นันทเศรษฐีมีความตระหนี่ถี่เหนียว ตายแล้วกลับมาเกิดเป็นหมาดำ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 27 มิถุนายน 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เรื่องนิทานไอ้หมาดำ เศรษฐีขี้ถี่ขี้เหนียว ได้อะไรมามีแต่เก็บหอมรอมริบ เก็บได้มาก ๆ แล้วขโมยไปฝังไว้ที่นั่นที่นี่ ไม่ให้ลูกให้หลานทราบเลย ใส่ไหกระเทียมหรืออะไร คอรัด ๆ นั่น เงินแต่ก่อนเป็นเงินเหรียญ เต็มไหแล้วก็ไปฝังไว้ ๆ ทีนี้เวลาตายแล้วเลยมาเป็นหมาดำ ก็ยังดีนะเป็นหมาดำ เพราะแกไม่ได้สร้างความชั่วช้าลามกอย่างอื่น เป็นแต่ความตระหนี่ถี่เหนียวดัดสันดานแกเท่านั้นจึงให้มาเป็นหมาดำ ถ้าแกสร้างความชั่วด้วยแล้วก็ยิ่งจะเป็นเปรตเป็นผี ดีไม่ดีตกนรกไม่ได้ขึ้นจนกระทั่งป่านนี้ก็ได้ แต่นี้แกไม่ไปตกนรก แกมาเป็นหมาดำ มาเกิดเป็นหมาดำบุญก็ช่วยแก มาเกิดในสกุลลูกเจ้าของเอง

    พระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตทรงพบเข้า โอ๋ ! ตายนี่อานนท์ เศรษฐีที่ร่ำลือในความตระหนี่ถี่เหนียวนั้น ตายแล้วแทนที่แกจะไปสวรรค์นิพพาน เพราะความเป็นเศรษฐีของแก กลับมาเป็นหมาดำ นี่เห็นไหม นอนอยู่นี่ ชี้พระหัตถ์ให้พระอานนท์ดู นี่ละหมาดำตัวนี้แหละ เป็นนันทเศรษฐี มาเกิดกับสกุลลูกของตัวเอง แล้วพระอานนท์ก็ทูลถามว่าจะปฏิบัติอย่างไรต่อไปกับหมาดำตัวนี้ ถึงจะได้รับผลประโยชน์ ก็ต้องให้ลูกของนันทเศรษฐีนั้นแล ทำตัวเป็นลูกของหมาดำตัวนี้ ต้องประจบประแจง

    เพราะหมาดำตัวนี้รู้ภาษีภาษามนุษย์ได้ดี เนื่องจากแต่ก่อนแกเป็นเศรษฐี แกเป็นมนุษย์ ภาษามนุษย์ยังไม่เลือนรางจางไปจากจิตใจ แกจำได้ทุกคำนั้นแหละ แล้วก็ให้ประจบประแจงแก ปฏิบัติอุปัฏฐากหมาดำตัวนั้นเป็นเหมือนกับนันทเศรษฐี อะไรก็ให้เรียกว่าพ่อทั้งนั้น ว่าคุณพ่อ ๆ ถ้าออกชื่อก็คุณพ่อดำว่างั้น อะไรก็คุณพ่อ ๆ ประจบประแจงอุปถัมภ์อุปัฏฐากเหมือนกับอุปถัมภ์ปัฏฐากดูแลพ่อของตัว คือนันทเศรษฐีนั้นแล ทีนี้หมาดำตัวนี้เห็นใจ

    แล้วก็มาประจบประแจงขอเงินขอทองจากหมาดำตัวนี้ ว่าคุณพ่อเอาเงินไปไว้ที่ไหน ลูกทุกข์จนมากเวลานี้ไม่มีเงินมีทองใช้สอยเลย แล้วคุณพ่อเอาไปเก็บไว้ที่ไหนบ้าง ขอให้คุณพ่อบอกลูก จะได้นำเงินนั้นมาทำเป็นประโยชน์ หมาดำตัวนั้นก็พาไป ไปก็ตะกุยดินปุ๊บ ๆ ตรงนั้น ขุดลงไปนี้ ไหกระเทียมเท่านี้ ๆ หมาดำตัวนั้นตะกุยที่ตรงไหน ขุดลงตรงนั้นมีแต่เงินอยู่ในไหกระเทียมนั่นแหละ ไหกระเทียมหรือไหอะไรเราก็จำชื่อไม่ได้ แต่ท่านเรียกในหนังสือนั้นดูว่าเป็นไหกระเทียมนะ คอรัด ๆ น่ะ เงินเต็มอยู่ในนั้น พอไปตะกุยที่ไหนขุดขึ้นมาก็มีแต่เงิน มีแต่ไหเงิน ๆ รอบบ้าน

    แกไม่บอกให้ใครทราบสักคนเดียวเลยนะ แกขโมยไปฝังไว้ นั้นแหละเวลาแกตายแกจึงเป็นหมาดำ แต่แกก็มีวาสนามาเกิดกับสกุลลูก ทีนี้ลูกก็ไปขุดเอา ๆ ได้มาก็ทำบุญกุศลอุทิศให้คุณพ่อดำ คุณพ่อดำตัวนั้นแหละตัวนันทเศรษฐีนั้น ให้ได้บุญได้กุศล มีส่วนแห่งกุศลที่ตนได้เป็นเจ้าของเงินเหล่านี้ไว้ เก็บเงินเหล่านี้ไว้แล้วลูกนำมาทำประโยชน์ พระพุทธเจ้าว่าใจไม่ใช่เป็นของตาย ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคลรับกองบุญกองกุศลได้ทั้งนั้นแหละ ให้ทำความดีต่อกัน พวกลูกทั้งหลายในสกุลนั้นก็ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้หมาดำตัวนั้น ต่อจากนั้นไปท่านไม่อธิบายต่อว่าหมาดำตัวนั้นตายแล้วไปที่ไหนอีก เราก็เลยไม่ได้พูด

    อันนี้ท่านพูดถึงเรื่องโทษแห่งความตระหนี่ของคน จนไปเกิดเป็นหมาดำเป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นไปเกิดเป็นเปรตเป็นผี เป็นงูเป็นตุ๊กแก เป็นอะไรมาเฝ้าทรัพย์สมบัติอยู่นั้น มีมากนะ นี่ละความตระหนี่มันเคยดัดสันดานคนมามากต่อมากแล้วให้พากันระมัดระวัง พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วไม่เป็นอย่างอื่น ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ใจนี้เป็นของสำคัญ จะพาเป็นเปรตเป็นผี เป็นหมาดำหมาขาวก็ตัวนี้แหละ ไม่ใช่ตัวไหนนะ

    สมบัติเงินทองร่างกายนี้แตกลงไปแล้วก็สลายเป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟไป แต่ใจนี้ไม่สลาย ออกจากภพนี้ไปสู่ภพนั้น ออกจากภพนั้นไปสู่ภพนั้น ด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมดีชั่วของตน เราจึงต้องได้พยายามประคับประคองจิตใจของเราให้ดีให้มีหลัก อยู่ในบ้านในเรือน ครอบครัวเหย้าเรือนของเรา ครอบครัวหนึ่ง ๆ เราเป็นลูกชาวพุทธ อย่าลืมพุทโธ ฝังไว้ภายในใจเสมอ ไปประกอบหน้าที่การงานที่ไหน ๆ ก็ตาม ให้พยายามนึกพุทโธ ๆอยู่ในใจนี้แหละ เราจะชุ่มเย็นภายในจิตใจของเรา นี่เรียกว่า ใจมีหลัก มีหลักยึด

    อย่าให้ใจเลื่อนลอย ถ้าใจเลื่อนลอยแล้วตายไปแล้วมันไปจม ไม่ใช่ของดี ตายผิดตายพลาด เกิดที่ไหนก็เกิดผิดเกิดพลาด ไม่ใช่ของดี ความผิดพลาดนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ให้เกิดถูกต้องดีงาม เกิดสถานที่ดีคติที่เหมาะสม เรียกว่าถูกต้องดีงาม แล้วก็มีความสุขความเจริญ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้แล้วไปปฏิบัติ

    Luangta.Com -

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กทม.
    เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐
    นันทเศรษฐี
    (คัดลอกมาบางส่วน)
     
  2. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕ เรื่องอานนทเศรษฐี [๔๗]
    ข้อความเบื้องต้น
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอานนทเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปุตฺตามตฺถิ ธนมตฺถิ" เป็นต้น.

    อานนทเศรษฐีสั่งสอนบุตรให้ตระหนี่
    ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี เศรษฐีชื่ออานนท์ มีสมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ (แต่) เป็นคนตระหนี่มาก. อานนทเศรษฐีนั้นให้พวกญาติประชุมกันทุกกึ่งเดือนแล้ว กล่าวสอนบุตร (ของตน) ผู้ชื่อว่ามูลสิริ ใน ๓ เวลาอย่างนี้ว่า "เจ้าอย่าได้ทำความสำคัญว่า ‘ทรัพย์ ๔๐ โกฏินี้มาก’, เจ้าไม่ควรให้ทรัพย์ที่มีอยู่, ควรยังทรัพย์ใหม่ให้เกิดขึ้น, เพราะเมื่อบุคคลทำกหาปณะแม้หนึ่งๆ ให้เสื่อมไป ทรัพย์ย่อมสิ้นด้วยเหมือนกัน; เพราะเหตุนั้น
    บุคคลผู้ฉลาดพึงเห็นความสิ้นแห่งยาสำหรับ
    หยอด (ตา) ความก่อขึ้นแห่งตัวปลวกทั้งหลาย และ
    การประมวลมาแห่งตัวผึ้งทั้งหลาย พึงอยู่ครองเรือน.

    อานนทเศรษฐีตายไปเกิดในตระกูลคนจัณฑาล
    โดยสมัยอื่นอีก อานนทเศรษฐีนั้นไม่บอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งของตนแก่บุตร อาศัยทรัพย์ มีความหม่นหมองเพราะมลทิน คือความตระหนี่ ทำกาละแล้ว, ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงจัณฑาลคนหนึ่ง ในจำพวกจัณฑาลพันตระกูล ที่อยู่อาศัยในบ้านใกล้ประตูแห่งหนึ่ง แห่งพระนครนั้นนั่นเอง.
    พระราชาทรงทราบการทำกาละของอานนทเศรษฐีแล้ว รับสั่งให้เรียกมูลสิริผู้บุตรของเขามา ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเศรษฐี.
    ตระกูลแห่งคนจัณฑาลตั้งพันแม้นั้น ทำงานเพื่อค่าจ้างโดยความเป็นพวกเดียวกันเทียว เป็นอยู่ จำเดิมแต่กาลถือปฏิสนธิของทารกนั้น ย่อมไม่ได้ค่าจ้างเลย ทั้งไม่ได้ แม้ก้อนข้าวเกินไปกว่าอาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไป.
    พวกเขากล่าวว่า "บัดนี้ เราทั้งหลายแม้ทำการงานอยู่ ย่อมไม่ได้อาหารสักว่าก้อนข้าว, หญิงกาลกิณีพึงมีในระหว่างเราทั้งหลาย" ดังนี้แล้ว จึงแยกกันออกเป็น ๒ พวก จนแยกมารดาบิดาของทารกนั้นอยู่แผนกหนึ่งต่างหาก, ไล่มารดาของทารกนั้นออก ด้วยคิดว่า "หญิงกาลกิณีเกิดในตระกูลนี้."
    ทารกนั้นยังอยู่ในท้องของหญิงนั้นตราบใด, หญิงนั้นได้อาหาร แม้สักว่ายังอัตภาพให้เป็นไปโดยฝืดเคืองตราบนั้น คลอดบุตรแล้ว. ทารกนั้นได้มีมือและเท้า นัยน์ตา หู จมูก และปากไม่ตั้งอยู่ในที่ตามปกติ. ทารกนั้นประกอบด้วยความวิกลแห่งอวัยวะเห็นปานนั้น ได้มีรูปน่าเกลียดเหลือเกิน ดุจปิศาจคลุกฝุ่น.
    แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ มารดาก็ไม่ละบุตรนั้น.
    จริงอยู่ มารดาย่อมมีความเยื่อใยเป็นกำลังในบุตรที่อยู่ในท้อง. นางเลี้ยงทารกนั้นอยู่โดยฝืดเคือง, ในวันที่พาเขาไป ไม่ได้อะไรๆ เลย, ในวันที่ให้เขาอยู่บ้านแล้วไปเองนั่นแล จึงได้ค่าจ้าง.

    มารดาปล่อยบุตรไปขอทานเลี้ยงชีพเอง
    ต่อมา ในกาลที่ทารกนั้นสามารถเที่ยวไป เพื่อก้อนข้าวเลี้ยงตัวได้ นางวางกระเบื้องไว้บนมือแล้ว กล่าวกะบุตรนั้นว่า "พ่อ แม่อาศัยเจ้า ถึงความลำบากมาก, บัดนี้ แม่ไม่อาจเลี้ยงเจ้าได้, อาหารวัตถุทั้งหลายมีข้าวเป็นต้นที่เขาจัดไว้ เพื่อคนทั้งหลายมีคนกำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น มีอยู่ในนครนี้, เจ้าจงเที่ยวไปเพื่อภิกษาในนครนั้นเลี้ยงชีพเถิด." ดังนี้แล้ว ปล่อยบุตรนั้นไป.
    ทารกนั้นเที่ยวไปตามลำดับเรือน ถึงที่แห่งตนเกิดในคราวเป็นอานนทเศรษฐีแล้ว เป็นผู้ระลึกชาติได้ เข้าไปสู่เรือนของตน. ใครๆ ไม่ได้สังเกตเขาในซุ้มประตูทั้งสาม ในซุ้มประตูที่ ๔ พวกบุตรของมูลสิริเศรษฐีเห็น (เขา) แล้วมีใจหวาดเสียวร้องไห้แล้ว.
    ลำดับนั้น พวกบุรุษของเศรษฐีกล่าวกะทารกนั้นว่า "เองจงออกไป คนกาลกิณี" โบยพลางนำออกไปโยนไว้ที่กองหยากเยื่อ.

    พระศาสดาแสดงธรรมแก่มูลสิริเศรษฐี
    พระศาสดามีพระอานนทเถระเป็นปัจฉาสมณะ เสด็จบิณฑบาตถือที่นั้นแล้ว ทอดพระเนตรดูพระเถระ อันพระเถระนั้นทูลถามแล้ว ตรัสบอกพฤติการณ์นั้น,
    พระเถระให้เชิญมูลสิริเศรษฐีมาแล้ว. หมู่มหาชนประชุมกันแล้ว.
    พระศาสดาตรัสเรียกมูลสิริเศรษฐีมาแล้ว ตรัสถามว่า "ท่านรู้จักทารกนั่นไหม?" เมื่อมูลสิริเศรษฐีนั้นทูลว่า "ไม่รู้จัก" จึงตรัสว่า "ทารกนั้น คืออานนทเศรษฐีผู้บิดาของท่าน" แล้วยังทารกนั้นให้บอก (ขุมทรัพย์) ด้วยพระดำรัสว่า "อานนทเศรษฐี ท่านจงบอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งแก่บุตรของท่าน" แล้วทรงยังมูลสิริเศรษฐีผู้ไม่เชื่ออยู่นั้นให้เชื่อแล้ว. มูลสิริเศรษฐีนั้นได้ถึงพระศาสดาเป็นสรณะแล้ว.
     

แชร์หน้านี้

Loading...