรือเณร" อาตมาภาพตอบว่า "การแข่งดีกันเป็น อุปกิเลส ๑๖ ในข้อ ๑๒ ว่าสารัมภะ การแข่งดีเป็นกิเลสอันหนึ่ง ซึ่งพระ พุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญเลยครับ ผมพูดในที่นี้ผมพูดตามศัพท์บาลีหรือความ เป็นจริงเท่านั้น คนที่มีกิเลสในสันดาน ได้ยินเข้าก็น้อมเป็นกิเลสทั้งนั้น เพราะความจริงเข้าไปถึงสันดาน คนที่เป็นกิเลสก็ดิ้นรนออกมาเท่านั้นครับ"
    ท่านพระครูเขียวยิ่งโกรธใหญ่หาว่า อาตมาภาพดูหมิ่นท่านว่าไม่ใช่สมณะ ทั้งเป็นเจ้ากิเลสด้วย ท่านจึงนำตัวของอาตมาภาพเข้าไปที่วัดของท่านแล้ว ขังไว้ในโบสถ์ เพื่อไต่สวนในขณะนั้นต่อไป อาตมาภาพก็นั่งสมาธิและเดิน จงกรมในโบสถ์เรื่อย ไม่พูดด้วยกับใคร
    ต่อไปอีก ๒ วัน ท่านนำตัวไปไต่สวน อาตมาภาพก็ไม่พูด ก็แต่นั่งหลับตา ทำสมาธิ ผลที่สุดท่านก็ตัดสินลงโทษว่าให้อาตมาภาพขนดิน ขนทรายเข้าวัด แล้วถามว่า เณรยอมตัวไหม อาตมาภาพก็ไม่พูด เป็นแต่นั่งหลับตาดักจิตไว้ ภายในใจเรื่อยไป
    ตกลงท่านก็มอบให้ฝ่ายบ้างเมือง นำตัวไปพิสูจน์ว่าเป็นคนอย่างไรแน่ ปุริด คือนายตำรวจก็นำตัวของอาตมาภาพไปขังไว้ในเรือนจำของศาลเมืองสองครได้ สองวัน นายอำเภอเมืองสองครจึงนำตัวของอาตมาภาพไปยังศาล เพื่อชำระ คดีเรื่องนั้นกับท่านพระครูเขียวเจ้าคณะแขวง นายอำเภอเมืองสองครอ่านคดี ฟ้องเสร็จแล้วถามอาตมาภาพว่าได้ว่าให้ท่านพระครูเขียวเช่นนี้หรือไม่ อาตมา ภาพตอบว่าได้ว่าอย่างนั้นจริง แต่ไม่ว่าให้ท่านพระครู นายอำเภอจึงถามต่อ ไปว่า เณรว่าให้ใคร อาตมาภาพตอบว่า อาตมาว่าที่ปากของอาตมาเองไม่ ได้ว่าให้ใครและไม่ได้ออกชื่อของใคร ว่าคนชื่อนี้ไม่รักษาธุดงค์และมีความโลภ และความอิจฉาไม่ชื่อว่าสมณะดังนี้ เป็นแต่อาตมาว่าไปตามคาถาธรรมบท ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เท่านั้น
    ท่านพระครูเขียวท่านก็ว่าบ้ากืก (คำว่า "กืก" หมายถึง พิลึก ผิดปกติมาก แปลกประหลาด เงียบ) ถ้าไม่พูด มันก็ไม่พูด ถ้าพูด มันก็พูดเล่นสำนวน จริงหรือไม่เณร อาตมาภาพตอบว่าจริงครับ ตามความประสงค์ของท่านแล้ว แต่จะจริงตามคำของพระพุทธเจ้าก็หามิได้ ท่านถามต่อไปว่า จริงตามคำ ของพระพุทธเจ้านั้นอย่างไร อาตมาภาพตอบว่า จริงคือความดับนั้นแหละ เป็นความจริงของพระพุทธเจ้า ท่านถามต่อไปว่าดับอะไร? อาตมาภาพตอบ ว่า ดับความโกรธและความจองล้างจองผลาญจึงได้นามว่า สาวกะ คือสาวก ผู้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    ท่านถามต่อไปว่า "เณรดับได้และฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง" อาตมาภาพตอบว่า "ถ้าผมดับความโกรธและความจองล้างจองผลาญกับคน อื่นได้ ก็ได้ชื่อว่าผมดับและฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าผมดับไม่ได้ผมก็ คงยังไม่ดับนั้นเอง"
    ท่านจึงถามต่อไปว่า "เดี๋ยวนี้เณรดับได้ไหม อาตมาภาพตอบว่า ถ้าผมดับ ความโกรธของผมได้เดี๋ยวนี้ผมก็ดับได้ ถ้าผมดับยังไม่ได้ผมก็ยังอยู่นั้นเอง"
    ถ้าเช่นนั้นเณรเป็นอรหันต์แล้วหรือ อาตมาภาพตอบว่า "ถ้าผมสิ้นไปแล้วจาก อาสวะ อาสวะก็สิ้นไปจากผม ถ้าผมยังไม่สิ้นจากอาสวะ อาสวะก็ยังอยู่ที่ผม"
    ต่อนั้น นายอำเภอเมืองสองครจึงว่าหยุดก่อนครับท่านพระครูเขียว อย่าเร่ง ถามเณรนักในเรื่องเช่นนี้ ผมเข้าใจดีว่าเณรไม่ใช่คนกืกและบ้าเลย ท่านองค์นี้ เป็นนักพรตคือผู้บำเพ็ญเพียรในศาสนาแน่นอน
    ต่อนั้น นายอำเภอจึงถามว่าเณรอายุเท่าไร อาตมาภาพตอบว่าเวลานี้อายุ ของสังขาร ๑๘ ปีนี้ นายอำเภอจึงว่าผมขอนิมนต์เณรอยู่วัดในเมืองนี้ได้หรือ เปล่า อาตมาภาพตอบว่าได้แต่เฉพาะวัดที่อาตมาอยู่ ถ้าอาตมาหนีแล้วก็ เป็นว่าไม่ได้
    ต่อนั้นไป ทางศาสนาก็ตัดสินยกเลิกว่าไม่จำเป็นจะเกี่ยวข้องในท่านผู้เช่นนี้ เพราะท่านเที่ยวบำเพ็ญส่วนกุศลเท่านั้น ท่านไม่หวังว่าจะอยู่ในท้องถิ่นเขต แดนของใคร จะไปหรือจะอยู่ก็แล้วแต่เรื่องของท่านเท่านั้น ต่อนั้นก็เลิกแล้ว กันไป

    http://www.geocities.com/easydharma/ebk_bng.html
     
  8. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    มรรคมีองค์ ๘ มีในพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น
    มรรคมีองค์ ๘ นี้ เป็นหลักธรรมสำคัญที่มีในศาสนาพุทธเท่านั้น
    และผู้ปฏิบัติตามย่อมพบกับความสงบอย่างแท้จริง
    มีพระบาลีในมหาปรินิพพานสูตร แสดงไว้ดังนี้ :
     
  9. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ กับความรู้พุทธศาสนาในญี่ปุ่น จากหลวงพี่ไตรภพ
    <!-- / message -->

    <!-- / message -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...